สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
My Roseสำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
บทที่ ๒๑
รสสุคนธ์นึกสงสัยว่าทำไมเจ้าของหมายเลขถึงไม่ยอมรับสายเสียที หล่อนเพียงอยากบอกว่าพรุ่งนี้ไปไม่ทันคลาสเรียน สุดท้ายก็ล้มเลิกความตั้งใจในการแจ้งขาดเรียนกับครูหนุ่ม แล้วหันไปจัดเสื้อผ้าสำหรับค้างโรงพยาบาลหนึ่งคืน พร้อมทั้งเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับสวมใส่ที่ไซต์งานให้เพียงพอหนึ่งอาทิตย์ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นร่างระหงจึงเดินไปเปิดประตู เห็นแม่บ้านคนเก่าคนแก่ของครอบครัวยืนยิ้มแห้งๆ ในมือถือเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่
“วันก่อน ป้ามาทำความสะอาดห้องคุณโรส แล้วซุ่มซ่ามทำถังน้ำตกมือจนน้ำไหลไปเปียกถุงใส่เสื้อเชิ้ตที่คุณโรสวางไว้บนพื้น ป้าเลยเอาไปซัก ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
มันคือเชิ้ตของอิทธิฤทธิ์ที่แพรพรรณรายฝากหล่อนให้ส่งถึงเขา แล้วก็ดันลืมไปเสียสนิท
“ไม่เป็นไรค่ะ” รสสุคนธ์คลี่ยิ้มแล้วรับเสื้อมา แต่แม่บ้านยังยื่นบางสิ่งมาให้
“แล้วก็อันนี้ค่ะ มันอยู่ในกระเป๋าเชิ้ต ป้าเอาออกก่อนใส่เครื่องซัก”
หญิงสาวเลิกคิ้ว รับเอาซองจดหมายสีชมพูหวานที่ไม่ได้จ่าหน้าถึงใครมาแล้วขอบคุณแม่บ้าน ก่อนปิดประตูห้อง วางทั้งเชิ้ตและจดหมายไว้บนเตียง ใจหนึ่งบอกให้ทำเพิกเฉย แต่อีกใจคะยั้นคะยอให้หล่อนหันกลับไปมอง จนในที่สุดก็หยิบซองจดหมายมาเปิดอ่าน
แล้วรสสุคนธ์ก็ต้องหายใจแรงจนหน้าอกสะท้อนขึ้นลง เพราะลายมือบนกระดาษสีหวานนั้นเป็นลายมือของเพื่อนสาวไม่ผิดแน่ แต่ข้อความหวานซึ้งลงท้ายด้วยคำว่ารักหมดใจ กับรอยจูบจากริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงที่ประทับบนกระดาษนี้มาจากความตั้งใจของแพรพรรณรายจริงหรือ
รสสุคนธ์ไม่เคยรู้สึกอะไรกับอิทธิฤทธิ์เกินไปกว่าคำว่าพี่ชายนั่นคือความจริง แต่มือที่สั่นระริกกับหัวใจที่เต้นถี่เกิดจากความโกรธเจือปนความผิดหวัง ถึงจะรู้ว่าผู้ชายมากเสน่ห์อย่างอิทธิฤทธิ์ไม่มีทางขาดสตรีให้เชยชม แต่ทำไมต้องเป็นแพรพรรณราย ทำไมต้องเป็นเพื่อนรักของหล่อนด้วย
รสสุคนธ์โกรธจนอยากจะขยำกระดาษข้อความทิ้ง แต่ก็หยุดมือทันแล้วสอดกระดาษฝากรักจากเพื่อนสนิทถึงชายที่ร่ำๆ อยากจะเป็นสามีของหล่อนกลับคืนใส่ซอง แล้วยกกระเป๋าเดินทางออกจากบ้านมุ่งสู่โรงพยาบาลพร้อมกับความรู้สึกคุกรุ่นในอก
คุณากรหลับไปแล้วตอนที่รสสุคนธ์ไปถึงห้องพักฟื้น ซึ่งนั่นก็ดีสำหรับบุตรสาวที่ไม่อยากให้บิดาเห็นความหม่นหมองบนใบหน้า แต่ความเงียบสงัดของห้องพักฟื้นกลับส่งเสริมให้หล่อนคิดฟุ้งซ่าน จึงเปิดโน้ตบุ๊กแล้วนั่งทำงานไม่ให้สมองว่างจนคิดอะไรต่อมิอะไร
“โรส” เสียงเรียกของบิดาทำให้รสสุคนธ์เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์
“โรสทำให้พ่อตื่นหรือเปล่าคะ” ร่างระหงรีบลุกขึ้นไปหา กล่าวด้วยแววตาสำนึกผิด
คนเป็นพ่อส่ายหน้า “ไม่หรอก วันนี้ทั้งวันพ่อนอนเต็มอิ่มแล้ว”
“แต่ถ้านอนต่อได้ก็นอนนะคะพ่อ พักผ่อนให้มากๆ เห็นคุณหมอบอกว่าถ้าร่างกายยังไม่พร้อม ก็จะต้องเลื่อนนัดผ่าตัดออกไป”
“ลูกก็ต้องพักผ่อนเหมือนกัน เห็นนั่งหน้าเครียดหน้าจอ ระวังนะ โรคหัวใจจะถามหาเหมือนพ่อ”
รสสุคนธ์คลี่ยิ้มบาง “หนูแข็งแรงมากกว่าที่ตาเห็นนะคะ”
คนฟังยังคงมองด้วยดวงตากังวล “พ่อขอโทษนะที่ทำให้โรสต้องทำในสิ่งที่ฝืนใจ”
“ฝืนตรงไหนกันคะ” รสสุคนธ์พยายามปรับแต่งเสียงให้สดใส “ที่หนูทำก็เป็นกิจการงานของครอบครัว อย่างไรสักวันหนูก็ต้องดูแลบริษัทแทนพ่อกับแม่อยู่แล้ว”
“พ่อหมายถึงเรื่องแต่งงาน”
ยิ้มของรสสุคนธ์แคบลง ถึงจะใจชื้นอยู่บ้างที่บิดารับรู้ความรู้สึกตน แต่การที่บิดาเอ่ยออกมาแบบนั้น หมายความว่ายังไม่วางใจให้หล่อนทำงานใหญ่ ถึงได้ตกลงปลงใจกับมารดาเลือกวิธีการนั้นเพื่อดึงผลประกอบการของคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ขึ้นจากปากเหว แต่หล่อนตั้งปณิธานแล้วว่าจะทำให้ธุรกิจครอบครัวผ่านพ้นวิกฤตโดยไม่พึ่งการแต่งงาน
“การแต่งงานเพื่อกอบกู้บริษัทไม่ต่างกับการลงทุนในหุ้นที่ผันผวนหรอกค่ะ ตัวโรสเองยังมั่นใจว่าทำได้ แต่โรสอยากให้พ่อวางความกังวลไว้ก่อน แล้วพักฟื้นร่างกายเพื่อเตรียมตัวผ่าตัดดีกว่า โรสอยากให้พ่อแข็งแรงเพื่อไปร่วมงานเปิดห้างสรรพสินค้าของเรา”
“แล้วเขาคนนั้นจะยอมย้ายออกเมื่อไรล่ะ”
รสสุคนธ์เม้มเรียวปากแน่น รู้ว่าบิดาพูดถึงใคร “ขึ้นอยู่กับผลการตกลงระหว่างโรสกับเขาในอีกสี่เดือนข้างหน้าค่ะ”
“เหลือแค่สี่เดือน...” เสียงของบิดาฟังคล้ายเหนื่อยใจ “เขาใจแข็งหรือหนูใจอ่อน”
จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะถ้าครูหนุ่มไม่ช่วยกอบกู้โอกาสให้หล่อนไว้ในวันที่นายเรมอนด์ไปเยือนโรงเรียน หล่อนก็คงถูกปลดออกจากงานนี้ แล้วนั่งรอสวมแหวนแต่งงานอย่างเดียว ฉะนั้นคำพูดที่ถูกต้องคือเขาและหล่อนต่างให้เวลากันและกันโดยมีกุหลาบต้นสำคัญเป็นตัวชี้วัด
“การเจรจาก็ต้องใช้การประนีประนอมกันนี่คะ โรสยังเชื่อมั่นในหลักความคิดดำเนินธุรกิจแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เขาเป็นคนในชุมชน และเป็นถึงครูบาอาจารย์ ถ้าเราทำให้เขาย้ายออกไปด้วยสันติวิธี บริษัทของเราก็จะได้ความเชื่อมั่นศรัทธาจากชุมชน โรสมั่นใจว่าเขาจะเข้าใจ”
“แล้วเขาเป็นคนอย่างไร”
“เอ่อ...” รสสุคนธ์อ้ำอึ้งหาคำตอบไม่ถูก เมื่อบิดาใช้คำถามเหมือนกับจะสอบสวนนิสัยใจคอของคนที่จะมาเป็นคู่ครอง “โรสไม่รู้จักเขามากถึงขนาดจะบอกว่าเขาเป็นคนอย่างไรได้หรอกค่ะ”
รสสุคนธ์เฉไฉแล้วเดินกลับไปที่โน้ตบุ๊ก ก่อนยกมาอวดความคืบหน้าของโครงการให้บิดาดู “โรสว่าพ่อดูสไลด์ภาพไซต์งานดีกว่า ตรงนี้คือส่วนเมนหลักของห้างสรรพสินค้า เราปรับพื้นที่และตอกเสาเข็มตามจุดสำคัญไปแล้ว และตรงนี้ก็คือ...”
“ตรงนี้จะเป็นลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าในอีกสี่เดือนข้างหน้าใช่ไหม” นิ้วชี้ของบิดาจิ้มตรงผังแผนที่ทางอากาศ แต่จากภาพถ่ายก็ฟ้องว่ายังคงมีอาคารกับพื้นที่สีเขียวปกคลุมอยู่ผิดกับจุดอื่นที่กลายเป็นลานดินก่อสร้าง
“ใช่ค่ะ... ในอีกสี่เดือนข้างหน้า เราจะปักเสาเข็มตรงนี้”
คล้ายกับบิดาของหล่อนยังมีคำถาม แต่นางพยาบาลที่เข้ามาขอวัดไข้และความดันเป็นเหมือนระฆังพักยก รสสุคนธ์ปล่อยให้นางพยาบาลทำงานแล้วเดินออกมานอกห้องเพื่อลองติดต่อหาครูหนุ่มอีกครั้ง แต่เขาก็ยังคงไม่รับสายเช่นเดิม หญิงสาวตัดใจแล้วจะเดินกลับห้องพักฟื้นของบิดา แต่กลับเห็นมารดาคุยกับนายวิชัยด้วยใบหน้าเคร่งเครียดตรงสุดทางเดิน
จะมีธุระปะปังอะไรกันที่แม่ต้องคุยกับคนที่แทบไม่โผล่หน้าไปไซต์งานแต่มาปรากฏตัวในโรงพยาบาล! คำถามในใจทำให้รสสุคนธ์อยากรู้คำตอบ จึงยืนรอจนนายวิชัยกลับไป แล้วเดินเข้าไปหามารดาที่นั่งเงียบบนโซฟาด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“นายวิชัยมาทำอะไรที่นี่หรือคะแม่”
“ไม่ใช่เรื่องของลูก” นางปัทมาปัดคำตอบ
หญิงสาวแค่นหัวเราะ “เรื่องของหนูคงมีแค่การเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวของผู้ชายมากรักที่แม่ประทานให้สินะ”
“แล้วมันสำคัญตรงไหนถ้าอิทธิฤทธิ์ทำให้คุณากรพร็อพเพอร์ตี้ยังมีอนาคตต่อไป”
“ถึงแม้เขาจะมีผู้หญิงอื่นในขณะที่กำลังจะแต่งงานกับลูกสาวของแม่ แม่ก็คิดว่าไม่สำคัญหรือคะ”
“นี่ฉันคิดว่าแกเข้าใจแล้ว แต่แกกลับไม่เข้าใจอะไรเลย” นางปัทมาข่มเสียงพูด จ้องมองบุตรสาวด้วยดวงตาขุ่นเคืองเหมือนหล่อนทำบาปมหันต์ “แกกับเขาแต่งงานกันเพื่อการเอื้อหนุนทางธุรกิจ ส่วนเรื่องความรู้สึกชอบพออะไรนั่นมาทีหลัง แล้วการที่แกมัวแต่คิดเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ ต่อไปฉันจะไว้ใจแกบริหารบริษัทได้อย่างไรกัน”
รสสุคนธ์อับจนแล้วซึ่งคำพูด เมื่อผู้ให้กำเนิดยืนกรานขนาดนี้ ต่อให้อิทธิฤทธิ์มีผู้หญิงอื่นซุกซ่อนเป็นพัน ก็คงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายในความคิดของมารดา
“ตอนแม่แต่งงานกับพ่อ แม่ก็คิดแบบนี้หรือคะ”
“เปล่า...” นางปัทมาสะบัดหน้าหนี “แต่พอมีลูก แม่ก็ทุ่มทุกอย่างเพื่อลูก... ทุกอย่างโรส... ทุกอย่างที่แม่ทำ... แม่ทำเพื่อลูก” มารดากล่าวน้ำเสียงสั่นแล้วหมุนตัวเดินหายเข้าไปในห้องพักฟื้นของบิดา
รสสุคนธ์ปาดน้ำตาที่เพิ่งหลั่งริน สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด เรียกพลังความเชื่อมั่นที่เล็ดลอดจากรูรั่วของหัวใจให้คืนกลับมาให้มากที่สุด
หากคำพูดของมารดาคือความจริงจากใจ รสสุคนธ์ก็กำลังเป็นนกใกล้ตายในกรงทอง แล้วหล่อนจะยอมให้บั้นปลายชีวิตเป็นแบบนั้นหรือ ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าเส้นทางที่เลือกเดินจะนำไปสู่สิ่งที่มุ่งหวังหรือไม่ แต่หล่อนก็จะยังทำตามความตั้งใจของตัวเอง
เช้าวันต่อมา รสสุคนธ์นำเสื้อเชิ้ตและจดหมายไปส่งให้เจ้าของถึงบริษัทแอนเจลฟลาย แม้ชายหนุ่มยังไม่มา หล่อนก็จะรอส่งมอบให้กับมือ จนเวลาล่วงไปเกือบใกล้เที่ยง อิทธิฤทธิ์ถึงปรากฏกายด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แต่พอเห็นหล่อนนั่งรออยู่ในห้องก็ย่นคิ้วมองด้วยดวงตาประหลาดใจ
“ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมา” เขาชักสีหน้าถามเสียงห้วน
“พอดีว่าเป็นทางผ่าน เลยแวะมาส่งของค่ะ หงส์ฝากไว้นานแล้ว แต่โรสลืม ต้องขออภัยด้วยนะคะ” รสสุคนธ์บอกพลางวางถุงกระดาษไว้บนโต๊ะทำงานชายหนุ่ม จากนั้นก็หยิบซองจดหมายสีชมพูหวานออกจากกระเป๋าถือแล้วเดินไปส่งมอบให้กับมือ “ส่วนจดหมายอันนี้... จาก Black Swan”
อิทธิฤทธิ์มองจดหมายในมือหล่อนชั่วขณะ แล้วรับไปด้วยสายตาระแวดระวัง จากนั้นก็หยิบกระดาษด้านในออกมาคลี่อ่าน
“ถ้าคิดว่าสามารถเรื่องยกเลิกงานแต่งด้วยเหตุผลนี้ละก็ โรสคิดผิด” เขากระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วฉีกกระดาษทิ้งลงถังขยะ
นี่เขาพูดอะไรออกมา! ถึงจะเสียใจที่แพรพรรณรายไม่เคยบอกความในใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่ารสสุคนธ์จะเห็นด้วยกับการหยามความรักของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใจให้เขา แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เป็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวของหล่อน
“เราจะแต่งงานกันหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่อง แต่โรสอยากรู้นักว่าทำไมต้องเป็นหงส์ พี่อิทจะไปพัวพันกับใครก็ได้ โรสไม่สนใจหรอก แต่หงส์เป็นเพื่อนรักของโรส ทำแบบนี้มันเกินไป!”
อิทธิฤทธิ์หัวเราะลั่น “รู้อะไรไหมโรส เพื่อนรักของโรสน่ะเป็นฝ่ายเข้ามาเสนอตัวกับพี่ก่อนด้วยซ้ำ”
“โกหก!”
“โรสก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้ปรบมือข้างเดียวไม่ดัง พี่ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่หงส์เดินเข้ามาเอาตัวประเคนให้พี่โดยไม่ต้องการข้อผูกมัด แลกกับการคบกันแบบลับๆ ไม่ให้คนที่ยกให้เขาเป็นเพื่อนรักรู้”
ไม่จริง เขาหลอก ผู้ชายคนนี้โกหกหน้าตาย!
“หงส์ไม่ใช่ผู้หญิงที่พี่ต้องการและการแต่งงานระหว่างเรายังต้องมีอยู่ โรสคงไม่อยากให้คุณลุงกับคุณป้าขายหน้าใช่ไหม ถ้าป่าวประกาศงานแต่งของลูกสาวไปแล้ว แต่ต้องมายกเลิกทีหลัง”
เห็นแก่ตัวที่สุด หญิงสาวนึกต่อว่าอีกฝ่าย นอกจากฉีกความรู้สึกของคนที่มีใจให้ทิ้งแล้ว เขายังจับหล่อนไปผูกกับการแต่งงานเพื่อรักษาหน้าของบุพการีได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
“จนกว่าโรสจะอ้าปากร้องขอให้พี่อิทช่วย โรสกับพี่อิทยังคงสถานะแค่พี่กับน้อง” รสสุคนธ์ขบกรามแน่น “แต่การแต่งงานกับพี่จะเป็นทางเลือกสุดท้ายในชีวิตของโรส”
ชายหนุ่มกระตุกยิ้ม “นั่นอยู่ที่ว่าโรสจะเลือกให้กุหลาบบานหรือไม่บาน”
เขารู้! เพื่อนรักสูบเอาความลับจากหล่อนไปบอกผู้ชายที่ไม่เห็นค่าของตนเหมือนขายวิญญาณให้ยมทูตหรือ!
รสสุคนธ์แค้นจนเผลอขบกรามแน่น มองเขาทิ้งถุงกระดาษพร้อมเสื้อลงถังขยะไปตามจดหมายฝากรักของแพรพรรณรายที่นอนนิ่งในก้นถังก่อนหน้า
“คงจำที่พี่พูดได้ใช่ไหมว่าคุณลุงคุณากรอาจไว้ใจคนผิด”
รสสุคนธ์ขบกรามแน่น สะบัดตัวเดินออกจากมา แล้วขึ้นรถขับทะยานมุ่งหน้าสู่เมืองชายฝั่งตะวันออกด้วยความเร็วเกือบเกินพิกัดกำหนดตามกฎหมาย จนมาถึงห้องพักในโรงแรมที่หล่อนเรียกว่าบ้านหลังที่สองก็พุ่งตรงไปทิ้งตัวลงบนเตียงนอนที่เคยใช้เป็นที่พูดคุยระบายเรื่องราวต่างๆ ให้เพื่อนสาวที่สนิทที่สุดฟัง
อะไรเป็นเหตุให้แพรพรรณรายทำแบบนั้น ผีร้ายตนไหนสิงสู่เพื่อนรักของหล่อนให้เทความไว้ใจทิ้งแล้วไปรอรับความรักจากคนอย่างอิทธิฤทธิ์กัน หรือคำว่ามิตรแท้จริงไม่มีอยู่ในโลก คำว่าทรยศจึงลอยเท้งเต้งในหัวตลอดทางตั้งแต่หล่อนบึ่งรถจากแอนเจลฟลาย
รสสุคนธ์หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ พยายามข่มเจ้าตัวความทุกข์ไว้ไม่ให้มันกลืนกินจิตใจ แต่ก็ยากเหลือเกิน เพราะความรู้สึกตอนนี้ไม่ต่างกับเป็นเรือลำน้อยที่ปล่อยให้ลอยกลางคลื่นมหาสมุทรไร้เข็มทิศนำทาง แต่การทำงานเป็นตัวช่วยไม่ให้ความคิดกระจาย
หญิงสาวรวบรวมแรงฮึดลุกขึ้นจากเตียง แล้วออกไปตรวจงานในไซต์ รายงานจากทีมก่อสร้างยังคงน่าพอใจ แต่งานที่หล่อนฝากนายวิชัยกลับไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ทว่าจะจัดการกับนายวิชัยภายหลัง ในวันนี้คงต้องลงงานเอง รสสุคนธ์จึงขับรถออกจากไซต์งานไปตลาดเทศบาล แล้วคว้าสมุดปากกาเดินเข้าไปจดปัญหาและความต้องการของพ่อค้าแม่ค้า หากว่าหล่อนจะนำโครงการตลาดสดติดแอร์แบบใหม่ที่ทันสมัยและมีอนามัยกว่ามาสู่ชุมชน
รสสุคนธ์ประหลาดใจที่ทุกคนต่างเห็นด้วยกับความคิดนั้น เพียงแต่ขอเรื่องลดค่าเช่าแผงที่อยากให้ช่วยพิจารณา ซึ่งหล่อนก็รับปากว่าจะทำตามคำขอ พอสำรวจความคิดครบทุกเจ้า รสสุคนธ์ก็จะเดินกลับไปที่รถ แต่แล้วก็เห็นผู้ช่วยร่างท้วมเดินหน้ามุ่ยออกจากตรอกแคบท้ายตลาด จึงก้าวขาไปยืนขวาง
“คะ... คุณรสสุคนธ์” นายวิชัยมองหล่อนเหมือนมองผี
“มากับฉัน” หญิงสาวสั่งเสียงเข้มแล้วเดินนำกลับไปยังรถ ก่อนเริ่มต้นด้วยการสอบสวน “ฉันเห็นลายเซ็นของคุณอยู่บนรายงานประจำวัน แต่ฉันไม่ค่อยเห็นคุณมาไซต์งาน”
“ที่ผม... ผมบอกคุณโรสไปไงล่ะครับ... คุณอิทให้ผม... ไปดูโครงการอื่นด้วย” ผู้ช่วยร่างท้วมออกอาการพิรุธอย่างเห็นได้ชัด แต่เจ้านายสาวก็ไม่นิยมปรักปรำใครด้วยความคิดข้างเดียวของตน จึงต้องเรียกตัวมาถามให้คลายความสงสัย
“คุณไปเป็นลูกน้องคุณอิทตั้งแต่เมื่อไรคะ ฉันจำได้ว่าคุณเป็นพนักงานภายใต้การควบคุมของฉัน หรือว่าตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการไม่สำคัญพอให้คุณเคารพ”
ดวงตาหลังเลนส์แว่นสายตาของวิชัยหลุกหลิกพิกล “ถ้า... ถ้าผมบอก... อะไรคุณโรส... ก็ขอให้คุณโรสทำเหมือนไม่ได้เคยได้ฟังจากปากผม... ได้ไหมครับ”
คิ้วเรียวของนายสาวย่นเข้าหากัน เงียบฟังอีกฝ่ายค่อยๆ คลี่คำพูดออกมาทีละคำ “จริงๆ แล้วเรื่องงานของคุณอิทเป็นเรื่องจริง แต่ที่ผมไม่ค่อยได้มาตรวจไซต์เพราะ... คำสั่งของคุณปัทมา...”
“คุณแม่สั่งอะไรคุณ”
คำพูดของนายวิชัยกลืนหายไปกับความเงียบชั่วขณะ พร้อมๆ กับลมหายใจของรสสุคนธ์ที่ขาดช่วงไปเช่นกันในตอนที่ได้ยินประโยคต่อมาออกจากปากผู้ช่วย
“ท่านสั่งให้ผมเอาเงินไปจ้างวานพวกชาวบ้านให้เอาลูกหลานตัวเองลาออกจากโรงเรียนปลูกปัญญา”
รสสุคนธ์สูดลมหายใจเข้าลึก ไม่มีการเชื่อมโยงความคิดใดๆ เว้นแต่ภาพใบหน้าของมารดาที่ผุดขึ้นมาก่อนเลือนหายเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ถูกปิดระบบปฏิบัติการ
“คุณปัทมาคิดว่าถ้าไม่มีนักเรียน โรงเรียนก็อยู่ไม่ได้” นายวิชัยกล่าวต่อไป
รสสุคนธ์ได้ประจักษ์แล้วถึงเหตุแห่งความเศร้าซึมและความเงียบเหงาของโรงเรียนราวกับหล่อนกลายเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา
“คุณรู้ใช่ไหมว่าพ่อค้าแม่ค้าในตลาดเขาสนใจมาร่วมเปิดร้านกับห้างสรรพสินค้าของเรา คุณรู้ใช่ไหมว่าชาวประมงเริ่มอยากจับมือกับเราเพราะเราประกันราคาปลาตั้งแต่เขายกอวนขึ้นจากทะเล แล้วคุณรู้ใช่ไหมว่าฉันกำลังทำให้ประชาชนแถบนี้เขาเห็นประโยชน์ของห้างสรรพสินค้าที่กำลังจะเข้ามาช่วยให้ชีวิตของพวกเขาสบายขึ้น” หล่อนพูดเหมือนทุกครั้งที่ประชุมแผนการและประกาศความตั้งใจกับพนักงานในไซต์ทุกคน
“ผมรู้ครับคุณโรส แต่สิ่งที่คุณโรสทำมันไม่ช่วยให้เสาโรงเรียนสั่นสะเทือนเลยสักนิด” ผู้ช่วยของหล่อนเริ่มมีปากเสียง “ซ้ำร้าย คุณโรสยังมีท่าทีสนิทสนมกับพวกนั้นมากขึ้นทุกวัน ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่คิด พนักงานทุกคน ตั้งแต่ยามเฝ้าไซต์ไปจนถึงโฟร์แมน หรือแม้แต่แม่ธุรการนั่นก็ด้วย”
นายวิชัยหยุดพูด กลืนน้ำลาย แล้วมองเจ้านายด้วยแววตาชื้น “ผมอาจจะคาดหวังกับตัวคุณโรสมากไป แต่... ต้องยอมรับว่าผมยอมรับในการบริหารงานของคุณอิทมากกว่า... คุณโรสเทียบคุณอิทไม่ได้เลยสักนิด”
รสสุคนธ์ไม่มีอะไรจะเอ่ยต่อ และไม่ต้องการได้ยินคำดูแคลนจากใคร แม้ดวงตาที่จ้องมองอีกฝ่ายจะไม่ได้กร้าวกร้านหยาบคาย แต่หล่อนก็เป็นเจ้านายและมีสิทธิ์ที่จะสั่งให้ใครอยู่หรือไป
“ฉันหมดธุระที่จะคุยกับคุณแล้ว คุณย้ายไปอยู่กับคุณอิทได้ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป” สิ้นคำก็นั่งเงียบ เสมือนอยากบอกว่าหล่อนให้อิสระแก่เขาแล้ว แต่นายวิชัยยังคงทำหน้ากล้ำกลืนฝืนทน คล้ายใบหน้าตอนที่หล่อนเห็นเขาคุยกับมารดาที่โรงพยาบาลกลางดึก
“ฉันเห็นคุณคุยกับแม่ของฉันที่โรงพยาบาลวันก่อน แม่ฉันสั่งงานอะไรคุณอีก”
เหงื่อของนายวิชัยผุดตามไรผม ทั้งที่อุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในรถยนต์คันนี้ก็เย็นพอดี “ผม... ผมบอกไม่ได้” พูดจบแล้วดันประตูรถเปิดออก สับขาเดินเร็วจนคล้ายวิ่งห่างออกไป
รสสุคนธ์ระบายลมหายใจ พยายามปัดคำพูดเรื่องผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่เชื่อมั่นในตัวผู้นำอย่างหล่อนออกจากหัว หากพวกเขาต้องการเดินตามพญานกอินทรีมากกว่าเดินตามเป็ดที่จะบินก็บินไม่เก่ง จะดำน้ำก็ทำได้แค่ผลุบๆ โผล่ๆ ละก็ หล่อนก็ยินดีปล่อยไปแต่โดยดี
นี่เป็นที่มาของบทเพลงที่หล่อนชอบร้องเพลงโปรดให้ตัวเองฟังตลอดเวลา ถึงจะบากบั่นตั้งใจเรียนจนคว้าปริญญาบัตรมากอด แต่ก็ไม่สามารถนำทุกอย่างในบทเรียนมาใช้งานได้จริง ถ้ามีศาสตราจารย์คนใดสอนวิธีพลิกฟื้นธุรกิจที่กำลังล่มจมให้ลอยพ้นวิกฤตได้ละก็ หล่อนจะขอก้มหัวให้เขารับเป็นศิษย์
ปลายเข็มสั้นของนาฬิกาวนมาชี้ที่เลขสาม ยามบ่ายของวันนี้ร้อนอ้าวจนน่ารำคาญ มีความชื้นสะสมในอากาศคล้ายกำลังอมเม็ดน้ำฝนให้มากพอก่อนเทลงมาห่าใหญ่ ตั้งแต่รสสุคนธ์พยายามติดต่อครูหนุ่มครั้งล่าสุดจนบัดนี้ ก็ไม่มีข้อความหรือการติดต่อกลับจากเขา หวังว่าต้นกล้าคงไม่โกรธจนถึงขนาดยกเลิกสัญญากันไป
รสสุคนธ์เคลื่อนรถออกจากตลาด มุ่งตรงสู่โรงเรียนปลูกปัญญา แต่พอไปถึงก็ไม่มีวี่แววของครูหนุ่ม ถ้าไม่เหมาเอากุหลาบพวกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิต ทั้งโรงเรียนในตอนนี้ก็มีเพียงหล่อนกับครอบครัวไก่ในกรง จนได้เห็นฝ้ายเดินออกมาจากโรงเรือนกุหลาบ
“สวัสดีค่ะคุณโรส” หล่อนเป็นฝ่ายถูกทักทายก่อน
“สวัสดีจ้ะ แล้วทำไมวันนี้เหลือหนูคนเดียวล่ะ เพื่อนไปไหน”
“เขาลาออกไปแล้วค่ะ”
คำตอบเสียงเศร้าของฝ้ายสะเทือนใจคนฟัง “แล้วคุณต้นกล้าล่ะ เขาไปไหนหรือ”
ดวงตาของฝ้ายหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด “คือว่าครูกล้า... ถูกรถชนเมื่อคืนวานค่ะ...”
ราวกับหัวใจหลุดออกนอกอก รสสุคนธ์ตกใจกับเรื่องที่ได้ยินจนตัวสั่น “ตายจริง แล้วเขาเป็นอย่างไรบ้าง!”
“หนูก็ไม่ทราบ อาเผ่าโทร.บอกพ่อหนูเมื่อเช้ามืด ตอนนี้อาเผ่ายังอยู่โรงพยาบาล...”
ความร้อนใจสั่งการให้รสสุคนธ์วิ่งกลับไปที่รถ แล้วเหยียบคันเร่งจนไปถึงโรงพยาบาล ตรงเข้าไปถามหาห้องพักของครูหนุ่มกับเจ้าหน้าที่ แล้ววิ่งตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยรวม พอผลักประตูเข้าไปก็เห็นนายเผ่า นางแพร้ว และหนูมุกนั่งทอดตามองร่างคนที่นอนหายใจแผ่วอยู่บนเตียง
“ครูกล้าขา คุณโรสมาแล้ว” หนูมุกบอกครูของตนเสียงดังด้วยความไร้เดียงสา จนนางแพร้วต้องจุ๊ปากเตือนให้เบาเสียง
“อาการเขาเป็นอย่างไรบ้างคะ” รสสุคนธ์ถามไถ่ด้วยใจกังวล
นายเผ่าถอนลมหายใจ “กระดูกแขนขวาร้าว ซี่โครงร้าว ขาขวาหัก”
น้ำร้อนเอ่อล้นบ่อน้ำตา หญิงสาวหันไปทางร่างที่ยังหลับนิ่งสงบแล้วตรงรี่เดินเข้าไปใกล้ ไล่สายตาไปตามท่อนแขนกับขาที่ถูกห่อหุ้มด้วยเฝือกหนา ก่อนเคลื่อนดวงตาฉ่ำขึ้นมองใบหน้าของคนที่ยังไม่ได้สติ
“ก็ยังโชคดีที่หัวไม่เป็นอะไร” นายเผ่าเอ่ยต่อ “ไม่งั้นยายหนูมุกร้องไห้น้ำตาหมดบ่อแน่”
“ครูเพ็ญเคยสอนหนูว่าคนดีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ครูกล้าเป็นคนดี” ยายหนูมุกพูดสำทับคนเป็นอาเสียงแจ๋ว
“ใช่แล้ว ครูกล้าต้องไม่เป็นอะไรเนาะหนูมุกเนาะ” นางแพร้วพูดเสริมให้ความเชื่อมั่นแก่บุตรสาว
รสสุคนธ์ก็อยากให้เป็นแบบนั้น แต่คำพูดที่มักใช้ปลอบขวัญเวลาใครสักคนประสบเคราะห์กรรมไม่ได้แทรกซึมสู่หัวใจให้ผ่อนความสั่นลงแม้แต่น้อย และถ้าหล่อนไม่ได้เห็นนัยน์ตาสีน้ำผึ้งป่าเผยออกจากเปลือกตาทั้งสอง ก็จะยังไม่ปักใจเชื่อว่าเขาปลอดภัยแล้วจริง
“ฉันจะเฝ้าเขาต่อเองค่ะ คุณเผ่ากับคุณแพร้วพาหนูมุกไปพักผ่อนที่บ้านเถอะค่ะ” หญิงสาวอาสา ยืนยันคำพูดด้วยแววตามุ่งมั่น
คนทั้งสองมองหน้ากันอย่างลังเลใจ ในที่สุดนางแพร้วก็ดึงตัวนายเผ่าลุกขึ้นพร้อมกับอุ้มหนูมุกเข้าสะเอว “ฉันฝากครูกล้าด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะดูแลเขาให้ดีที่สุด” รสสุคนธ์ตอบกลับเสียงหนักแน่น
ทั้งสามกลับไปแล้วแต่ภายในห้องก็ไม่ได้เงียบสงบ เพราะเป็นห้องผู้ป่วยรวมจึงได้ยินเสียงผู้ร่วมห้องตลอดเวลา หากไม่ใช่ผู้ป่วยโรคติดต่อร้ายแรงหรือระดับอาการขนาดอยู่ในห้องไอซียู การต้องอยู่แบ่งปันห้องพักจึงเป็นสิ่งที่หล่อนเพิ่งเคยได้สัมผัส
ความคิดสะท้อนกลับไปถึงวันแรกที่พบกัน ชายหนุ่มสูงสมาร์ตหน้าตาหล่อเหลาแบบลูกครึ่งที่สละเสื้อสูทให้หล่อนปกปิดร่างกายผู้นี้แนะนำตัวว่าเป็นคนสวนของเอเดนผู้ดูแลกุหลาบทั้งหมด ซึ่งก็สร้างความแปลกใจให้หล่อนมากพอแล้ว พอมาเจอกันอีกครั้งในฐานะฝ่ายตรงข้าม เขาก็ยิ่งสร้างความประหลาดใจให้หล่อนในทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดกัน
“ฉันอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ แต่ไม่ใช่ในฐานะที่เราต่างเป็นศัตรูของกันและกัน...”
รสสุคนธ์รำพึงเสียงเบา ไม่ได้ตั้งใจให้ถ้อยคำนั้นเป็นกระดิ่งสั่นจนครูหนุ่มฟื้นสติ เปลือกตานั้นเริ่มกะพริบถี่ก่อนค่อยๆ เผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลสวยใสราวแก้วเจียระไน
“คุณต้นกล้าคะ” รสสุคนธ์เปล่งชื่อเรียกสติ แต่ชายหนุ่มยังคงสะลึมสะลือเพราะยาสลบที่มีฤทธิ์ตกค้าง
“คุณถูกรถชนค่ะ...” หล่อนเม้มปากบอก “กระดูกแขนขวาร้าว ซี่โครงร้าว ขาขวาหัก”
เจ้าของเรียวปากหยักแตกแห้งขยับกลืนน้ำลาย เอ่ยพูดเสียงเบาเสียจนรสสุคนธ์ต้องก้มหน้าเอียงหูฟังใกล้ๆ “อย่า... บอกครูเพ็ญ”
รสสุคนธ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ที่อีกฝ่ายเจ็บหนักขนาดนี้ยังมีใจห่วงครูที่รัก “ค่ะ ฉันจะไม่บอกครูเพ็ญ แต่จะไปบอกนางพยาบาลว่าคุณฟื้นแล้ว”
จากนั้นร่างบางก็หมุนตัวจะก้าวขาเดิน แต่ถูกเขาเรียกตัวไว้ก่อน
“คุณรสสุคนธ์...”
หญิงสาวหันกลับไปย่อตัวลง โน้มหน้าเอียงหูใกล้ริมฝีปากที่กำลังขยับเอ่ยคำพูดเสียงเบา แต่กลับสร้างแรงสั่นสะเทือนรุนแรงให้หัวใจ
“ผม... ผมดีใจ... ดีใจที่ได้เห็นหน้าคุณ... อีกครั้ง”
เรียวปากบางของรสสุคนธ์คลี่ยิ้มกว้าง ในขณะที่น้ำใสปริ่มล้นขอบตา เพราะไม่รู้ว่าจะกลั้นยิ้มหรือกลั้นน้ำตาหญิงสาวจึงแสดงความรู้สึกทั้งสองออกมาพร้อมกัน แล้วแหย่กลับแก้ความเก้อเขิน
“พูดผิดพูดใหม่ได้นะคะ”
ราวกับมีคำพูดค้างอยู่ในใจชายหนุ่ม แต่เพราะเขาต้านความอ่อนเพลียไม่ไหวจึงคล้อยหลับไปอีกครั้ง รสสุคนธ์ยืดตัวขึ้น ใช้นิ้วกรีดหยาดน้ำที่เริ่มรินไหล จากนั้นรีบสับขาเดินออกจากห้องพร้อมกับหัวใจพองโตเพื่อมุ่งหน้าตรงไปแจ้งอาการกับนางพยาบาล
แต่ในเส้นทางเดียวกัน จ้อยที่กำลังเดินสวนมาเห็นหล่อนเข้าก็ทำหน้าผวาหันแล้วหันหลังวิ่งหนี แต่ด้วยความที่ขาหล่อนยาวกว่า รสสุคนธ์จึงวิ่งตามไปคว้าแขนเล็กได้ทัน
“วิ่งหนีฉันทำไม” หญิงสาวมั่นใจว่าไม่ได้ใช้น้ำเสียงข่มขู่ แต่เจ้าเด็กน้อยดูลนลาน มองหล่อนด้วยดวงตาหวาดกลัว
“ปล่อยผมนะ!”
“ปล่อยแน่ แต่ตอบมาก่อนว่าหนีฉันทำไม ฉันน่ากลัวมากนักหรือไงถึงเห็นหน้าแล้วก็หนี”
“ผมไม่ได้กลัว แต่ผมเกลียด เกลียดคุณ!” จ้อยตะโกนใส่หน้า “คุณจะมาทุบโรงเรียนผม คุณจะทำให้ผมไม่มีบ้านอยู่!”
“โรงเรียนเป็นบ้านเสียที่ไหน แล้วทำไมเธอไม่กลับบ้านของตัวเอง”
จ้อยกัดฟันกล้ำกลืนน้ำตา แล้วตอกกลับหล่อนด้วยคำพูดที่เคยเป็นของหล่อนเอง “คนรวยที่มีบ้านหลังใหญ่อย่างคุณไม่รู้หรอกว่าเด็กอย่างผมเห็นโรงเรียนเป็นสวรรค์มากกว่าบ้าน แล้วคุณจะทำลายสวรรค์ของผม คุณมันเป็นนางแม่มดใจร้าย!”
ความเกลียดชังจากดวงตาคู่นั้นส่งถึงรสสุคนธ์โดยไม่ต้องแปลความหมาย คำพูดที่สรรหามาเรียกก็ร้ายกาจเกินรับไหว ทั้งความรุนแรงในอารมณ์ที่เด็กชายแสดงออกกับรถหรือตอนที่ฟาดท่อนเหล็กแหลมบนแขนหล่อนโดยไม่รู้สึกผิดครานั้น แบบไหนกันที่เด็กชายคนนี้ควรเข้าใจว่าเป็นการกระทำของพวกแม่มดใจร้าย
“พูดจาอะไรแบบนั้นจ้อย”
เสียงติเตือนเข้มงวดที่ดังแทรกความเงียบงันระหว่างการสบตาของหญิงสาวและเด็กชาย ก่อนเจ้าของประโยคจะเดินเข้ามาจับมือหล่อนออกจากแขนเล็ก
“ขออภัยแทนต้นกล้าด้วยที่เขาสั่งสอนศิษย์ไม่ดีพอ”
จ้อยทำท่าฮึดฮัดเพราะคำตำหนิ พยายามดิ้นให้หลุดจากมือหนาที่ยึดตัวไว้แน่น แต่แรงผู้ใหญ่มีมากกว่า จึงทำได้แค่ใช้สายตาเกรี้ยวโกรธเป็นอาวุธกันหล่อนไม่ให้เข้าใกล้
“ผมกับจ้อยมาเยี่ยมต้นกล้าครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง พอจะเข้าไปเยี่ยมได้ไหม”
“เขาเพิ่งฟื้นค่ะ แต่ฟื้นได้แป๊บเดียวก็หลับไปอีก”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มให้ก่อนจูงเด็กชายเดินผ่านเลยไป รสสุคนธ์ไม่รู้สึกถูกชะตากับเพื่อนของครูหนุ่มคนนี้เลย จะด้วยเพราะความรู้สึกส่วนตัวหรืออะไรก็ตาม แต่อย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนที่ห่วงใยยามทุกข์ยากลำบากกาย ไม่เหมือนหล่อนที่มีมิตรรักใกล้ใจแต่กลับถูกลอบทำร้ายโดยไม่รู้ตัว
คำว่ารู้หน้าไม่รู้ใจกลายเป็นบทเรียนใหม่ของรสสุคนธ์ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดอะไรให้ปวดหัว ด้วยมีภารกิจสำคัญรออยู่ ทั้งการนำทัพเครื่องจักรปรับทำลายอาคารเก่า และทั้งนำทีมวิศวกรเข้าไปรุกพื้นที่โรงเรียนปลูกปัญญา
อีกไม่นานนักรสสุคนธ์จะพาตัวเองให้หลุดพ้นจากบ่วงทั้งปวง กุหลาบอย่างหล่อนไม่มีทางอ่อนแอเพราะปัญหาเท่าเม็ดถั่วเขียว หญิงสาวนึกถึงคำสอนของต้นกล้า
‘กุหลาบก็เหมือนกับคน ยอมอดทนอดกลั้น สะสมความตั้งใจให้เต็มเปี่ยม แล้วปลดปล่อยมันออกไปเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะสวยงามสมดั่งที่ตั้งใจ’