สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
My Roseสำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
บทที่ ๑๖
ไม่มีความลึกซึ้งใดในรสชาติอาหารกับไวน์ชั้นดีที่บริกรโรงแรมระดับห้าดาวนำมาเสิร์ฟ เหตุเพราะรสสุคนธ์รู้ว่าอิทธิฤทธิ์สั่งมาบรรณาการแขกชาวอังกฤษคนสำคัญ มิใช่เพื่อให้หล่อนได้ลิ้มรสความเลิศหรูของเมนูราคาแพง แม้จะตัดชิ้นปลาทะเลเข้าปาก ก็ทำแค่ให้พิธีกรรมเลี้ยงรับรองอันน่าเบื่อหน่ายนี้จบๆ ไป และขอเทความสนใจทั้งหมดไปกับการนั่งฟัง พยักหน้า ยิ้ม และก็ทอดสายตามองท้องทะเลสีดำ
“คืนนี้คุณโรสสวยมาก ผมล่ะอิจฉาคุณอิทธิฤทธิ์จริงๆ ”
ถึงจะเป็นคำป้อยอที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนยิ้มหวาน แต่สำหรับรสสุคนธ์แล้ว หล่อนกลับรู้สึกรังเกียจแววตากะลิ้มกะเหลี่ยของผู้พูด
“นี่แหละครับ ผมถึงไม่อยากให้รสสุคนธ์ห่างตัว” อิทธิฤทธิ์สรรหาคำมาเล้าโลมหูของหล่อนไม่พอ ยังส่งมือมาโอบไหล่แสดงความเป็นเจ้าของทั้งๆ ที่ยังไม่ได้สิทธิ์นั้น
“ผมแทบจะอดทนรอวันแต่งงานของเราสองคนไม่ไหว” เขาบีบไหล่หล่อนราวกับต้องการสื่อความหมายของคำพูดให้ชัดเจนมากขึ้น
แต่รสสุคนธ์ทำตัวนิ่งเป็นตุ๊กตา ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ แค่นั่งเงียบแล้วปล่อยให้พวกผู้ชายทั้งสองพูดหรือคิดในสิ่งที่ต้องการก็น่าจะพอแล้วสำหรับหน้าที่ของหล่อนในคืนนี้ แต่เวลาก็ผ่านไปอย่างเชื่องช้า รสสุคนธ์จวนเจียนจะทนไม่ไหว ด้วยเพราะชุดเดรสเกาะอกเผยผิวเนียนกระทบแสงเทียนอร่าม เรียกสายตาแวววับของมิสเตอร์เรมอนด์ให้จดจ้องมองตลอดเวลา ช่างน่าอึดอัดรำคาญจนอยากลุกออกจากที่นั่ง
กระทั่งพิธีกรรมน่าเบื่อหน่ายจบลง รสสุคนธ์ก็รีบขอตัวไปรออิทธิฤทธิ์ที่รถ สักพักใหญ่อิทธิฤทธิ์ถึงตามมาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แต่หล่อนเหนื่อยเกินไปที่จะไต่ถามและรู้ว่าอาจนำไปสู่การมีปากเสียง รสสุคนธ์จึงเอนศีรษะอิงกับพนักเบาะรถยนต์ หลับตาลงราวกับต้องการบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่ต้องการสนทนา
เมื่อเขาพาหล่อนมาส่งถึงโรงแรม รสสุคนธ์ก็รีบผลักประตูออกด้วยความรู้สึกเหมือนนกที่ถูกปลดปล่อยออกจากกรง แต่แล้วเจ้านกตัวนี้ก็ถูกมือหนาเกี่ยวรั้งให้กลับไปติดอยู่ในกรงอีกครั้ง
“โรสทำอะไรอยู่”
เขาคงไม่ได้ถามถึงกิจกรรมประจำวันระหว่างที่หล่อนอยู่ที่นี่จริง จึงไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่างให้ฟัง “ทำในสิ่งที่จะช่วยให้งานของโรสสำเร็จน่ะสิคะ”
อิทธิฤทธิ์แค่นหัวเราะ “งานของโรสอย่างนั้นหรือ มั่นใจนะว่าทำงานของตัวเองอยู่ บอกพี่มาตามตรงเถอะว่าทุกวันนี้ โรสกำลังทำอะไร”
“โรสกำลังทำในสิ่งที่ให้คุณากรพร็อพเพอตี้อยู่รอด” หล่อนกดเสียงต่ำ มองอีกฝ่ายด้วยดวงตาขุ่นเคือง
“พี่ก็หวังให้โรสทำแบบนั้น แต่พี่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่คืบหน้า เลยอยากถามขอความมั่นใจว่าคุณลุงคุณากรไว้ใจถูกคน”
“ถ้าพ่อไม่ไว้ใจลูกแล้วจะไว้ใจใครได้!”
เขาหัวเราะลั่น “โรสคงรู้นะว่าถ้าพรุ่งนี้มิสเตอร์เรมอนด์ไม่พอใจที่ยังเห็นโรงเรียนนั่นตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการ มันจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ยิ่งโรสทำงานช้า ความเสียหายต่อคุณากรฯ ก็ยิ่งมีมากขึ้น โรสอาจคิดว่ามีเวลามากมาย แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่บีบคั้นโรสไม่ใช่พี่ แต่เป็นธุรกิจของพ่อโรสเอง”
“พี่อิทไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เพราะถึงจะย่ำแย่แค่ไหน โรสก็จะพาคุณากรฯ ให้รอดวิกฤตได้โดยไม่พึ่งใบทะเบียนสมรสแน่นอน!”
พอสิ้นคำ รสสุคนธ์ก็ตัวร้อนวูบเมื่อถูกเขาบีบคางให้หันไปหา หล่อนพยายามฝืนใบหน้าหนี แต่แรงบีบของนิ้วแกร่งไม่ยอมให้ทำตามอำเภอใจ
“ถ้าอย่างนั้น...พี่หวังว่าจะได้เห็นภาพโรงเรียนปลูกปัญญาถล่มลงมาในไม่ช้า พรุ่งนี้เป็นด่านแรก ถ้ามิสเตอร์เรมอนด์ได้ความมั่นใจกลับไป โรสก็จะได้โอกาสทำงานนี้ต่อ แต่ถ้าไม่...” ลมหายใจกลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกจากเรียวปากหยัก “โรสต้องวางมือแล้วถนอมนิ้วนางข้างซ้ายไว้รอให้พี่สวมแหวนแต่งงาน”
หน้าอกของหญิงสาวหายใจสะท้อนขึ้นลงรุนแรง อยากระเบิดความโกรธที่อัดแน่นออกไปให้หมดบัดเดี๋ยวนั้น แต่รู้ดีว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่มารดาตกลงยกหล่อนให้เป็นฝั่งเป็นฝากับเขา เพียงเพื่อต้องการอุดรูรั่วธุรกิจครอบครัวที่เหมือนเรือกำลังจะจมกลางทะเล
รสสุคนธ์ผลักเขาให้ออกห่าง รีบก้าวขาลงจากรถ แล้ววิ่งเข้าโรงแรมโดยไม่สนใจเสียงล้อบดถนนที่ดังสนั่นเบื้องหลัง
“คุณโรสครับ”
เสียงเรียกนั้นหยุดร่างบางให้หันกลับไปทางรีเซปชัน เห็นผู้จัดการโรงแรมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับยื่นช่อดอกกุหลาบให้
“จากหนูมุกครับ”
หญิงสาวเลิกคิ้วรับช่อดอกกุหลาบหลากสีสันที่บางพันธุ์หล่อนยังไม่รู้จักชื่อ เว้นแต่เจ้ากุหลาบพวงระย้าทรงกลมสีแดงสดเหมือนชุดเดรสของหล่อนคืนนี้เท่านั้นที่หล่อนรู้ว่ามันชื่ออะไร รสสุคนธ์จึงตัดสินใจขึ้นห้องเพื่อหยิบกุญแจรถแล้วขับออกจากโรงแรมมุ่งหน้าสู่สถานพยายาลในทันที
เมื่อถึงที่หมายก็คว้าช่อกุหลาบติดมือพร้อมกับยกชายกระโปรงขึ้นวิ่งเร็วรี่เข้าไปในตัวตึกที่แยกส่วนออกจากอาคารหลักเพื่อมุ่งหน้าสู่อาคารผู้ป่วยที่ครูชราพักรักษา แต่พอไปถึงหน้าประตูห้อง เท้าของหล่อนหยุดชะงัก ด้วยแว่วเสียงดีดกีตาร์เคล้าคลอเสียงร้องเพลงหวานเล็ดลอดออกมาเบา ๆ จึงแง้มประตูมองครูหนุ่มในคราบนักดนตรีกำลังบรรเลงบทเพลงซึ้ง ดวงหน้าของเขาดูช่างสุขใจ แววตาของเขาก็แสนอบอุ่น
กระทั่งบทเพลงจบลง รสสุคนธ์จึงอนุญาตตัวเองก้าวขาเข้าไปปรากฏกายต่อหน้าเขาในชุดราตรีผิดที่ผิดทาง “ฉันมาไม่ทันเล่าเรื่องตลกให้ครูเพ็ญฟัง”
“จริงๆ แล้ว คุณไม่ต้องมาเลยก็ได้”
คนพูดไม่หันมามอง คงไม่พอใจที่หล่อนหยุดเรียนโดยไม่ส่งใบลา รสสุคนธ์รู้ตัวว่าผิดและสมควรถูกโกรธ จึงรวบช่อดอกกุหลาบในมือขึ้นเสมออก เดินเข้าไปหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟาข้างชายหนุ่มที่นั่งสงบ สองมือประคองเครื่องดนตรีชิ้นโปรด
“อย่างน้อยฉันก็อยากมาเพื่อฝากคำขอบคุณไปให้หนูมุก แล้วก็ขอโทษที่ฉันขาดเรียนโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า”
“เรื่องขาดเรียนนั่นช่างเถอะ มันเป็นเหตุสุดวิสัย” เขายังทอดตามองอะไรสักอย่างในความมืด
“แล้วกุหลาบช่อนี้ หนูมุกเลือกเองทุกดอกหรือคะ”
รสสุคนธ์ยังอยากชวนเขาคุยต่อ พยายามยื่นหน้าทะเล้นของตัวเองให้เข้าไปอยู่ในสายตาของเขา จนได้เห็นดวงตาคู่สวยส่งประกายวาวชัดเจน ครูหนุ่มจึงถอนลมหายใจ วางกีตาร์พิงกับโซฟา ชันศอกหนึ่งข้างกับหัวเข่าแล้วส่ายหน้าเบาๆ แทนคำตอบ จากนั้นถามหล่อนกลับบ้างว่า
“นอกจากผึ้งแล้ว คุณแพ้แมลงอะไรอีก”
“ก็...” รสสุคนธ์อ้ำอึ้งไปชั่วขณะ “ปกติฉันไม่ได้แพ้อะไรมาก ก็คงจะมีแค่ผึ้งเท่านั้นล่ะค่ะ”
ไม่ใช่สิ...
เกิดความคิดตรงข้ามบั่นรอนกับคำตอบที่เพิ่งบอกเขา ถ้าคุณากรพร็อพเพอตี้ไม่ได้ตอกเสาเข็มบนพื้นที่โรงเรียนปลูกปัญญา หล่อนก็จะกลายเป็นคนพ่ายแพ้ตลอดกาล แล้วชีวิตหล่อนก็จะตกอยู่ภายใต้การครอบงำของว่าที่สามีที่หล่อนไม่เคยคิดมอบหัวใจรัก และหากคำพูดสุดท้ายของอิทธิฤทธิ์คือคำขาด พรุ่งนี้ก็จะคือวันพิพากษาชีวิตของหล่อน
“พรุ่งนี้ฉันมีแขกสำคัญ เป็นผู้ร่วมทุนโครงการห้างสรรพสินค้า ฉันจะพาเขาไปรบกวนเวลาของคุณที่โรงเรียน”
หล่อนจำเป็นบอกกล่าวเขาไว้ก่อนในฐานะผู้ดูแลสถานที่ แต่เขากลับทำแค่มองหล่อนด้วยแววตาเรียบสนิทไร้คำตอบรับ คงมีเพียงหล่อนคนเดียวที่ต้องทนเก็บความระทมไว้ แม้อยากจะคุกเข่าขอร้องให้เขาเข้าใจความทุกข์มากแค่ไหน แต่ก็เหมือนบ่นให้กำแพงฟัง แล้วกำแพงที่เข้มแข็งแน่นหนาอย่างเขาไม่สนใจชีวิตหล่อนหรอกว่าจะพังครืนอย่างไร ยิ่งถ้านายฝรั่งนั่นไม่พอใจถอนทุนคืน เขาก็จะได้เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนปลูกปัญญาต่อไป
คืนนั้น รสสุคนธ์นอนไม่เต็มอิ่ม ความล้าของร่างกายและจิตใจทำให้หล่อนฝันอะไรต่อมิอะไรจับเรื่องราวไม่ถูก แต่ในฝันนั้น หล่อนเห็นตัวเองร้องไห้ปานขาดใจ แม้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วหยาดน้ำตาจากฝันร้ายก็ยังเอ่อล้นในชีวิตจริง
อิทธิฤทธิ์กับมิสเตอร์เรมอนด์มาถึงในช่วงสาย รสสุคนธ์พาร่างกายอ่อนระโหยขึ้นรถไปด้วยกันกับสองนักธุรกิจ เพราะไม่อยากให้อิทธิฤทธิ์เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับรถตัวเอง จึงยอมทนอึดอัดแค่ชั่วคราวดีกว่าสร้างเรื่องสร้างราวให้เขานำไปบอกต่อกับบิดาให้เป็นกังวล
“ผมจะเข้าไปชมโรงเรียนสักหน่อย” นายเรมอนด์คงคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของสถานที่ จึงผลักประตูก้าวขาลงเดินเข้าเขตโรงเรียนโดยไม่รอให้หล่อนนำทาง
“กว้างขวางใหญ่โต” นายฝรั่งกางแขนหมุนไปรอบตัว แต่แล้วก็หยุดชะงักเมื่อชายหนุ่มร่างสูงออกมาปรากฏตัวที่หน้าอาคารเรียน
“ว้าว ดูสิว่าเขาคือใคร” นายเรมอนด์กระตุกยิ้ม
“ก็เป็นใครที่ไล่คุณออกจากที่นี่ไงล่ะครับ” ครูหนุ่มเดินตรงมาด้วยท่าทางนิ่งสงบ แต่ความมุ่งมั่นฉายชัดในดวงตาคู่สวย
“เดี๋ยวก่อนนะ น่าจะมีใครสักคนเข้าใจอะไรผิด” นายเรมอนด์หัวเราะ “โครงการของเรากำลังได้จะครองที่ดินผืนนี้ไม่ใช่หรือ มีใครบอกผมได้ไหมว่าคนของมิลเลอร์มายืนตรงนี้ได้ยังไง”
“ผมบอกได้ครับมิสเรมอนด์ ตราบเท่าที่ผมยังยืนอยู่ตรงนี้ จะยังไม่มีใครมาเอาที่ดินผืนนี้ไปได้” คนตอบคือตัวครูหนุ่มเอง
พวกเขารู้จักกันมาก่อนหรือ? รสสุคนธ์นึกสงสัยในใจ แม้ว่านายเรมอนด์อาจคุ้นเคยกับมิลเลอร์ แต่ก็ไม่น่าคุ้นเคยกับคนสวนของตระกูลขนาดพูดจาหยอกกลับรุนแรง
“จบเกมแล้วโรส” อิทธิ์ฤทธิ์กระซิบคำเย้ยทันที
“แต่ผมจะพูดประโยคนั้นในอีกครั้งหกเดือนหลังจากนี้” หากทว่าประโยคที่ออกจากปากครูหนุ่มทำให้อิทธิฤทธิ์หันขวับไปมอง เช่นเดียวกันกับหล่อนซ่อนความกังขาไว้ไม่อยู่
“ผมกับคุณรสสุคนธ์มีข้อตกลงกันที่จะรู้ผลภายในหกเดือนข้างหน้า ฉะนั้นคนที่จะสามารถไล่ที่โรงเรียนปลูกปัญญาได้มีเพียงแค่คุณรสสุคนธ์คนเดียวเท่านั้น”
เขาช่วยหล่อน! แม้ว่าจะเป็นการบอกกลายๆ ว่าหล่อนยังไม่สามารถไล่เขาได้ตอนนี้ แต่ก็มีความหมายแฝงถึงระยะเวลาที่หล่อนจะได้ทำงานต่อไป
“แย่จังที่ผมไม่รู้ถึงข้อตกลงระหว่างคุณกับคุณโรส” มิสเตอร์เรมอนด์หันมาหรี่ตามอง
“โรสกำลังทำลายคุณากรพร็อพเพอตี้” ว่าที่สามีมารดาประธานพูดเสียงลอดไรฟัน ก่อนก้าวขาไปยืนข้างนายฝรั่งเพื่อทำหน้าที่ต่อรอง
“บางทีเราอาจมาทำข้อตกลงร่วมกันใหม่ได้ ผมจะเสนอเงินชดเชยให้เป็นหนึ่งเท่าของราคาประเมิน”
ครูหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก “ถ้าข้อเสนอนั้นผ่าน คุณรสสุคนธ์คงได้ยกเครื่องจักรเข้ามาพังกำแพงโรงเรียนตั้งแต่วันแรกที่เธอมา”
จริงอยู่ว่าเรื่องที่เขาพูดทำให้หล่อนเจ็บจี๊ด เพราะข้อเสนอมากมายที่หล่อนเคยประเคนให้รวมถึงข้อเสนอที่อิทธิฤทธิ์เพิ่งพูดไปแล้วนั้น ไม่มีอะไรสักอย่างที่ผ่านการพิจารณาของทีเค มิลเลอร์ ยกเว้นเรื่องการสอนหล่อนปลูกกุหลาบ กลับเป็นข้อเสนอที่ครูใหญ่ของโรงเรียนหยิบยื่นให้เองด้วยความสมัครใจแลกกับเวลาอีกหกเดือน
“ถ้าอย่างนั้น เราจะคอยดูกัน” มิสเตอร์เรมอนด์ตัดบท หันไปบอกกับอิทธิฤทธิ์ด้วยน้ำเสียงเชิงสั่ง “อีกหกเดือนข้างหน้า คุณต้องบอกข่าวดีกับผม”
จากนั้นหมุนตัวหันหลังเดินออกไป ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มตรงมุมปากของครูใหญ่ที่ส่งมาให้หล่อนก่อนพาตัวเองกลับเข้าไปในอาคารเรียน
“เรามีเรื่องต้องคุยกันยาว” อิทธิฤทธิ์เขม้นมองหล่อนด้วยดวงตากรุ่นความโกรธ ก้าวอาดมาคว้าข้อมือแล้วฉุดรั้งหล่อนให้เดินตาม
“โรสว่าคนที่พี่อิทต้องคุยกับเขายาวตอนนี้น่าจะเป็นมิสเตอร์เรมอนด์มากกว่าค่ะ” รสสุคนธ์กระชากมือของตัวเองออก
“โรส!”
“โรสยังได้ทำงานนี้ต่ออีกหกเดือน แล้วก็ขอโทษด้วยที่ในหกเดือนนี้ นิ้วนางข้างซ้ายของโรสไม่ว่างที่จะสวมแหวนแต่งงานของใคร”
รสสุคนธ์สะบัดตัว เมินเสียงคำรามของอิทธิฤทธิ์ วิ่งเข้าไปภายในอาคารเรียนที่นักเรียนทั้งหลายเริ่มทยอยออกจากห้องเรียน แต่หล่อนมองไม่เห็นร่างสูง จึงก้าวขาตรงไปยังห้องพักครู เห็นเขากำลังอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอย่างตั้งใจ
“ขอบคุณนะคะ” หล่อนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงรบกวน
“คำขอบคุณของคุณมันราคาแพง ผมรับไม่ได้” แล้วเขาก็ย้อนหล่อนด้วยวาจาประชดประชัน
“จริงที่สุดที่คำขอบคุณของฉันมันราคาแพง แต่ฉันก็อยากจะมอบเป็นของขวัญให้คุณในอีกหกเดือนข้างหน้าตอนที่คุณย้ายข้าวย้ายของออกจากที่นี่”
“เพราะอย่างนั้น เราถึงต้องทำข้อตกลงให้สัมฤทธิ์ผลไวๆ ” ครูหนุ่มแค่นหัวเราะ เดินเข้ามายื่นหนังสือเล่มหนึ่งส่งให้ “วันก่อนผมบอกคุณว่าจะให้เรียนเรื่องหนอนใช่ไหม”
“ชะ... ใช่ค่ะ” หล่อนลืมเรื่องนี้ไปสนิท
เจ้าของเรียวปากหยักคลี่ยิ้ม “ตอนนั้นผมกะจะให้แค่คุณพอรู้จักชนิดหนอนที่เป็นศัตรูจากภาพในหนังสือ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
ดวงตาเป็นประกายของเขาทำให้หล่อนใจเต้นประหลาด รสสุคนธ์กลืนน้ำลายลงคอ ละล่ำละลักพูด “เปลี่ยนเป็นไม่เรียนใช่ไหมคะ”
“เปล่า” ครูหนุ่มส่ายหน้าขณะเดินออกจากห้องพัก “ผมชอบให้นักเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่ตาดู แต่... มือก็ต้องสัมผัสด้วย”
แล้วหยุดยืนหันมาส่งยิ้มที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่หล่อนเคยเห็น จากนั้นกล่าวต่อว่า “โดยเริ่มจากให้คุณไล่เด็ดใบกุหลาบที่มีหนอนแทะทุกต้นในแปลง”
รสสุคนธ์อยากร้องไห้โฮดังๆ ไม่อายเด็กตาดำๆ เพราะเอาเข้าจริงแล้ว พิษผึ้งที่ทำเอาหล่อนจับไข้ หรือหนอนเขียวอ้วนฉุที่เห็นแล้วทำให้ขนลุกขนชันนั้น ไม่ร้ายเท่าเขาคนนี้เลยสักนิดเดียว