สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

My Rose - บทที่ 13 บทที่ 13 โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

My Rose

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า

รายละเอียด

สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

สารบัญ

My Rose-บทที่ 1 บทที่ 1,My Rose-บทที่ 2 บทที่ 2,My Rose-บทที่ 3 บทที่ 3,My Rose-บทที่ 4 บทที่ 4,My Rose-บทที่ 5 บทที่ 5,My Rose-บทที่ 6 บทที่ 6,My Rose-บทที่ 7 บทที่ 7,My Rose-บทที่ 8 บทที่ 8,My Rose-บทที่ 9 บทที่ 9,My Rose-บทที่ 10 บทที่ 10,My Rose-บทที่ 11 บทที่ 11,My Rose-บทที่ 12 บททึ่ 12,My Rose-บทที่ 13 บทที่ 13,My Rose-บทที่ 14 บทที่ 14,My Rose-บทที่ 15 บทที่ 15,My Rose-บทที่ 16 บทที่ 16,My Rose-บทที่ 17 บทที่ 17,My Rose-บทที่ ๑๘ บทที่ ๑๘,My Rose-บทที่ ๑๙ บทที่ ๑๙,My Rose-บทที่ ๒๐ บทที่ ๒๐,My Rose-บทที่ ๒๑ บทที่ ๒๑,My Rose-บทที่ ๒๒ บทที่ ๒๒

เนื้อหา

บทที่ 13 บทที่ 13

บทที่ ๑๓

เตียงพยาบาลถูกเข็นเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยฉุกเฉินแล้ว ครูเพ็ญก็อยู่ในการดูแลของทีมแพทย์มืออาชีพ จึงไม่น่ามีอะไรให้กระวนกระวายใจ แต่รสสุคนธ์ยังใจสั่นไม่หายตั้งแต่เห็นครูชรานอนหมอบคว่ำหน้าอยู่ในแปลงกุหลาบ

“คุณรสสุคนธ์!”

ชายหนุ่มเจ้าของเสียงวิ่งมาหาด้วยความไวโดยมีเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขนทั้งสอง ที่ตามมาติดๆ ราวลูกเป็ดวิ่งตามแม่เป็ดคือเจ้าจ้อย

“ครูเพ็ญเป็นยังไงบ้างครับ!” แม้จะยังหายใจหอบอยู่ แต่คงเพราะห่วงในตัวครูชราจึงรีบซักถามอาการ

“ยังอยู่ในห้องฉุกเฉินค่ะ”

หล่อนบอกได้เท่าที่รู้ แต่คิ้วเข้มดกหนาที่วางตัวขนานเหนือกรอบดวงตาคมกล้าก็ขยับชิดกันจนเกิดรอยย่นลึกตรงหว่างคิ้ว

“แล้วคุณไปทำอะไรที่โรงเรียน ไม่ใช่คุณไปพูดไม่ดีใส่ครูเพ็ญจนครูเพ็ญเป็นลมหรือไง!” เจ้าจ้อยอาศัยโอกาสเล่นงานหล่อน ซึ่งหล่อนก็ควรจะเริ่มคุ้นชิน แต่การที่เจ้าเด็กคนนี้มักคิดว่าหล่อนคอยจะหาทางทำเรื่องไม่ดีเพื่อให้โรงเรียนปลูกปัญญาถูกรื้อถอนนั้น ไม่ว่าจะสักกี่ครั้งหล่อนก็ทนไม่ได้ที่จะแย้งกลับทุกที

“เธอคงดูละครหลังข่าวมากไป หรือบ้านอยู่ใกล้กองถ่ายใช่ไหม ถึงได้คิดอะไรเพ้อเจ้อเกินเด็กประถม ถามจริงเถอะ พ่อแม่ของเธอปวดหัวกับเธอบ้างหรือเปล่า”

จ้อยเม้มปากแน่น มองหล่อนด้วยดวงตาอาฆาตมาดร้าย แต่มีหรือที่หล่อนจะหยุด เพราะในตอนที่ปากเล็กๆ ของจ้อยเริ่มอ้า รสสุคนธ์ก็หาคำพูดมาหยุดปากนั้นทันที

“อ้อ ฉันเห็นเธอมาค้างที่โรงเรียนเกือบทุกคืน หรือว่าพ่อแม่ของเธอยังทนเธอไม่ได้ ก็เลยผลักไสให้มาอยู่กับครูอย่างนั้นล่ะสิ แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรน้า...” หล่อนทำท่านึก ก่อนชี้นิ้วใส่หน้าจ้อย “อ๋อ...เจ้าเด็กพ่อแม่ไม่รัก”

“คุณรสสุคนธ์!”

ครูหนุ่มปรามหล่อนเสียงเข้ม รสสุคนธ์จึงฉุนจัด ตอบโต้เขากลับด้วยคำพูดที่ออกจากความรู้สึกล้วนๆ

“ฉันเป็นฝ่ายถูกโจมตีก่อนแท้ๆ คุณเองก็เป็นถึงครูบาอาจารย์ทำไม่มีความยุติธรรมกันบ้าง หรือเห็นทางนั้นเป็นเด็ก เลยปล่อยให้พูดให้จาอย่างไรก็ได้ คุณทำแบบนี้ จะยิ่งทำให้เด็ก...”

แต่พอบานประตูของห้องฉุกเฉินเปิดกว้าง นำทีมด้วยแพทย์ผู้ให้การรักษา ต้นกล้าก็อุ้มจ๊ะจ๋าตรงเข้าไปหานายแพทย์โดยไม่ฟังหล่อนพูดจบ จ้อยเองก็รีบตามเข้าไปยืนชิดครูของตน

“ครูเพ็ญเป็นยังไงบ้างครับ”

“ตอนนี้ท่านปลอดภัยแล้วครับ” คำพูดอาจทำให้ใจคนฟังชื้นขึ้น แต่ใบหน้าของนายแพทย์คนนั้นมีความกังวลบางอย่าง “แต่ผมมีเรื่องคุยกับครูกล้า เกี่ยวกับครูเพ็ญ”

น้ำเสียงของนายแพทย์บอกระดับความสำคัญของเรื่องที่ต้องการคุย ต้นกล้าจึงหันมาทางหญิงสาวที่ยังหลงเหลือความบึ้งตึงบนใบหน้า

“คุณรสสุคนธ์ ผมอยากรบกวนคุณอีกครั้ง คุณช่วยพาจ้อยกับจ๊ะจ๋ากลับโรงเรียนแล้วอยู่กับพวกเขาจนกว่าผมจะกลับได้หรือเปล่า”

แววเว้าวอนในดวงตาสีน้ำผึ้งมีอานุภาพบรรเทาความแข็งขืนของหล่อนได้อย่างประหลาด ทั้งที่มีเหตุผลร้อยแปดที่สามารถเลือกมาใช้ปฏิเสธคำขอ แต่หัวใจของหล่อนกลับอ่อนยวบได้เพราะคำขอซื่อๆ จากผู้ชายคนหนึ่ง

“ได้ค่ะ” รสสุคนธ์ลดราความโกรธเคืองต่อตัวเด็กชาย ยินยอมทำตามคำร้องขอ แต่คนที่ต่อต้านกลับเป็นเจ้าจ้อยเช่นเดิม

“ไม่เอา ผมจะอยู่ที่นี่” จ้อยจับชายเสื้อของครูหนุ่มเขย่า “ให้เขาพาจ๊ะจ๋ากลับไป ผมจะอยู่กับครู กลับพร้อมครู”

“จ้อย” น้ำเสียงของคนเป็นครูเข้มขึ้น “ทำตามคำสั่งครูบ้างจะเป็นไร กลับบ้านไปช่วยคุณรสสุคนธ์ดูจ๊ะจ๋า”

“ไม่ ผมไม่อยากไปกับเขา!”

“ไหนเคยบอกกับครูว่ารักน้อง จะไม่ปล่อยให้ถูกทิ้งขว้างไม่ใช่หรือ ทำไมวันนี้เราถึงไม่ทำตามคำพูด”

จ้อยเม้มปากเล็กๆ เงยตามองครูหนุ่มหวังได้ยินคำอนุญาต แต่ก็พบกับความผิดหวัง จึงหมุนตัวหันหลังเดินคอตกไปนั่งยกขาขึ้นชันบนเก้าอี้

“ขอโทษจริงๆ ที่ต้องขอให้คุณช่วย แล้วก็ขอบคุณมากเรื่องครูเพ็ญ ถ้าไม่มีคุณ...”

“เอาไว้ขอบคุณฉันทีหลังก็ได้ค่ะ คุณหมอท่านรออยู่” รสสุคนธ์ไม่รอให้ครูหนุ่มจบคำพูด รีบยื่นแขนไปรับจ๊ะจ๋าที่คงเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตาหล่อนบ้างแล้ว

“แล้วถ้าพรุ่งนี้คุณไม่ว่าง ฉันจะผลัดมาดูครูเพ็ญให้” บอกแล้วหมุนตัวเดินออกจากตรงนั้น พร้อมกับส่งเสียงเรียกเด็กชายที่ซุกหน้ากับเข่าของตน “เจ้าเด็กมีปัญหา ถ้าไม่รีบเดินตามมาละก็ ฉันพาจ๊ะจ๋าไปเลี้ยงที่กรุงเทพ”

คำพูดท้าทายสัมฤทธิ์ผลก็ในตอนที่หล่อนได้ยินเสียงรองเท้ากระแทกพื้นอย่างขัดใจ รสสุคนธ์จึงลอบยิ้มแล้วกระชับร่างน้อยผิวนุ่มอุ้มให้แน่น เดินไปยังรถของตนเพื่อขับออกจากโรงพยาบาลพาเด็กๆ กลับตามการไหว้วานของครูใหญ่แห่งโรงเรียนปลูกปัญญา

แต่โรงเรียนยามวิกาลช่างเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับรสสุคนธ์ หล่อนเคยเข้ามาเหยียบย่ำแค่เฉพาะเวลากลางวัน ได้ยินแต่เสียงเอะอะ โหวกเหวกของเหล่าทโมน จึงอดประหลาดใจกับความวังเวงไร้เสียงรบกวนไม่ได้ ถ้าไม่มีโทรทัศน์ที่หล่อนเปิดรายการข่าวหัวค่ำขับไล่ความเงียบ สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับศาลาปฏิบัติธรรมในวัด

ส่วนภายในห้องที่จ๊ะจ๋าใช้หลับกินนมอย่างเป็นสุขนั้นคือห้องพักครูที่มีโต๊ะ ตู้ และฟูกนอนสามผืนเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นสำคัญ นอกนั้นก็เป็นกองสารานุกรมมากมาย มีทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษวางเป็นตั้งเรียงตามกำแพงทั้งสี่ด้าน แต่ยังเว้นที่แคบๆ ให้กีตาร์โปร่งตัวหนึ่งวางพิงกำแพง

รสสุคนธ์ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจหลังจากนั่งเฝ้าจ๊ะจ๋านอนกินนมที่จ้อยชงให้จนหลับปุ๋ย ส่วนตัวจ้อยนั้น หล่อนไม่เห็นมาได้พักใหญ่แล้ว แต่ก็เป็นการดีที่เจ้าเด็กคู่ปรับจะหาที่หาทางให้ตัวเองสิงสถิต ในขณะหล่อนจะได้ใช้โอกาสสอดส่องดูโครงสร้างของอาคารเรียนหลังนี้ได้อย่างละเอียดสำหรับเตรียมเข้ามาทุบทำลาย

การออกแบบภายในไม่ได้ซับซ้อนหวือหวาเหมือนอย่างภายนอก แต่ที่เตะตาคนที่พอจะคลุกคลีกับทีมวิศวกรก่อสร้างมาบ้าง คือรอยร้าวของเสาที่จะเกิดจากผลกระทบของการปรับพื้นที่ของโครงการทางฝั่งตะวันตก แล้วยิ่งถ้าทัพรถเครนของคุณากรพร็อพเพอตี้เริ่มเคลื่อนใกล้เข้ามาอีก แรงสั่นสะเทือนจากเครื่องจักรเพื่อทุบตึกรอบโรงเรียนในรัศมีใกล้ๆ ไม่แคล้วขยายรอยร้าวพวกนั้นแผ่วงกว้างจนอาจทำให้ตึกนี้สั่นคลอนจนพังราบลงมา

ในตอนนั้นเอง เสียงรถเครื่องของครูหนุ่มก็ดังมาจากด้านนอก รสสุคนธ์จึงหันไปมองจ๊ะจ๋า เห็นว่าเด็กน้อยยังหลับดีบนฟูกที่ปูกับพื้น ก็รีบออกจากห้องที่คงใช้ประโยชน์เป็นทั้งห้องพักครูและห้องนอนของครูในคราวเดียวกัน

รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของเขาไม่ได้เข้ามาจอดหน้ากรงเลี้ยงไก่เหมือนทุกครั้ง แต่เป็นข้างแปลงกุหลาบที่เจ้าของแปลงยังไม่เปิดดวงไฟส่องให้ความสว่าง รสสุคนธ์จึงเดินลึกเข้าไปจนสุดแปลง เห็นครูหนุ่มยืนหันหลังอยู่ใต้ซุ้มกุหลาบเลื้อยสีแดงต้นใหญ่ที่แผ่ขยายกิ่งก้านหนา มีช่อดอกระย้าลงมาคล้ายพวงผลไม้ส่งกลิ่นหอมรวยริน

“คุณ...”

ตั้งใจจะส่งเสียงเรียก ทว่าปลายเสียงถูกกลืนไปก่อนในตอนที่เห็นร่างสูงสั่นสะท้าน บ่ากว้างลู่ลง มือข้างหนึ่งถูกยกขึ้นปิดบังใบหน้า แล้วจากนั้นหัวใจของรสสุคนธ์ก็สั่นสะเทือนเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ดังจากตัวผู้ชายอกสามศอกเช่นครูต้นกล้า

หล่อนรู้ตัวว่าไม่ควรยืนอยู่ตรงนั้น แต่เงาแห่งความสิ้นหวังที่ฉาบทาไปทั่วแผ่นหลังของเขาตรึงขาหล่อนให้หยุดอยู่กับที่ แล้วอยู่ๆ เสียงร้องไห้จ้าของจ๊ะจ๋าก็ดังลั่น ครูหนุ่มจึงหันหน้ากลับมา ไม่ทันให้หล่อนหาที่หาทางซ่อนตัว นอกจากยืนทำหน้าเรียบเฉยแสร้งว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไร

“คือ... ฉันเห็นจ๊ะจ๋าหลับไปแล้ว ก็เลยจะมาบอกคุณว่าฉันจะกลับ”

ต้นกล้าหลบเลี่ยงการสบตา หันไปทางตัวตึกเพราะเสียงกรีดร้องของจ๊ะจ๋าดังขึ้นจนฟังดูน่ากลัว เขารีบก้าวขายาวเดินผ่านหล่อนออกจากแปลงกุหลาบกลับเข้าตัวโรงเรียน เข้าไปอุ้มเด็กหญิงที่นั่งร้องไห้โยเยหน้าตัวตึก

ลำแขนแกร่งของครูหนุ่มที่โอบรัดร่างน้อยให้แนบอก ใช้มือกดศีรษะมนให้เอนอิงบนบ่าของตัวเอง แล้วเดินเข้าไปในตัวอาคารเอ่ยปลอบเด็กหญิงตัวน้อยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนปรายตามองหล่อนด้วยแววตาที่หล่อนอ่านความหมายไม่ออก

เขาคงเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน รสสุคนธ์อยากให้เหตุผลตัวเองแบบนั้น แม้จะไม่ชอบใจในแววตาที่มองมา แต่หล่อนจะมาพบเขาใหม่วันพรุ่งนี้ เพื่อเริ่มต้นบทบาทที่แตกต่างไปจากเดิมในฐานะครูและนักเรียน แต่สุดท้ายแล้ว หล่อนต้องทำให้เขายอมรับชะตากรรม ไม่มีทางเลือกอื่นให้เขาอีกนอกจากประวิงเวลาให้นานที่สุดเท่านั้น

รสสุคนธ์ก้าวขาถอยหลังจากมาในตอนเสียงร้องของจ๊ะจ๋าสงบลง หล่อนเดินผ่านแปลงกุหลาบ ไม่วายส่งสายตามองพวกมัน แล้วทอดถอนหายในเสียงยาว ก่อนก้าวขาเดินต่อไปพลางคิดคำนึงว่ามีเรื่องอะไรร้ายแรงเกี่ยวกับครูเพ็ญหรือ ถึงทำให้เขาเสียน้ำตา

แต่ความคิดในหัวของรสสุคนธ์สะดุดในตอนเดินไปใกล้รถของตนที่จอดนอกรั้วโรงเรียน เห็นจ้อยยืนมองหล่อนเขม็ง ใบหน้าถมึงทึง ในมือน้อยมีแท่งเหล็กแหลมถืออยู่ ความกังวลเกิดขึ้นในจิตใจโดยพลัน

“จ้อย...”

เด็กชายส่งยิ้มมีเลศนัย แล้วกดปลายเหล็กลงบนผิวรถ จากนั้นกรีดเส้นเป็นทางยาวจากท้ายไปจนถึงกระโปรงหน้า เกิดเสียงเสียดสีบาดลึกหัวใจหญิงสาวเจ้าของรถค่ายยุโรปที่บิดาให้เป็นของขวัญในวันจบการศึกษาระดับปริญญาโท

เส้นเดียวคงไม่สาใจความแค้น จ้อยยังละเลงปลายเหล็กไปทั่วฝากระโปรง ทั้งส่งเสียงหัวเราะ ทั้งส่งสายตาอย่างผู้ชนะมาให้หล่อน คงหวังจะได้เห็นน้ำตาหรือเสียงกรีดร้องเพราะความโกรธ

“ไปสิ ไปฟ้องครูกล้าสิว่าผมทำ!”

หล่อนควรจะทำแบบนั้น แต่ความโกรธเหือดหายไปหมด เพราะคิดพะวงไปถึงครูหนุ่มที่อยู่ในสภาพจิตใจอ่อนแอ รสสุคนธ์จึงสูดลมหายใจสุดปอด ยืดอกพูดเสียงแข็ง

“ฉันไม่บอกเขาหรอก ถ้าเขาจะรู้ ก็ต้องรู้จากปากเธอเอง แต่เธอจะบอกหรือไม่บอกก็เรื่องของเธอ ฉันไม่ได้เป็นคนทำผิด ไม่มีอะไรที่ฉันต้องกลัว แต่เธอนั่นแหละที่ต้องกลัว”

แล้วก้าวขาเดินเข้าไปหา จดจ้องดวงตาเด็กชายแน่วนิ่ง “ฉันขอสอนอะไรอย่างหนึ่งนะ ถ้าอยากได้ความรักจากคนอื่น ก็ต้องทำตัวให้น่ารัก ไม่ใช่มัวแต่คิดหาวิธีทำลายความรักที่คนอื่นมีให้!”

ดวงตาของเด็กชายแข็งกร้าว น้ำร้อนๆ เอ่อชื้นที่ขอบตาเพราะคำพูดแทงจิตใจ มือที่กำแท่งเหล็กนั้นเกร็ง ปากเรียวเล็กขบกันจนกรามสั่น แล้วฉับพลัน ไม่ทันได้คาดคิดว่าจ้อยจะทำ ปลายเหล็กนั้นตวัดขึ้นฟาดลงบนแขนหล่อน เกิดเป็นรอยบาด เลือดซึมออกมาตามปากแผล

“คุณรสสุคนธ์”

เจ้าเด็กน้อยรีบหย่อนแท่งเหล็กทิ้งแล้วเตะมันเข้าไปใต้ท้องรถ วิ่งไปหาครูหนุ่มก่อนที่เขาจะเดินมาถึงตัว ส่วนรสสุคนธ์เม้มปากแน่นเพราะความเจ็บแสบ ใช้มือกดห้ามเลือดไว้ แล้วหมุนตัวกลับไปมองใบหน้าเด็กตัวการที่เกาะแขนครูหนุ่มแน่นแล้วลอบส่งยิ้มร้ายมาให้

“ผมตามมาบอกขอบคุณที่คุณมาส่งเด็กๆ ให้ผม” พอขายาวก้าวเข้ามาใกล้ แต่หล่อนรีบเดินถอยห่าง ซ่อนแขนข้างที่มีบาดแผลไว้ด้านหลัง

“ฉันไม่รับคำขอบคุณ”

แม้ความเจ็บจะเริ่มลุกลามทั่วบาดแผล แต่รสสุคนธ์ก็ข่มเสียงพูดให้เรียบสนิท รีบเดินไปฝั่งคนขับ เปิดประตูรถก้าวเข้าไปนั่ง ควานหากระดาษเช็ดหน้าจากช่องเก็บของเพื่อใช้มันกดซับเลือดให้เหือดแห้ง

ฉับพลันทันใด ใบหน้าคมคร้ามก็ลอดเข้าใกล้ จนปลายจมูกโด่งเป็นสันของชายหนุ่มลูกผสมเกือบชนแก้มนวล รสสุคนธ์ก็ผงะตกใจ กระถดตัวถอยห่าง

“คำขอบคุณของผมมันราคาถูกมากหรือไง คุณถึงไม่อยากรับ!”

เจ้าดวงตาสีน้ำผึ้งป่าคลายความโศกเศร้าแล้วหรือถึงมองหล่อนด้วยดวงตาแค้นเคืองขนาดนั้น “ก็คงจะอย่างนั้นค่ะ แล้วคุณก็มีเรื่องต้องจ่ายฉันด้วยราคาที่แพงกว่ามาก อย่าลืมว่าคุณต้องสอนฉันปลูกกุหลาบ แล้วเราจะเริ่มต้นการเรียนการสอนพรุ่งนี้เป็นต้นไป”

เขาแค่นหัวเราะ “ผมไม่ลืมหรอก แต่คุณสิ อย่าลืมข้อตกลงที่บอกว่าหากกุหลาบดอกแรกของคุณบาน คุณต้องยกเลิกการไล่โรงเรียนปลูกปัญญา หวังว่าคุณจะทำตามสัญญา”

รสสุคนธ์เม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่าลืมตัว แต่หล่อนต้องรีบทำหน้าเรียบนิ่ง ทั้งปวดใจอยู่ลึกๆ กับคำพูดของครูหนุ่ม ทั้งเจ็บแสบเพราะบาดแผลที่เกิดจากศิษย์รักศิษย์ร้ายของเขา

“ฉันไม่ลืม แล้วก็ไปบอกทีเค มิลเลอร์นายของคุณไว้เลยว่า สักวันฉันต้องได้ที่ดินของเขามาครอง”

“ทีเค มิลเลอร์จะได้ยินทุกอย่างที่คุณพูดเมื่อวันนั้นมาถึง แต่ตอนนี้คุณต้องบอกผมว่าคุณอยากให้ดอกกุหลาบพันธุ์ไหนบานเป็นดอกแรกในชีวิตของคุณ”

คล้ายมีดวงไฟลุกวาวในดวงตาสีสวย รสสุคนธ์ลอบกลืนน้ำลายแล้วปรับแต่งเสียงไม่ให้สั่น “พันธุ์ที่ถูกปักอยู่ในแก้วค็อกเทลของโรงแรม”

คิ้วเข้มของครูหนุ่มย่นเข้าหากัน หล่อนจึงหยิบเอาดอกกุหลาบแห้งที่ยังเก็บไว้ในกระเป๋าในเช้าวันที่แพรพรรณรายฝากข้อความไว้ก่อนกลับไปยื่นส่งให้เขาดู

“มันแห้งไปแล้ว แต่คิดว่าผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณคงรู้จักมันดี”

เขามองดอกไม้แห้งในมือหล่อนเพียงชั่วแวบ แล้วยกยิ้มร้ายที่มุมปาก “ผมรู้จักมันดี แต่คุณสิไม่เคยรู้จักมันเลยสักนิด”

คำพูดของเขากวนตะกอนอารมณ์ให้ขุ่นได้ดีชะมัด “ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หวังว่ากุหลาบต้นแรกที่คุณสอนให้ฉันปลูกมันจะผลิดอกบานสวยอย่างที่คุณพูดจริง”

เรียวปากหยักกระตุกยิ้มร้าย แล้วถอนใบหน้าออกจากรถ “คอยดูก็แล้วกัน คืนนี้คุณก็กลับไปเตรียมใจรับความรู้จากผมได้เลย”

“แล้วคุณจะไม่บอกชื่อของมันให้ฉันรู้หน่อยหรือไง!”

“ไม่!” เขาตอบโดยไม่ต้องคิดนาน หมุนตัวก้าวขาเดินจากไปก่อนเปล่งวาจาทิ้งความเจ็บๆ คันๆ ในอกให้รสสุคนธ์

“เพราะถ้าคุณทำไม่สำเร็จ ก็ไม่มีค่าพอที่ผมจะบอกชื่อของมันให้คุณรู้!”