สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
บทที่ ๑๕
บทเรียนใหม่ที่รสสุคนธ์ได้เรียนรู้จากครูหนุ่มมีสองอย่าง อย่างแรกคือการปลูกกุหลาบขั้นพื้นฐานที่เป็นเหมือนขั้นสูงของคนที่ไม่เคยรู้เรื่องการปลูกกุหลาบอย่างหล่อน เป็นต้นว่า กุหลาบต้องการแสงแดดหกชั่วโมงถึงแปดชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ส่วนปุ๋ยก็ต้องให้ตามอายุของกุหลาบ ดินต้องโปร่งไม่ชื้น และมีค่ากรดด่างที่เหมาะสม
ส่วนบทเรียนใหม่อย่างที่สองคือการได้รู้ว่านอกจากครูหนุ่มจะชำนาญการปลูกกุหลาบแล้ว เขาสามารถสอนนักเรียนได้หลายวิชา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ ส่วนความเก่งกาจด้านดนตรีก็ไม่แพ้นักดนตรีมืออาชีพ จนรสสุคนธ์ใคร่อยากรู้ว่าอดีตเด็กกำพร้าผันชะตาชีวิตไปเป็นคนสวนแห่งเอเดนได้อย่างไร
แต่ดูเหมือนครูหนุ่มจะหวงแหนอดีตของตนราวกับเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเก็บซ่อนไว้ในที่ลับสุดยอด กระนั้นหล่อนก็ยังทำตัวเป็นนักโจรกรรม ยิงคำถามใส่ครูหนุ่มแบบไม่สนใจแววตาดุ
“ถ้าคุณไม่หยุดถามเรืองของผม ครั้งหน้าผมจะเลื่อนบทเรียนหัวข้อแมลงที่เป็นศัตรูกุหลาบมาให้คุณเรียนก่อน”
“แหม ฉันก็แค่อยากรู้ประวัติอาจารย์ผู้สอนบ้างจะเป็นไร แค่ถามว่าคุณเรียนที่ไหน จบอะไรมา แล้วทำไมถึงกลับมาเป็นครูที่เมืองไทย ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้ซักประวัติอาชญากรรมของคุณสักหน่อย”
“กว่ากุหลาบต้นนั้นของคุณจะมีดอก ผมคงปวดประสาทก่อนแน่”
“มันชื่อโรส ไม่ใช่กุหลาบต้นนั้น คุณต้องเรียกมันว่าโรสสส” หล่อนทำตากลมแป๋วใส่ ลากเสียงสอเสือยาวจนครูหนุ่มกลอกตาระอา
“คุณไม่ควรตั้งชื่อให้มัน” ครูหนุ่มส่ายหน้าพลางถอนลมหายใจหันหลังก้าวขาเดินออกจากโรงเรือน
“ทำไมล่ะคะ” รสสุคนธ์รีบผลักประตูเปิดแล้วเดินตามไปติดๆ
“ปิดประตูให้สนิท!”
รสสุคนธ์สะดุ้งสุดตัว กลับไปใส่กลอนประตูโรงเรือนมุ้งตามคำสั่งเสียงเข้มแล้วสับขาให้ทันครูหนุ่มที่เดินดุ่มๆ นำหน้า
“ฉันว่าให้คนของฉันมาติดตั้งประตูอัตโนมัติเลยดีไหมคะ” ไม่ได้ตั้งใจเสนอแนะ แต่ตั้งใจแหย่
“เห็นที บทเรียนพรุ่งนี้ต้องเป็นเรื่องศัตรูกุหลาบ”
ถ้าศัตรูของกุหลาบแสนสวยคือการถูกแมลงแทะเล็ม ศัตรูของโรสคนนี้ก็น่าจะเป็นเสียงดุๆ ของนายต้นกล้านี่แหละ ทีกับเด็กนักเรียน ทำเป็นใจดีมีเมตตา ทีกับหล่อนละก็ ถ้าไม้เรียวอยู่ใกล้คงหยิบมาฟาดแล้วกระมัง
“ทำเป็นขู่” หล่อนจึงเปรยคำพูดจงใจให้เขาได้ยิน
แต่คนฟังพ่นลมหายใจทิ้ง ยกฝ่าทั้งสองมือขึ้นเหมือนอยากบอกว่ายอมแพ้ “วันนี้พอแค่นี้ก่อน ผมต้องไปรับจ้อยที่โรงพยาบาล”
“ฉันขอไปเยี่ยมครูเพ็ญด้วยได้ไหมคะ ระหว่างที่คุณพาจ้อยไปฝากกับคุณแพร้ว ครูเพ็ญจะได้มีคนดูแลก่อนที่คุณจะกลับมาไงคะ”
เขาเห็นด้วยกับความคิด “ก็ได้ แต่ถ้าผมไปถึงแล้ว คุณต้องรีบกลับโรงแรม ห้ามไปไซต์งานตอนกลางคืนเด็ดขาด”
รสสุคนธ์ตบมือตัวเองดังแผะที่หน้าอก “ตายแล้ว นี่คุณห่วงฉันด้วยหรือ”
“ผมห่วงสัญญาของเราจะเป็นโมฆะต่างหาก ถ้าคุณเป็นอะไรไปก่อนที่จะได้เห็นกุหลาบต้นนั้นบาน”
“ชิ ผมเป็นห่วงสัญญาของเราจะเป็นโมฆะ โธ่ ตาบ้าเอ๊ย ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ แหวะ!” รสสุคนธ์ล้อเลียนคำพูดแล้วแอบแลบลิ้นใส่แผ่นหลังกว้างของครูหนุ่มที่เดินพ้นแปลงกุหลาบตรงสตาร์ตเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ แล้วขับมาจอดหน้าหล่อน
“ถ้าคุณจะไป ก็ปิดประตูโรงเรียนให้ผมด้วย”
“โรงเรียนคุณมันไม่หายไปวันสองวันนี้หรอกน่า” หล่อนเชิดหน้าพูดด้วยความหมั่นไส้
“อ๋อ แน่นอนครับ มันไม่หายไปวันสองวันหรอก เพราะผมจะทำให้มันคงอยู่ตรงนั้นตลอดไป” ทิ้งคำพูดไว้แล้วบึ่งมอเตอร์ไซค์ให้แล่นฉิวออกจากรั้วโรงเรียน ทิ้งความเจ็บใจให้รสสุคนธ์จนอยากกรีดร้องดังๆ
แต่รสสุคนธ์ก็จัดการลงกลอนประตูรั้วให้เจ้าของสถานที่ แล้วแวะซื้อผลไม้เป็นของเยี่ยมก่อนไปโรงพยาบาล จากนั้นเฝ้ารออยู่ตรงทางเข้าออกจนเห็นครูหนุ่มกับจ้อยที่เกาะชายเสื้อของเขาแจคล้ายลูกแหง่ติดพ่อก็ไม่ปาน ถึงค่อยเข้าไปแจ้งขอเยี่ยมครูเพ็ญ
“อ้าว สวัสดีค่ะคุณโรส”
คนป่วยเห็นหน้าหล่อนก็ส่งยิ้มทักทาย แล้วจะลุกเปลี่ยนจากนอนเป็นนั่ง รสสุคนธ์จึงรีบเข้าไปช่วยประคองหลังให้นั่งสบาย แต่พอหญิงสาวเหลือบเห็นกับข้าวยังเหลือเต็มถ้วยบนโต๊ะอาหารก็เอ่ยปากถาม
“ครูเพ็ญไม่ทานอีกหน่อยหรือคะ”
“ทานไม่ลงแล้วค่ะ มันแน่นท้องไปหมด”
“แย่จัง โรสซื้อส้มกับลูกพลับมาฝาก อย่างน้อยครูเพ็ญทานส้มของโรสสักกลีบสองกลีบได้ไหมคะ ส้มไร้เมล็ดรสหวานเจี๊ยบ โรสรับประกันค่ะ”
ครูชราคลี่ยิ้มบาง พยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบให้หญิงสาวแช่มชื่นใจ หยิบส้มจากตะกร้าผลไม้ไปล้างเปลือกให้สะอาด จากนั้นก็ค่อยแกะเปลือกระวังไม้ให้เนื้อช้ำ แล้วจัดใส่จานเรียงกลีบส้มที่ลอกเส้นใยออกอย่างบรรจงก่อนนำมาเสิร์ฟให้ครูชราที่นั่งอมยิ้มมองหล่อนด้วยแววตาประกาย
“คุณโรสเป็นแม่ศรีเรือนมากทีเดียว คุณแม่ของคุณโรสท่านคงภูมิในใจตัวคุณโรสมาก”
รสสุคนธ์ได้ยินแล้วยิ้มขื่น “ไม่รู้สิคะ แม่ไม่เคยชมโรสเลยสักครั้ง อีกอย่างโรสก็ไม่เคยทำแบบนี้ให้แม่เห็นหรอกค่ะ”
“ทำไมหรือคะ”
“โรสเคยถูกแม่ดุตอนเด็กๆ ตอนนั้นโรสหนีซ้อมเปียโนไปช่วยงานคุณป้าแม่ครัวที่บ้านจัดจานอาหาร พอแม่รู้เข้าก็เรียกคุณป้าแม่ครัวไปตำหนิ แล้วก็ทำโทษโรสโดยการสั่งให้ซ้อมเปียโนหลายชั่วโมงติดต่อกัน ตั้งแต่นั้นมาแม่ก็ไม่ได้เห็นโรสทำอะไรแบบนี้อีก เพราะโรสกลัวคุณป้าแม่ครัวถูกดุ”
ครูเพ็ญยิ้มเอ็นดู “แหม ส้มนี่หวานจริงๆ ด้วยค่ะคุณโรส สงสัยสองกลีบจะไม่พอ คุณโรสเลือกผลไม้เก่งมาก ลูกพลับรอบที่แล้วก็หวานกรอบ ต้นกล้ากินไปชมไปเชียวค่ะ”
หญิงสาวได้ยินก็เป็นปลื้ม รีบป้อนชิ้นต่อไปให้ครูเพ็ญพลางเล่าที่มาของทักษะการเลือกผลไม้ “ตอนไปเรียนที่อังกฤษ โรสแอบทำงานพิเศษที่ร้านอาหารไทยโดยไม่บอกให้คนที่บ้านรู้ค่ะ เชฟเขาสอนโรสหลายอย่าง แต่โรสก็จำๆ ลืมๆ ค่ะ ที่จำได้ขึ้นใจก็เห็นจะเป็นการเลือกผลไม้กับการทอดไข่เจียวนี่แหละ”
หล่อนเล่าแล้วก็ขำตัวเอง แต่เสียงหัวเราะใสดั่งแก้วของหล่อนก็หยุดทันทีในตอนครูหนุ่มเปิดประตูเข้ามา แล้วกล่าวคำตำหนิใส่
“คุณไม่ควรให้ครูเพ็ญทานอะไรก่อนถามคุณหมอ”
“เอ่อ... โรสขอโทษค่ะ โรสไม่ทราบว่ามีของห้ามทาน...”
“ไม่มีอะไรห้ามหรอกค่ะ” ครูเพ็ญส่งยิ้มกลับ แล้วหันไปทางชายหนุ่ม “กินแต่อาหารรสจืดทุกวัน ครูก็เบื่อนะกล้า ส้มนี่รสหวานแถมยังมีประโยชน์ คุณหมอจะห้ามได้ยังไง”
คนถูกตำหนิกลับระบายลมหายใจ ก้าวขาเข้ามาขอจานส้มจากหญิงสาวไปถือไว้ “ขอบคุณที่ช่วยเฝ้าครูเพ็ญ แต่ตอนนี้คุณกลับไปได้แล้ว”
ชอบไล่กันจังนะ... รสสุคนธ์อยากพูดแบบนั้น แต่เกรงใจผู้ป่วยบนเตียง จึงลุกจากเก้าอี้เดินไปหยิบกระเป๋า แล้วประนมมือไหว้ขอลา
“ฉันอยากทานลูกพลับจังค่ะ รบกวนคุณโรสปอกให้ได้หรือเปล่า”
ทว่าครูชรากลับอยากให้หล่อนอยู่ต่อ แม้จะรู้สึกแปลกใจ แต่รสสุคนธ์ก็ตอบรับด้วยความยินดี รีบวางกระเป๋าสะพายลงบนโซฟา แล้วหันไปทำหน้าเยาะเย้ยใส่ชายหนุ่ม ก่อนทำตามคำขอของผู้ป่วย ซึ่งก็ไม่รู้เป็นเพราะผลไม้มีรสชาติถูกปาก หรือเรื่องเล่าสมัยเรียนอังกฤษของหล่อนถูกใจ การทานลูกพลับไปด้วยฟังเรื่องป้ำๆ เป๋อๆ ของหล่อนไปด้วยก็ทำให้ลูกพลับที่ซื้อมาหมดลงไปในเวลารวดเร็ว จนเข็มนาฬิกาเตือนชายหนุ่มให้ขัดจังหวะพูดคุยกันของผู้หญิงต่างวัยสองคน
“นี่ก็ค่ำแล้ว ผมว่าเราให้คุณรสสุคนธ์กลับเถอะครับครู”
“นั่นสินะ ที่เขาว่าเวลาความสุขผ่านไปเร็วที่เป็นแบบนี้เอง” ครูชราหันมองเข็มนาฬิกาบนผนัง แล้วทอดถอนลมหายใจ “คุยกับคุณโรสสนุกจริงๆ ฉันอยากฟังเรื่องที่คุณถูกเชฟดุอีกครั้งจัง ทำเอาฉันหัวเราะน้ำตาไหล”
“ถ้าครูเพ็ญอยากฟัง โรสจะมาเล่าให้ฟังทุกวันค่ะ”
“จริงหรือคะ อย่าหลอกคนแก่นะ” ครูชรายิ้มแช่มชื่น “มีคุณโรสมาเล่าอะไรสนุกๆ ให้ฟัง โรงพยายาลจะได้ไม่น่าเบื่อ”
“เรื่องที่ผมเล่าให้ฟังไม่สนุกหรือครับ” คนที่เหมือนเป็นส่วนเกินประกาศตัวตน
“เห็นต้นกล้าเขาขรึมๆ แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนขี้น้อยใจค่ะ ตอนเด็กๆ เห็นฉันอุ้มเด็กคนอื่นล่ะไม่ได้เลย พ่อคุณจะเข้ามาเกาะแข้งเกาะขาร้องโยเยทันที แล้วนี่เขาก็คงจะอิจฉาคุณโรสอยู่แน่ๆ ” แต่ครูที่เคารพกลับคิดว่าอดีตลูกศิษย์กำลังน้อยใจ หันมาป้องปากพูดกับรสสุคนธ์ แต่จงใจให้เขาได้ยิน
“ผมจะออกไปรอส่งคุณที่รถ รีบตามไป อย่าโอ้เอ้”
พอไม่มีพวก ก็เลยหาข้ออ้างหนีออกจากสถานการณ์อับจน รสสุคนธ์เห็นแล้วก็อมยิ้ม หันไปไหว้ลาครูเพ็ญ แล้วเดินตามร่างสูงที่เดินลิ่วนำหน้าจนมาถึงรถของหล่อน
“รถคุณไปโดนอะไรมา อย่าบอกนะว่าถูกเหล็กนั่งร้านเกี่ยว” คิ้วของครูหนุ่มผูกกันเป็นโบ
“เอ่อ... ฉันน่าจะไปจอดรถขวางทางใครเข้า เขาก็เลยฝากคำเตือนถึงฉันค่ะ” รสสุคนธ์อ้ำๆ อึ้งๆ คิดหาคำตอบที่สมเหตุสมผล
“คุณรสสุคนธ์”
นึกแล้วว่าเขาต้องไม่เชื่อ “แหม แค่รอยขูดนิดเดียว ทำให้ฉันหยุดขับไประรานคุณที่โรงเรียนไม่ได้หรอกค่ะ อย่าห่วงนักเลย คุณจะเห็นฉันเสนอหน้าที่แปลงกุหลาบของคุณทุกวันแน่นอน” หล่อนโบกไม้โบกมือ แล้วก็นึกเรื่องเบี่ยงเบนประเด็นออก “จริงสิ คุณออกมาส่งฉันแบบนี้ก็ดี คุณบอกฉันได้ไหมว่าครูเพ็ญป่วยเป็นอะไร”
คำถามของหล่อนได้ผลดีเกินคาด เพราะนอกจากจะหยุดคำถามเกี่ยวกับรถของหล่อนได้แล้ว ยังทำให้แววตาขุ่นหม่นหมองลงฉับพลัน
“ครูเพ็ญเป็นมะเร็ง ในระยะที่โอกาสรักษาเหลือน้อยเต็มที”
ความรู้สึกเศร้าส่งตรงจากดวงตาคู่นั้นมาถึงรสสุคนธ์โดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดอะไรต่อ หล่อนเองก็ไม่อาจพูดคำปลอบใจใด เพราะมันอาจกลายเป็นการตอกย้ำความทุกข์ให้ระทมขึ้นไปอีก
“ดึกมากแล้ว คุณรีบกลับเถอะครับ แล้วก็อย่าลืมที่ผมบอก ห้าม...” เขาขับไล่หล่อนให้พ้นจากอาณาเขตของความรู้สึกด้วยข้ออ้างของเวลา
“ห้ามเข้าไปไซต์ก่อสร้างตอนกลางคืน” หล่อนต่อประโยคให้ แล้วทำท่าตะเบ๊ะเหมือนรับคำสั่งนายพล “รับทราบค่ะคุณครู”
“บอกว่าไม่ให้เรียกครู”
“บอกว่าให้เรียกโรส” เรื่องยียวนกลับ หล่อนไม่เป็นรองใคร
คล้ายเห็นรอยยิ้มกดลึกที่มุมปากหยัก แต่เขาก็เสหน้าไปทางอื่นเมินความทะเล้นที่หล่อนสร้างขึ้นเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ จากนั้นเปรยคำพูดว่า
“ก็ได้ๆ ”
หัวใจของหล่อนเต้นแรงเหมือนเด็กที่กำลังได้รับของขวัญชิ้นโปรด “ถ้าอย่างนั้น ก็เรียกให้ได้ยินหน่อยสิคะ”
เขาหันหน้ากลับมาสบตา จ้องหล่อนด้วยดวงตาสีน้ำผึ้งป่านิ่ง ขบเรียวปากหยักเหมือนกำลังกลั้นยิ้ม แล้วค่อยๆ เปล่งเสียงออกมา
“โรสสสส...”
เจ้าของชื่อก็กำลังตั้งท่าเตรียมกระโดดตบมือดีใจในชัยชนะ แต่พอเขาลากเสียงยาวแล้วไปจบที่สองพยางค์สุดท้ายว่า
“...สุคนธ์”
“คุณต้นกล้า!” รสสุคนธ์ถลึงตาใส่ทันที
แต่คนที่แกล้งหล่อนได้ก็ทำหน้าระรื่น หมุนตัวโบกมือลา พร้อมกับแจ้งข่าวการเรียนการสอนให้หล่อนเตรียมใจล่วงหน้า
“เจอกันพรุ่งนี้พร้อมบทเรียนเรื่องศัตรูของกุหลาบ แล้วศัตรูตัวแรกที่คุณต้องเจอก็คือหนอน”
ต้นกล้านอนยิ้มค้างบนโซฟาข้างปลายเตียงผู้ป่วย คาดว่าเป็นผลข้างเคียงของการได้ยั่วแม่กุหลาบสาวสำเร็จก็ว่าได้ แต่รับรองได้ว่าพรุ่งนี้แม่นั่นต้องเอาคืนแน่นอน พอนึกถึงหน้าบึ้งๆ กับปากเชิดๆ ยามโกรธของหล่อนทีไรก็สุขใจประหลาด
นาทีนั้น แรงสั่นสะเทือนจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ดึงชายหนุ่มออกจากความคิด เขาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าอ่านสารจากมิลเลอร์โฮลดิ้งที่แจ้งว่าข้อมูลสำคัญของเดดลิสต์รายล่าสุดถูกโอนถ่ายให้อยู่ใต้การพิจารณาของทีเค มิลเลอร์เรียบร้อย นั่นหมายความว่าต่อจากนี้ เขาคือผู้กำหนดสถาณภาพทางการเงินของนายอิทธิฤทธิ์โดยสมบูรณ์
ต้นกล้าสอดโทรศัพท์เข้าที่เดิม ลุกขึ้นเดินไปมองร่างหลับใหลบนเตียง ครูเพ็ญในวันนี้ตัวเล็กลงไปจากที่เขาคุ้นเคยในวัยเยาว์ หรือเป็นเพราะเขาต่างหากที่เติบใหญ่ขึ้น กระนั้นก็ตาม ยังจำภาพวันเก่าตอนที่เขาแหงนมองรอยยิ้มของครูผู้มีพระคุณได้ดี
“อย่าจากผมไปเร็วเลยครับครู ต่อให้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ผมก็ยังอยากเป็นเด็กคนที่ร้องโยเยเกาะแข้งเกาะขาครู” เขากระซิบเสียงเบาแล้วจูบหลังมือของครูชราจากนั้นก้าวขาออกจากห้องพักฟื้น
“คุณโรสกลับไปแล้วหรือคะครูกล้า” พยาบาลสาวหลังเคาน์เตอร์ชะโงกหน้าถาม
“ครับ แต่พรุ่งนี้ผมก็เจอเขาอีก ถ้ามีอะไรฝากผมบอกเขาได้”
นางพยาบาลสาวยิ้มกว้างแล้วส่งกระดาษเขียนชื่อตัวยาตัวหนึ่ง “วันก่อนที่คุณโรสมาพบคุณหมอ คุณโรสให้ดิฉันจดชื่อยาบรรเทารอยแผลเป็นกับยาทาแก้ฟกช้ำค่ะ แต่ดิฉันลืมฝากไป วันนี้ก็เพิ่งมาเข้าเวร”
“รอยข่วนนั่นถึงขนาดเป็นแผลเป็นเลยหรือครับ” ชายหนุ่มย่นคิ้วถาม
“แผลก็ลึกอยู่นะคะ”
“ไม่ใช่ถูกเหล็กนั่งร้านเกี่ยว?”
“ดิฉันไม่แน่ใจค่ะ คุณโรสไม่ยอมบอกว่าถูกอะไรมา”
ยายนั่นต้องปกปิดอะไรเขาสักอย่างแน่ คิดแล้วก็ฉุนจัด รับกระดาษจดชื่อยามาแล้วบึ่งมอเตอร์ไซค์คู่ชีพเพื่อไปหาคำตอบจากตัวหญิงสาว แต่ขอเลือกแวะที่ไซต์ก่อสร้างก่อน ด้วยใจหวังว่าจะไม่เจอหล่อนยังทำงานอยู่ในไซต์ แต่ถ้าเจอละก็จะขอต่อว่าให้หนัก
ต้นกล้าดับเครื่องยนต์แล้วจอดริมกำแพงก่อสร้างกั้นขวางแบ่งเขตอันตราย จากนั้นกวาดตามองหารถของหญิงสาวจนมั่นใจว่าหน้าสำนักงานชั่วคราวไม่มีรถของหล่อนจอดอยู่ แต่คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินใกล้เข้ามาทำให้เขารีบซ่อนตัวใต้เงามืดหลังรั้วสังกะสี
“ดวงกูกำลังมา คืนนี้กูต้องกอบโกยเงินที่เสียไปคืนให้ได้ พวกมึงคอยดู กูจะเล่นยังฟ้าสาง” คนพูดเป็นคนงานขี้เมาจนพูดจาลามปามกับเจ้านายสาวในวันก่อน
“แต่งวดที่แล้ว พี่ยังค้างหนี้นายประชาอยู่นะ รอบนี้พี่จะเอาเงินที่ไหนเล่น”
“ก็กู้เขาเล่นต่อสิวะ นายประชาแกใจกว้างอยู่น่า แกชอบให้มีคนไปเข้าบ่อนเรียกแขกให้แก”
“แต่ได้ข่าวว่าตำรวจส่งสายเข้ามาเพ่นพ่านในตลาดนะพี่ ฉันว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งมีหวังพวกเราโดนยกโขยงไปกินนอนในตาราง”
“เฮ้ย กลัวอะไร นายประชาคงช่วยเราได้อยู่หรอก กูเคยทำงานใช้หนี้นายประชาครั้งหนึ่ง ถ้ากูถูกจับเขาจะช่วยกูออกมา เขาเคยบอกกูอย่างนั้น”
กลุ่มขี้เหล้าเมายาที่กำลังผันตัวเป็นผีพนันเดินห่างออกไป ชายหนุ่มก็ก้าวขาออกมาจากมุมมืดที่ขยับมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก็เพราะสิ่งที่เขาเฝ้ารอกำลังจะสัมฤทธิ์ผลอย่างเงียบเชียบค่อยเป็นค่อยไปในขณะที่อีกฝ่ายยังนิ่งนอนใจ ฉะนั้นไม่มีอะไรให้เขาต้องรีบร้อน คิดจับเสือก็ต้องวางแผนล้อมให้ดี และระหว่างนี้ เขายังมีเวลาเล่มเกมเก้าอี้ดนตรีกับรสสุคนธ์
‘บอกว่าให้เรียกโรส’
จู่ๆ เสียงของแม่นั่นก็ดังในหัวเหมือนหล่อนฝากลมมากระซิบ ต้นกล้าสะบัดความคิดหลอนออกจากหัว แล้วขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากตรงนั้นมุ่งไปยังโรงแรมที่หญิงสาวพัก
แต่พอถึงที่หมายก็ไหว้วานพนักงานรีเซปชันฝากกระดาษจดชื่อยาให้เพราะไม่อยากโทรศัพท์ไปรบกวนเวลาพักผ่อน ส่วนเรื่องที่มาของรอยแผลทั้งบนแขนเรียวกับรถหรูนั้น เขาจะยกยอดไว้ถามเจ้าหล่อนเช้าวันรุ่งขึ้น
หากแต่วันต่อมา รสสุคนธ์กลับไม่ปรากฏกาย ต้นกล้ารอหล่อนตั้งแต่เช้าจรดบ่ายก็ไม่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วอย่างนกแก้วช่างจำนรรจา จนจรดเย็นย่ำตะวันใกล้ลับฟ้า ครูหนุ่มจึงต้องคว้าบัวรดน้ำเดินเข้าไปในโรงเรือนมุ้งเพื่อเยี่ยมเยียนเจ้ากุหลาบต้นนั้นแทนนายสาวของมันที่ไม่มีทีท่าจะโผล่หน้ามาให้เห็น แต่ป้ายชื่อกุหลาบที่เจ้าหล่อนเขียนชื่อตัวเองอย่างบรรจงกลับเด่นเป็นสง่าราวกับว่าต้องการให้มันเป็นตัวแทน
เห็นแล้วก็ให้ฉุนในใจ หล่อนไม่ใช่เด็กที่จะเห็นความรับผิดชอบเป็นเรื่องล้อเล่น หากมีเรื่องจำเป็นต้องขาดเรียนก็ควรจะแจ้งล่วงหน้า ไม่ใช่อยากมาก็มา ไม่อยากมาก็หายหน้าไปแบบนี้
“ครูกล้าขา”
เสียงเรียกหวานจ๋อยไม่ได้เป็นของคนที่กำลังโชว์ใบหน้าหราในหัว แต่เป็นเสียงของหนูมุกที่ยืนส่งยิ้มแป้นแล้นข้างนางแพร้วหน้าโรงเรือน ต้นกล้าจึงวางบัวรดน้ำแล้วเดินออกไปหาโดยไม่ลืมลงกลอนประตูของโรงเรือนมุ้งให้สนิทดี
“ว่าไงหนูมุก หายป่วยแล้วใช่ไหม หยุดเรียนไปเป็นอาทิตย์แบบนี้ครูต้องจัดติวพิเศษให้แล้วล่ะสิ”
เด็กหญิงยิ้มจนแก้มป่อง “หนูมุกอยากมาเรียนตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ แต่แม่บอกว่าให้หายดีก่อน”
“ได้ทีล่ะฟ้องครูเชียวนะ” นางแพร้วทำหน้าเข้มเหมือนจะดุ แต่พอบุตรสาวตัวน้อยทำท่าเอียงคอส่งตาหวานก็ยิ้มส่ายหน้า
“พี่แพร้วต้องดูทั้งจ๊ะจ๋าทั้งหนูมุก ถ้าพี่แพร้วไม่สะดวกใจจริงๆ ผมจะไปรับจ๊ะจ๋ากลับมาดูเองครับ”
“โอ๊ยๆ ไม่ลำบาก” นางแพร้วรีบโบกมือไปมา “ยายหนูมุกก็ชอบเล่นกับน้อง พี่กลัวว่าหวัดยายหนูมุกจะไปติดจ๊ะจ๋าเสียมากกว่า นี่เห็นว่าหายจริงก็วันนี้แหละครูกล้า ที่มั่นใจก็เพราะเมื่อเช้าหนูมุกบ่นอยากกินเค้ก แสดงว่าเริ่มอยากอาหารเข้าแล้ว ก็เลยฝากเผ่าดูจ๊ะจ๋าแล้วก็พาออกมาซื้อเค้ก แต่เค้กในตลาดคุณเธอก็ไม่กิน หัวสูงอยากกินเค้กโรงแรมอันที่คุณโรสเขาเอาไปฝากวันก่อนนั่นแน่ะ”
“แต่คุณโรสไม่อยู่” หนูมุกแทรกน้ำเสียงผิดหวัง
“ไม่อยู่หรือครับ” คิ้วเข้มของครูหนุ่มย่นเข้าหากัน
“เห็นเสมียนในออฟฟิศบอกว่าคุณโรสป่วย ไม่เข้าบริษัททั้งวัน”
ต้นกล้าลอบถอนหายใจเมื่อล่วงรู้ถึงเหตุผลการขาดเรียนของหญิงสาว เขาก้มมองใบหน้าจิ้มลิ้มแล้วลูบหัวเอ็นดู “ถ้าครูเจอเขา ครูจะบอกให้ว่าหนูมุกไปหา”
“แต่หนูมุกอยากไปเยี่ยมคุณโรส เลยชวนแม่มาซื้อกุหลาบของครูไปเยี่ยมค่ะ”
คนเป็นครูฟังแล้วก็คลี่ยิ้ม “หนูมุกเพิ่งหายป่วยวันนี้เอง อย่าเพิ่งไปเลยนะ เดี๋ยวครูจะเป็นคนเอากุหลาบที่หนูมุกอยากได้เป็นของเยี่ยมไปฝากคุณเขาให้”
หนูมุกยิ้มกว้างพยักหน้า เดินปร๋อไปชี้นิ้วเลือกกุหลาบดอกที่ต้องการ แต่ละพันธุ์ที่เลือกก็ระบุชัดเจนว่าต้องมีกลิ่นหอมเท่านั้น ต้นกล้าก็ไม่ขัดใจ ตัดกิ่งกุหลาบตามที่หนูมุกอยากได้มาริดหนามและใบให้ก้านโปร่งตา ไม่เพียงเท่านั้น หนูมุกยังวิ่งไปเลือกกระดาษสีชมพูกับริบบิ้นสีฟ้าจากในห้องเรียนมาอ้อนเขาจัดเป็นช่อดอกไม้สวยๆ ให้ ครูหนุ่มต้องรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะนั่นแหละ เด็กหญิงถึงสบายใจยอมกลับบ้านกับมารดา
น้ำใจกับความห่วงใยในตัวผู้อื่นของเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสานั้นสร้างรอยยิ้มคลายความขุ่นในใจให้คนเป็นครู ถ้าเจ้าหล่อนรู้คงจะกระโดดดีใจที่เข้าถึงหัวใจของหนูมุกได้ แม้หล่อนจะใช้วิธีล่อด้วยขนมหวานรสชาติถูกใจเด็กทุกคนก็ตาม แต่ผลของมันก็กำลังตอบแทนหล่อนด้วยสิ่งที่มีค่ามากกว่า
ความคิดในหัวทำให้ละมือจากงานจัดช่อดอกไม้ของหนูมุก แล้วเดินไปเปิดประตูโรงเรือนมุ้ง ก้าวขาไปหยุดยืนตรงหน้ากุหลาบตัวแทนหญิงสาว ใช้นิ้วเรียวช้อนป้ายชื่อขึ้นมอง
“คุณจริงจังกับสัญญาที่ให้ไว้กับผมแค่ไหนกัน...” เป็นคำถามที่แม้แต่เขาเองยังหวั่นใจในคำตอบ
ต้นกล้าสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดแล้วกลับไปจัดการคำขอของหนูมุก แต่ดอกไม้เยี่ยมที่เด็กหญิงคัดเลือกถูกแซมด้วยกุหลาบกลีบสีแดงสดที่เขาตัดช่อที่สวยที่สุดจากซุ้ม ตกแต่งด้วยกระดาษและริบบิ้นสีหวานพร้อมกระดาษแผ่นจิ๋วเขียนข้อความลงท้ายว่าจากหนูมุก
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการจัดช่อดอกไม้เยี่ยม เขาก็ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากโรงเรียนไปตามถนนมุ่งหน้าสู่โรงแรมที่มีเครนก่อสร้างเป็นฉากหน้า จนเจ้ารถคู่ใจนำมาถึงที่หมาย แล้วเห็นรถหญิงสาวจอดสนิทในที่จอดรถหน้าโรงแรม ก็โล่งใจว่าหล่อนยังไม่ได้ออกไปไหน จึงดับเครื่องยนต์ หยิบช่อกุหลาบแล้วก้าวขาผ่านประตูกระจกบานเลื่อนอัตโนมัติ พลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดเลขหมายหญิงสาวให้ลงมารับของฝากเยี่ยมจากหนูมุก แต่ในตอนที่ก้าวขาเข้าสู่ล็อบบี้โรงแรม ก็ประจันหน้ากับอิทธิฤทธิ์ที่เดินออกมาพอดี
“พี่จะรอโรสที่หน้าล็อบบี้ อย่าให้ช้านัก”
ต้นกล้าจึงเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าด้วยรู้ว่าหญิงสาวเจ้าของเลขหมายคงไม่สะดวกรับสายตอนนี้ ส่วนช่อกุหลาบที่อยู่ในมือคงได้แค่ฝากไว้ที่รีเซปชัน
“สวัสดีครับคุณต้นกล้า” ฝ่ายนั้นยืนในท่าสองมือล้วงกระเป๋า คลี่ยิ้มทักทาย “ผมรู้เรื่องปัญหาระหว่างคุณกับโครงการของผมแล้ว โลกมันกลมจริงๆ เลยนะครับ”
“ครับ” ต้นกล้าตอบไปเพียงแค่นั้น สังเกตเห็นสายตาของอีกฝ่ายมองช่อดอกไม้ในมือ “กุหลาบช่อนี้เป็นของเยี่ยมจากเด็กนักเรียนของผมที่รู้จักกับคุณรสสุคนธ์ครับ เขาได้ยินว่าคุณรสสุคนธ์ป่วย แต่มาเยี่ยมเองไม่ได้ ผมก็เลยอาสามาส่งแทน”
“อ้อ...” อีกฝ่ายพูดเสียงลอยๆ “นี่ผมเพิ่งวางสายจากโรสเมื่อกี้ เขาบอกว่าเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว น่าจะเป็นเพราะแพ้พิษผึ้ง”
พูดจบก็ไหวไหล่ ชักมือข้างหนึ่งออกจากกระเป๋าแล้วยื่นมาทางครูหนุ่ม “ฝากผมให้ก็แล้วกัน คืนนี้ผมกับโรสต้องไปทานดินเนอร์กับลูกค้าที่พัทยา กว่าโรสจะแต่งตัวเสร็จก็นาน เดี๋ยวคุณจะรอเสียเวลาเปล่า”
เพราะมัวแต่คิดเรื่องที่หล่อนแพ้ผึ้ง ในตอนที่อิทธิฤทธิ์ยื่นมาจะคว้าช่อกุหลาบไป เขาก็ชักมือกลับโดยพลัน ไม่ได้ตั้งใจสร้างความขุ่นให้เกิดขึ้นในดวงตาอีกฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้น คุณอิทธิฤทธิ์ช่วยบอกคุณรสสุคนธ์ให้ผมด้วยว่า หนูมุกอยากกินเค้กของโรงแรมอีก” จึงฝากข้อความแก้สถานการณ์ แล้วยื่นช่อกุหลาบส่งให้
อิทธิฤทธิ์เลิกคิ้วมองก่อนรับของฝากจากหนูมุกแล้วค้อมหัวให้เชิงขอตัวแล้วหันหลังเดินออกจากตรงนั้น แต่คล้ายมีความรู้สึกบางอย่างหน่วงใจ ครูหนุ่มจึงเดินตรงไปหาผู้จัดการโรงแรมที่กำลังตรวจสถานที่สำหรับพิธีแต่งงานคืนนี้ แล้วเสนอตัวช่วยตรวจซุ้มดอกไม้หน้างานให้
แต่เมื่อหญิงสาวเผยตัวออกจากลิฟต์ เขาก็รีบซ่อนกายหลังพุ่มดอกไม้ แล้วแอบส่งตามองร่างบอบบางในชุดราตรีเกาะอกตัวยาวชายกรอมพื้นสีแดงเพลิง
“อ้าวคุณโรส หายดีแล้วหรือครับ” ต้องขอบคุณผู้จัดการโรงแรมที่ส่งเสียงทัก หล่อนจึงได้ย่างกรายเข้ามาให้เขาได้ลอบชื่นชมความงามหมดจดเต็มตา
“ก็ดีขึ้นมาหน่อยค่ะ ขอบคุณที่ช่วยซื้อยาแก้ปวดมาให้นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น ก็น่าจะรีบไปหาหมอนะครับ”
“แค่แพ้พิษผึ้งค่ะ โรสเคยเป็นมาก่อน ทานยากับนอนพักผ่อนสักหน่อยก็หายค่ะ” คงเพราะอาการป่วยจึงทำให้น้ำเสียงที่เขาได้ยินไม่สดใสอย่างที่เขาคุ้นเคย
“โรส ชักช้าอยู่ทำไม รีบไปกันได้แล้ว”
แต่พอเจ้าของเสียงเข้มงวดเข้ามาฉุดข้อมือหญิงสาวดึงหล่อนให้เดินตาม ร่างบางก็คล้ายจะปลิวตามแรง ส่วนคนที่แอบอยู่หลังซุ้มดอกไม้ก็เกิดอาการร้อนรุ่มเหมือนมีไฟสุมอก เพ่งตามองมือของอิทธิฤทธิ์ที่บีบเอวหล่อนแน่น แต่มืออีกข้างที่ควรมีช่อกุหลาบของฝากจากหนูมุกกลับว่างเปล่า
“อ้าวครูกล้า” ผู้จัดการโรงแรมเดินเข้ามาถามไถ่ คงไม่สังเกตุความถมึงทึงที่อยู่บนใบหน้าครูหนุ่ม “เป็นไงครับ เจอแมลงในซุ้มกุหลาบบ้างไหม”
“เจอครับ ตัวใหญ่เชียวล่ะ” ชายหนุ่มขบกราม พูดเสียงลอดไรฟัน