สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
My Roseสำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
บทที่ ๑๙
จวบจนปลายเข็มสั้นของนาฬิกาชี้ไปที่เลขสิบเอ็ดเวลากลางคืน รสสุคนธ์ถึงได้มายืนเกาะซี่รั้วประตูโรงเรียนปลูกปัญญาใต้ละอองฝนโปรย
อาการของบิดาปลอดภัยดีแล้วก็จริง แต่ยังต้องพักฟื้นต่อที่โรงพยาบาลเพราะแพทย์เห็นสมควรว่าควรต้องผ่าตัด ซึ่งหล่อนควรจะได้อยู่ปรนนิบัติข้างกาย ทว่าแววตาของมารดานั้นกำลังกล่าวโทษว่าหล่อนเป็นต้นเหตุของปัญหา จึงเปล่าประโยชน์ที่จะหาคำพูดมาอธิบาย พานให้หล่อนคิดถึงตักอุ่นของยาย คิดถึงมือที่คอยลูบปลอบ คิดถึงดวงตาโรยวัยที่มองมาด้วยความอ่อนโยน คิดถึงอ้อมกอดที่เคยใช้เป็นหลุมหลบภัย แต่นาทีนี้หลุมหลบภัยของหล่อนไม่มีอีกแล้ว
สายฝนเริ่มลงเม็ดหนาขึ้น รสสุคนธ์สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วใช้แขนเสื้อปาดน้ำตาที่ผสานเข้ากับน้ำฝน ชะเง้อชะแง้มองเข้าไปภายในโรงเรียนผ่านซี่รั้วประตู แต่ไฟทุกดวงของโรงเรียนดับสนิท พวกเขาอาจเข้านอนกันแล้ว ป่วยการที่จะยืนอยู่ตรงนี้ รสสุคนธ์จึงผินหน้าออกหันหลังพิงรั้วโรงเรียน แล้วแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าหม่น หวังให้เกล็ดน้ำตาย้อนคืนกลับสู่บ่อของมัน แต่คำปรามาสของมารดายังฝังลึกในโสต แค่ห้าเดือนเท่านั้นที่หล่อนต้องทำงานให้สำเร็จ และก็เป็นอีกแค่ห้าเดือนเท่านั้นที่หล่อนอยากเก็บคืนความรู้สึกที่ค่อยๆ ผุดขึ้นจากใจ
ในตอนนั้นมีไฟหน้ารถสว่างจ้าสาดส่องเข้ามา แสงของมันกระทบละอองฝนเกิดเป็นประกายสีทองระยิบระยับ รสสุคนธ์รีบยืดตัวยืนตรง มองรถคันโตเคลื่อนเข้ามาจอดสนิท จากนั้นประตูอัตโนมัติก็ค่อยๆ เลื่อนเปิด เผยให้เห็นครูหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์
“คุณรสสุคนธ์” ดวงตาคู่นั้นประหลาดใจที่เห็นหล่อน เขารีบลงจากรถแล้วก้าวเข้ามาหา ก่อนที่รถคันหรูจะเคลื่อนตัวถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
“ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวตอนกลางคืน” ร่างสูงเขยิบเข้ามาประชิดจนรสสุคนธ์ได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงโชยจากตัว
“คือ... ฉัน...” หล่อนอ้ำอึ้งหาคำพูด แต่พอถูกจ้องตาเขม็งก็รีบก้มหน้าไม่อยากให้เห็นคราบมาสคาราที่ละลายเพราะน้ำตาและน้ำฝน
ต้นกล้าคว้าข้อมือหล่อนแล้วจูงเข้าไปในห้องพักครูโดยไม่พูดไม่จา แล้วหยิบผ้าขนหนูออกจากตู้มายีบนผมชื้นเพื่อซับน้ำจากโคนถึงปลาย แม้จะไม่นุ่มนวลเหมือนมือของยายหรือพี่เลี้ยงแต่รสสุคนธ์ก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน ราวกับว่าเขาผู้นี้เคยซับผมให้ใครมาก่อน หรือน้ำหอมกลิ่นดอกไม้หวานที่โชยจากตัวเขาจะเป็นเครื่องยืนยันว่าเขากำลังคบหากับใครอยู่
เพียงแค่คิดว่าคนที่กำลังมองหล่อนด้วยแววตาอ่อนโยนคนนี้อยู่กับใครมา หัวใจของรสสุคนธ์ก็เจ็บแปลบ น้ำตาที่เริ่มแห้งพลันเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้วจู่ๆ เจ้าของดวงตาสีสวยก็เอาผ้าขนหนูขยี้หน้าหล่อนเต็มแรง
“โอ๊ย คุณทำอะไรน่ะ ฉันเจ็บนะ” รสสุคนธ์รีบยกมือปัดป้อง
“ก็ผมแห้งแล้ว แต่หน้ายังไม่แห้ง ก็เลยจะซับให้” ต้นกล้าบอกแล้วขยี้หนักขึ้นไปอีก “บอกผมสิว่าทำไมมายืนร้องไห้หน้าโรงเรียนกลางดึก หรือคิดได้แล้วว่าไม่มีทางพังโรงเรียนได้ก็เลยร้องไห้เสียใจ”
รสสุคนธ์ย่นจมูกใส่ คว้าผ้าขนหนูมาไว้ในมือ “คิดได้นะคุณน่ะ”
เขาหัวเราะในลำคอ พลางจ้องตาหล่อนเหมือนอยากรู้ความจริง แต่หล่อนจะตอบไปตรงๆ ได้อย่างไรว่าโรงเรียนปลูกปัญญาเป็นที่แรกที่หล่อนคิดถึง เพราะนอกจากบ้านหลังที่หล่อนใช้ชีวิตจนเติบโตแล้ว ก็มีเพียงที่แห่งนี้ที่อยู่ในวังวนความคิด
“แล้วคุณล่ะ หนีโรงเรียนไปเที่ยวไหนมา ไม่ต้องไปรับจ้อยกับจ๊ะจ๋าแล้วหรือไง”
เขาคลี่ยิ้มตอบเสียงลอยๆ “ก็รายได้ครูไม่พอเลี้ยงทุกปากท้องที่อยู่ในความรับผิดชอบ แถมผู้ปกครองยังทยอยมาขอให้ลูกหลานตัวเองลาออก ผมเลยต้องไปทำงานหารายได้เสริม”
รสสุคนธ์เบ้ปาก “งานอะไรของคุณถึงได้มีน้ำหอมผู้หญิงติดตัวมา”
“คุณได้กลิ่นด้วยหรือ” ต้นกล้าพูดแล้วก็จับเสื้อเชิ้ตตรงอกขึ้นดม
“ใช่ ฉุนจะตาย” หล่อนตั้งใจประชด
“ฉุน?” เรียวปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ดวงตาสีน้ำผึ้งส่องประกายแวววาว “แต่ผมว่าหอมนะ ยิ่งดมยิ่งหอม”
หมั่นไส้ชะมัด! รสสุคนธ์ฟังแล้วรู้สึกร้อนในอกพิลึก “ฉันขอตัวลาก็แล้วกัน ขอบคุณสำหรับผ้าขนหนูนะคะ ฉันจะเอากลับไปซักให้”
“รอให้ฝนซาลงก่อนค่อยกลับ ผมมีเสื้อกับกางเกงแบบที่คุณน่าจะพอใส่ได้ในตู้ ไปเปลี่ยนซะ ผมไม่อยากให้คุณป่วยจนขาดเรียนคลาสปลูกกุหลาบของผม”
แม้เส้นเสียงจะฟังคล้ายสั่ง แต่ดวงตาคู่นั้นแสนอ่อนโยน ต้นกล้าเดินออกไปเพื่อยกความเป็นส่วนตัวให้ รสสุคนธ์จึงต้องทำตามคำสั่งครูหนุ่ม เลือกหยิบเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มแบบมีเชือกออกจากตู้ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชื้นแฉะออกแล้วสวมใส่ชุดใหม่ เนื้อผ้านุ่มหอมทำให้หล่อนสบายใจขึ้นได้อย่างประหลาด จากนั้นเดินออกจากห้องเพื่อคืนพื้นที่ส่วนตัวให้เขา
รสสุคนธ์ไม่พบชายหนุ่มอยู่แถวนั้น พลันมองไปทางโรงเรือนกุหลาบเห็นไฟเปิดอยู่ แม้รู้ว่าควรพาตัวเองกลับได้แล้ว แต่ใจยังอยากอยู่ให้นานอีกสักหน่อย จึงเดินกลับไปหยิบกีตาร์ของเขาแล้วใช้ผ้าขนหนูคลุมตัว กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปในแปลงกุหลาบ พอเปิดประตูโรงเรือนก็เห็นร่างสูงกำลังยืนจ้องเจ้าโรสนิ่งงันราวกับกำลังสื่อสารกับมันทางโทรจิต
“คุณต้นกล้าคะ” รสสุคนธ์เดินไปหยุดยืนตรงหน้าเขา แล้วกางแขนสองข้างพลางหมุนตัวให้อีกฝ่ายเห็นสภาพของหล่อนในชุดหลวมโคร่ง “ฉันดูเป็นไงคะ”
“ดูดีที่สุด” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มมองด้วยดวงตาละมุน
“ฉันรู้น่าว่าคุณแกล้งชม” หญิงสาวไม่คิดหลงกล ถึงจะแอบเก็บความดีใจไว้ในอกอยู่ก็ตาม แล้วเฉไฉเดินมาดูกระถางของเจ้าโรสที่วางตรงหน้าชายหนุ่ม แต่พอเห็นบางสิ่งเกิดขึ้นกับมัน รสสุคนธ์ก็ร้องดีใจ
“คุณต้นกล้า มันมีดอกตูมงอกออกมาเยอะเลย! ที่คุณเคยบอกให้ฉันตัดใจเด็ดดอกตูมทิ้งช่วงแรกๆ แล้วมันจะออกเยอะกว่าเดิม ฉันคิดว่าคุณโกหกเสียอีก”
“มันดิ้นรนหาทางให้ตัวเองอยู่รอดครับ พอเราเด็ดดอกมันทิ้งไป มันก็จะรู้ว่าต้องสร้างอะไรขึ้นมาทดแทน แต่ที่มันทำได้ก็เพราะเรายอมอดใจ ไม่ให้ดอกมันบานเพื่อมันจะได้สะสมพลังไว้สร้างยอดอ่อนยอดใหม่ขึ้นมา กุหลาบก็เหมือนกับคน ยอมอดทนอดกลั้น สะสมความตั้งใจให้เต็มเปี่ยม แล้วปลดปล่อยมันออกไปเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะสวยงามสมดั่งที่ตั้งใจ”
รสสุคนธ์คิดตามคำพูดนั้น หมายความว่าในอีกห้าเดือนข้างหน้า คนที่สมใจจะเป็นเขา แล้วหล่อนก็จะต้องก้าวเดินตามโซ่ตรวนที่ล่ามเข้าสู่พิธีวิวาห์อย่างนั้นหรือ รสสุคนธ์ถอนหายใจพรู อาการดีใจในนาทีก่อนหน้ากลายเป็นหมอกสลายไปในอากาศทันที
“แล้วคุณเอากีตาร์ของผมออกมาทำไม”
ถ้าจะให้บอกว่าแปลก ก็คงแปลกที่หล่อนมีกีตาร์ของเขาในมือนี่ละ รสสุคนธ์กลืนความทุกข์ลงคอแล้วคลี่ยิ้มกว้าง ส่งกีตาร์ให้แก่เจ้าของ “คืนที่ฉันไปหาคุณแล้วโดนคนงานทำร้าย คืนนั้นฉันอยากบอกคุณว่าฉันมีวิธีให้ครูเพ็ญได้ฟังคุณร้องเพลงกับฟังเรื่องที่ฉันเล่าโดยที่เราไม่ต้องเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยค่ะ แต่อยากให้คุณร่วมมือด้วย”
คนฟังเลิกคิ้วสงสัย ขณะที่หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เปิดระบบบันทึกภาพ หันหน้ากล้องมาทางตัวเอง แล้วโบกมือทักทายให้กับภาพหน้าจอโทรศัพท์ พร้อมส่งยิ้มกว้างกล่าวคำพูดกับสมาร์ตโฟน
“สวัสดีค่ะครูเพ็ญ นี่โรส นักเรียนนอกผู้ชอกช้ำกับกระทะของเชฟจอมซาดิสต์เองค่ะ” จากนั้นก็พลิกจากกล้องหน้าเป็นกล้องหลังบันทึกภาพครูหนุ่ม “แล้วก็คนนี้ นายต้นกล้า คุณครูที่ชอบเก๊กหน้าขรึมตลอดเวลา”
“นี่คุณ” ครูหนุ่มพยายามคว้าโทรศัพท์ไปจากมือ แต่หล่อนไวกว่า ก้าวถอยหลังแล้วพลิกหน้ากล้องกลับมาทางตัวเองก่อนวิ่งไปเกี่ยวคล้องแขนแกร่ง ฉายภาพของทั้งสองในหน้าจอ พลางเอ่ยพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เราสองคนอยากให้ครูเพ็ญแข็งแรงขึ้นไวๆ ก็เลยอัดวิดีโอให้ครูเพ็ญดูพวกเราแก้เหงาในวันห้ามเยี่ยมค่ะ”
สีหน้าของชายหนุ่มบนหน้าจอเหลอหลาในตอนแรก แต่หลังจากที่หล่อนพูดกับภาพเคลื่อนไหวของตัวเองในโทรศัพท์ก็เริ่มเข้าใจความต้องการของหญิงสาว จึงยกมือโบกทักทายให้กับตัวเองในจอเล่นตามบทที่ถูกยัดเยียดให้ ทำเอาหญิงสาวกลั้นยิ้มไม่อยู่
“โรสจะเล่าเรื่องเชฟจอมซาดิสต์ให้ฟังนะคะ ระวังขำจนปวดท้องนะ” รสสุคนธ์เอ่ยก่อนวางโทรศัพท์ไปบนชั้นตำแหน่งที่สามารถเห็นเขากับหล่อนชัดเจนในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า “พอฟังเรื่องขำๆ จากโรสจบ คุณต้นกล้าจะร้องเพลงกล่อมครูเพ็ญให้หลับสบายค่ะ”
แล้วจากนั้นหล่อนก็เริ่มต้นเล่าเรื่องประสบการณ์การทำงานครัวร้านอาหารไทยในแดนอังกฤษ ด้วยความที่ไม่เคยได้แตะต้องงานใดในบ้านนอกจากหนังสือเรียนและคีย์เปียโน ลูกคุณหนูอย่างรสสุคนธ์จึงใช้การไม่ได้เมื่อก้าวเข้าสู่โลกที่ต้องช่วยเหลือตัวเองซึ่งหล่อนปิดเป็นความลับต่อครอบครัวตลอดมา
เรื่องราวเริ่มจากการรับออร์เดอร์อาหารผิดๆ ถูกๆ ทำไวน์หกใส่เสื้อแขกจนถูกตะเพิดให้ไปทำงานในครัว แต่ความไม่ประสีประสาจนไม่น่าให้อภัยของหล่อนก็มาจบตรงที่แยกไม่ออกว่ากะเพรากับโหระพาแตกต่างกันอย่างไร เป็นเหตุให้แกงเนื้อแกะราคาหลายปอนด์มีรสชาติเพี้ยนทั้งหม้อ และนั่นเองที่เป็นเหตุผลของการถูกเชฟโยนกระทะใส่ก่อนไล่หล่อนออกจากงาน
“ตั้งแต่นั้นมา ชื่อเสียงของโรสก็กระฉ่อนไปทุกร้านอาหารไทยทั่วอังกฤษ ทุกที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อย่าให้รสสุคนธ์บุกเข้าไปถึงครัวนะ เพราะหล่อนจะทำร้านคุณพังพินาศ!”
น้ำเสียงใสจบเรื่องพร้อมด้วยการหลับตานึกถึงอดีตที่ไม่ค่อยน่าภูมิใจ แต่พอลืมตาขึ้นเห็นภาพเรียวปากหยักกลั้นยิ้มของคนที่อยู่ร่วมหน้าจอ หล่อนก็ยืนเท้าเอว เชิดหน้าพูด
“ฉันเล่าเรื่องนี้ให้ครูเพ็ญฟัง ฉะนั้นไม่อนุญาตให้คุณขำ”
“ถ้าอย่างนั้นตอนผมร้องเพลง คุณก็ต้องปิดหู” ชายหนุ่มสวนกลับ
“ได้อย่างไร คุณฟังฉันเล่าไปแล้ว ฉันก็ต้องได้ฟังคุณร้องเพลงสิคะ”
“เปลี่ยนเป็นผมเล่นกีตาร์แล้วคุณร้องดีกว่า” เขาเสนอความเห็นใหม่ แล้วหันไปทางหน้าจอโทรศัพท์ “ครูเพ็ญฟังผมร้องเพลงมานานแล้ว ให้คุณรสสุคนธ์ร้องบ้างใช่ไหมครับครูเพ็ญ”
อย่างกับได้ยินคำตอบจากคนที่พักฟื้นที่โรงพยาบาล เขาเออออเอาเองแล้วยกกีตาร์ขึ้นประคอง วางนิ้วลงบนสาย “คุณอยากร้องเพลงอะไร”
“คือ... ฉัน... ฉันร้องเพลงไม่เป็น” หล่อนอึกอักตอบ
“อะไรกัน คุณบอกว่าคุณเรียนเปียโนมาไม่ใช่หรือไง”
“ใช่... ฉันเรียน แต่... ฉันร้องเพลงไม่เป็น”
“เอาเพลงง่ายๆ ก็ได้ เพลงที่คุณชอบตอนเด็กๆ” เขายังคะยั้นคะยอไม่เลิก
รสสุคนธ์กลืนน้ำลาย สบกับดวงตาของครูหนุ่ม แล้วค่อยๆ เปล่งเสียงร้องบทเพลงที่จำได้ว่าชอบในวัยเด็ก “ยามเมื่อเป็ดมันเดินไป...”
เขาคลี่ยิ้มบาง เริ่มพรมนิ้วลงบนกีตาร์เป็นทำนองของบทเพลง
“มองแล้วไม่น่าดูเลย...”
ดวงตาสีน้ำผึ้งยังจดจ้องมอง นิ้วเรียวสวยไล้สายเอ็นเป็นคอร์ดฟังไพเราะไม่เหมาะกับเสียงร้องที่หล่อนเปล่งออกมาไม่ต่างกับเสียงเป็ดในบทเพลง
“จำไว้เถิดนะเพื่อนเอ๋ย...”
รสสุคนธ์อายในน้ำเสียงแปร่งเพี้ยนจนอยากหยุด แต่ชายหนุ่มยังคงส่งกำลังใจผ่านดวงตาคู่อบอุ่น แล้วเปล่งเสียงนุ่มประสานท่อนสุดท้ายร่วมร้องไปกับเสียงร้องกร้านหูของหล่อน
“จงอย่าเดินให้เหมือนเป็ด”
บทเพลงจบลงในตอนที่รอบกระบอกตาของรสสุคนธ์ร้อนผ่าว ยืนขาแข็งสบตาครูหนุ่มนิ่งเหมือนสูญเสียพลังทั้งหมดไปกับการร้องเพลงแค่ไม่กี่ท่อน จนเขาต้องเป็นคนเดินไปหยุดการบันทึกภาพ
“คุณทำเอาผมเกือบลืมโน้ตต้นฉบับ” เขาตบหัวหล่อนด้วยคำพูดหยอกแรงแต่ก็แล้วลูบแก้มเบาๆ ด้วยคำพูดต่อมา “แต่ก็เป็นการเล่นกีตาร์เพลงเป็ดที่ทำให้ผมลุ้นสุดตัว”
“ฉันเรียนดนตรีมาก็จริง แต่ก็ไม่มีพรสวรรค์ถึงขั้นเป็นนักดนตรี” รสสุคนธ์หลุบตามองวัชพืชที่ขึ้นแซมจากผิวดิน “และคงเพราะเรียนแล้วก็ไม่ก้าวหน้าไปไหน ฉันก็เลยโดดเรียนประจำ ถ้าแม่จับได้ก็จะโดนทำโทษ ขังไว้ในห้องกับเปียโนให้ซ้อมทั้งวันจนกว่าแม่จะพอใจ”
หล่อนสูดลมหายใจเข้าแล้วคลี่ยิ้มให้เขาอีกครั้ง จากนั้นค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่คั่งค้างในใจออกมา “แต่แม่ก็ไม่เคยยอมแพ้ นอกจากเปียโนแล้วก็ให้ฉันเรียนอะไรต่อมิอะไร ไม่สนใจว่าฉันจะชอบหรือไม่ชอบ ไม่รู้ว่าที่อยากให้เรียนเพราะกลัวน้อยหน้าลูกคนอื่นในวงสังคมหรืออยากให้ฉันได้ค้นหาสิ่งที่ชอบจริงๆ กันแน่”
“แล้วคุณเจอหรือยัง”
ดวงตาคมเงยหน้าสบตาครูหนุ่มเจ้าของคำถาม
“คุณเจอสิ่งที่คุณชอบทำหรือยัง”
รสสุคนธ์กลืนน้ำลาย มีเหงื่อซึมจากฝ่ามือทั้งสอง หายใจไม่คล่องเหมือนเคย ได้แต่เม้มริมฝีปาก อยากพยักหน้าบอกความรู้สึกในใจ แต่คมหอกของภารกิจกู้วิกฤตคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ที่กำลังเสียบแทงคอทำให้หล่อนสูดลมหายใจ กำมือทั้งสองแน่น แล้วเอ่ยออกไปว่า
“เรื่องที่ชอบที่สุดก็เห็นจะเป็นการทำทุกเป้าหมายให้สำเร็จ แน่นอนว่ารวมถึงให้คุณย้ายโรงเรียนออกจากที่นี่ด้วย”
เขานิ่งงันไปชั่วขณะ “แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวหรือครับที่คุณชอบ”
“ค่ะ เรื่องเดียว” ถึงจะไม่แหบเพี้ยนเหมือนตอนร้องเพลง แต่ก็หวังให้เขาจับความสั่นในเส้นเสียงไม่ได้ “คุณเลิกถามคำถามที่เหมือนกับเวลาคุณถามเด็กว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรเถอะค่ะ ฉันโตแล้ว เลิกวาดฝันในวิมานอากาศมานานแล้ว”
“โรงเรียนปลูกปัญญาเป็นวิมานในอากาศของผม” ดวงตาคมเปล่งประกายคล้ายมีลูกไฟลอยเด่นอยู่ในนั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่คุณต้องตื่นแล้วละค่ะ”
ชายหนุ่มแค่นหัวเราะก่อนก้าวขาเข้ามาประชิดจนหล่อนไม่ทันตั้งตัว ถอยเท้าไม่ทัน ได้แต่กลั้นหายใจตอนที่ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้ เอ่ยเสียงเรียบแต่ฟังแล้วเย็นเยียบไปถึงหัวใจ
“หรือไม่... ผมก็จะจับคุณโยนออกไปจากความฝันของผม โยนคุณออกไปเหมือนกับที่เชฟทำกับคุณ แล้วบอกตัวเองทุกวันว่าอย่าให้คุณเข้ามายุ่มย่ามในที่ที่เป็นของผมอีก ทั้งๆ ที่ควรจะทำตั้งแต่วันแรกที่คุณมา”
รสสุคนธ์ยกยิ้มที่มุมปาก แสร้งสร้างภาพให้เขาเห็นว่าหล่อนไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว “แย่หน่อยที่ฉันยังยืนต่อหน้าคุณตอนนี้”
“นั่นเป็นเพราะผมหวังว่าจะเปลี่ยนหัวใจคุณได้ด้วยข้อแลกเปลี่ยนบ้าๆ ที่ผมคิดว่าคุณไม่มีทางตกลง” ดวงตากร้าวของเขาทำให้หัวใจของหล่อนกระตุกสั่น
“แต่... คุณก็ตกลง... คุณตกลงรับข้อแลกเปลี่ยนของผม”
ทว่าแววตาของเขาดึงหล่อนให้ตกลงไปในบ่อแห่งความเศร้าลึกสุดหยั่งที่สถิตอยู่ในดวงตาประกายสวยคู่นั้น ยากเกินจะแหวกว่ายให้พ้นจากพลังเร้นลับ
“บอกผมทีสิว่าถ้าดอกกุหลาบบานในอีกห้าเดือน คุณจะยังไม่เปลี่ยนใจ...” เสียงของเขาดังใกล้กว่าที่เคย เรียวปากหยักสวยก็ชิดเข้ามาเกินระยะพอดี
ได้โปรด อย่าใกล้กว่านี้อีกเลย... รสสุคนธ์ภาวนาในใจ หล่อนกำลังหลอมละลายเหมือนช็อกโกแลตในเตาร้อน
“บอกผมมา” เขาเคลื่อนมืออุ่นขึ้นมาที่ต้นแขน แล้วดึงตัวหล่อนเข้าไปหา “บอกผมว่าคุณจะไม่เปลี่ยนใจ”
หัวใจของหล่อนเต้นแรง ยืนตัวแข็งจับจ้องใบหน้าคมคร้าม ปล่อยให้ปลายนิ้วแกร่งเลื่อนขึ้นมาไล้ตามกลีบปากบาง สบประสานกับดวงตาส่องประกายวิบวับวาววามดั่งมีหิ่งห้อยโบกบินในดวงตาคู่งาม
“คุณรสสุคนธ์”
หญิงสาวไม่เคยฟังชื่อตัวเองแล้วรู้สึกไพเราะเท่านี้มาก่อน อีกทั้งตัวหล่อนก็ไม่เคยสะท้านซ่านเพราะใครเช่นกัน แต่กับเจ้าของเรียวปากหยักที่กำลังขยับมาใกล้นั้น กลับทำให้ร่างกายระทวยจนจับต้นแขนแกร่งให้มั่น
เพล้ง!
เสียงแตกของกระถางดินเผาทำให้หล่อนสะดุ้งโหยง
เพล้ง!
เด็กชายทุ่มกระถางดินเผาลงพื้น เขม้นมองหล่อนและครูของตนด้วยดวงตาโกรธเกรี้ยว
“ครูกล้าทรยศผม ครูกล้าทรยศทุกคน! ผมเกลียดครูกล้า!” จ้อยลั่นเสียงแหลมเล็กแล้ววิ่งออกจากโรงเรือนไป
รสสุคนธ์ไม่รู้ว่าจ้อยคิดอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมครูหนุ่มถูกกล่าวหาเช่นนั้น แต่หล่อนเห็นความผิดหวังในแววตาของเด็กชาย
“จ้อย เดี๋ยว!”
ต้นกล้าปล่อยมือจากรสสุคนธ์แล้วจะวิ่งตามเด็กชายไป แต่แล้วก็หยุดขาชะงัก หันกลับมามองหล่อนด้วยตาสำนึกผิด
“รีบตามไปเถอะค่ะ ท่าทางโกรธจัดแบบนั้น ปล่อยให้วิ่งเตลิดไปไม่ดีแน่” แม้หัวใจหล่อนเองจะกำลังสั่นระรัวในอก แต่ก็เลือกเอ่ยประโยคที่รู้ว่าเขาอยากได้ยิน และพอสิ้นคำเขาก็รีบตามเด็กชายออกไปทันที ส่วนรสสุคนธ์นั้นขาพับขาอ่อนทรุดตัวลงหมดแรงกองกับพื้น
‘บอกผมสิว่าคุณจะไม่เปลี่ยนใจ’ เสียงของเขา... คำพูดของเขา... ปลายนิ้วของเขายังทิ้งค้างความรู้สึกไว้ในหัวใจ
รสสุคนธ์อยากบอกเขาเหลือเกินว่าหล่อนไม่คิดเปลี่ยนใจ แต่ก็กลัวเหลือเกินว่าชีวิตของหล่อนต่อจากนี้จะไม่เบ่งบานเหมือนดั่งเจ้าโรสที่เขากำลังใช้มันแลกกับชีวิตของหล่อนเอง