สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

My Rose - บทที่ 17 บทที่ 17 โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

My Rose

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า

รายละเอียด

My Rose โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

สารบัญ

My Rose-บทที่ 1 บทที่ 1,My Rose-บทที่ 2 บทที่ 2,My Rose-บทที่ 3 บทที่ 3,My Rose-บทที่ 4 บทที่ 4,My Rose-บทที่ 5 บทที่ 5,My Rose-บทที่ 6 บทที่ 6,My Rose-บทที่ 7 บทที่ 7,My Rose-บทที่ 8 บทที่ 8,My Rose-บทที่ 9 บทที่ 9,My Rose-บทที่ 10 บทที่ 10,My Rose-บทที่ 11 บทที่ 11,My Rose-บทที่ 12 บททึ่ 12,My Rose-บทที่ 13 บทที่ 13,My Rose-บทที่ 14 บทที่ 14,My Rose-บทที่ 15 บทที่ 15,My Rose-บทที่ 16 บทที่ 16,My Rose-บทที่ 17 บทที่ 17,My Rose-บทที่ ๑๘ บทที่ ๑๘,My Rose-บทที่ ๑๙ บทที่ ๑๙,My Rose-บทที่ ๒๐ บทที่ ๒๐,My Rose-บทที่ ๒๑ บทที่ ๒๑,My Rose-บทที่ ๒๒ บทที่ ๒๒,My Rose-บทที่ ๒๓ บทที่ ๒๓,My Rose-บทที่ ๒๔ บทที่ ๒๔,My Rose-บทที่ ๒๕ บทที่ ๒๕,My Rose-บทที่ ๒๖ บทที่ ๒๖,My Rose-บทที่ ๒๗ บทที่ ๒๗,My Rose-บทที่ ๒๘ บทที่ ๒๘,My Rose-บทที่ ๒๙ บทที่ ๒๙,My Rose-บทที่ ๓๐ บทที่ ๓๐,My Rose-บทที่ ๓๑ บทที่ ๓๑,My Rose-บทที่ ๓๒ บทที่ ๓๒,My Rose-บทที่ ๓๓ บทที่ ๓๓,My Rose-บทที่ ๓๔ บทที่ ๓๔,My Rose-บทที่ ๓๕ บทที่ ๓๕,My Rose-บทที่ ๓๖ บทที่ ๓๖,My Rose-บทที่ ๓๗ บทที่ ๓๗

เนื้อหา

บทที่ 17 บทที่ 17

บทที่ ๑๗




เหลือเวลาอีกหกเดือนที่หล่อนกับเขาจะได้รู้กันว่าใครต้องเป็นฝ่ายไป เป็นภวังค์ความคิดที่ผุดขึ้นมาอันดับแรกหลังจากลืมตาในเช้าวันใหม่


ถ้าผลออกมาว่าหล่อนแพ้ล่ะ หล่อนจะทำอย่างไร แล้วถ้าผลออกมาชนะ เขาจะยอมบอกนายของเขาให้ย้ายโรงเรียนไปอยู่ที่ไหน ในขณะที่ครูเพ็ญยังนอนป่วยอยู่ เจ้าเด็กจ้อยนั่นก็เกเรตาใส พัฒนาการของจ๊ะจ๋าก็ไม่ได้เป็นไปตามวัย หลายเรื่องหลายราวที่เขาต้องแบกรับไว้ เขาจะทำได้หรือ หล่อนรู้สึกเป็นห่วงจับใจ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่หล่อนควรกังวลเลย


รสสุคนธ์รีบสะบัดหัวแล้วใช้สองมือตบหน้าเรียกสติ จากนั้นเลือกสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์พร้อมรับความรู้ที่เขาจะอัดให้ รวมถึงหย่อนยาทาแก้คันใส่ในกระเป๋าเพราะล่าสุดที่จบการเรียนการสอนเรื่องหนอน เขาให้หล่อนไล่เด็ดใบเว้าๆ แหว่งๆ ซึ่งความซวยก็มาเยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย ในตอนที่ยื่นมือไปลิดใบกุหลาบที่ถูกหนอนเจาะจนพรุนใบหนึ่ง หล่อนก็ถูกมดคันไฟตัวร้ายที่ฝังเขี้ยวจมมิดที่นิ้วมือ


ก่อนไปโรงเรียนปลูกปัญญา รสสุคนธ์แวะตรวจงานที่สำนักงานชั่วคราวในไซต์ ฝากฝังเรื่องที่ต้องทำกับธุรการสาวที่เริ่มสนิทคุ้นเคยกัน พูดคุยสัพเพเหระได้สักพัก นายวิชัยก็พาร่างท้วมของเขาเข้ามาในออฟฟิศ


“อ้าว คุณวิชัย ยุ่งกับโปรเจ็กต์อื่นอยู่หรือคะ ถึงได้ไม่ค่อยมาไซต์งานที่นี่” หล่อนเอ่ยทักทาย สังเกตอาการเลิ่กลั่ก เหงื่อแตกพลั่กตามไรผมของเขาทั้งที่มีเครื่องปรับอากาศให้ความเย็นสบาย


“คะ... ครับ” นายวิชัยตะกุกตะกักตอบ “มีงานที่คุณอิทธิฤทธิ์มอบหมายให้ผมดูแลครับ”


“แหม ดีจัง” รสสุคนธ์เอ่ยเสียงลอย “คนเก่ง ใครๆ ก็ต้องการตัว”


นายวิชัยยิ้มเจื่อน ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “สายแล้ว ผมนัดหัวหน้าทีมวิศวกรไว้ ขอตัวนะครับคุณโรส” แล้วรีบหมุนตัวผลักประตูออฟฟิศ จ้ำอ้าวเดินเข้าไปส่วนไซต์ก่อสร้างเหมือนนัดนั้นสำคัญมากมายนัก


รสสุคนธ์หันมาทางธุรการสาว “เดือนนี้คุณวิชัยเข้ามาที่ไซต์กี่ครั้ง”


“ครั้งนี้ก็ครั้งที่สองค่ะ คุณโรส”


เมื่อได้ฟังแล้วรสสุคนธ์ขอเก็บความสงสัยบางเรื่องไว้รอให้มีข้อมูลมากพอที่จะจัดการกับนายวิชัย หลังจากฝากงานธุรการสาวสองสามเรื่องเรียบร้อยก็ก้าวขาออกจากออฟฟิศ เพื่อไปถึงโรงเรียนปลูกปัญญาก่อนเก้าโมง แต่ระยะห่างจากโครงการถึงที่หมายใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที รสสุคนธ์จึงตัดสินใจเดินเลียบกำแพงกั้นเขตแนวของโครงการดูความคืบหน้าว่ากองทัพของคุณากรเคลื่อนตัวเข้าใกล้โรงเรียนของครูหนุ่มมากแค่ไหนแล้ว


ทว่าในขณะที่ประมาณจำนวนวันเวลาอยู่นั้น สายเรียกเข้าจากเพื่อนสาวที่ขาดการติดต่อไปพักใหญ่ ก็ทำให้รสสุคนธ์แช่มชื่นหัวใจ


“ยายหงส์ นึกว่าชาตินี้จะไม่คุยกับเธอแล้วเสียอีก” รสสุคนธ์ชิงพูดคำตัดพ้อก่อนที่ปลายทางจะกล่าวทักทาย


“อย่าโกรธกันเลย ฉันก็ยุ่งๆ กับงานอยู่น่ะ”


คนฟังรู้สึกผิดที่ปากไว หลงลืมไปว่าเพื่อนสาวเองก็คงมีปัญหาเรื่องงานไม่ต่างกัน “ขอโทษนะหงส์ พอดีช่วงนี้ฉันก็เจอปัญหาที่ทำให้ร้อนใจอยู่เหมือนกัน”


“จะมีปัญหาอะไรใหญ่ไปกว่าการทำให้โรงเรียนปลูกปัญญาย้ายออกไปหรือไง”


“ไม่มีอะไรใหญ่กว่าปัญหานั้นหรอก เพียงแต่...” เพราะความคิดที่เกิดขึ้นในเช้านี้ทำให้รสสุคนธ์ลังเลใจ แต่นอกจากแพรพรรณรายแล้ว ก็คงไม่อาจระบายความอัดอั้นนี้กับใครได้ “นายต้นกล้ายื่นข้อเสนอให้ฉัน”


“ข้อเสนออะไร” น้ำเสียงของปลายสายขรึมขึ้นทันที


“เขาบอกว่าถ้าเขาสอนฉันปลูกกุหลาบสำเร็จภายในหกเดือน ฉันต้องยกเลิกการไล่ที่โรงเรียนปลูกปัญญา”


“ข้อเสนอไร้สาระ” แพรพรรณรายส่งเสียงหัวเราะ “ใครจะไปตกลง”


รสสุคนธ์กลืนน้ำลายเหนียวลงคอ “ฉัน... ฉันตกลง”


“เธอล้อฉันเล่นใช่ไหม”


หญิงสาวสูดลมหายใจ “เปล่า ฉันตกลงรับเงื่อนไขจริงๆ ”


“แล้วเขามั่นใจมากหรือว่าจะสอนให้เธอปลูกกุหลาบสำเร็จ”


รสสุคนธ์ทอดถอนลมหายใจ นึกถึงแววความมาดมั่นที่ฉายชัดเจนในดวงตาของครูหนุ่มทุกครั้งที่ได้พบกัน คำพูดที่เขากล่าวกับเธอในวันท้าตอนนั้น ยังติดอยู่ในใจ


‘คุณก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณเองก็ไม่ได้อยากทุบโรงเรียนของพวกเด็กๆ ทิ้ง ผมถึงอยากเอาดอกกุหลาบแลกหัวใจของคุณ’


เขาพูดถูก ยิ่งนานวันที่ได้พันผูกกับพวกเขา ก็เท่ากับความตั้งมั่นที่จะยึดครองพื้นที่โรงเรียนปลูกปัญญาถูกหลอมละลายลงไปทุกที แต่นั่นก็ไม่สะกิดใจหล่อนได้มากเท่ากับอีกหนึ่งความรู้สึกที่ค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ อยู่ภายใน


“หงส์...” รสสุคนธ์เม้มเรียวปาก “ใจหนึ่ง... ฉันก็อยากให้ตัวเองปลูกกุหลาบสำเร็จ”


“หมายความว่ายังไง”


“ฉัน... ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหมายความว่ายังไง...”


รสสุคนธ์ได้ยินแค่เสียงระบายลมหายใจดังจากปลายสาย แม้จะไม่เห็นหน้าแต่หล่อนจินตนาการได้ว่าคิ้วเรียวได้รูปของแพรพรรณรายคงกำลังย่นเข้าหากัน


รสสุคนธ์สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด “จริงๆ แล้ว ตอนนี้ฉันกำลังทำบางสิ่งที่ทำให้เขายอมย้ายออกเองโดยที่ไม่ต้องบังคับขืนใจเจ้าตัว”


“ยังไง”


“ฉันทำดีลกับพ่อแม่ค้าในตลาด ให้พวกเขาสามารถเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าฟรีหนึ่งปีหลังห้างเปิด แล้วก็จะประกันราคาปลาของชาวประมง และรับซื้อปลาของพวกเขามาขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตของห้าง จากนั้นจะค่อยๆ แสดงให้พวกเขาเห็นว่าห้างสรรพสินค้ามีประโยชน์กับชีวิตพวกเขามากกว่าโทษ และถ้าพวกเขาเห็นด้วย แค่นายต้นกล้าคนเดียวที่เป็นคนกลุ่มน้อยก็จะหมดปัญหา”


“ถึงแม้เขาจะทำให้เธอปลูกกุหลาบสำเร็จน่ะหรือ ฉันว่าเอาน้ำกรดไปราดต้นกุหลาบที่ปลูกยังเห็นผลเร็วกว่า”


ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก... คำต่อต้านผุดขึ้นในหัวทันที


“โรส เธออย่าลืมนะว่าสิ่งเดิมพันของเธอกับพี่อิทคืออะไร ถ้ากุหลาบบานเมื่อไร ก็เตรียมตัดชุดเจ้าสาวรอไว้เลย”


คำพูดของแพรพรรณรายปักกลางอก หล่อนรู้อยู่ว่าดอกกุหลาบต้องไม่บาน รู้อยู่ว่าคุณากรพร็อพเพอตี้กำลังย่ำแย่ แล้วก็รู้ด้วยว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนไป


ในตอนที่วางสายจากเพื่อนสาว รสสุคนธ์เดินมาหยุดที่หน้าแปลงกุหลาบก่อนเวลานัด ครูหนุ่มจึงยังให้ความรู้แก่นักเรียนในห้อง บทเรียนวันนี้เกี่ยวกับการกินอาหารให้ครบห้าหมู่โดยเขานำเนื้อหาไปผสมผสานกับบทเพลงที่แต่งเองแล้วให้นักเรียนของเขาขับร้องประสานเสียงกันร่วมกับเสียงดีดกีตาร์


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงดนตรีมีส่วนช่วยให้กุหลาบทุกต้นในแปลงของเขาเจริญงอกงามดีหรือไม่ แต่ถึงจะไม่ใช่ต้นไม้ หล่อนก็ยังพออกพอใจในน้ำเสียงใสของเด็กๆ เหล่านั้น แม้ว่าจำนวนนักเรียนจะบางตาลงกว่าครั้งที่หล่อนทักถาม แต่เขาก็ยังคงทำหน้าที่ของครูผู้ประสาทวิชาไม่ขาดตกบกพร่อง


ระหว่างรอครูหนุ่ม รสสุคนธ์พาตัวเองเข้าไปทักทายเจ้าโรสก่อนล่วงหน้า แต่พอเห็นประตูโรงเรือนเปิดอ้าค้างไว้ ไม่ได้ถูกล็อกแน่นหนาอย่างเคย ก็รีบมุ่งตรงไปที่ต้นกุหลาบโดยไม่ลืมปิดประตูให้สนิท แล้วก้มสำรวจดูว่ามีศัตรูพืชชนิดไหนเกาะกินใบของมันหรือไม่


“คุณทำอะไรอยู่” เขาตามมาหลังจากสอนนักเรียนเสร็จ


“ฉันเห็นประตูมันเปิดอยู่อยู่ค่ะ ก็เลยมาส่องดูว่ามีผู้ก่อการร้ายบินมาแฝงตัวใต้ใบหรือเปล่า” รสสุคนธ์ยังก้มๆ เงยๆ หงายใบทีละใบดู


“ประตูเปิดอยู่?”


“ค่ะ ประตูมันเปิดอยู่ตอนที่ฉันมาถึง” แล้วหมุนตัวหันไปพยักหน้าตอบ เห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันของครูหนุ่ม


“เมื่อเช้าผมเข้ามาดูแลกุหลาบในโรงเรือน และผมมั่นใจว่าปิดประตูแล้วแน่นอน” แววตาคู่คมสื่อความหมายของคำว่า ‘มั่นใจ’ เต็มเปี่ยม ในขณะเดียวกัน ก็ตีความได้ถึงการไม่เชื่อในคำพูดของหล่อน


“อาจจะเป็นนักเรียนของคุณ” เพราะเห็นกับตาตัวเองจึงพูดได้อย่างเต็มอก


“พวกเขารู้กฎดี”


“ถ้าอย่างนั้นคุณต้องติดกล้องวงจรปิดด้วยแล้วค่ะ เพราะฉันมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาด” รสสุคนธ์ลอบพ่นหายใจด้วยความฉุน “แล้ววันนี้คุณจะสอนอะไรฉันคะ”


“วันนี้ผมของดสอน มีธุระกับพี่เผ่า”


“ฉันขาดทุนที่คุณงดสอน”


“กรณีนี้ผมน่าจะเป็นฝ่ายขาดทุน”


“งั้นฉันจะทำงานรอที่ออฟฟิศก็แล้วกัน แต่ถ้าเลยเวลาเย็นแล้วคุณยังไม่เสร็จธุระ ฉันไปเยี่ยมครูเพ็ญที่โรงพยาบาล”


แววตาของครูหนุ่มมีแวววูบไหว “คุณหมอขอให้งดเยี่ยมครูเพ็ญตั้งแต่เมื่อคืนครับ เกิดผลข้างเคียงที่เกิดจากการรับคีโมครั้งแรก ร่างกายของครูเลยอ่อนแอลง”


ได้ยินแล้วรสสุคนธ์ก็เป็นห่วงครูเพ็ญไม่แพ้เขา แต่ไม่อาจช่วยอะไรได้นอกจากร่วมรับรู้ความรู้สึก หล่อนกลับไปที่ออฟฟิศอีกครั้งแล้วทำงานตลอดทั้งวัน พอเงยหน้าขึ้นจากเอกสารอีกที ก็พบว่ารอบออฟฟิศมืดสนิท เว้นแต่ไฟด้านนอกยังคงเปิดสว่างเพื่อให้ยามรักษาการณ์สามารถสอดส่องสายตาเข้ามาตรวจสอบความปลอดภัยด้านใน


ในยามนี้ของทุกวัน หล่อนและเขาจะเข้าไปเยี่ยมครูเพ็ญ คนหนึ่งร้องเพลง คนหนึ่งเล่าเรื่องขำๆ แต่ในเมื่อหมอสั่งงดเยี่ยม รสสุคนธ์ก็รู้สึกเหงาใจประหลาด และคิดว่าครูเพ็ญก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน


พลันนั้น เกิดความคิดดีๆ แล่นเข้ามาในหัว ถึงหมอจะสั่งห้ามเยี่ยม ก็ไม่ได้หมายความว่าครูเพ็ญจะฟังเพลงจากเขาหรือฟังเรื่องเล่าสนุกๆ ของหล่อนไม่ได้ รสสุคนธ์ดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือ แล้วเห็นว่าเพิ่งหัวค่ำ จึงคว้ากระเป๋าสะพายเดินออกจากออฟฟิศ แล้วขับรถไปโรงเรียนปลูกปัญญา


แต่พอไปถึงกลับไร้วี่แววของครูหนุ่ม ทั้งแปลงกุหลาบและอาคารเรียนไร้แสงสว่าง รสสุคนธ์จึงหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วกดหมายเลขโทรศัพท์ของเขา


ทว่าฟังเสียงสัญญาณได้เพียงครั้งเดียว หัวใจของหล่อนก็เต้นตูมตามเมื่อถูกมือหยาบของใครบางคนปิดปากจากด้านหลัง ตามด้วยชายฉกรรจ์สวมหน้ากากไหมพรมปิดบังใบหน้าพุ่งเข้ามาตุ๊ยหมัดใส่หน้าท้องให้หล่อนจุกร้องไม่ออก ก่อนคลุมร่างด้วยถุงกระสอบแล้วอุ้มขึ้นพาดบ่า


พวกมันโยนตัวหล่อนบนพื้นดินแฉะ มัดข้อมือกับข้อเท้าของหล่อนจนแน่น จากนั้นรูดกระสอบออกจากตัว ก่อนขึ้นคร่อมตัวหญิงสาวแล้วปิดโอกาสตะโกนของความช่วยเหลือด้วยปลายมีดคมที่เคลื่อนเข้าจ่อลำคอ ส่วนหนึ่งคนตรึงข้อมือหล่อนไว้เหนือหัวด้วยเข่า


“อย่า อย่าฆ่าฉันเลย” หล่อนเปล่งคำวิงวอนเสียงสั่น “ถ้าแกอยากได้เงิน ฉันให้ได้ แต่อย่า อย่าฆ่าฉัน”


ทว่าความเย็นของปลายคมที่กดผิวลำคอทำให้หล่อนสั่นสะท้าน หวาดผวาจนแทบไม่กล้าหายใจ ทำได้แค่จดจ้องดวงตาแดงก่ำ สะกดกลั้นลมหายใจสูดกลิ่นเหม็นของเหล้าที่โชยคละคลุ้งจากตัวพวกมันให้น้อยที่สุด


“รีบจัดการสิวะ!”


สิ้นคำพูดของหนึ่งในนั้น รสสุคนธ์ก็สะดุ้งวาบเมื่อปลายคมปลาบเคลื่อนมาหยุดบนใบหน้า “ถ้ากูจะฝากรอยแค้นไว้สักรอยสองรอยบนหน้า คนรวยมีตังค์ศัลยกรรมอย่างมึงคงไม่ว่าอะไร”


“ยะ...” ยังไม่ทันได้วิงวอน เสียงของหล่อนก็เงียบหายภายใต้มือหยาบที่กดหนัก ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นพล่านผ่านผิวเมื่อรอยคมกดบนใบหน้า


หยาดน้ำร้อนเอ่อล้นจนหล่อนเห็นทุกอย่างพร่ามัว เช่นเดียวกับมองไม่เห็นความหวังและความเป็นมนุษย์ในดวงตาแดงก่ำของมัน เว้นแต่แสงไฟของยอดเครนยักษ์ที่หล่อนสั่งการให้เข้ามาตั้งหลักเตรียมยกทัพเข้าโรงเรียนปลูกปัญญากลับส่องแสงเจิดจ้าเหนือน่านฟ้า


พลันนั้นมีเงาสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งเข้ามาบดบังแสงจ้า จากนั้นชั่วพริบตา เจ้าคนที่คร่อมร่างหล่อนก็ฟาดแข้งเข้าที่ศีรษะอย่างจังส่งผลให้มันไปนอนล้มตึง


คุณต้นกล้า...


รสสุคนธ์อยากเรียกชื่อเขาเต็มเสียง แต่หล่อนยังไม่พ้นเส้นอันตราย เพราะปลายคมที่เคลื่อนลงจ่อหมิ่นเหม่ตรงคอ


“มึงอย่าเข้ามานะ ไม่งั้นกูจะปาดคอนางนี่!”


ครูหนุ่มไม่ได้ก้าวขาเข้ามา และไม่ขยับเคลื่อนไหวใดๆ แต่หล่อนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนชั่ว มือของมันถึงสั่นงันงก เหงื่อของมันก็ไหลเป็นทางจากใบหน้าหยดลงบนหน้าผากของหล่อน ทั้งที่ครูหนุ่มทำแค่ยืนมองด้วยดวงตาดุดัน


ทว่าวินาทีต่อจากนั้น คมมีดก็ถูกถอนจากลำคอ หัวใจหล่อนก็ประหนึ่งจะโบยบิน แต่แล้วก็สะดุ้งสุดสะตัวเพราะเจ้าคนชั่วล้มพับพังพาบทับหน้าหล่อนหลังเกิดเสียงกระแทกแบบไม่มีสัญญาณเตือน และเพราะมือและเท้าถูกมัด รสสุคนธ์จึงทำได้แค่ดิ้นพลิกไปมา แต่ไม่อาจทำให้คนที่นอนคว่ำหน้าเหมือนตายหลุดออกจากตัวได้ กระทั่งครูหนุ่มเข้ามากระชากตัวมันเหวี่ยงออก จากนั้นเข้ามาพยุงหล่อนให้ขึ้นนั่ง


“คุณนี่ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” แม้คำทักทายแรกจากผู้ช่วยชีวิตจะเป็นการประชดประชัน หล่อนก็ยกให้เป็นวรรคทองสอนใจแห่งปี เพราะตอนนี้หล่อนก็กำลังหลั่งน้ำตาให้กับการรอดพ้นความชั่วร้ายของมนุษย์ด้วยกันเอง


“ขอบคุณ ขอบคุณมากนะ” หล่อนร้องไห้สะอื้นตัวโยน “ถ้าคุณไม่มา ฉันอาจได้นอนในโลงแล้วจริงๆ ”


เขาสบตาหล่อนนิ่งก่อนก้มหน้าแก้เชือกที่รัดข้อมือข้อ พลางเอ่ยคำพูดต่อว่าด้วยน้ำเสียงระรื่นว่า “คุณจะตายได้ก็หลังจากที่ผมทำให้ดอกกุหลาบดอกแรกของคุณบาน”


รสสุคนธ์เม้มปาก จ้องตาคนดูช่างมั่นใจเหลือเกินว่าหล่อนยังไม่ถึงฆาตวันนี้ แต่ฉับพลันหัวใจที่เพิ่งผ่านพ้นการเต้นจังหวะโครมครามก็กลับมาเริ่มโหมโรมอีกครั้งเมื่อถูกปลายนิ้วอุ่นแตะที่ปลายคางแล้วเอียงใบหน้าหล่อนเบาๆ


“มันดูแย่มากไหมคะ”


คิ้วของเขาย่นยู่เข้าหากัน กรามขบกันจนเกิดสันนูนชัดเจน รสสุคนธ์รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าตัวเอง แต่การมีชีวิตรอดถึงนาทีเป็นสิ่งล้ำค่ามากกว่ารูปโฉมสมบูรณ์


“ถึงจะแค่มิลเดียว มันก็ไม่ควรเกิดขึ้นกับคุณ” เสียงต่ำเล็ดลอดไรฟันของเขาทำให้เธอขนลุกชัน ดวงตาที่จ้องมองมานั้นไม่ต่างอะไรกับดวงตาในฝันครานั้น


“เราจะทำยังไงกับพวกมัน”


เสียงถามภาษาอังกฤษที่ดังแทรกบอกให้หล่อนรู้ว่าไม่ได้มีแค่เขากับหล่อน และปืนที่อยู่ในมือชายผู้นั้นอาจเป็นต้นเหตุทำให้มือมีดสลบเหมือด


ครูหนุ่มลุกขึ้นไปดึงหน้ากากไหมพรมของคนร้ายทั้งสองออก แล้วหันหน้ามามองหล่อนด้วยใบหน้าจริงจัง “คงต้องถามเจ้านายของพวกมันว่าจะให้ทำยังไง”


รสสุคนธ์ทำหน้าเหมือนเห็นผี ก็เพราะคนที่มุ่งร้ายร่างกายและชีวิตของหล่อนคือคนงานที่ถูกคาดโทษเรื่องก่อความรำคาญให้ชุมชนชาวเล!




การเจรจากับนายบรูโน่ หัวหน้ามาเฟียอิตาลีกลุ่มที่สามไม่สำเร็จในครั้งแรก แต่ทีเค มิลเลอร์ยังไม่หมดสิ้นความหวัง เขาจะให้เวลาผ่านไปสักระยะ รอให้กลุ่มของพัทยากลางของอาซ้อและกลุ่มพัทยาใต้ของอเลคโซ่ได้แสดงผลงาน แล้วจากนั้นค่อยเข้าไปหว่านล้อมอีกครั้ง


ยอมรับว่าเขาทำการบ้านมาน้อย เหตุเพราะวุ่นวายอยู่กับการสอนยายผู้หญิงหัวดื้อปลูกกุหลาบ แถมครูเพ็ญยังป่วยเข้าโรงพยาบาล จึงทำให้ช่วงเวลาที่ว่างจากการสอนต้องอุทิศแด่สตรีทั้งสอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ปั่นอารมณ์เคย์แมนให้คุกรุ่นทุกวัน


“มีอะไรไม่สบายใจหรือไงคะ คิ้วคุณถึงได้ชิดกันขนาดนั้น ตัวเลขที่ฉันบอกไปมันยังไม่โดนใจคุณหรือ”


ชายหนุ่มมัวแต่คำนึงถึงความล้มเหลวครั้งล่าสุด จึงลืมใส่ใจลูกค้าคนสำคัญ “ไม่ครับซ้อ ซ้อทำได้เยี่ยมมาก จัดลำดับแล้ว ซ้ออยู่เหนือกว่าใครหลายๆ คน”


ซ้อใหญ่หัวเราะพอใจ “ถ้าอย่างนั้น ดื่มฉลองให้ฉันสักแก้วสิ”


วิสกี้ถูกรินลงแก้ว สีน้ำตาลใสของมันอาจดูเหมือนคาราเมล แต่รสชาติอยู่ในทิศทางตรงข้าม คล้ายกับการมองคน ที่เขาต้องเจาะลึกผ่านหน้าตาเข้าไปให้ถึงจิตใจแล้วอ่านให้ได้ว่าคนคนนั้นคิดอย่างไร เรื่องแบบนี้ไม่สามารถดูได้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก


“ดื่มสิคะ” สาวใหญ่คะยั้นคะยอ


เขาหยิบแก้วดื่ม รับรสชาติขมแต่นุ่มลิ้นตามแบบฉบับบวิสกี้จากสก็อตแลนด์ “ซ้อรู้จักบรูโน่มากแค่ไหน”


อาซ้อยกยิ้มที่มุมปาก รินวิสกี้แก้วต่อไปให้ “นอกจากจะรู้ว่าเขามีอำนาจกินพัทยาเหนือแล้ว ยังรู้ว่าเขาซี้กับพวกคนใหญ่คนโต”


หมายความถ้าเขาต้องการได้นายบรูโน่มาเป็นพวก ก็ต้องได้พวกนั้นมาเป็นพันธมิตรเสียก่อนอย่างนั้นหรือ แต่ความคิดนี้ตรงข้ามกับความรู้สึก เพราะเขาเกลียดพวกใช้อำนาจในทางมิชอบมาแต่ไหนแต่ไร และความเกลียดนั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้นหลังจากคดีอันนาถูกพลิกให้เป็นแค่การเสพยาเกินขนาดแล้วคลั่งทำร้ายตัวเองจนตาย


“แต่เขาเป็นลูกค้าชั้นดีของฉัน มักจะมาหาทุกสิ้นเดือน” คำพูดของอาซ้อดึงชายหนุ่มออกจากบ่อความคิด


“ฉันอาจช่วยเป็นสะพานให้คุณได้ เขาค่อนข้างไว้ใจฉันมากกว่าเมียตัวเอง”


“ผมคงไม่อาจปฏิเสธ รบกวนอาซ้อด้วย” ทีเคยอมรับความช่วยเหลือ


“รบกวนอะไรกัน เพราะคุณทำให้ฉันมีรายได้มากมายขนาดนี้ แล้วถ้าได้บรูโน่มาอยู่ในเครือข่าย ก็จะทำให้ฉันกับอเลคโซ่ได้ครองที่ทำกินที่นี่ไปจนตาย”


“ขอบคุณซ้อมาก ผมคิดไม่ผิดที่ได้ซ้อมาเป็นคู่ค้ากับมิลเลอร์”


ซ้อใหญ่ยิ้มแก้มปริ คว้าแก้วออกจากมือเขาแล้วเขยิบทรวดทรงงดงามเข้ามา วาดแขนโอบรอบลำคอแกร่ง สบมองด้วยดวงตาหวาน “แต่ฉันอยากเป็นมากกว่าคู่ค้าของคุณ แย่หน่อยที่ฉันอายุมากกว่าหลายปี คุณเลยไม่สน”


ชายหนุ่มยิ้มละมุน “ถ้าผมจะรักใคร ผมไม่เกี่ยงอายุ”


“นั่นสินะ ฉันรู้มาว่าคนรักเก่าของคุณคนนั้น อายุมากกว่าคุณ”


ชายหนุ่มแทบหยุดหายใจ สาวใหญ่คนนี้ศึกษาเรื่องราวของเขามาดี แต่จะรู้ดีขนาดไหนกัน “ถ้าเธอยังอยู่ ก็คงรู้จักอาซ้อ”


“แน่นอนว่าอันนารู้จักฉัน” ซ้อใหญ่คลี่ยิ้ม “ถ้าเปลี่ยนคำพูดใหม่ ต้องพูดว่าถ้าอันนาอายุยืน อันนาจะต้องจำฉันไปจนกว่าจะแก่ตาย”


ผู้หญิงคนนี้พูดเรื่องอะไร แต่ในขณะที่เขากำลังหลงทางในคำพูดของหล่อน เรียวปากอิ่มสีแดงก็เคลื่อนเข้ามาแนบประทับ ตามด้วยร่างอวบอัดที่ค่อยๆ เบียดอกกว้างแน่น


“อาซ้อครับ” ทีเคเอ่ยคำเตือน


“คุณไม่อยากข้ามสะพานที่ฉันทอดให้หรือ”


ดูเหมือนอาซ้อเข้าใจหาเรื่องมาต่อรอง แล้วเขาก็คือคนที่ต้องขอความช่วยเหลือ ชายหนุ่มจึงยอมให้ปากอิ่มนุ่มขบเม้ม ความช่ำช่องชองสาวใหญ่ออดอ้อนให้เขาเผยอปากอ้ารับกลิ่นสุรารสขมเข้าสู่โพรงปาก ไล้เรียวลิ้นเกี่ยวรัดกับลิ้นของเขาอย่างลุ่มหลง จนความปรารถนาของหล่อนทวีมากพอที่จะผลักเขาลงไปนอนบนโซฟาก่อนแนบร่างอิ่มทาบทับลงมา แต่ชายหนุ่มเกรงว่าถ้าไม่ห้ามใจไว้ ก็เกรงว่าสะพานเชื่อมไมตรีระหว่างกันจะขาดสะบั้นเพราะฤทธิ์สวาท


ทีเคจึงดันร่างอิ่มที่กำลังคร่อมร่างให้ออกห่างอย่างเบามือ “ถ้านายบรูโน่นั่นรู้ว่าผมใช้อาซ้อเป็นสะพานแบบนี้ เขาคงยิงผมทิ้งก่อนที่จะให้ผมจับปากกาเซ็นสัญญา แล้วมิลเลอร์โฮลดิ้งคงจะเดือดน่าดู”


คำเตือนครั้งนี้ได้ผล แม้แววความผิดหวังในดวงตาของสาวใหญ่จะทำให้เขาลำบากใจ แต่เขามาที่นี่เพื่องานของมิลเลอร์และก็เพื่อเป้าหมายของตัวเอง


“คุณยังไม่ลืมอันนา ต่อให้อันนาตายไปหลายปีแล้วคุณก็ยังคงรักเธออยู่ใช่ไหม”


ชายหนุ่มจ้องตาคนถาม ก่อนให้คำตอบเสียงหนักแน่น “ผมไม่เคยลืมความรักระหว่างผมกับอันนา”


สาวใหญ่คลี่ยิ้มผิดหวัง ยอมผละตัวออก แล้วรินวิสกี้ใส่แก้วให้เขาและตัวเอง พลางรำพันคำพูดไม่สื่อความหมายชัดเจน “น่าเสียดายเหลือเกิน... น่าเสียดายจริงๆ ...”


ความเงียบเข้าครอบครองระหว่างทั้งคู่ชั่วขณะ ดวงตาของสาวใหญ่มีประกายวูบไหว ลากปลายเล็บเรียวที่ฉาบสีม่วงสะท้อนแสงไฟไปตามขอบแก้ววิสกี้ก่อนที่หล่อนจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลง


“ดื่มเพื่อมิตรภาพของฉันกับมิลเลอร์โฮลดิ้ง” แล้วยกแก้วขึ้นชนกับแก้วของเขา


หล่อนเก็บซ่อนอะไรบางอย่างไว้... ทีเคมองลึกเห็นความผิดปกติ แต่ตอนนี้เขาควรเป็นเพื่อนดื่มให้หล่อนเต็มที่ แล้วถ้าหากมิตรภาพที่หล่อนกล่าวออกมามีจริง เขาจะได้รู้สิ่งที่หล่อนปิดบังเองโดยไม่จำเป็นต้องกังวล


ซ้อใหญ่ดื่มจัดจนเมาหนัก หลังจากเขาส่งตัวหล่อนให้เด็กๆ ในผับแล้ว ก็กลับไปพบเคย์แมนในจุดนัดพบเพื่อฟังข่าวของเจ้าสองคนร้าย


“สายของเราบอกว่าพวกมันให้การตำรวจว่าต้องการแก้แค้นเรื่องส่วนตัวกับคุณรสสุคนธ์”


“แล้วคุณรสสุคนธ์เขาว่ายังไง” เจ้านายหนุ่มถามเสียงขรึม


“มิสให้ทางตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ขอให้อย่าเป็นข่าวกระทบถึงโครงการ ดูท่าทางมิสเขาเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องชื่อเสียงมากกว่าเรื่องที่เจ้าพวกนั้นทำกับตัวเอง”


ชายหนุ่มฟังแล้วก็ฉุนกึก นึกอยากไปเทศนายายผู้หญิงหัวดื้อทันที เพราะแม้ว่าเจ้าสองคนนั้นถูกจับขังคุก ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจะจบง่ายแบบนี้ และเขาก็ไม่เชื่อว่ามันเป็นแค่การแก้แค้นส่วนตัว


“ผมอยากรู้ว่ามีใครอื่นที่เดือดร้อนกับเรื่องนี้อีกไหม อย่างที่ผมเคยบอกคุณ เจ้าสองคนนั้นทำงานใช้หนี้ให้นายประชาอยู่”


“ใครจะเดือดร้อนกับเรื่องนี้ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าคืนนั้นคุณก็เดือดใช่เล่น ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมิส คุณควรจะดีใจ เพราะโรงเรียนของคุณจะได้อยู่ตรงนั้นต่อไป คุณอาจไม่ใช่วายร้ายระดับพระกาฬ แต่คุณก็ไม่ควรเป็นฮีโร่ช่วยเหลือคนที่เป็นปฏิปักษ์กับคุณ”


“ผมไม่ใช่ฮีโร่ แต่ผมรู้ว่าต้องปกป้องในสิ่งที่ควรปกป้อง ต่อให้เป็นวายร้าย เขาก็มีสิ่งที่เขาต้องปกป้องไม่ต่างกับฮีโร่”


“แล้วสิ่งที่คุณปกป้องตอนนี้คืออะไร ยังใช่มิลเลอร์หรือเปล่า คุณทีเค มิลเลอร์”


ชายหนุ่มรู้ว่านั่นไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เพียงแค่ต้องการตอกย้ำหน้าที่อันพึงมีในฐานะยมทูต


เคย์แมนทิ้งการจ้องตาเขาหันไปหยิบซองเอกสารจากเบาะหน้ารถยื่นส่งให้ “นี่เป็นเอกสารข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับกับงบการเงินและกระแสเงินสดของแอนเจลฟลาย รวมถึงแผนการคืนหนี้ที่นายอิทธิฤทธิ์เสนอกับมิลเลอร์เพื่อขอผ่อนผันและต่ออายุสัญญา มิลเลอร์โฮลดิ้งต้องการให้คุณสรุปคำตัดสินก่อนอายุสัญญาจะหมดลงในสิ้นเดือนหน้า”


ชายหนุ่มรับซองเอกสารมาไว้ พอดีกับที่ผู้รับใช้หยุดรถที่ริมทางก่อนถึงโรงเรียน เขาจึงก้าวลงจากรถเมื่อประตูถูกเปิด แต่เคย์แมนเลื่อนกระจกลง แล้วทิ้งคำพูดสุดท้ายของวันไว้ก่อนเคลื่อนล้อถอยรถจากไป


“ผมหวังว่าแอนเจลฟลายจะไม่ได้รับความปรานีจากทีเค มิลเลอร์”


ต้นกล้าหรี่ตาแคบ ก่อนนำเอกสารออกจากซอง พลิกไปหน้าแผนการคืนหนี้เพื่อต่ออายุสัญญา ไล่ตาอ่านใต้ไฟสลัวตั้งแต่บรรทัดแรก จนกระทั่งถึงบรรทัดสุดท้าย ชายหนุ่ก็เงยหน้าแหงนมองไฟบนยอดเครน


‘ต่อให้เป็นวายร้าย เขาก็มีสิ่งที่เขาต้องปกป้องไม่ต่างกับฮีโร’


บทสนทนาระหว่างเขากับเคย์แมนในนาทีที่ผ่านมายังวนเวียนในหัว เขาผ่อนลมหายใจที่หนักอึ้ง แล้วหลับตาพลางยกนิ้วขึ้นแตะกลางหน้าผาก ย้อนคิดถึงตอนที่ถูกนิ้วนุ่มแยกหัวคิ้วของเขาออกจากกัน แม้จะบอกว่าตัวเองว่ามันคงเป็นแค่ความบังเอิญที่ผู้หญิงสองคนจะกระทำแบบเดียวกัน แต่การที่หัวใจเขาเต้นแรงเพราะเจ้าหล่อนนั้นถือเป็นความบังเอิญได้หรือไม่


“แล้วห้างสรรพสินค้ามันสำคัญขนาดไหนกัน คุณถึงต้องปกป้องมันขนาดนั้น”


เสียงรำพึงแสนเบาไม่อาจดังไปถึงหญิงสาว แต่ก็หวังให้หล่อนหลับใหลมีค่ำคืนสงบสุขจนกว่าจะได้ล่วงรู้ชะตาชีวิตที่เลวร้ายของหล่อนเอง