สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

My Rose - บทที่ 12 บททึ่ 12 โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

My Rose

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า

รายละเอียด

สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

สารบัญ

My Rose-บทที่ 1 บทที่ 1,My Rose-บทที่ 2 บทที่ 2,My Rose-บทที่ 3 บทที่ 3,My Rose-บทที่ 4 บทที่ 4,My Rose-บทที่ 5 บทที่ 5,My Rose-บทที่ 6 บทที่ 6,My Rose-บทที่ 7 บทที่ 7,My Rose-บทที่ 8 บทที่ 8,My Rose-บทที่ 9 บทที่ 9,My Rose-บทที่ 10 บทที่ 10,My Rose-บทที่ 11 บทที่ 11,My Rose-บทที่ 12 บททึ่ 12,My Rose-บทที่ 13 บทที่ 13,My Rose-บทที่ 14 บทที่ 14,My Rose-บทที่ 15 บทที่ 15,My Rose-บทที่ 16 บทที่ 16,My Rose-บทที่ 17 บทที่ 17,My Rose-บทที่ ๑๘ บทที่ ๑๘,My Rose-บทที่ ๑๙ บทที่ ๑๙,My Rose-บทที่ ๒๐ บทที่ ๒๐,My Rose-บทที่ ๒๑ บทที่ ๒๑,My Rose-บทที่ ๒๒ บทที่ ๒๒

เนื้อหา

บทที่ 12 บททึ่ 12

บทที่ ๑๒

“โครงการคืบหน้าไปถึงไหนแล้วจ๊ะหนูโรส”

ชาร้อนคลายความกลมกล่อมลงไปถนัดใจ เมื่อรสสุคนธ์ถูกยิงคำถามแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หล่อนกลืนเครื่องดื่มลงคอ แล้ววางแก้วลงพลางคิดหาคำตอบที่จะพาให้รอดพ้นจากสภาวะการณ์อึดอัดครั้งนี้ไปได้

“ก็ยังทำตามกำหนดอยู่ค่ะป้าวัลย์” หวังว่าคำตอบนี้จะทำให้มารดาไม่ติดใจถามต่อ

“นั่นหมายความว่าป้าจะได้พาเพื่อนๆ ไปชอปปิ้งที่ห้างของหนูแล้วสิ” นางวัลยายิ้มกว้าง ส่งสายตาพออกพอใจให้นางนางปัทมา ก่อนหันไปพูดกับลูกชายของตนว่า “ฉันภูมิใจที่ได้หนูโรสมาเป็นสะใภ้จริงๆ ทั้งเก่งทั้งสวยแบบนี้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไปเชียวนะตาอิท”

อิทธิฤทธิ์ส่งยิ้มกลับโดยไม่มีวาจาตอบโต้ บทบาทของนักแสดงนำจึงตกไปเป็นของนางวัลยาที่ต้องหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยขับไล่ความเงียบของโต๊ะอาหาร

“นี่ตาอิท ตักอาหารให้หนูโรสหน่อย มัวแต่นั่งจ้องจานข้าวอยู่นั่นแหละ”

อิทธิฤทธิ์ถึงค่อยขยับแขนและเลือกตักเนื้อปลาเทราต์ผัดขิงให้หล่อน

“ทานเยอะๆ นะจ๊ะหนูโรส ดูสิไปอยู่ไซต์งานเป็นอาทิตย์ ซูบไปเยอะเชียว ทางโน้นคงหาอะไรทานลำบาก” นางวัลยาเล่นบทของนางต่อ

“ไม่ได้ยากลำบากอะไรเลยค่ะ ตอนเช้ากับเย็นก็มีอาหารของโรงแรม ส่วนกลางวันได้เด็กธุรการจัดการให้”

“ทำไมไม่ผูกปิ่นโตกับโรงแรมทุกมื้อล่ะจ๊ะ ไว้ใจให้เด็กจัดให้ เขาเอาของอะไรมาให้เราทานเราจะรู้หรือ”

รสสุคนธ์ยิ้มสุภาพ “เขากินแบบไหนเราก็กินแบบนั้นค่ะ บางมื้ออร่อยถูกปากกว่าอาหารของโรงแรมเสียอีก”

คนฟังยิ้มแห้งๆ ตักอาหารเข้าปากเคี้ยวหนุบๆ เหมือนหาทางไปต่อไม่ถูก พอส่งสายตาไปทางบุตรชายที่จ้องข้าวร้อนในจานเหมือนรอให้เม็ดข้าวค่อยๆ ระเหิดเข้าสู่ร่างกายแทนการเคี้ยวกลืน ก็ทำเป็นว่ากล่าวเพื่อให้เขาได้ออกปากพูดอะไรบ้าง

“ตาอิทนี่ใช้ไม่ได้เลย ทำไมเราไม่ไปดูแลหนูโรสที่ไซต์”

“โรสเขาดูแลตัวเองได้ครับคุณแม่ ตอนเรียนอยู่ที่อังกฤษ เขาเข้าออกฟาสต์ฟู้ดประจำ ก็เลยชินกับอาหารขยะ”

แต่บทพูดของบุตรชายทำเอารอยยิ้มของนางวัลยาเจื่อนลงอย่างรวดเร็ว นางปัทมาเองก็ทำหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ ส่วนรสสุคนธ์สกัดกั้นอารมณ์ไว้ด้วยการขยำผ้ากระโปรงเนื้อซาตินจนยับย่น

“ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องไปดูแลน้องที่ไซต์แล้วสิ ปล่อยให้น้องไปลำบากแบบนั้นคนเดียว ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ”

นางวัลยาแก้เคล็ดด้วยการต่อว่าบุตรชายต่อหน้าบุพการีของว่าที่ลูกสะใภ้หวังกอบกู้สถาณการณ์ แต่สำหรับรสสุคนธ์ ปล่อยให้ความตึงเครียดคลายตัวลงไปเองจะดีเสนอความเห็นที่หล่อนอยากลุกขึ้นทุบโต๊ะคัดค้าน

“คงต้องถามเจ้าตัวว่าอยากให้ผมไปดูแลหรือเปล่า”

รสสุคนธ์สูดหายใจลึก ประดิษฐ์เสียงพูดให้นุ่มที่สุด “จริงอย่างที่พี่อิทพูดค่ะ โรสดูแลตัวเองได้ และอยากแสดงฝีมือของตัวเองให้เต็มที่ ส่วนเรื่องอาหารการกินอาจมีบางวัน ที่กินอาหารขยะ แต่ก็ยังดีกว่าเจอคนขยะทุกวันนะคะ”

เสียงแค่นหัวเราะในลำคอของอิทธิฤทธิ์บอกว่าวาจาคมของหล่อนหาได้กรีดใจเขาไม่ และเป็นฝ่ายหล่อนเองที่อยากให้มื้ออาหารกลางวันที่รสชาติของมันก็ไม่ได้เลอเลิศอะไรนี้จบลงเสียที ปลาเทราต์ผัดขิงราคาค่อนพันยังเทียบไม่ได้กับรสชาติปลาทะเลทอดฝีมือครูหนุ่มเลยสักนิด

รสสุคนธ์หวนคิดถึงวงข้าวเย็นในบ้านชาวเลคืนผ่านมา แม้จะไปเป็นแขกที่ไม่ได้ถูกเชิญ แต่ก็สัมผัสความจริงใจที่ห้อมล้อมรอบกายได้ ทั้งใบหน้าดุดันแต่พูดจาตรงไปตรงมาของนายเผ่า ทั้งรอยยิ้มกับเสียงพูดเจื้อยแจ้วของหนูมุก ทั้งน้ำใจที่ไม่แฝงจุดประสงค์ของนางแพร้ว และแววตาอบอุ่นดั่งแสงตะวันของครูหนุ่มในเช้าวันใหม่

“แม่ได้ฤกษ์แต่งงานแล้วนะโรส เช้าหมั้นบ่ายก็แต่งเลยทีเดียว จองโรงแรมริมแม่น้ำไว้แล้ว ที่พวกหนูต้องทำก็คือเลือกชุดแต่งงานกับถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง”

หล่อนยังหลงในวังวนของความทรงจำ เสียงพูดของนางปัทมาจึงเบาบางราวกับอยู่ห่างกันแสนไกล การปฏิเสธคำขอแต่งงานของหล่อนที่ให้ไว้แก่อิทธิฤทธิ์ไม่มีผลอะไรต่อการตัดสินใจของนางเลยแม้แต่น้อย อาจจะจริงที่บิดาเคยบอกไว้ว่าความรั้นและความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายเป็นดีเอ็นเอที่ถ่ายทอดจากแม่สู่ตัวหล่อน

‘ถ้าคุณพร้อมจะเรียนปลูกกุหลาบเมื่อไร ก็มาบอกผมได้ทุกเมื่อ ผมจะรอ... อย่างอดทน’ ประโยคสุดท้ายของครูหนุ่มย้ำเตือนหล่อนว่าอาทิตย์อุทัยนั้นสวยงามเกินกว่าจะบรรยาย แต่หล่อนยังไม่ทันได้ให้คำตอบ ก็ถูกมารดาตามตัวด่วน ซึ่งเรื่องด่วนที่ว่าก็คือการมานั่งทานข้าวมื้อกระชับความสัมพันธ์ที่หล่อนอยากให้มันขาดสะบั้นเสียในวันนี้

“ส่วนเรื่องแหวนแต่งงาน ป้ากำลังจะ...” แต่ในวินาทีที่นางวัลยาพูดออกมา รสสุคนธ์ก็สะดุ้งตัวออกจากความคิดคำนึง

“ให้โรสเลือกเองเถอะค่ะ โรสเป็นคนสวมแหวน ก็ขอให้โรสได้เลือกแหวนเองเถอะนะคะ” สัญชาตญาณเอาตัวรอดสั่งให้หล่อนขอยืดเวลาการเดินเข้าสู่แดนคุมขังออกไป

“ไว้ผมจะพาโรสไปเลือกแหวนวงที่โรสอยากสวมเองครับแม่”

กระแสเสียงที่สนับสนุนความคิดของหล่อนนั้นราบเรียบ หากแต่ในชั่วแวบที่รสสุคนธ์สบกับแววตานิ่งลึกของอิทธิฤทธิ์ หล่อนก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเกมจับผิดที่เขาเชี่ยวชาญเสียเหลือเกินในช่วงหลัง แล้วเหยื่อในเกมก็คือตัวหล่อนนั่นเอง

“จริงๆ แหวนวงเดิมก็สวยดี ยายโรสตาไม่ถึง”

นางปัทมาพูดกล้อมแกล้ม แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศดีขึ้น มื้อน้ำชาหลังอาหารจึงไม่ถูกทำให้ยืดเยื้อ และด้วยเหตุที่อิทธิฤทธิ์มีนัดหมายสำคัญ ส่วนรสสุคนธ์ก็ต้องกลับบริษัทเพื่อประชุมกับทีมงาน ซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนของหล่อนนั้นมีใบหน้าเคร่งเครียดราวกับนัดกันมาล่วงหน้า

“ผมว่าเราต้องรุกให้หนักขึ้นกว่าเดิมแล้วนะครับคุณโรส”

เจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมกำหนดการเร่งเร้าการตัดสินใจของเจ้านายสาว และเป้าหมายของแผนรุกนั้นก็มิใช่อื่นใด แต่เป็นโรงเรียนปลูกปัญญาที่ยังตั้งตระหง่านกลางใจพื้นที่ยุทธศาสตร์

“คุณวิชัยเคยเสนอฉันอยู่ แต่ฉันว่าเรายังไม่ต้องทำให้ถึงขั้นนั้น แล้วฉันก็กำลังหาทางติดต่อเจ้าของที่ดินตัวจริงอยู่”

“แต่คนของคุณอิทก็มาถามความคืบหน้าทุกวันนะคะ ดิฉันเกรงว่า...” เลขานุการของหล่อนพูดด้วยอาการไหล่ห่อ “เกรงว่า... สักวันพวกเราจะถูกถอดถอนออกจากหน้าที่”

สิ้นคำเลขานุการ ทุกคนก็มองมาทางหล่อนเป็นตาเดียวกัน รสสุคนธ์จึงต้องใช้ความคิดหนักหน่วงในการหาวิธีที่ได้ผล และต้องไม่มีใครต้องเดือดร้อนยกเว้นเจ้าของโรงเรียนปลูกปัญญา

“ฉันรู้แล้วว่าจะทำยังไง”

ฉับพลันความทรงจำในวงอาหารเย็นที่บ้านนางแพร้วก็ผุดขึ้น หวังว่ากลเกมเล็กๆ น้อยๆ คงไม่ทำให้ครูหนุ่มเดือดเนื้อร้อนใจ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางสอนหล่อนให้ปลูกกุหลาบสำเร็จแน่!



ประตูบานใหญ่เปิดกว้างต้อนรับทีเค มิลเลอร์ ร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิทก็ก้าวขาเข้าสู่บรรยากาศของผับอลังการสไตล์สถาปัตยกรรมโรมัน รอบกายของเขาเต็มไปด้วยแขกเหรื่อทั้งชาวไทยและต่างชาติที่กำลังเริงระบำตามจังหวะและเสียงเพลงดังแห่งยุค

“อเลคโซ่รอคุณอยู่ด้านใน” ชายร่างใหญ่ผมสีบลอนด์ทองก้าวเข้ามารับ “เขาอยากให้มีแค่ทีเค มิลเลอร์เท่านั้นที่เข้าพบ”

ข้อห้ามนั้นทำให้เคย์แมนไม่พอใจ แต่เจ้านายหนุ่มส่งคำเตือนผ่านดวงตา “อีกหนึ่งชั่วโมง คุณไปรอผมที่เดิม”

ออกคำสั่งแล้วเดินตามชายผู้นั้นเข้าสู่อาคารชั้นในที่แบ่งแยกกับชั้นนอก นับว่ามีการป้องกันความปลอดภัยของเจ้านายได้แน่นหนา แม้แต่ตัวเขาเองที่ถูกค้นหาอาวุธก่อนเข้ามาหาบุคคลสำคัญ

อเลคโซ่ส่งยิ้มทักทายจากเก้าอี้หนังตัวโตสีโอ๊กเข้ม แล้วลุกขึ้นยืนเดินเข้ามาให้เขาเห็นรูปร่างท้วมสมบูรณ์ ผิวกายรวมถึงใบหน้าสีขาวซีดกลืนไปกับผมสีทองอ่อน

“คนของคุณคงบอกถึงเงื่อนไขที่ผมอยากเจรจาแล้วใช่ไหม”

ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้ม “หากได้เครือข่ายธุรกิจกาสิโนครอบคลุมพัทยารวมถึงหัวเมืองในจัดหวัด คุณจะขอเพิ่มเปอร์เซ็นต์ส่วนแบ่งอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ใช่เรื่องนี้หรือเปล่าครับ”

อเลคโซ่จึงหยิบซองกระดาษขึ้นมาวางบนโต๊ะ “ผมเป็นคนตรงไปตรงมา ถ้าได้ก็บอกว่าได้ ถ้าไม่ได้ผมคงต้องบอกให้คุณหันหลังกลับไป”

“ผมก็เป็นคนตรง บอกว่าให้ก็คือให้ ถ้าให้ไม่ได้ ผมคงไม่มาพบคุณคืนนี้” ทีเค มิลเลอร์ก้าวเข้าไปหยิบสัญญาขึ้นอ่าน พลางเอ่ยบทสนทนากับผู้เป็นใหญ่ในที่แห่งนี้ “แต่อยากเตือนคุณเรื่องพันธมิตรของคุณก่อนที่เราจะเซ็นสัญญากัน”

อเลคโซ่หยุดมือที่กำลังหยิบซิการ์ออกจากกล่องไม้ “พันธมิตรของผม?”

“ผมได้ข่าวไม่ดีนัก เกี่ยวกับกิจการของคุณที่ให้เขาจัดการบริหาร”

ดวงตาสีเทาหม่นมองเขาอย่างหยั่งเชิง แต่ทีเคเลือกปล่อยความสงสัยให้คนฟังไปติดตามหาความจริงด้วยตัวเอง เขาลงนามในกระดาษสัญญาทั้งสองแผ่น สอดหนึ่งแผ่นคืนให้ อีกหนึ่งแผ่นก็เก็บใส่ซองเพื่อส่งกลับมิลเลอร์โฮลดิ้ง

“ขอบคุณที่เชื่อใจมิลเลอร์” แล้วค้อมศีรษะพร้อมกับกล่าวคำลา จากนั้นก็เดินออกมาด้วยท่าทีสงบ ก่อนหันไปคลี่ยิ้มให้มาเฟียเจ้าถิ่นหลังได้ยินเขาพูดตามหลังว่า

“ถ้าหมายถึงบ่อนที่ผมหุ้นกับนายประชา ผมเตรียมถอนทุนคืนตั้งแต่รู้ข่าวความเคลื่อนไหวของตำรวจแถวนั้น”

ชายหนุ่มลอบยิ้มในใจ งานที่สองจบแล้วเพียงแค่นี้ อเลคโซ่เจ้าพ่อกาสิโนแห่งเมืองพัทยาไม่ต้องการความซับซ้อนอย่างที่ซ้อใหญ่บอก เพราะทุกการตัดสินใจขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ และจุดนี้เองที่เขาใช้เป็นวิธีแก้เงื่อนพันผูกระหว่างมาเฟียรัสเซียกับนายประชา ใครให้ความมั่นคงทางการเงินมากกว่าคนนั้นคือผู้ชนะ

ชายหนุ่มเห็นว่าเหลือเวลาอีกนานก่อนจะถึงกำหนดให้เคย์แมนมารับ เขาถอดเสื้อสูทออก ปลดเนกไทให้หลวมคลายความขึงขัง แล้วเดินไปตามถนนเลียบหาดของเมืองแห่งบันเทิงยามราตรี

จนมาหยุดยืนที่หน้าผับเก่า มันยังคงใช้เป็นสถานพักผ่อนหย่อนใจให้กับเหล่าผีเสื้อกลางคืน ทว่าปรับปรุงให้ดูดีมีระดับกว่าแต่ก่อนด้วยนักร้องสาวเสียงดีกำลังขับขานแนวเพลงบลูส์ที่เขาชื่นชอบ

‘มันเศร้าเกินไป ฉันชอบอะไรที่สนุก สดใส’

ประโยคที่อันนาเคยบอกไว้ผุดขึ้นฉับพลัน ทำให้ดวงตาของเขาก็ชื้นชุ่มทันที ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดแล้วเดินกลับไปยังจุดนัดพบ ทว่าขณะที่เดินผ่านตรอกเล็ก เห็นเงาของกลุ่มคนยืนออกันใต้หลอดไฟนีออน พอปรายตามองก็พบว่านักดนตรีเปิดหมวกกำลังอยู่ในวงล้อมของพวกอันธพาล

เขายกข้อมือดูเวลา กะว่าน่าจะจัดการปัญหาตรงหน้าได้ทันก่อนไปหาเคย์แมนที่จุดนัดพบ คิดดังนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในตรอก ออกแรงใส่พวกหมาเจ้าถิ่นเต็มเหนี่ยว ในทุกกำปั้นผสานผสมไปด้วยพลังของเลือดที่เดือดพล่านในตัว แม้จะถูกสวนกลับบ้างแต่เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย แค่คิดว่าจะซัดหน้าพวกระยำที่เอาเปรียบคนอื่นให้ล้มหงาย เรี่ยวแรงทั้งหมดก็ปะทุออกจากกายไปที่หมัดหนัก

ทว่าเมื่อหนึ่งในนั้นชักปืนขึ้นมา ชายหนุ่มก็ไวกว่าเข้าไปกระชากแขนแล้วบิดให้ผิดทิศทางจนปืนของมันหลุดจากมือ ส่วนพวกที่เหลือก็จะตรงเข้ามารุมวางมวย แต่ทำได้แค่ชกอากาศเพราะความปราดเปรียวของเขาที่เหนือกว่า ทว่าต้นกล้ายังไม่ทันได้เก็บคนที่เหลือให้หมด ก็มีผู้มาใหม่ขอรวมวง

“ถ้าไม่รีบไป กูจะยิงทิ้งเรียงตัวเดี๋ยวนี้!”

ประโยคเครียดขรึมภาษาอังกฤษกับใบหน้าบึ้งตึงส่งความถมึงทึงออกมาไม่พอ อาวุธที่อยู่ในมือของเคย์แมนก็ร้ายแรงเทียบเท่าปืนกล พวกมันเลยวิ่งหนีหางจุกตูด ส่วนเขาก็ถอนลมหายใจทิ้ง ไม่ใช่เพราะโล่งอก แต่เพราะต้องเตรียมถูกบอดี้การ์ดแสนเคร่งตำหนิใส่ จึงหันไปตบบ่านักดนตรีเปิดหมวกที่ยืนหน้าซีดเผือด แล้วเดินตามเคย์แมนออกจากตรอกแคบไปขึ้นรถ

“ครั้งต่อไป ถ้าอยากจะบู๊ให้เรียกผม”

“แค่ชกต่อยกับนักเลง ไม่ต้องให้ถึงมือคุณหรอก” ต้นกล้ายกเหตุผลมาพูด

“เรายังเหลืองานอีกหนึ่งครั้ง เมื่อทำเสร็จสิ้น เบนจะมาเมืองไทยเพื่อมาพบพวกเขาทั้งสาม คุณควรจะถนอมร่างกายไว้จนถึงวันนั้น”

แต่ดวงตาสีฟ้าที่ขุ่นจัดบอกเขาว่าเคย์แมนโกรธน่าดู หากว่ากันตามอายุแล้ว บอดี้การ์ดคนนี้ห่างจากเขาเกือบสิบปี แต่ยังมีกำลังวังชาและร่างกายแข็งแกร่งถึกทนเยี่ยงทหารที่เคยออกรบไปในตะวันออกกลาง

“คนที่เราส่งไปสร้างสถาณการณ์ในตลาดรายงานว่านายประชาเริ่มผิดสังเกตแล้ว มันเลยส่งคนออกมาตรวจตราตลาดถี่ขึ้น แล้ววันหยุดบ่อนก็ไม่เป็นทางการเหมือนเดิม คนที่ไปบ่อนเท่านั้นจะรู้ว่าบ่อนเปิดปิดวันไหน ฉะนั้นถ้ามีหน้าใหม่ไปบ่อน ก็ต้องไปกับลูกค้าเจ้าเดิม”

“ตาเฒ่านั่นฉลาดใช่เล่น” ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ

“เพราะมันฉลาด ผมถึงอยากให้คุณรีบจัดการหนี้แค้นของคุณเสียไวๆ ”

เจ้านายหนุ่มรู้ว่าเคย์แมนอยากได้ยินคำตอบอะไร แต่เขาขอใช้เวลาครุ่นคิดอีกสักหน่อย เป้าหมายที่สามคือเจ้าพ่อชาวอิตาลีผู้มีเกียรติศัพท์เรื่องเล่ห์เหลี่ยมเกมโกง

“แล้วงานที่เบนเคยบอกผมเกี่ยวบริษัทลูกหนี้สัญชาติไทย ตอนนี้มิลเลอร์รวบรวมข้อมูลไปถึงไหน” ชายหนุ่มถามกลับถึงงานอื่น

“อย่าห่วง คุณจะได้ทำเคสนี้ในเร็ววัน แต่ผมจะบอกข้อมูลคร่าวๆ ให้ฟัง บริษัทนี้ชื่อแอนเจลฟลาย ผู้บริหารคนเก่าเสียชีวิตแล้ว หลังจากนั้นภรรยาก็รับช่วงต่อ แต่ดูเหมือนว่าภรรยาทำงานไม่เป็นนอกจากใช้เงินไปวันๆ กรรมการทั้งหลายจึงลงความเห็นว่าควรถอนยายผู้หญิงจมไม่ลงออก แล้วให้ลูกชายของหล่อนขึ้นมานั่งเก้าอี้บัลลังก์เน่าๆ แทน”

“เขาเป็นใคร”

“นายอิทธิฤทธิ์ คนที่ไปร่วมงานศพในนามคุณากรพร็อพเพอตี้ คุณได้สนุกกับงานนี้แน่”

ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ จดจ้องดวงตาสีฟ้าของเคย์แมนที่มองเขาผ่านกระจกมองหลัง ก่อนจะหันสายตากลับไปมองท้องถนนตรงหน้าทำหน้าที่สารถีพาเขามาปล่อยริมทางก่อนถึงโรงเรียนปลูกปัญญาที่ขนาบด้วยทุ่งหญ้าคาสูงพ้นหัวเช่นเดิม

หากทว่าอีกฟากฝั่งถัดไปอีกซอยนั้นคราคร่ำไปด้วยเครื่องจักรใหญ่สำหรับทุบทำลายอาคารและปรับพื้นที่ ดูเหมือนละแวกใกล้เรือนเคียงก็ทยอยย้ายออกไปแล้ว คงเหลือแค่บ้านอีกไม่กี่หลังที่เตรียมขนย้ายข้าวของเช่นกัน เท่ากับว่าอาจจะเหลือแค่โรงเรียนปลูกปัญญาเท่านั้นที่ยังหยัดยืนอย่างมั่นคง แล้วมันจะมั่นคงยืนยาวหลังจากได้รู้ว่าลูกกวางตัวใหม่ของมิลเลอร์คือกรรมการผู้จัดการใหญ่ของคุณากรพร็อพเพอตี้

แต่งานนี้จะสนุกจริงอย่างที่เคย์แมนกล่าวหรือไม่นั้น เขาอยากบอกว่าไม่มีสักครั้งที่เขาสนุกกับการทำงานของยมทูตแห่งมิลเลอร์

“ครูไปไหนมา” เจ้าจ้อยยังไม่นอน ลุกขึ้นนั่งส่งเสียงถามเมื่อเห็นร่างสูงของครูหนุ่มค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง

“ไปคุยกับนายเผ่ามา แล้วทำไมยังไม่นอนอีก”

“ผมกลัวลืมบอกครู นมของจ๊ะจ๋าหมดแล้ว...” เจ้าจ้อยพูดเสียงอ่อย

“ได้สิ พรุ่งนี้ครูว่าจะไปตลาดเช้า เราไปหาซื้อของใช้ของจ้อยกับจ๊ะจ๋าด้วยเลย”

เด็กชายเริ่มมีรอยยิ้ม คลานกลับเข้าไปนอนข้างน้องสาวแสนรัก คนเห็นก็พลอยยิ้มตาม อย่างน้อยเด็กสองคนนี้ก็ยังมีกันและกัน จ้อยรักจ๊ะจ๋ามากกว่าใคร อาจจะมากกว่าแม่ของพวกเขาเองเสียอีก เพราะแบบนี้หรือเปล่าเขาถึงอยากช่วยเหลืออยากปกป้องคนที่อยู่เพื่อมอบความรักให้ผู้อื่น

คืนนั้นความง่วงทำให้เขาเข้านอนเร็วกว่าปกติ ไม่รวมอาการอ่อนเพลียที่ออกแรงสู้กับพวกนักเลง แต่แทนที่จะหลับเป็นตาย เขากลับฝัน ไม่ใช่ความฝันถึงอันนาเช่นเคย แต่ฝันถึงตัวเขาเองที่ดำดิ่งลงไปในห้วงนทีแสนหนาวเหน็บทรมาน

เช้าวันต่อมา ลมฟ้าอากาศวันนี้ดูจะเป็นใจให้เขาออมแรงรดน้ำแปลงผักและต้นไม้ เพราะเมฆสีเทาเริ่มตั้งเค้าเตรียมสาดสายฝนตามลางบอกเหตุของธรรมชาติที่คาดไว้แต่วาน ทว่ายังมีเหตุนอกเหนือความคาดคิดของชายหนุ่ม เมื่อมีกลุ่มผู้ปกครองเดินเข้ามาโรงเรียนก่อนที่เขาจะได้รีบพาจ้อยและจ๊ะจ๋าไปตลาดก่อนครูเพ็ญตื่น

“พวกผมจะมาเอาลูกออกจากโรงเรียนครับ” เป็นแค่คำพูดสั้นๆ ห้วนๆ ของตัวแทนผู้ปกครองของเด็กนักเรียนเกือบค่อนห้อง

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” ต้นกล้าไถ่ถามถึงสาเหตุ “ถ้าลำบากใจเรื่องค่าเทอม ก็สามารถผัดผ่อนไปก่อนได้”

“เอ่อ... มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครู... พวกผมแค่จะพาครอบครัวย้ายไปตั้งตัวใหม่ที่จังหวัดอื่น” หนึ่งในกลุ่มผู้ปกครองคนหนึ่งบอกเหตุผลแล้วรีบควักกระเป๋าเงินออกมาหยิบธนบัตรยื่นส่งให้

“นี่ค่าเรียนที่พวกผมรวบรวมกันมาจ่ายครับ”

“ไม่เป็นไร เก็บไว้ใช้ตั้งตัวดีกว่าครับ” ทว่าครูหนุ่มพูดกลับแทบไม่ได้มองเงินในมือเลย “แต่ถ้าลูกชายคุณอาเดือดร้อนเรื่องการเรียน ไม่เข้าใจตรงไหน ก็ให้เขาโทรมาถามผมได้ ถึงจะไม่ใช่นักเรียนที่นี่ แต่ผมก็ยินดีสอน”

“ได้โปรดรับไว้เถอะครับครูกล้า”

ผู้พูดดูกระอักกระอ่วน รีบคว้ามือของครูหนุ่มให้กำธนบัตรแน่น แล้วพากันเหลียวตัวจ้ำเดินออกจากรั้วโรงเรียนไปราวกับมีธุระเร่งด่วน

“พวกเขามาโรงเรียนวันหยุดทำไมหรือกล้า”

เสียงพูดคุยกันคงดังไปถึงห้องนอนของครูเพ็ญ ครูชราจึงเดินถือไม้เท้าเดินออกมา ยืดคอมองแผ่นหลังของผู้ปกครองเหล่านั้นที่ทยอยหายลับไปหลังเขตกำแพง

ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบัง ต้นกล้าจึงรายงานความจริงให้ทราบ และอาจเป็นเพราะผ่านเหตุการณ์คล้ายกันนี้มามากกว่าเขา สีหน้าและแววตาของครูเพ็ญจึงเรียบนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกอ่อนไหวออกมาให้เห็นหากจะมีเด็กนักเรียนที่สั่งสอนกันมานานหายไปหลายคน

“ผมจะพาจ้อยกับจ๊ะจ๋าไปหาซื้อของใช้ที่ตลาด ครูอยากได้อะไรหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มกล่าวกับครูชรา

“ไม่เป็นไร ขอบใจนะ แล้วหน้าเราไปโดนอะไรมา”

“เอ่อ...” ต้นกล้าตะกุกตะกัก พยายามยกมือบังใบหน้า

“ถ้าตอบยากนักก็ไม่ต้องตอบ”

ครูเพ็ญบอกเขาแล้วใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองกลับห้องปิดประตูสร้างความรู้สึกผิดให้ชายหนุ่มยิ่งนัก แต่จะให้เขาพูดความจริงก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ จึงเรียกจ้อยให้อุ้มน้องน้อยออกมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์พ่วงก่อนขับออกจากรั้วโรงเรียน พาเด็กทั้งสองมุ่งสู่ตลาดชุมชนที่นายประชาเป็นเจ้าของปล่อยแผงให้พ่อค้าแม่ค้ามาเช่าแผงขายสินค้าของตน

เมื่อซื้อของใช้จำเป็นเสร็จ เขาบอกให้จ้อยกับจ๊ะจ๋ารอที่รถ แล้วเดินออกจากตลาดเข้าไปในตรอกแคบของชุมชนแออัดจนสุดตรอก ถึงได้รู้ว่าตึกแถวร้างกลับมีคนมากมายเดินเข้าออกกันขวักไขว่ จึงถอยเท้าหาที่หลบในมุมลับตาเพื่อสังเกตการณ์ แล้วก็ลอบเห็นนายวิชัยเดินหน้ามุ่ยออกมา

แต่พอจะออกจากที่ซ่อนเพื่อสะกดรอยตามนายวิชัย ก็ได้ยินเสียงพูดคุยของกลุ่มผู้ปกครองของนักเรียนที่เพิ่งไปหาเขาเมื่อเช้า จึงร่นเท้ากลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง

“พรุ่งนี้ข้าจะมาแก้มือใหม่ เงินที่เขาจ้างให้ไปพาลูกออกก็ยังพอเหลืออยู่ รับรองพรุ่งนี้ก็ต้องเอาที่เสียไปคืน” ใครบางคนที่เดินออกมาส่งเสียงพูด

“จะว่าไป ข้าว่าห้างที่คุณเขากำลังสร้างก็ออกจะใหญ่โต ถ้ามีห้างใหญ่ขนาดนั้นตั้งอยู่ในเขตบ้านเราก็คงโก้ไม่เบา เงินที่เขาจ้างพวกเราให้ไปลาลูกออกจากโรงเรียนก็คงเป็นแค่เศษสตางค์พวกเขาล่ะมั้ง”

ชายหนุ่มได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้ม หรือว่าแม่กุหลาบนั่นใช้แผนสกปรกให้โรงเรียนอยู่ไม่ได้ คิดแล้วก็เคืองใจ รีบออกจากที่หลบซ่อนตอนไร้ผู้คน เดินไปหาจ้อยและจ๊ะจ๋าเพื่อกลับโรงเรียน แต่เพราะชะตาอาจต้องกันกับอดีตแค้น จึงได้ประจันหน้ากับนายประชาที่เดินตรงเข้ามา

“ไงครูกล้า มาซื้อของหรือ”

“ครับ” เขาตอบเสียงเรียบ

“ผมเห็นเจ้าจ้อยกับน้องชะเง้อคอมองหาครูอยู่นั่นน่ะ ก็เลยซื้อไอศกรีมกับน้ำให้กินระหว่างรอครู”

“ขอบคุณนะครับคุณประชา แต่คราวหลังไม่ต้อง ผมเกรงใจ”

“เกรงใจอะไรกัน” นายประชาโบกไม้โบกมือ “ว่าแต่เรื่องไล่ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง ได้ข้อตกลงกันกับพวกเขาหรือยังล่ะ”

“โรงเรียนปลูกปัญญาจะไม่ย้ายไปไหนครับ”

“ไม่ย้าย?” แววตาของนายประชาดูประหลาดใจที่ได้ยิน แต่ก็พยักหน้าแล้วยกมือตบไหล่เขาสองสามทีก่อนเดินผ่านหลังไป ต้นกล้าเองก็ต้องรีบกลับไปหาเด็กทั้งสอง

จ๊ะจ๋าเห็นหน้าต้นกล้าก็ส่งยิ้มร่าตามวัย ส่วนเจ้าจ้อยทำหน้าบูดใส่บ่นกระปอดกระแปด “ผมรอตั้งนาน ครูหายไปไหนมา”

ต้นกล้าไม่อยากตอบคำถาม เฉไฉไปที่คราบสีขาวของไอศกรีมกะทิแท่งใหม่ที่ถูกวางทิ้งไว้บนมอเตอร์ไซค์พ่วง “แล้วนั่นไม่กินหรือ ปล่อยให้มันละลายแบบนั้นน่าเสียดาย”

“จะเสียดายทำไม ไม่ใช่เงินผม ไม่ใช่เงินครู เป็นเงินของนายประชา ผมไม่อยากกินเงินของเขา”

“ทำไมล่ะ เงินของใครมันต่างกันยังไง”

“ไม่ต่าง ซื้อไอติมได้เหมือนกัน แต่เงินที่นายประชาซื้อไอติมให้ผมมาจากเงินที่เขาขายโรงเรียนเก่าของครูเพ็ญ เงินของคนเลวแบบนั้น ผมไม่อยากใช้”

คำพูดของเด็กจ้อยส่อนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นเกินวัย หรือว่าเรื่องไอ้ลายที่พูดกันจะเป็นความจริง ครูหนุ่มยอมรับว่าทำใจยากนัก หากคิดว่าผู้สังหารไอ้ลายคือเด็กชายที่นอนข้างเขาทุกคืน แล้วยิ่งมองใบหน้าไร้เดียงสาแบบนี้ด้วยแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่จ้อยจะไม่รู้สึกอะไรเลยกับการกระทำของตน กระนั้นเขาเองจะไปสอนอะไรศิษย์ได้เล่า ก็ในเมื่อเขายังไม่อาจปลงความแค้นใจอดีตได้เลย

“กลับโรงเรียนกันเถอะครู วันนี้ไข่ไก่บางฟองอาจฟักเป็นตัว ผมจะตั้งชื่อลูกเจี๊ยบเกิดใหม่ตัวแรกว่านางจ๋อม”

ต้นกล้ายิ้มอย่างขื่นใจ “ลูกเจี๊ยบตัวแรกที่ฟักอาจเป็นตัวผู้ก็ได้นะ”

“ตัวผู้ก็ชื่อจ๋อม มันจะเป็นพี่น้องกับผม จ้อย จ๊ะจ๋า จ๋อม” ว่าแล้วก็คว้าน้องน้อยที่กำลังเลียรสหวานหอมของไอศกรีมตามนิ้วมือของตัวเองไปกอด

ครูหนุ่มผ่อนลมหายใจหนักแล้วออกรถตรงกลับโรงเรียน แต่เสียงโทรศัพท์ที่สอดเก็บในกระเป๋าเชิ้ตดัง จึงจอดรถเทียบริมทางเท้าแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมามองหมายเลขเรียกเข้าที่ไม่ใช่ของเคย์แมน

“สวัสดีครับ” เขารับสายกรอกเสียงลงไปพลางยกมือป้องหูกันเสียงไซเรนของรถพยาบาลที่แล่นผ่านไปด้วยความเร็ว “ขออภัยที่นี่เสียงดังมาก คุณช่วยพูดช้าๆ ชัดๆ อีกครั้งได้ไหม”

แล้วสีหน้าของครูหนุ่มก็ซีดเผือด หันขวับกลับไปมองรถพยาบาลที่วิ่งผ่านสี่แยกไฟแดง มืออ่อนแรงจนเกือบทิ้งโทรศัพท์ตกพื้น แต่เพราะเสียงของปลายทางยังดังอยู่ เขาจึงยกมันขึ้นแนบหูอีกครั้ง

“คุณรสสุคนธ์ คุณช่วยอยู่ข้างๆ ครูเพ็ญก่อน ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้!”