สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

My Rose - บทที่ 14 บทที่ 14 โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

My Rose

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า

รายละเอียด

สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

สารบัญ

My Rose-บทที่ 1 บทที่ 1,My Rose-บทที่ 2 บทที่ 2,My Rose-บทที่ 3 บทที่ 3,My Rose-บทที่ 4 บทที่ 4,My Rose-บทที่ 5 บทที่ 5,My Rose-บทที่ 6 บทที่ 6,My Rose-บทที่ 7 บทที่ 7,My Rose-บทที่ 8 บทที่ 8,My Rose-บทที่ 9 บทที่ 9,My Rose-บทที่ 10 บทที่ 10,My Rose-บทที่ 11 บทที่ 11,My Rose-บทที่ 12 บททึ่ 12,My Rose-บทที่ 13 บทที่ 13,My Rose-บทที่ 14 บทที่ 14,My Rose-บทที่ 15 บทที่ 15,My Rose-บทที่ 16 บทที่ 16,My Rose-บทที่ 17 บทที่ 17,My Rose-บทที่ ๑๘ บทที่ ๑๘,My Rose-บทที่ ๑๙ บทที่ ๑๙,My Rose-บทที่ ๒๐ บทที่ ๒๐,My Rose-บทที่ ๒๑ บทที่ ๒๑,My Rose-บทที่ ๒๒ บทที่ ๒๒

เนื้อหา

บทที่ 14 บทที่ 14

บทที่ ๑๔



ในฝัน เขายืนสงบอยู่ตรงนั้น ดวงตาที่มองมาเคลือบเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอาดูร หล่อนพยายามเอื้อมมือไปหา ทว่าเพียงชั่วแวบก็มีประกายไฟลุกโชนในดวงตาราวกับโกรธเกรี้ยวใครบางคน และใครบางคนนั้นก็คือหล่อนที่ฉายภาพเป็นเงาสะท้อนในดวงตาของเขา

‘ฉันขอโทษ...’

หล่อนพูดประโยคนี้ซ้ำๆ แต่ราวกับน้ำเสียงที่เปล่งออกไปสลายไปกับสายลมที่ไม่อาจพัดไปถึงเขา

แม้ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเขาในความฝัน และก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่ตอนไหนกันที่เขาเข้ามารุกรานหล่อนยามหลับใหล ซึ่งถ้าหากมันเป็นการเอาคืนจากครูหนุ่มที่ถอดจิตมารบกวนการนอนหลับเพื่อแก้แค้นที่หล่อนไปตอแยเขากลางวันละก็ เขาทำสำเร็จ เพราะหล่อนยังรู้สึกสะลึมสะลือทั้งที่เมื่อคืนก็เข้านอนเร็วกว่าทุกวัน

หญิงสาวอยากเติมพลังต่อ จึงปิดเปลือกตาแล้วคว้าชายผ้าห่มขึ้นคลุมร่าง แต่ในจังหวะที่ขยับแขน ความเจ็บจากบาดแผลก็เข้าเล่นงานโดยพลัน ถึงแผลจะไม่ลึกขนาดต้องเย็บ แต่ความยาวของมันก็ทำให้ปวดตึง พานให้นึกถึงตอนถูกนางพยาบาลฉีดวัคซีนบาดทะยักก่อนกลับโรงแรม

เจ้าเด็กจ้อยทำให้หล่อนเจ็บตัวสองต่อทีเดียว คิดแล้วก็ขุ่นใจ พอหลับตาก็เห็นแต่ภาพเรื่องราวของคืนวาน เกิดอะไรขึ้นกับครูเพ็ญถึงทำให้เขาหลั่งน้ำตา เกิดอะไรขึ้นกับจ้อยถึงทำให้กลายเป็นเด็กร้ายกาจได้ขนาดนั้น แล้วเกิดอะไรขึ้นกับหล่อนที่ต้องเอาเรื่องราวคนอื่นมาใส่หัว

รสสุคนธ์สะบัดความคิดขับไล่ใบหน้าของครูหนุ่มและจ้อยออก จากนั้นค่อยๆ พลิกตัวตะแคงหันไปทางหน้าต่าง เห็นม่านน้ำฝนจากฟ้าตกเป็นสายสู่ผิวทะเล งดงามน่ามองจนทำให้เกือบลืมไปว่าวันนี้เป็นวันสำคัญ จึงลงจากเตียง แล้วทำกิจวัตรประจำวันเตรียมตัวไปรับการสอนสั่งจากบทเรียน

หล่อนเลือกเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนออกจากตู้เสื้อผ้า ตั้งใจอาศัยความยาวของแขนเสื้อปกปิดบาดแผล สวมทับด้วยบลูยีนส์ขนาดพอดีตัว จากนั้นรวบผมยาวสีน้ำตาลธรรมชาติเป็นหางม้าสูงเผยผิวหน้ากระจ่างใส และเพิ่มความทะมัดทะแมงสำหรับกิจกรรมวันนี้

รสสุคนธ์ออกจากโรงแรมแล้วขับรถที่จ้อยฝากรอยขูดทั่วคันจนถึงหน้าโรงเรียน หล่อนจอดในตำแหน่งเดิมกับที่จอดเมื่อคืน แต่แท่งเหล็กปลายแหลมเจ้ากรรมไม่อยู่ตรงนั้นอีกต่อไป จึงช่วยไม่ได้ที่จะกังวลถึงความปลอดภัยของตัวเองระหว่างอยู่ในโรงเรียนปลูกปัญญา

ฝนที่ยังโปรยสายลงมาทำให้หล่อนคว้าร่มจากในรถมากาง แล้วเดินย่ำเท้าบนดินแฉะเข้าสู่บรรยากาศอึมทึม ราวกับมีแปรงพู่กันของศิลปินไล้ลากเส้นสีเทาสะบัดพลิ้วสร้างม่านพิรุณฉาบทับลงทั่วทั้งอาคารเรียน

“ผมนึกว่าคุณจะไม่มาเสียแล้ว”

ปลายพู่กันด้ามนั้นคงพลาดไปตวัดถูกครูหนุ่มด้วยกระมัง เขาถึงออกมาต้อนรับหล่อนด้วยใบหน้าที่ยังไม่สร่างซาความเศร้า

“ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือคะว่า ฉันเป็นคนพูดจริงทำจริง แค่ฝนฟ้าคะนองไม่ทำให้ฉันเปลี่ยนใจหรอกค่ะ” หล่อนคลี่ยิ้มหวาน กล่าวคำประชดประชัน

“ก็ดี” เขาว่าแล้วหมุนตัวเดินขึ้นบันได “ผมมีสอนตอนเช้า จะเสร็จก็ตกเที่ยง แต่ในระหว่างนี้ ผมอยากให้คุณศึกษาด้วยการอ่านหนังสือรอ”

เพราะเขาไม่กล่าวอะไร หล่อนจึงนิ่งรออยู่ที่ปลายตีนบันไดทางขึ้น จนเจ้าของร่างสูงเอี้ยวตัวหันมาส่งตาเขียว “ยืนงงอะไรล่ะ ตามผมมาสิ”

รสสุคนธ์ค่อนขอดเขาในใจ หุบร่มก่อนเดินตามเข้าไป แต่ยังกังวลใจถึงเรื่องเมื่อคืนจึงส่ายตามองหาตัวเด็กชาย “จ้อยไม่อยู่หรือคะ”

“ผมให้จ้อยไปเฝ้าครูเพ็ญ”

“แล้วจ๊ะจ๋าล่ะคะ”

“ผมขอให้พี่แพร้วมารับไปช่วยเลี้ยง ตอนเย็นจะไปรับจ้อยพาไปส่งที่บ้านพี่แพร้ว แล้วผมจะไปเฝ้าครูเพ็ญ”

“หรือไม่ก็คุณอยู่กับเด็กๆ แล้วฉันไปเฝ้าครูเพ็ญที่โรงพยาบาลแทน”

“ผมไม่อยากรบกวน แล้วผมก็อยากไปด้วยตัวเอง ครูของผม ผมจะเฝ้าเอง”

รสสุคนธ์ฟังแล้วก็รู้สึกฉุน หล่อนเคยบอกแล้วนี่ว่าถ้าเขาไม่ว่าง หล่อนอาสาไปเฝ้าครูเพ็ญให้ได้ หรือเขาต้องการแสดงความหมางเมินน้ำใจจากคนที่กำลังจะมาไล่ที่กัน

“คุณรอผมที่นี่”

เขาบอกพลางผลักประตูห้อง แล้วเดินเข้าไปภายในห้องโดยเปิดประตูค้างไว้ รสสุคนธ์จึงชะโงกหน้ามอง เห็นร่างสูงเดินดุ่มๆ ไปนั่งชันเข่าหนึ่งข้างกับพื้น ยกตั้งหนังสือตั้งใหญ่ข้างกีตาร์โปร่งออกจากแถว แล้วใช้สายตาพินิจพิจารณาหนังสือทีละเล่มราวกับกำลังคัดเลือกเพชรน้ำงาม

“ตอนคุณสร้างที่นี่ คุณควรสร้างห้องสมุดด้วย” หล่อนตะโกนพูดจากหน้าห้อง

เขาปรายตามอง แล้วหันกลับไปหยิบหนังสือเล่มต่อไปขึ้นดู “ผมอยากให้เด็กเรียนรู้จากของจริง ไม่ใช่แค่อ่านในหนังสือ และหากจะทำผืนดินให้มีประโยชน์มากกว่าเก็บหนังสือที่พวกเขาอาจไม่อยากอ่านล่ะก็ เอาไปสร้างแปลงผักเป็นอาหารที่พวกเขาผลิตขึ้นมาจากมือตัวเองไม่ดีกว่าหรือ ส่วนห้องเล็กๆ ห้องนี้ก็เหมาะดีถ้าจะใช้เป็นห้องพักครู”

“ที่ถูกต้องคือห้องที่เป็นทั้งห้องพักและห้องนอนของครู” รสสุคนธ์หยอดคำพูดล้อเลียน แล้วก็ได้ทีเกริ่นเรื่องรอยร้าวของตัวตึก “แต่ระวังเถอะ สักวันห้องนี้อาจเป็นห้องฝังศพครูไปด้วย ดูเสาต้นนั้นสิ มันปริขนาดนั้น เหมือนมันอยากถล่มลงมาเองโดยไม่รอให้ฉันส่งเครื่องจักรเข้ามาทุบเลยด้วยซ้ำ”

คล้ายได้ยินเสียงทอดถอนลมหายใจจากคนในห้อง แต่เขายังไล่สายตาอ่านบางอย่างในหนังสือเล่มหนา เหมือนอยากทำสมาธิมากกว่าฟังหล่อนพูด รสสุคนธ์จึงขยับเท้าเดินเข้าไป แต่ก็ก้าวล้ำได้เพียงแค่สองก้าว เสียงเข้มของครูหนุ่มก็สั่งให้หยุด

“ผมบอกให้คุณรอด้านนอก” ดวงตาคมกริบหันมามองอย่างตำหนิ

“ก็มันเมื่อย ฉันเลยจะเข้ามานั่งรอในนี้ ดูท่าทางคุณคงจะเลือกหนังสือนาน” บอกแล้วก็เดินเข้าไปหย่อนตัวนั่งข้างฟูกที่ถูกพับเก็บดันชิดกำแพงฝั่งตรงข้าม หยิบยกเรื่องรอยร้าวมาพูดต่อ ทำเป็นเมินสายตาคม

“นี่ฉันไม่ได้พูดเล่นนะคะ เรื่องรอยร้าวของเสาน่ะ มันอันตรายมาก ฉันไม่ได้กุขึ้นมาเพื่อจะหลอกให้คุณย้ายออกจากที่ไวๆ หรอกนะ”

คนฟังส่ายหน้าระอา ลุกเดินตรงมายื่นหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งให้ “ผมอยากให้คุณอ่านเล่มนี้ก่อน ผมต้องไปสอนแล้ว ตอนบ่ายโมงตรงไปเจอกันหน้าแปลงกุหลาบ แต่ถ้าฝนยังตกอยู่ ก็เลื่อนไปก่อน”

“แค่หนึ่งวันก็สำคัญ กำหนดการของฉันเลื่อนออกไม่ได้ ดังนั้น ถึงฝนยังไม่หยุด ฉันก็จะเรียน”

ต้นกล้ามองหล่อนด้วยแววตาที่คล้ายกับมีคำพูดอยากบอก ทว่าครูหนุ่มก็ก้าวขาเดินไปที่ประตู แต่แล้วร่างสูงก็หยุดขาค้าง เอี้ยวใบหน้าหันมาถาม

“ผมมีเวลานานแค่ไหนกว่ามันจะถล่มลงมา”

รสสุคนธ์ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการรู้จริงหรือไม่ “ฉันบอกเวลาชัดเจนไม่ได้ ตามแผนการของฉัน คุณมีเวลาแค่หกเดือน”

“หกเดือน...”

ชายหนุ่มรำพึงเสียงเบา ไม่ถามอะไรต่อแล้วก้าวขาออกจากห้องไป รสสุคนธ์จึงได้โอกาสผ่อนลมหายใจราวกับอยากคลายความอัดแน่นในอกที่สะสมตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหน้าเขาในเช้าวันนี้

หล่อนเอนหลังพิงฟูก กอดหนังสือภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการปลูกและดูแลกุหลาบเบื้องต้นอันแสนหนักอึ้ง น้ำหนักของมันกดทับบนหน้าอกจนหล่อนสัมผัสได้ถึงหัวใจของตัวเองที่เต้นเป็นจังหวะเสมอกันเหมือนเสียงเม็ดฝนตกกระทบใบไม้ด้านนอก ฟังแล้วผ่อนคลายคล้ายเพลงกล่อม ปลอบประโลมคนที่นอนไม่เต็มอิ่มให้เผลอหลับใหลโดยไม่รู้ตัว

“ผมไม่อนุญาตให้คุณใช้ห้องพักครูเป็นห้องอ่านหนังสือ!”

เหมือนได้ยินเสียงสายฟ้าฟาด ดวงตาคมสวยลุกโพลง แล้วพรวดพราดลุกขึ้นนั่ง มือไม้กอดหนังสือไม่อยู่ปล่อยมันร่วงผล็อยตกพื้น

“...หรือห้องนอน” เขาเสริมท้ายพลางจ้องมองมาด้วยแววตาเข้มงวด

รสสุคนธ์ทำปากยื่นปากงอ เก็บหนังสือเล่มหนาที่ทำให้อาการเจ็บแขนกำเริบ จากนั้นก็ลุกขึ้นก้าวขาเดินเชิดหน้าไปใกล้คนที่ยืนเอามือทั้งสองวางเท้ากับวงกบประตู

“ทำไมงกจังคะคุณครู ฉันแค่ขอพักแป๊บเดียว”

“ไม่ได้งก แต่คุณเป็นผู้หญิงยิงเรือ จะมานอนในห้อง...” แล้วก็หยุดพูดไปชั่วขณะ เหมือนกำลังสับสนอะไรบางอย่าง ก่อนเอ่ยวาจาต่อว่า “...พักครู แบบนี้มันไม่งาม”

รสสุคนธ์หน้าชาขึ้นมา “ไม่ยักรู้ว่านอกจากสอนวิชาการแล้ว คุณครูต้นกล้ายังรับสอนวิชาคุณสมบัติกุลสตรีด้วย”

“เรื่องแบบนี้ไม่ต้องเป็นครูก็สอนได้ แล้วก็ไม่ใช่แค่แป๊บเดียว แต่มันเที่ยงแล้ว นี่คุณหลับไม่รู้เรื่องเลยหรือไง”

ดวงตากลมเบิกกว้าง ยกข้อมือดูเวลาจากนาฬิกาสายหนัง แล้วก็ทำหน้าสลดเพราะมันเป็นอย่างที่ครูหนุ่มบอกจริง หล่อนหลับไปได้อย่างไรตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ รสสุคนธ์จึงทำได้แค่ส่งยิ้มเจื่อนยอมรับความผิด

เขาพ่นลมหายใจแรง “นี่คุณหิวหรือยัง ถ้าคุณอยากกินอะไรก่อนเริ่มเรียนก็เชิญที่โรงครัว”

“แหม ถ้าคุณครูจะกรุณานักเรียน” หล่อนไม่ปฏิเสธ เรียกขานชายหนุ่มตามบทบาทฐานะใหม่กลบเกลื่อนความเขินอายแถมยังเรียกร้องเพิ่มอีก “ฉันอยากทานไข่ของโรงเรียนปลูกปัญญา”

แต่พอเขาหรี่ตามอง รสสุคนธ์ก็รีบออกตัว “ฉันทอดเองน่า ไม่รบกวนคุณครูหรอก”

ว่าแล้วก็เดินกอดหนังสือผ่านไหล่ของร่างสูง ตรงไปยังกรงเลี้ยงไก่ กวาดตามองหาไข่ฟองสวยที่แม่ไก่ฟักไว้ แต่สายตาไปเจอรังไข่ที่แยกห่างจากรังอื่น แล้วด้านในก็มีไข่ฟองโตอยู่ด้วย รสสุคนธ์จังวางหนังสือลงกับพื้นแล้วจะเข้าไปหยิบไข่ฟองนั้น

“ฟองนั้นไม่ได้ครับ”

แต่เมื่อมีเสียงห้ามดังจากด้านหลัง รสสุคนธ์ก็หันไปมอง เห็นต้นกล้าก้มหยิบหนังสือที่หล่อนวางบนพื้นขึ้น “ฟองนั้นเป็นไข่ของไก่บ้านตัวโปรดของจ้อยเขา จ้อยจะรอให้มันฟักเป็นตัว”

รสสุคนธ์เป่าปาก เกือบสร้างปัญหาใหม่กับเจ้าเด็กขี้โมโหเสียแล้วสิ หล่อนจึงคว้าเอาไข่ใบที่เล็กกว่าใกล้มือแทน “คุณครูจะทานด้วยหรือเปล่าล่ะคะ จะได้หยิบไปหลายฟองหน่อย”

“ถ้านักเรียนจะกรุณา”

คล้ายเห็นรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่คนเป็นครูจะหันหลังเดินออกจากกรงเลี้ยงไก่ หัวใจของหล่อนก็พองโต อยากได้รอยยิ้มนั้นเพิ่มอีกเพื่อกลบลบภาพโศกเศร้าของเขาที่เข้าไปหลอกหลอนในฝันทั้งคืน

“ด้วยความยินดี” รสสุคนธ์ยิ้มระรื่น เก็บไข่ฟองสวยมาได้สี่ฟองสำหรับทำเมนูไข่เจียวแสนอร่อย แล้วเดินไปหาครูหนุ่มที่ใจดีหอบหิ้วหนังสือให้แล้วยังกางร่มกันฝนให้อีก

เมื่อถึงโรงครัว รสสุคนธ์ก็สังเกตเห็นว่าวันนี้ โรงครัวดูเงียบเหงา จำนวนเด็กนักเรียนบางตาจากแต่ก่อนมาก พอเอ่ยถามครูหนุ่ม เขาก็ให้เหตุผลว่านักเรียนบางคนเรียนแค่ช่วงเช้าแล้วต้องกลับไปทำงานกับพ่อแม่ และก็มีหลายคนที่พ่อแม่มาขอลาออก ซึ่งในตอนที่เขาบอกเหตุผลที่สองนั้น เขาก็เงียบขรึมลงไปอีก

รสสุคนธ์ไม่อยากก้าวก่ายความรู้สึก หันไปคว้าผ้ากันเปื้อนที่แขวนบนผนังมาสวมก่อนพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นเพื่อให้ปรุงอาหารได้ถนัด แล้วหยิบกระทะกับตะหลิวพร้อมด้วยชามใบใหญ่ออกจากตู้โดยลืมไปว่าบาดแผลที่แขนยังสดใหม่

พอมีอาการเจ็บแปล๊บ ก็รีบหันหลังให้ครูหนุ่มแล้วทำหน้าเหยเกจนความเจ็บทุเลาลง ถึงได้เริ่มตอกไข่ลงใส่ชาม ปรุงรสด้วยน้ำปลาพอเหมาะ รอน้ำมันในกระทะส่งสัญญาณความพร้อม แล้วนำไข่ที่ตีจนขึ้นฟูเทลงไปทอดในน้ำมัน ส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำย่อยของแม่ครัว พอได้ที่ก็ตักใส่จาน นำมาวางบนโต๊ะตรงหน้าครูหนุ่มด้วยความภาคภูมิใจ

“ลองชิมดูว่าสิคะว่ารสชาติต่างกันกับวันที่ฉันทำไปบ้านคุณแพร้วหรือเปล่า”

ดวงตาคมเข้มสีน้ำผึ้งป่ามองแม่ครัวสาวชั่วประเดี๋ยว แล้วหยิบช้อนที่หล่อนยื่นให้ ตัดชิ้นไข่พอดีคำ เป่าคลายร้อนก่อนส่งเข้าปาก

“เป็นยังไงบ้างคะ” รสสุคนธ์ถามอย่างตื่นเต้นแต่เขาไม่ตอบ หรือเขาคงยังไม่แน่ใจรสชาติ เลยตักอีกคำที่ใหญ่กว่าเดิมกินอีกครั้ง

“ตกลงว่าอร่อยหรือเปล่าล่ะ” รสสุคนธ์ชักฉุน

“ผมอยากได้ข้าว”

คำตอบแสนอ้อมค้อมทำให้หล่อนหมั่นไส้ แต่ก็อดปลื้มใจไม่ได้ “เห็นฉันเป็นพนักงานร้านอาหารหรือไงคะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะเก็บค่าไข่เจียว”

“ถ้าคุณเก็บค่าไข่เจียว ผมก็ขอแลกเป็นค่าไหว้ครูก็แล้วกัน”

รสสุคนธ์ย่นจมูก หมุนตัวไปหยิบจานข้าวสองใบกับช้อนส้อม จากนั้นก็คดข้าวร้อนๆ ใส่จานทั้งสอง ก่อนเดินกลับมาที่โต๊ะเพื่อเสิร์ฟให้ครูหนุ่ม

“แขนคุณไปโดนอะไรมา”

พอถูกทัก รสสุคนธ์ก็รีบชักแขนกลับ รูดปลายแขนเสื้อลงปิดบาดแผลที่เผยพ้นแขนเสื้อ “คือ...เมื่อคืนฉันเข้าไปช่วยงานช่างในไซต์ค่ะ ไม่ระวังโดนเหล็กนั่งร้านเกี่ยวแขนเข้า”

หล่อนพูดเฉไฉเหตุผลที่แท้จริง แล้วรีบถอดผ้ากันเปื้อนเดินไปหย่อนตัวนั่งข้างเขา หยิบช้อนส้อมขึ้นมาตักไข่เจียวชิ้นใหญ่วางโปะบนข้าวของคนเป็นครู

“นี่ค่ะ ค่าไหว้ครู”

“คนงานขี้เมาคนนั้นยังทำงานอยู่หรือเปล่า” เขาไม่สนใจไข่เจียวชิ้นนั้น แต่จดจ้องมองหาความจริงจากดวงตาของหล่อน

“ก็ยังทำอยู่ค่ะ ตั้งแต่เตือนเขาครั้งนั้น เขาก็ไปหาที่กินเหล้านอกไซต์งาน”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงไซต์งานก่อสร้างตอนกลางคืนก็อันตรายสำหรับผู้หญิง แล้วทำไมคนตำแหน่งอย่างคุณต้องไปช่วยช่างทำงานขนาดนั้น”

“อะไรที่ทำให้โครงการของฉันสำเร็จไวๆ ฉันก็ทำทุกทางนั่นแหละค่ะ”

“ทุกทางเลยหรือ”

“ค่ะ ทุกทาง”

เจ้าของดวงตาคมมองหล่อนแน่วนิ่ง พ่นลมหายใจแรง แล้ววางช้อนคืนใส่จาน “ขอบคุณสำหรับค่าไหว้ครู แต่ผมยังไม่หิวเท่าไร ถ้าคุณกินเสร็จแล้ว ก็ไปหาผมที่แปลงกุหลาบ”

จากนั้นเดินออกจากโต๊ะอาหารไป ไม่รับรู้ว่าหล่อนเสียความรู้สึกมากแค่ไหน ถึงเขาจะชิมไข่เจียวไปสองคำ แต่ส่วนที่เหลือในจานรวมถึงชิ้นที่หล่อนตักให้เป็นค่าไหว้ครูกลับไม่ถูกเหลียวแล ความอยากอาหารของรสสุคนธ์จึงพร่องลงไปถนัด แถมไข่เจียวที่มั่นใจว่าทำตามวิธีเดิมทุกอย่างกลับมีรสชาติจืดชืด หล่อนกินไปได้ไม่ถึงครึ่งจานก็ล้มเลิกกลางคัน หากแต่ยังเก็บส่วนที่เหลือใส่ตู้กับข้าวไว้เผื่อว่าครูหนุ่มจะเปลี่ยนใจภายหลัง

แต่เวลาล่วงเลยจนถึงบ่ายโมงตรง เขาก็ไม่ปรากฏกายที่ทางเข้าประตูโรงครัวอีกเลย รสสุคนธ์จึงทอดถอนลมหายใจ เปิดหน้าหนังสือที่อ่านผ่านตาไปได้เพียงไม่กี่บท ลุกจากโต๊ะกินข้าวแล้วไปหยิบร่มขึ้นกาง เดินไปหาครูหนุ่มที่ยืนกอดอกรอหน้าทางเข้าแปลงกุหลาบ

“มาแล้วค่ะคุณครู ช้าไปแค่หนึ่งนาทีคงไม่ว่ากัน” หล่อนไม่วายหยอดคำพูดกวนใส่

“อ่านถึงบทไหนแล้ว” เขาคว้าหนังสือเอาไปถือให้ แล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในแปลงดอกไม้

“ถึงบทการเพาะพันธุ์กุหลาบค่ะ”

คนเป็นนักเรียนก็รีบก้าวขาตาม แต่ร่มของหล่อนดันไปเกี่ยวกับกิ่งกุหลาบเข้า ด้วยความที่กลัวเจ้าของพวกมันจะโกรธ จึงหุบร่มเก็บ พิงไว้กับเสาใกล้ๆ แล้วค่อยเดินเข้าไปในแปลงที่ถึงแม้จะมีสแลนคลุมด้านบน เม็ดฝนก็ยังลอดผ่านช่องว่างมาได้

“อ่านถึงการติดตาหรือยัง” เขาถามเสียงเรียบขณะไปหยุดหน้าตู้ล็อกเกอร์ เปิดฝาตู้หยิบหาอะไรสักอย่าง

“ถึงแล้วค่ะ” รสสุคนธ์ตอบเสียงระรื่น แต่ใบหน้าไร้อารมณ์ร่วมของชายหนุ่มทำให้รอยยิ้มของหล่อนหดแคบลง

“ใส่เสื้อกันฝนนี้ซะ แผลของคุณจะได้ไม่ถูกฝน”

อย่างน้อยเขาก็ยังห่วงใย รสสุคนธ์พยักหน้ายิ้ม รับเสื้อกันฝนมาสวมอย่างว่าง่าย แล้วยืนรอรับคำสั่งต่อไป แต่หน้าอกหน้าใจก็สั่นไหวในตอนที่มือหนาหยิบปลายฮู้ดที่หย่อนหลังต้นคอขึ้นปิดคลุมศีรษะให้

“ขอบคุณค่ะ” หล่อนเอ่ยคำขอบคุณเสียงแผ่ว “แล้วคุณครูไม่ใส่หรือคะ”

“ฝนทำอะไรคนกะโหลกหนาอย่างผมไม่ได้หรอก แล้วก็อย่าเรียกผมว่าครู ผมไม่ชินเวลาถูกคุณเรียกแบบนั้น ฟังแล้วจั๊กจี้หู”

“ใครให้วิชาฉัน ฉันก็เรียกคุณครูหมดนั่นแหละค่ะ แต่ถ้าคุณไม่อยากให้เรียกคุณครูก็ตามใจ” รสสุคนธ์เอามือไขว้หลัง เชิดหน้าเดิน “แต่คุณต้องเรียกฉันว่าโรสแลกกับที่ไม่ให้ฉันเรียกคุณว่าคุณครู เพราะฉันชินกับการถูกเรียกด้วยชื่อเล่นมากกว่าชื่อจริง”

เสียงแค่นหัวเราะของเขาฟังแล้วกวนใจพิลึก หล่อนจึงแอบบ่นขมุบขมิบ แต่พอคนเป็นครูเรียกให้เข้าไปในโรงเรือนมุ้งที่คล้ายเป็นเขตต้องห้าม รสสุคนธ์ก็รีบขยับเท้าเดินตามครูหนุ่มด้วยความกระตือรือร้น

“กุหลาบดอกแรกของคุณจะมาจากการติดตา” เขากล่าวพลางยืนเท้าเอวมองศิษย์สาว “ไหนลองบอกผมสิว่าอ่านมาแล้วได้ความว่ายังไง”

รสสุคนธ์ยิ้มเจื่อน “จำไม่ได้ค่ะ ขั้นตอนเยอะไปหมด”

เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายืนเอามือเท้าเอว เขม้นตามอง “นี่คุณตั้งใจเรียนจริงหรือแค่หลอกสัญญาเล่นๆ กับผม”

“ตั้งใจเรียนจริงสิคะ ก็บอกแล้วว่าฉันพูดจริงทำจริง” ย้ำความตั้งใจขนาดนี้ แต่เขาไม่เชื่อหล่อนหรอก ไม่ต้องบอกรสสุคนธ์ก็เดาสีหน้าถูก

“ผมเลือกกุหลาบพันธุ์ที่คุณอยากปลูกเรียงไว้ด้านหลังคุณแล้ว ไปเลือกต้นที่คุณถูกใจ ต้นไหนก็ได้”

ครูหนุ่มพยักพเยิดหน้าไปที่มุมหนึ่งของโรงเรือน รสสุคนธ์ก็เหลียวตัวไปทางฝั่งที่เขาบอก เห็นกุหลาบพันธุ์ที่ต้องการชูดอกสีขาวเจือชมพูเบ่งบาน ดูสดใสมีชีวิตชีวา แต่ในความสวยงามของมันกลับมีปราการปกป้องตัวเองเป็นหนามแหลมคมเต็มอัตราทุกกิ่งก้านที่มี

“ต้นไหนที่คุณแนะนำ” เพราะไม่มีประสบการณ์เลย จึงอยากให้เขาเป็นคนเลือก

“ผมชอบทั้งหมด สาวสวยทั้งนั้น”

เขาเปรียบกุหลาบเป็นผู้หญิง ฟังแล้วก็นึกหมั่นไส้ตงิดๆ รสสุคนธ์สะบัดหน้าใส่แล้วเดินเข้าไปดูด้วยตาตัวเองใกล้ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าทุกนางนั้นสวยจริงอย่างที่เขาบอก ไม่มีต้นไหนเลยที่ด้อยกว่ากัน กิ่งก้านแข็งแรงอวบใหญ่ ใบมีสีเขียวสด ยอดอ่อนสีก็แตกเต็มไปหมด อีกทั้งดอกตูมก็สะพรั่งรอกลีบแย้มตามกาลเวลา

แต่ต้นที่รสสุคนธ์ปักใจแล้วว่าจะเป็นต้นประวัติศาสตร์ของชีวิตที่จะใช้แลกกับโรงเรียนของครูหนุ่มคือต้นที่สูงที่สุด โดดเด่นที่สุด เหมือนกับโครงการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าที่หล่อนจะต้องพามันไปจนถึงเป้าหมายสูงสุด

“ฉันเอาต้นนั้น” บอกแล้วเดินเข้าไปใกล้ โน้มกิ่งที่มีดอกบานดอกใหญ่ลงมาเชยชม

“โอ๊ย” แต่พอแตะนิ้วลงบนกลีบบาง ก็เหมือนถูกของแหลมทิ่มตำที่นิ้วโป้ง จึงอุทานร้องด้วยความเจ็บ รีบชักมือกลับ พบผึ้งตัวจ้อยฝังเหล็กในปักลงบนปลายนิ้ว ซึ่งช่างบังเอิญเหลือเกินที่ดันเป็นข้างเดียวแขนที่มีบาดแผล

พอต้นกล้าได้ยินเสียงร้องกับใบหน้าเหยเกก็สับขาเข้ามาหา รีบจับผึ้งตัวเล็กแต่ฤทธิ์ร้ายที่ยังดิ้นบนนิ้วเรียวทิ้ง ก่อนออกแรงกดปลายเล็บของตนบีบเค้นเอาเหล็กในออก

“เบาๆ สิ ฉันเจ็บนะ” รสสุคนธ์โอดครวญ แต่เขากลับยิ่งกดหนักกว่าเดิม จนในที่สุดแท่งเข็มแหลมเล็กก็โผล่พ้นผิวเนื้อออกมา

“ให้ตายสิคุณรสสุคนธ์ ช่วงนี้คุณมีแต่เรื่องเจ็บตัวหรือไงกัน”

“โรส” หล่อนย้ำให้เขาเปลี่ยนวิธีการเรียกชื่อ

ครูหนุ่มถอนลมหายใจเสียงหนัก “โดนผึ้งต่อยแล้วจะเรียนต่อได้ไหม”

“เจ็บแค่นี้ ไกลหัวใจ” หล่อนชักนิ้วกลับแล้วยิ้มท้าทาย

แต่การพยายามเก็บความปวดระบมซ่อนไว้ไม่มิดชิดพอ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจึงหรี่แคบลง ราวกับกำลังสำรวจความจริงจากใบหน้าของหล่อนแล้วประมวลผลสถานการณ์ ก่อนลงความเห็นว่า

“จริงๆ ผมคิดว่าจะให้คุณทำเอง แต่จากสภาพคุณตอนนี้แล้ว คุณดูผมทำก็แล้วกัน”

ในตอนแรก รสสุคนธ์ออกคำค้านแต่พอเขาเริ่มลงมือก็รู้เหตุผล เพราะการกรีดตากุหลาบออกจากต้นด้วยใบมีดปลายคมนั้น ถึงไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากมายแต่ก็ต้องการความระมัดระวังไม่ให้ตาเสียหาย แล้วยิ่งหนามแหลมพวกนั้นก็พร้อมที่จะทิ่มแทงผู้ปองร้ายได้ทุกเมื่อหากพลาด ดังนั้นนิ้วหัวแม่มือที่เริ่มบวมเป่งของหล่อนจึงกลายเป็นอุปสรรคไปในทันที

ครูหนุ่มนำตากุหลาบที่เพิ่งกรีดออกมาพันเทปใสติดกับตอกุหลาบป่าเตรียมไว้ แล้วเขาบอกเล่าวิธีการติดตา เปรียบเทียบผลดีผลเสียกับวิธีอื่นให้หล่อนฟัง ซึ่งเหตุผลที่เขาเลือกวิธีนี้ให้ก็เพราะจะช่วยให้กุหลาบของหล่อนแข็งแรงเจริญเติบโตดีกว่าวิธีอื่น

รสสุคนธ์ฟังคำอธิบายของเขาจนเพลินใจ การขยับมือสัมผัสกิ่งก้านอย่างละมุนมองแล้วก็แสนเพลินตา ยิ่งเวลานิ้วเรียวที่กำลังใช้เทปพันรอบตาให้ติดกับตอกุหลาบป่าก็พลิ้วไหว คล้ายกับว่าเขากำลังเล่นเครื่องเล่นดนตรีชิ้นโปรด อีกทั้งน้ำเสียงทุ้มก็ดึงคนฟังไว้อยู่หมัด จนหล่อนคิดเลยเถิดไปว่าถ้าเขาเป็นนักร้องจริงก็คงมีแฟนคลับสาววิ่งตามเป็นพรวน แต่สิ่งที่รสสุคนธ์พออกพอใจมากกว่าเสียงนุ่มคือดวงตาประกายสวยเหมือนมีอัญมณีฝังอยู่ภายใน

“แต่ไม่ใช่ว่าคุณใช้วิธีนี้แล้วกุหลาบที่คุณปลูกจะไม่ตาย เพราะมันก็ขึ้นอยู่กับการดูแลเอาใจใส่ของคนปลูก ต่อให้เป็นตาจากต้นแม่พันธุ์ดีก็ตาม ถ้าคุณปล่อยปละละเลยไม่สนใจ ไม่ช้าไม่นาน มันก็จะบอกลาคุณและหลังจากที่คุณติดตาเสร็จ ในช่วงแรก คุณต้องใส่ปุ๋ยที่มี...”

เขากระพริบแพขนตาหนา จ้องมองหล่อนแน่วนิ่งด้วยดวงตาสีน้ำผึ้งป่า รสสุคนธ์เองก็มองเขาไม่วางตา

“คุณรสสุคนธ์” เรียวปากหยักขยับเปล่งชื่อหล่อน ฟังแล้วรู้สึกไพเราะประหลาด

“คุณรสสุคนธ์!”

“ขะ...คะ ว่าไงคะ”

“นี่คุณตั้งใจฟังผมพูดอยู่หรือเปล่า”

“ตั้งใจฟังสิคะ”

“ผมพูดว่ายังไง”

“เอ่อ... คือ...” รสสุคนธ์ยิ้มเหยๆ แล้วทำท่านึก “ฉัน... ฉันต้องใส่ปุ๋ยที่มี... เอ่อ...”

“ไนโตรเจน” เขาต่อให้

“นั่นแหละค่ะ ฉันกำลังจะตอบเลย” หล่อนชี้นิ้วใส่หน้าทำท่าถูกต้องเหมือนเขาเป็นแขกรับเชิญในรายการเกมโชว์

“แต่ผมยังไม่ได้บอกคุณ” เจ้าของดวงตาสีสวยดุใส่ “คุณไม่ตั้งใจเรียน”

“โธ่... ก็ใครใช้ให้ตาคุณสวยน่ามองเล่า ฉันสงสัยจังว่าคุณพ่อหรือคุณแม่ของคุณเป็นคนชาติอะไร”

เจ้าของดวงตาคู่สวยมีแววไหววูบ เขาถอนหายใจแล้วก้มหน้ามองต้นกุหลาบ “ผมไม่รู้”

“เอ๊ะ ไม่รู้?” รสสุคนธ์เอียงคอ

“ผมถูกเอามาทิ้งไว้หน้าโรงเรียนครูเพ็ญตั้งแต่อายุยังไม่ถึงอาทิตย์ หน้าพ่อหน้าแม่เป็นยังไงไม่เคยเห็น”

รสสุคนธ์หน้าถอดสีทันที นึกถึงคำพูดของครูเพ็ญครั้งก่อน “ฉัน... ฉันไม่รู้ว่าคุณ...”

และแล้วหล่อนก็เข้าใจลึกซึ้งว่าที่เคยพลั้งปากพูดใส่จ้อยด้วยอารมณ์ตอนนั้น ไม่เพียงแค่กระแทกจิตใจเจ้าเด็กมีปัญหาคนเดียว แต่ครูใหญ่โรงเรียนปลูกปัญญาก็โดนหางเลขไปด้วยเช่นกัน สมแล้วที่จ้อยจะโกรธจัด

“ขอโทษนะคะ...” ไม่มีคำพูดอื่นใดแล้วในตอนนี้

“ช่างเถอะ ผมไม่เคยสนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว” เขาบอกแล้วยกกระถางกุหลาบลุกขึ้นยืน “ช่วงนี้ มันต้องอยู่กับผมที่นี่ก่อน แต่ในทุกวัน คุณจะต้องมารดน้ำให้มันด้วยตัวคุณเอง”

“แล้วคุณจะไม่บอกชื่อมันให้ฉันรู้จริงหรือ” รสสุคนธ์เสี่ยงถาม “ขนาดปกติ คุณจะติดป้ายชื่อไว้ที่กุหลาบทุกต้น แต่ต้นแม่พันธุ์สาวงามพวกนั้น คุณยังอุตส่าห์ไปดึงป้ายชื่อออก อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังแกล้งฉันน่ะ”

เขาส่งยิ้มยียวนมาให้ “มันจะชื่ออะไร ตอนนี้ยังไม่สำคัญ แต่ถ้าถึงวันที่ดอกของมันเบ่งบานให้คุณเชยชม ผมจะบอกชื่อของมัน”

พูดจบก็หันหลังเดินหนีเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือหล่อนชักจะหมั่นไส้เขาจริงๆ เข้าแล้ว “งั้นฉันจะตั้งชื่อให้มันเอง!”

บอกแล้ววิ่งไปยืนขวางทาง มองหน้าคนเป็นครู จากนั้นก็เปล่งชื่อตัวเองออกมา “โรส!”

ครูหนุ่มเลิกคิ้วมอง “อะไรของคุณ”

“โรส!” หล่อนย้ำอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็ยืดอกประกาศอย่างเป็นทางการด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “กุหลาบของฉันต้นนี้มันชื่อว่าโรส!”