สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,ชาย-หญิง,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
My Roseสำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
บทที่ ๑๘
ดวงอาทิตย์อับแสงลงไปนานแล้ว แต่แสงสีของหลอดไฟนีออนจากอาคารสูงยังช่วยกันส่องไฟสร้างความสว่างไสวให้กับเมืองหลวงยามราตรี
อีกทั้งป้ายไฟโฆษณาสินค้าตามตึกสูงก็ยังขยันผลัดเปลี่ยนนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สู่สายตาผู้คนในระบบทุนนิยมไม่ขาดสาย หลายชีวิตมากมายในยามราตรีก็เริ่มดำเนินคล้ายกับผึ้งงานที่ต้องเวียนออกหาน้ำหวานมาเก็บสะสมในรังของมันให้อยู่รอดในวันต่อๆ ไป
เช่นเดียวกับสัญชัย ชายหนุ่มผู้ที่ไม่เคยปฏิเสธตนเองว่ายังต้องการวัตถุมาจุนเจือความรู้สึกที่ขาดหาย แม้ในขณะที่กำพวงมาลัยรถสปอร์ตสุดหรูรุ่นใหม่อยู่ในมือ เขาก็ไม่คิดว่ามันคือความต้องการสุดท้ายของชีวิต
“พี่จะไม่คิดพาฉันไปกินเหล้าในผับหรูๆ บ้างหรือไง”
นอกจากเพลงสากลที่ดังจากเครื่องเสียงชั้นดีแล้ว ก็ยังมีเสียงของหญิงสาวนางหนึ่งที่สัญชัยจำยอมให้ขึ้นมาสร้างรอยย่นบนเบาะหนังเนื้อนิ่ม
“จะกินเหล้าที่ไหนก็เหมือนกัน เพราะสุดท้ายแล้วเธอก็เมาหัวราน้ำไปจบบนเตียงกับฉันอยู่ดี”
ต่อให้เจ้าหล่อนส่งค้อนจนตาถลน ก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มเจ้าสำราญสะทกสะท้าน เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงอีกตัวเลือกในคืนที่ไม่ต้องการพิธีรีตอง แค่สมยอมแล้วแยกทางไปใช้ชีวิตของตนในเช้าวันใหม่ก็พอ
“ไหนว่าร่ำว่ารวย แค่เลี้ยงวิสกี้ดีๆ ให้ฉันสักแก้วสองแก้วยังทำไม่ได้”
สิ่งที่สัญชัยเกลียดเข้ากระดูกคือคำดูถูก เขาจึงหันไปกล่าวเสียงดุดัน “ถ้าอยากลองวิสกี้ดีๆ สักแก้วสองแก้วละก็ ฉันจะพาไปให้ลิ้นเธอมีบุญได้จิบของดี แต่บอกไว้ก่อนว่าอย่าเที่ยวส่งสายตาทอดสะพานอ่อยใคร”
“ตายแล้ว นี่พี่สัญหวงฉันหรือ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของเจ้าหล่อนดีใจสุดแสน
สัญชัยเหยียดยิ้ม “เปล่า แต่ฉันอายเขา ไม่อยากถูกคิดว่าเป็นพ่อเล้าพากะหรี่ไปหากิน”
“พี่สัญ!”
“อย่าโวยวายน่า เดี๋ยวก็ได้กินของดีแล้ว”
หล่อนได้แต่ทำท่าทางฮึดฮัดใส่เพราะรู้สถานะตัวเองดี แล้วคำกล่าวที่ออกจากปากเขาก็ไม่ได้ผิดจากความเป็นจริง
หญิงสาวนุ่งสั้นที่ยังเรียนระดับชั้นอุดมศึกษาคนนี้มีประสบการณ์ผ่านมือชายมานับไม่ถ้วน ด้วยจุดประสงค์ของความอยากได้อยากมี กระเป๋าแบรนด์เนมที่หล่อนพกพาก็ได้มาจากการสนับสนุนของเสี่ยแก่ราวพ่อสักคน ส่วนนาฬิกาที่คาดบนข้อมือข้างที่หล่อนมักใช้ยกขึ้นทัดผมกับหูก็มาจากการฉอเลาะกับผู้ชายในบัญชีรายชื่อ
“เธอจะกินมากกว่าสองแก้วก็ได้นะ...” เขาเอ่ยปากเมื่อหยุดรถหน้าทางเข้าผับระดับไฮคลาส เห็นหญิงสาวมองด้วยดวงตาวาว “แต่เธอต้องตอบแทนฉันให้คุ้มกับเหล้าทุกหยดที่กินจนถึงเช้า”
ชายหนุ่มหยิบยื่นธนบัตรใบละร้อยส่งให้พนักงานรับรถที่เดินเข้ามาหาอย่างนอบน้อม ก่อนเดินนำผ่านประตูคู่บานใหญ่ที่เปิดอ้าต้อนรับแขกกระเป๋าหนักเข้าไปหาความบันเทิงสำหรับคนมีระดับ
“พี่รู้จักที่นี่ได้ไง”
สัญชัยไม่สนใจตอบคำถาม เดินตรงเข้าไปเอนกายบนโซฟาบุผ้ากำมะหยี่ในมุมเร้นตา เลือกวิสกี้ให้ตัวเองก่อนเลื่อนเมนูเครื่องดื่มให้คู่ควงสาว จากนั้นยกแขนขึ้นพาดกับพนัก หลับตาฟังเพลงแจ๊ซร้องสดจากนักร้องเสียงดีมีชื่อที่ขับกล่อมให้แขกของที่นี่รู้สึกผ่อนคลาย
แขกของผับทั้งหญิงและชายต่างอยู่ในมุมสงบของตน แต่ก็มีหลายคนเลือกเต้นรำตามจังหวะดนตรีกลางฟลอร์ของแสงไฟหลากสี หากคิดให้ดี ก็ไม่มีอะไรต่างจากผับระดับผู้ใช้แรงงานสักนิดเดียว
สัญชัยลืมตาแล้วหยิบแก้ววิสกี้ที่บริกรนำมาเสิร์ฟขึ้น ลิ้มรสความละมุนของน้ำหมักข้าวสาลีตีตราโรงบ่มในสกอตแลนด์
นาทีนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขัดความสุนทรีย์ เขามองหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยแล้วปล่อยให้มันดังต่อไป กระทั่งเสียงเรียกเข้าเงียบหาย กลายเป็นเสียงข้อความเข้าแทน แต่เพียงแค่ปรายตามอง สัญชัยก็ต้องรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นอ่าน
‘ถ้ายังอยากทานข้าวกับฉันอยู่ ให้โทร.กลับหาฉันตอนนี้’
“โดนเมียตามอีกหรือไงพี่สัญ เอ๊ะ ไม่สิ ไม่น่าใช่เมีย ยิ้มระรื่นขนาดนี้ บอกมานะว่านางตัวไหนมันมาติดพี่นอกจากฉันอีกหรือไง”
“ฉันต้องไปแล้ว นี่เงินค่าดริงก์กับค่าแท็กซี่” ชายหนุ่มเมินคำพูดกระแนะกระแหน ควักธนบัตรออกจากกระเป๋าเงินวางบนโต๊ะ แล้วออกจากผับไปทันทีโดยไม่สนใจเสียงกรีดร้องโวยวายของคู่ควง
อากาศยามบ่ายวันนี้ร้อนอบอ้าวแต่ไร้แสงแดดสาดส่อง เพราะมีเมฆฝนสีเทาก้อนใหญ่ลอยปกคลุมกระจายทั่วผืนฟ้า ทว่าเม็ดฝนยังคงถูกเมฆตัวอ้วนเก็บกลั้นไว้ ไม่ยอมปล่อยให้โปรยปรายลงสู่เบื้องล่าง รสสุคนธ์จึงต้องภาวนาต่อเทพเจ้าแห่งสายฝนในใจว่า ระหว่างที่หล่อนกลับกรุงเทพฯ เพื่อไปประชุมรายงานความคืบหน้าโครงการ ขอให้ท่านอย่าเพิ่งเทฝนลงมาห่าใหญ่จนทำให้การเดินทางลำบากทั้งขาไปและกลับเลย เพราะคืนนี้หล่อนนัดกับครูหนุ่มไว้แล้ว เป็นนัดที่กลายเป็นนัดสำคัญกว่าทุกนัด และทำให้ในทุกวันทำงานของหล่อนมีความหมายพิเศษโดยมีเขาเป็นส่วนประกอบ
“คุณโรสคะ นี่รายงานความคืบหน้าของโครงการค่ะ อ้อ แล้วคุณวิชัยก็ยังไม่มาเข้างานค่ะคุณโรส”
ธุรการสาวเสียงใสประจำไซต์นำแฟ้มเข้ามาส่งนายสาวพร้อมกล่าวรายงาน รสสุคนธ์จึงยกนาฬิกาข้อมือดู เห็นว่าเลยเวลาบ่ายมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว
“ถ้ารวมวันนี้ คุณวิชัยขาดงานกี่วันแล้วคะ” เจ้านายสาวถามพร้อมย่นคิ้ว
“เอ่อ... ก็หนึ่งสัปดาห์ค่ะ”
“ขอบคุณสำหรับรายงานค่ะ” รสสุคนธ์ระบายลมหายใจ กล่าวกับธุรการสาวแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมตัวเดินทาง “ถ้าคุณวิชัยเข้ามา ฝากบอกเขาด้วยว่าถ้ายังอยากเป็นผู้จัดการโครงการนี้อยู่ ก็ให้เข้ามาดูโครงการอย่างน้อยอาทิตย์ละสามวัน”
แต่ก่อนจะก้าวขาเดินไป รสสุคนธ์ก็ฝากงานให้กับธุรการสาวอีกหนึ่งงาน “อ้อ... ฉันฝากสั่งเค้กช็อกโกแลตที่โรงแรมหกชิ้นด้วยนะคะ บอกเขาว่าแบ่งเป็นสองกล่อง กล่องละสามชิ้น คุณแพร้วจะมารับที่ออฟฟิศเย็นนี้ ส่วนค่าเค้ก ให้เขาลงรวมในบัญชีห้องของฉันได้เลย”
“ค่ะคุณโรส” ธุรการรับปาก แต่แววตาที่มองหล่อนเหมือนมีบางสิ่งในใจ “คุณโรสคะ คือ... ฉันมีเรื่องอยากถาม”
“ว่าไงคะ” รสสุคนธ์เลิกคิ้ว
“ฉันได้ยินคนในบริษัทคุยกัน...” สีหน้าของอีกฝ่ายคล้ายลำบากใจกว่าจะเอ่ยออกมา “เขาลือกันว่า... ผลประกอบการของบริษัทไม่ดีมาก แล้วถ้าโครงการห้างสรรพสินค้าไม่สำเร็จ... บริษัทก็จะ...”
“ต้องสำเร็จแน่นอนค่ะ” รสสุคนธ์พูดเสียงหนักแน่น “ฉันจะพาคุณากรพร็อพเพอร์ตี้กับพนักงานทุกคนผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน”
ถึงจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มกว้างของธุรการสาว แต่รสสุคนธ์ก็อยากประกาศความตั้งใจของหล่อนออกไป แม้ว่าจะมีอีกหนึ่งเสียงที่สะท้อนดังกลบทุกเสียงในหัวใจก็ตามที
การประชุมวันนี้มีบุคคลสำคัญเข้าร่วมเต็มทุกที่นั่ง ตั้งแต่บิดาของหล่อนผู้เป็นประธาน และคนที่อยากไต่เต้าไปเป็นประธานคนต่อไปอย่างอิทธิฤทธิ์ รวมไปถึงมารดาของหล่อนที่ขอร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ นอกนั้นก็เป็นทีมงานที่รสสุคนธ์เฟ้นแล้วว่าเป็นระดับมืออาชีพ
การรายงานในช่วงต้นยังเป็นไปด้วยดี งบประมาณที่ตั้งไว้ก็ยังเหลือเฟือ แผนการปรับกลยุทธ์ในกรณีเศรษฐกิจการเมืองของโลกเปลี่ยนก็วางไว้เรียบร้อย แต่ในช่วงสุดท้ายของการประชุมกลับเป็นช่วงที่ทุกคนตั้งตารอคอย และรสสุคนธ์เองก็พร้อมแล้วที่จะแจ้งให้ทุกคนทราบทั่วกันว่า
“โรงเรียนปลูกปัญญายังไม่ได้ย้ายไปไหนค่ะ และเราก็ยังไม่สามารถทะลวงกำแพงได้”
ทีมงานของหล่อนรู้ดี จึงได้แต่นั่งเงียบให้นายสาวเป็นผู้ดำเนินการ แต่คนที่หล่อนคิดว่าจะส่งเสียงคัดค้านกลับไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ที่จ้องหล่อนด้วยแววตาเรียบนิ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรสักอย่างในใจ
“ทำไมถึงได้จัดการช้านัก เรามีเวลาไม่มากนะ” แม่ของหล่อนถามหน้าเครียดจากเก้าอี้ของผู้สังเกตการณ์
อีกห้าเดือนจะรู้ผล หล่อนตอบในใจ แล้วกรองความคิดใหม่ให้เป็นคำพูดอื่น “ถึงโรงเรียนปลูกปัญญาจะย้ายออกไปแล้ว แต่อย่าลืมว่าเรายังไม่เคยส่งทีมสำรวจไปสำรวจสภาพทางธรณีตรงจุดนั้น โรสจึงไม่อยากให้คาดหวังกันว่าเราจะได้สร้างอาคารจอดรถได้ทันที ซึ่งโรสคิดว่า...”
ยังไม่ทันได้อธิบาย อิทธิฤทธิ์ก็ยกมือขัด “แทนที่จะพูดถึงกรณีที่ที่ดินตรงนั้นใช้สร้างอาคารจอดรถไม่ได้ ผมอยากรู้ก่อนว่าคุณโรสมีแผนให้โรงเรียนปลูกปัญญาย้ายออกไปได้อย่างไร”
รสสุคนธ์สูดลมหายใจเข้า จ้องตาผู้ถามแน่วนิ่ง คิดไว้ไม่มีผิดว่าเขาคงต้องหาทางเล่นงานหล่อนอยู่
“อิท ลุงว่าจบการประชุมเท่านี้ก่อน ให้พนักงานกลับไปทำงานของเขา นี่ก็นั่งในห้องนานเกินหนึ่งชั่วโมงแล้ว”
มีเพียงประธานบริษัทคนเดียวเท่านั้นที่สั่งหยุดการประชุมได้ท่ามกลางประเด็นคุกรุ่นระหว่างอิทธิฤทธิ์กับรสสุคนธ์ ด้วยเพราะไม่อยากให้คนนอกครอบครัวเห็นการโต้เถียงที่มีแต่จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ผู้บริหาร และเมื่อพนักงานคนสุดท้ายออกจากห้องประชุม คนแรกที่ยิงคำถามใส่หล่อนก็คือมารดา
“นี่แกคิดจริงๆ หรือว่าจะทำโครงการสำเร็จ แค่ไล่ที่โรงเรียนนั่นแกยังทำไม่ได้”
“หนูทำได้ค่ะ หนูใช้วิธีของหนูอยู่ ถึงจะไม่ทันใจเท่าที่แม่อยากเห็น แต่หนูมั่นใจว่าหนูทำให้เขาย้ายออกได้โดยที่ไม่มีใครสูญเสีย”
“ไม่มีใครสูญเสียหรือ” อิทธิฤทธิ์แค่นหัวเราะ “นี่จบการเงินมาจริงหรือเปล่า ไม่รู้หรือไงว่าเงินที่คุณากรพร็อพเพอร์ตี้ใช้ลงทุนเป็นเงินเท่าไร ยังไม่รวมเงินกู้ส่วนของมิสเตอร์เรมอนด์ที่เราต้องจ่ายดอกเบี้ยธนาคารทุกเดือน หรือพูดให้ละเอียดคือ เราต้องเสียรายจ่ายทุกวินาที”
“ถ้าโครงการเสร็จเมื่อไร เราจะเคลียร์หนี้ทั้งหมดได้” รสสุคนธ์เอ่ยเสียงมาดมั่น
“แต่แกมีเวลาแค่สิ้นปี นี่ฉันคิดผิดหรือเปล่าที่ส่งแกไปเรียนถึงเมืองนอก!”
คำดูแคลนของมารดาสร้างความเจ็บแค้นในอกผู้เป็นลูก ที่แม้จะอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มที่หล่อนไม่อยากถือเขาเป็นคนในครอบครัว แต่รสสุคนธ์ก็สุดจะทานทนแล้ว
“แต่เวลาแค่นั้นคงจะพอให้แม่จับหนูขายให้พี่อิทเพื่อกอบกู้วิกฤตบริษัทสินะคะ!”
“ยายโรส!” นางปัทมาโกรธจนหน้าแดง ลุกขึ้นทุบโต๊ะอย่างแรง แต่ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงดังโครม พอทั้งคู่หันไปทางต้นเสียง ก็เห็นคุณากรล้มตัวไปนอนตะแคง เอามือกดหน้าอกด้านซ้าย หอบหายใจทรมาน
“พ่อคะ!”