สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
My Roseสำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
บทที่ ๒๕
เงินหนุนจากมิลเลอร์ทำให้กิจการของมาเฟียรัสเซียขยายใหญ่ อเลคโซ่จึงอยากเลี้ยงขอบคุณทีเค มิลเลอร์ ซึ่งแม้ขาของเขาจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ก็ควรอยู่ในช่วงเก็บตัวเพื่อฟื้นฟูให้ร่างกายหายดีก่อนสะสางคดีแค้นกับนายประชา หากจะให้ปฏิเสธก็มิควรเลย เขาจึงเป็นคนเลือกสถานที่เองโดยใช้แหล่งเริงรมย์สำหรับชายชาตรีของซ้อใหญ่เป็นที่นัดพบปะสังสรรค์กับลูกค้าวีไอพี แม้ซ้อใหญ่จะไม่ถูกกับอเลคโซ่ แต่เพราะเขาขอร้องหล่อนจึงส่งเด็กสาวคนอื่นมาให้บริการโดยไม่เฉียดเข้าใกล้โต๊ะเลย
“คนของคุณบอกว่าคุณประสบอุบัติเหตุ แต่รอดตายมาได้หวุดหวิด” อเลคโซ่พูดไปกระดกวิสกี้ไป “นับว่าดวงคุณแข็ง แต่อย่างว่าคนอย่างพวกเราต้องตายยากเข้าไว้ อย่างผมนี่รอดจากการถูกถล่มมานักต่อนัก”
“ผมไม่เก่งเท่าคุณครับ แค่โชคดีที่ยังไม่ถึงฆาตมากกว่า”
มาเฟียรัสเซียหัวเราะครื้น “อาจจะจริง แต่ผมจะบอกคุณไว้เรื่องหนึ่ง พวกเราอาจดวงแข็งต่อศัตรูคู่อาฆาต แต่มักใจอ่อนกับผู้หญิง ผมเห็นมาหลายรายแล้ว ต่อให้เหี้ยมแค่ไหนก็ตายได้เพราะมือนาง โดยเฉพาะผู้หญิงอย่างหล่อนคนนั้น”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบโต้ เพียงแค่จิบวิสกี้ฟังมองใบหน้าผู้พูดที่ส่งสายตาไปทางซ้อใหญ่คล้ายหยั่งเชิงกันด้วยแววตา
“ผมรู้ว่าคุณสนิทกับหล่อน แต่หล่อนไม่ได้ใสซื่ออย่างที่มักแสดงให้ผู้ชายเห็น เบื้องหลังของหล่อนน่ะเน่าเฟะเหมือนแผลติดเชื้อ” อเลคโซ่ดูเหมือนจะบอกอะไรเขา แต่เงียบเสียงก่อนที่หญิงสาวของผับจะเดินเข้ามาวางวิสกี้ขวดใหม่ให้
“ผมไม่มีปัญหาอะไรกับเบื้องหลังของหล่อน เช่นเดียวกับที่คบกับคุณ คุณพอใจให้ผมเห็นแค่ด้านไหน ผมก็จะมองแค่ด้านนั้น”
อเลคโซ่กระตุกยิ้ม แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องธุรกิจใหม่ที่เขาจะไปลงทุนในประเทศติดชายแดนไทย ต้นกล้าจึงไม่แน่ใจว่าความบาดหมางระหว่างมาเฟียรัสเซียกับซ้อใหญ่นั้นเป็นแค่การทะเลาะกันเป็นครั้งเป็นคราวหรือมีประเด็นอะไรร้ายแรงกว่านั้น
ทว่าคำพูดของอเลคโซ่คงถูกใจเคย์แมนที่นั่งฟังอย่างเงียบเชียบ แต่ก็ใช่ว่าเขาควรแสดงความสนิทสนมกับ อเลคโซ่ พูดให้ชัดคือยมทูตไม่ควรสนิทกับลูกหนี้คนไหนเลย เพราะไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตพวกเขาจะกลายเป็นเดดลิสต์เมื่อไร แย่ขึ้นไปอีกคือการเป็นศัตรูที่อาจใช้ความสนิทสนมลอบทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต
กว่างานเลี้ยงสังสรรค์จะเลิกก็ก่อนผับปิดเกือบชั่วโมง แต่เพราะต้นกล้าอยากพบสาวใหญ่เพื่อกล่าวคำขอบคุณ จึงยังรออยู่บนโซฟา ทว่าหน้าบอกบุญไม่รับของซ้อใหญ่ก็ทำให้เขาลังเลใจว่าควรกล่าวขอบคุณหรือขอโทษดี
“เขาพูดอะไรเกี่ยวกับฉันบ้าง”
“เขาพูดเรื่องแผลเน่าเฟะที่หลังของซ้อ” ชายหนุ่มบอกไปตามที่ได้ยิน ไม่คิดปิดบังอะไร
“แล้วเรื่องอะไรอีก”
“แค่นั้น... เรื่องแผลเน่าเฟะเรื่องเดียว”
หล่อนพ่นลมหายใจ ปรายตามองไปทางบอดีการ์ดผมทองที่เพิ่งปรากฏหลังจากอเลคโซ่พ้นเขตประตูคล้ายกังวลใจอะไรบางอย่าง
“งานของมิลเลอร์ทำให้ผมต้องเลือกคบคนด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย แต่ผมไม่ใช่คนที่จะตัดมิตรสหายเพียงเพราะคำพูดแค่ไม่กี่คำของคน หากผมพอใจจะเป็นมิตรกับใคร ผมก็จะเป็นมิตรกับเขาคนนั้นต่อไป” ทีเคกล่าวพลางยกแก้วดื่มวิสกี้จนหมด “ขอบคุณสำหรับวันนี้ แล้วก็ขอบคุณที่ซ้อช่วยผมเรื่องบรูโน่ เขากำลังหาวันนัดผมเซ็นสัญญา”
ซ้อใหญ่หันมาสบตาชายหนุ่มนิ่งเหมือนอยากถ่ายทอดคำพูดบางอย่าง แต่เลือกรินไวน์เติมให้เขาอีกครั้ง แล้วบอกว่า “ถ้าอยากรู้ว่าใครที่ทำให้หลังฉันเป็นแผล ก็ให้คุณดื่มไวน์แก้วนี้จนหมด แต่ฉันขอเตือนก่อนว่าคุณอาจรับไม่ได้”
จากนั้นหล่อนก็ลุกเดินออกจากโต๊ะ ทิ้งปริศนาไว้ให้คนฟังตามไปหาคำตอบ ชายหนุ่มจึงหยิบไวน์ขึ้นดื่ม ในขณะที่มองเคย์แมนสอดมือหยิบซองบุหรี่ออกจากกระเป๋าสูท แล้วเดินออกจากผับไปตามหลังซ้อใหญ่เพียงไม่กี่นาที
กระทั่งไวน์หมดแก้ว ทั้งเคย์แมนและซ้อใหญ่ก็ยังไม่เข้ามา ต้นกล้าจึงค่อนข้างแน่ใจว่าหล่อนต้องการสื่ออะไร เขาลุกขึ้นจากโซฟา แล้วเดินโดยใช้ไม้ค้ำพยุงตัวออกจากผับกลับไปยังรถที่จอดสนิทเพื่อรอเคย์แมนมาทำหน้าที่อย่างที่เขาคาดหวัง แต่ในหัวนั้นมีเสียงของซ้อใหญ่สะท้อนดังคลอไปกับเสียงเพลงของนักดนตรีเปิดหมวกที่ดังแว่วมาตามถนนของเมืองพัทยา
เคย์แมนปรากฏกายหลังจากเพลงเพื่อชีวิตจบไปสองเพลง ใบหน้าเรียบเฉยกับดวงตาสงบอย่างที่เขาคุ้นเคยหยุดทุกคำถามในหัว แล้วก้าวขาขึ้นรถที่ถูกเปิดประตูต้อนรับเช่นแต่ก่อนในฐานะของยมทูตแห่งมิลเลอร์ที่เขาต้องได้รับการปกป้อง
“บรูโน่ขอพบคุณอาทิตย์หน้า หลังเขากลับจากอิตาลี” เคย์แมนกล่าวแล้วปล่อยเจ้านายลงที่ริมทางก่อนถึงโรงเรียนปลูกปัญญาจุดเดิม “ส่วนเรื่องไอ้คนที่ขับรถกระบะชนคุณ เบนสั่งให้ผมใช้วิธีตามล่าหัวชิงเงินรางวัล อีกไม่นานเราคงได้ตัวการใหญ่ก่อนตำรวจ”
“ถ้ารู้ตัวแล้ว คุณจะจัดการอย่างไร” ต้นกล้าอยากรู้ความคิดของบอดีการ์ดหนุ่มใหญ่
“อย่าถามผม เพราะคุณก็รู้ดีว่างานของมัจจุราชแห่งมิลเลอร์อย่างผมคืออะไร คุณควรเก็บความกังวลนี้ไว้ แล้วสั่งการว่าจะทำอย่างไรกับแอนเจลฟลาย”
แค่นั้นก็ชัดเจนเพียงพอแล้ว ชายหนุ่มก้าวขาลงจากรถ แล้วเดินไปตามถนนสายแคบเพื่อกลับเข้าโรงเรียนด้วยความคิดมากมายในหัวที่ไม่สามารถจับเหตุและผลมาโยงใยกันได้ ทั้งคำพูดของอเลคโซ่และของซ้อใหญ่แฝงเรื่องที่เขาไม่ควรรู้ไว้อย่างนั้นหรือ
ชายหนุ่มกลับเข้าสู่ความเงียบเหงาของโรงเรียน สถานที่ที่ถูกปักเขตแดนว่าพื้นที่อันตราย เขาพาร่างกะเผลกตรงไปที่ซุ้มกุหลาบเลื้อยเรดเอเดน แล้วยกกระถางมันขึ้นเพื่อจ้องมอง ราวกับเป็นตัวแทนหญิงสาวผู้มีนามเดียวกันกับเจ้ากุหลาบต้นที่เขาเฝ้าฟูมฟักจนกลายเป็นหน้าที่สำคัญของหัวใจ
พลันนั้นแรงสั่นสะเทือนจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ทำให้ความคิดคำนึงถึงห้วงเวลาหวามไหวสะดุด ชายหนุ่มรีบล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมารับสายด้วยใจคิดว่าปลายทางต้องเป็นเบนแน่นอน แต่พอมองชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกลับเป็นชื่อของนายแพทย์ผู้รักษาอาการครูเพ็ญ
“ต้นกล้าพูดครับ”
ต้นกล้ากรอกคำทักทายลงไปด้วยความรู้สึกใจคอไม่ดี แล้วหน้าอกของครูหนุ่มก็สั่นสะเทือนเมื่อได้ยินคำพูดของปลายทาง เขาต้องติดต่อหาเคย์แมนให้กลับมารับด่วน แต่ในตอนที่กำลังไล่นิ้วหาหมายเลขสำคัญ เสียงเรียกชื่อของเขาก็ดังลั่นแปลงกุหลาบ
“คุณต้นกล้า!”
เจ้าของชื่อหันขวับไปมอง เห็นหญิงสาวที่เพิ่งคิดถึงยืนมองมาด้วยใบหน้าตระหนกระคนประหลาดใจ ก่อนเลื่อนสายตาไปจ้องสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ไม่มิดด้านหลังชายหนุ่ม
“ฉันควรจะตำหนิที่คุณออกจากโรงพยาบาลโดยไม่บอกฉัน แต่ยังก่อน เพราะต้องพาคุณไปหาครูเพ็ญตอนนี้” รสสุคนธ์เอ่ยคำพูดเสียงสั่น ดวงตาคมหวานเต็มไปด้วยความผิดหวัง “คุณ... คุณพอเดินได้แล้วใช่ไหม”
คำถามนี้ไม่ยากเกินกว่าจะเอ่ยคำตอบ แต่แววตาที่หล่อนมองมานั้นเหมือนมีพลังเร้นลับกดทับเรียวปากหยักไว้ ต้นกล้าจึงทำได้แค่พยักหน้าเบาๆ ก่อนแสดงให้เห็นด้วยการเดินนำหน้าไปขึ้นรถที่เต็มไปด้วยรอยขีดเพิ่มมากกว่าวันแรกที่เห็น แต่หญิงสาวก็ไม่ได้สนใจ หลังตามไปขึ้นรถแล้วก็เหยียบคันเร่งเพื่อมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลตามความเร็วสูงสุดเท่าที่กฎหมายบังคับ
ครูหนุ่มถูกปล่อยให้ลงจากรถในทันทีที่หล่อนจอดเทียบทางเข้าโรงพยาบาล ขายาวก้าวด้วยความเร็วมุ่งตรงไปยังปลายทางที่แสงไฟไม่สว่างเท่าที่ควรจะเป็น หรือภาพที่เห็นนี้ถูกแปรเปลี่ยนไปตามความรู้สึกหมองมัว เหมือนเมฆเทาหม่นที่พร้อมปล่อยสายฝนกระหน่ำได้ทุกวินาที
แต่เพียงแค่วางฝ่ามือลงบนบานประตู ความหนาวยะเยือกก็เข้าจู่โจมตรงหัวใจ ร่างสูงยืนค้างขาแข็ง ไม่ยอมก้าวเข้าไปภายในห้องนั้น เมื่อรับรู้จากใบหน้าไร้แววความหวังของแพทย์ผู้รักษาอาการ สัญญาณชีพสุดท้ายกำเนิดจากเครื่องช่วยหายใจ แต่วิญญาณของครูเพ็ญสละร่างนี้ไปก่อนเขามาถึงก่อนหน้าเพียงไม่กี่นาที
สายควันสีเทาพวยพุ่งจากปล่องตามแรงลมขึ้นสู่ฟากฟ้าที่ค่อยๆ เลือนรางจางหายไปในอากาศไร้รูปไร้ร่องรอย ต้นกล้าบรรจงโรยกลีบกุหลาบสีแดงอมชมพูกลิ่นหอมสดใหม่ที่เพิ่งเก็บจากแปลงเมื่อฟ้าสางลงบนเถ้ากระดูกสีเทา ด้วยใจหวังว่าครูเพ็ญจะถูกใจพันธุ์ที่มีชื่อเดียวกับกวีผู้ยิ่งใหญ่ชาวอังกฤษ
และเมื่อเสร็จสิ้นพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว เขาก็อุ้มผอบดินเผาสีขาวนวลประดับมุกแนบอกด้วยความรู้สึกโหวงเหวงคล้ายคนเลื่อนลอยในบางครั้งจนเผ่ากับแพร้วต้องคอยชวนสนทนาเรียกให้ตื่นจากภวังค์ความเศร้า แต่ก็ทำได้แค่การชวนคุย เพราะไม่ว่าจะปลอบประโลมอย่างไรก็ไม่อาจทำให้เขาถอนตัวจากหลุมแห่งความทุกข์ได้ง่าย คงต้องพึ่งเวลาเท่านั้นที่จะพาจิตใจให้ค่อยๆ คลี่คลายความอาดูร
ตลอดงานศพวันแรกจนถึงวันสุดท้ายมีนักเรียนเก่ามาคอยช่วยเหลืองาน จ้อยเองก็ทำหน้าที่บริการน้ำดื่ม ซึ่งแม้ว่าจะไม่ยอมมาคุยกับคนเป็นครู แต่ต้นกล้าก็ลอบเห็นหลายครั้งว่าถูกจ้อยแอบมอง ส่วนสัญชัยที่รับปากว่าจะมาให้ทันตอนเผา แต่ยังก็ไม่เห็นเงาจนถึงบัดนี้
แขกเหรื่อที่ให้ความเคารพครูสู้ชีวิตอย่างครูเพ็ญต่างมาร่วมงานกันมากมาย ตั้งแต่พ่อค้าแม่ค้า ชาวบ้านคนธรรมดา ไปจนถึงข้าราชการระดับผู้ใหญ่ และที่ขาดไม่ได้ก็คือตัวแทนจากบริษัทคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ที่รสสุคนธ์ขอเป็นเจ้าภาพหนึ่งวันเต็ม
“ผมเสียใจด้วยนะครูกล้า” นายประชากล่าวในวันสุดท้ายของงานที่เขาเพิ่งมา
“ครับ” ครูหนุ่มตอบไปได้แค่นั้น
“แล้วแบบนี้ครูกล้าจะทำอย่างไรกับโรงเรียนต่อ เห็นเขาคุยกันว่านักเรียนลาออกจนเกือบหมดแล้ว แถมตัวอาคารก็มีแต่รอยร้าวดูน่ากลัว”
ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ มองแววตาของอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยคำพูดที่เลี่ยงการเปิดเผยความคิด “ผมยังไม่ทราบ”
นายประชาเม้มปากแน่น จ้องมองกลับด้วยดวงตาเรียบนิ่ง ก่อนพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินกลับไปพร้อมลูกน้องที่คอยเฝ้าอารักขา และตรงสุดปลายทางนั้นคือกลุ่มของคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ มีอิทธิฤทธิ์เป็นผู้บังคับการเคลื่อนไหว แม้แต่หญิงสาวที่เคยดูแข็งขืนยามอยู่ต่อหน้าเขาก็กลับกลายเป็นเงียบเหงาไม่มีชีวิตชีวา
ในนาทีนั้น ดวงตาของรสสุคนธ์สบมองมาที่ต้นกล้าราวกับมีคลื่นความถี่ตรงกัน แต่ชายหนุ่มก็รีบผินหน้าไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ด้วยไม่อยากให้ชายที่ยืนข้างหญิงสาวขุ่นใจจนเป็นเหตุให้หล่อนต้องเดือดร้อนในภายหลัง
ตั้งแต่วันที่ครูเพ็ญเสีย ต้นกล้าก็แทบไม่ได้คุยกับรสสุคนธ์มากนัก ทั้งตัวเขาเองที่ต้องปฏิบัติงานต่างๆ และเพราะรสสุคนธ์ถูกอารักขาจากชายหนุ่มที่แสดงตนชัดเจนถึงความเป็นเจ้าของ และนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องบันทึกไว้ในหัวโดยไม่นำไปเกี่ยวกับการเจรจาระหว่างมิลเลอร์โฮลดิ้งกับแอนเจลฟลาย
ต้นกล้าอาศัยรถของนายเผ่ากลับโรงเรียน คำเตือนเรื่องพื้นที่อันตรายถูกตอกย้ำตั้งแต่ออกจากวัด นางแพร้วก็ผสมโรงช่วยพูดให้เขาเปลี่ยนความตั้งใจ แต่เขาอยากใช้เวลาสงบรำลึกถึงเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับครูเพ็ญ รวมทั้งต้องดูแลเจ้ากุหลาบทั้งหลายแม้มันจะอยู่ในบริเวณที่ไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตอีกต่อไป
ฝุ่นจากการก่อสร้างและทุบทำลายอาคารเคลือบผิวใบเปลี่ยนสีเขียวสดให้กลายเป็นสีเทา การล้างทำความสะอาดใบจึงกลายเป็นงานใหญ่ และเพื่อลดภาระชายหนุ่มจึงต้องถอนผักสวนครัวและไม้ดอกอื่นๆ ทิ้ง ส่วนแม่ไก่กับลูกๆ ของมันนั้น หนูมุกอ้อนแม่ของตัวเองขอให้รับพวกมันทั้งหมดไปเลี้ยงดู เว้นแต่ลูกเจี๊ยบขี้โรคของจ้อยที่ไม่ได้รับโอกาสเพราะมันตายเสียก่อนที่พวกเขาจะกลับมาเห็น ไม่รู้ว่าหนูมุกเล่าเรื่องลูกเจี๊ยบให้จ้อยฟังหรือไม่ แต่จ้อยควรได้ยินความจริงเกี่ยวกับกุหลาบจากปากเขาเอง
ฝ้ายมาช่วยเขากวาดล้างฝุ่นที่ยังลอยคลุ้งจากฟ้าและขนย้ายกุหลาบทั้งหลายเข้าไปเก็บในโรงเรือนมุ้ง ส่วนนักเรียนคนอื่นไม่เห็นหน้าค่าตา แต่ก็ยังไม่ได้ย้ายไปไหนตามที่ผู้ปกครองให้เหตุผลตอนมาขอลาออก ซึ่งถ้าหากมันเกี่ยวโยงกับการเปลี่ยนแผนซื้อหนี้เสียจากชาวบ้านของคุณากรพร็อพเพอร์ตี้แล้วละก็ รสสุคนธ์อาจได้เป็นพันธมิตรกับนายประชา แต่หล่อนจะเพิ่มระดับความเป็นปรปักษ์กับเขามากขึ้นไปอีก
“ครูกล้าคะ ครูกล้า!”
เสียงลูกศิษย์คนสุดท้ายตะโกนเรียกครูหนุ่ม แล้ววิ่งหน้าตาตื่นมาจากทางเข้าแปลงกุหลาบ ต้นกล้าจึงเช็ดไม้เช็ดมือแล้วรีบเดินออกจากโรงเรือนมุ้งไปหา
“มีอะไรหรือฝ้าย” ด้วยเพราะเพิ่งผ่านเหตุเศร้าใจไป พอเห็นใบหน้ากังวลของฝ้ายก็ทำให้เขารู้สึกไม่ดี
ฝ้ายทำหน้าแปลกๆ ก้มมองแผ่นกระดาษในมือก่อนยื่นให้คุณครูด้วยท่าทางไม่มั่นใจ “ใครไม่รู้เอามันมาวางบนแผงทุกแผงในตลาด เช้ามาพ่อค้าแม่ค้าที่เช่าแผงก็เห็นมันตั้งไว้แล้ว แผงขายผักพ่อของหนูก็มี”
ต้นกล้าย่นคิ้ว คว้าแผ่นกระดาษจากฝ้ายมาไล่สายตาอ่านตัวอักษรทั้งหมด แต่แค่บรรทัดแรกก็ทำเอาครูหนุ่มพ่นลมหายใจแรง นึกอยากขยำกระดาษแผ่นนั้นแล้วขว้างทิ้ง
“จริงอย่างที่เขาเขียนหรือเปล่าคะครู”
ทว่าสรรพนามที่ถูกเอ่ยกดความขุ่นมัวของเขาให้ยุติไว้แค่ในใจ สบตามองลูกศิษย์นิ่งก่อนถ่ายถอนลมหายใจระบายความร้อนรุ่มออกจากอก แต่ยังไม่ทันได้ตอบคำถาม เสียงโหวกเหวกของผู้คนก็ทำให้ทั้งสองมองหน้ากันแล้วรุดวิ่งไปยังหน้าประตูรั้วโรงเรียน เห็นกลุ่มชาวบ้านหลายคนยืนออกันแน่น ในมือของแต่ละคนถือแผ่นกระดาษเหมือนกับที่เขาถืออยู่
“พวกเราต้องการให้ครูอธิบาย!” หนึ่งในนั้นกล่าวเสียงเข้มด้วยใบหน้าขึงขังพร้อมกับชูกระดาษขึ้น “ครูกล้าต้องบอกพวกเราว่าครูกล้าเป็นอย่างที่เขาเขียนจริงหรือเปล่า!”
ทุกสายตาที่จ้องมานั้นสร้างความกดดันให้กับครูหนุ่ม ต้นกล้ารู้ว่าคำตอบที่พวกเขาต้องการได้ยินคืออะไร หากแต่เขาจะกล้าขัดศรัทธาและความเชื่อมั่นของชาวบ้านรวมถึงนักเรียนทั้งหลายได้หรือ
“ตอบเรามาสิครูกล้า ว่าครูถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่าจริงไหม แล้วที่บอกว่าไปเรียนต่างประเทศก็เพื่อหนีคดีจริงหรือเปล่า!”
“ครูกล้าคะ”
ฝ้ายก็คงอยากรู้คำตอบไม่ต่างกับเหล่านักเรียนทั้งหลายที่แทรกตัวประปราย และในกลุ่มผู้ใหญ่นั้นมีจ้อยยืนตัวลีบเล็กมองด้วยแววตาเศร้า ไม่รู้ว่าเด็กชายอยากได้ยินคำโกหกหรือไม่ แต่ถึงเวลาแล้วที่เขาต้องยอมรับ แม้คดีจะสิ้นอายุความไปแล้ว ทว่าความจริงก็ยังอยู่ในใจของเขาและคนที่เกี่ยวข้อง
“มันเป็นความจริง” ต้นกล้าไม่ถึงขนาดยืดอกรับ แต่ก็เปล่งน้ำเสียงด้วยท่าทางที่มั่นคง ไม่หลบตา ไม่ว่อกแว่ก “ผมเคยถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่า”
“งั้นที่เขาเขียนในกระดาษว่าครูกล้าใช้เงินปิดคดีก็จริงอย่างนั้นสิ” แม่ค้าคนหนึ่งแทรกคำถาม
เหมือนพวกเขาเหล่านี้ตั้งใจมาเพื่อโจมตีและให้เขาคุกเข่ารับผิดมากกว่าให้แถลงไขข้อเท็จจริง ต้นกล้าจึงนิ่งเงียบไม่ตอบโต้ต่อข้อกล่าวหาที่พวกเขาต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปตามความคิด
“ขออภัยค่ะทุกคน พื้นที่นี้เป็นพื้นที่อันตราย เพื่อความปลอดภัยของทุกคน รบกวนออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด เพราะเครื่องจักรกำลังเริ่มทำงาน”
เจ้าของเสียงประกาศจากโทรโข่งคือรสสุคนธ์ วันนี้หล่อนอยู่ในชุดเสื้อโปโลสีขาวกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มดูทะมัดทะแมง แต่แปลกตากว่าเคยเพราะมีหมวกนิรภัยบนศีรษะทุย ขนาบข้างด้วยวิศวกรก่อสร้างและคนงานที่สวมใส่เครื่องป้องกันภัยเต็มยศ
และหลังจากที่หล่อนปล่อยคำเตือนไม่กี่นาที พื้นดินก็สั่นสะเทือนจนป้ายปูนเหนือเสาทั้งสองของประตูโรงเรียนมีผงสีขาวร่วงหล่นลงมา กลุ่มผู้ชุมนุมถึงได้ยอมแยกย้ายกันไป รวมถึงฝ้ายเองที่คงปวดร้าวกับความจริงที่ได้ยิน ส่วนจ้อยเป็นคนสุดท้ายที่หลงเหลือ แต่ก็ยืนมองเขาด้วยสายตาของคนแปลกหน้าต่อกันก่อนหมุนตัวเดินจากไป สร้างความรู้สึกโหวงในอกให้ครูหนุ่ม คล้ายกับการหันหลังให้เขาของจ้อยเป็นการปฏิเสธทุกสิ่งที่เคยผูกพันกันมา
“ฉันหมายถึงตัวคุณด้วย” รสสุคนธ์ก้าวขาเข้ามายืนประจันหน้า “เพื่อความปลอดภัย ฉันขออนุญาตปลดป้ายโรงเรียนก่อนที่มันจะร่วงลงมาใส่หัวคุณ”
แม้ในตอนที่หล่อนเอ่ยคำ เศษฝุ่นสีขาวก็ร่วงโปรยปรายลงมา และยิ่งหนาขึ้นในทุกครั้งที่เครื่องจักรกระแทกชิ้นส่วนของมันลงบนผืนดิน
“ขอบคุณนะครับ” เพราะหล่อนช่วยเขาให้รอดพ้นจากสถานการณ์อึดอัดมาได้ จึงสมควรมอบความซาบซึ้งในใจให้
“ฉันก็แค่ไม่อยากให้เป็นข่าวเสียหายตามมาทีหลังว่าคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ไม่ดูแลความปลอดภัยจนทำให้ใครได้รับบาดเจ็บ” การประชดประชันถูกถ่ายทอดทั้งทางน้ำเสียงและแววตา
ชายหนุ่มถอนลมหายใจ “ผมจะเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง”
“รวมถึงกุหลาบปลอมต้นนั้นด้วยหรือเปล่าคะ” หญิงสาวกอดอกเชิดหน้าพูด
คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน มองหล่อนเชิงถามกลับ “กุหลาบปลอม?”
“ต้นที่อยู่ใต้เรดเอเดน คุณจงใจปลอมมันขึ้นมาเพื่อหลอกฉัน ให้ฉันเชื่อว่ากุหลาบที่ฉันปลูกออกดอกจริง”
“ถ้าผมบอกว่าใช่ คุณจะเชื่อผมหรือเปล่า”
ต้นกล้าสบดวงตาสีดำเป็นประกายของหญิงสาว เขาอยากเล่าทุกอย่างให้ฟัง ตั้งแต่เรื่องคดีความในอดีตรวมไปถึงเรื่องความจริงเกี่ยวกับกุหลาบ
“โรส” เสียงเรียกนั้นทำให้หญิงสาวละสายตาจากเขา หันไปมองชายหนุ่มที่ยืนข้างรถเก๋งคันหรู “พี่มีธุระด่วนต้องคุยกับโรส”
รสสุคนธ์ลังเลระหว่างอยู่ที่นี่ต่อหรือไปกับชายคนนั้น จนในที่สุดประโยคต่อมาก็ทำให้ต้นกล้ารู้ว่าหล่อนอยากได้คำตอบชัดเจน
“ฉันจะรอฟัง” หญิงสาวบอกแล้วหยิบโทรศัพท์เครื่องหนึ่งยื่นให้ “ครูเพ็ญฝากให้นางพยาบาลบันทึกคำพูดถึงคุณไว้ เผื่อว่าวันหนึ่งท่านไม่มีโอกาสได้บอกกับคุณเอง” จากนั้นร่างบางก็เดินกลับไปหาอิทธิฤทธิ์ หันมาสบตาเขาเพียงชั่วแวบ แล้วขึ้นรถจากไป
ชายหนุ่มผู้ถูกทิ้งหมุนตัวเดินเข้าไปในอาคารเรียน มุ่งตรงกลับห้องพักครู แล้วเปิดบันทึกภาพเคลื่อนไหวของครูชรา
“ต้นกล้า” เสียงของครูชราแผ่วเบาราวลมกระซิบ เปลือกตาย่นลืมขึ้นเผยดวงตาเอ็นดูดั่งเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ครูขอโทษที่คงอยู่กับต้นกล้าต่อไม่ไหว แต่ครูอยากให้ต้นกล้าฟังคำสอนสุดท้ายของครู” ครูเพ็ญยังพยายามฝืนยิ้ม เอ่ยเสียงแผ่วเบา เปลือกตาทั้งสองเริ่มปรือ “เรื่องที่... ที่ครูเคยถามเธอกับสัญชัยในอดีต... คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้”
คำพูดหยุดหายไปชั่วขณะ ดวงตาหลบซ่อนภายใต้เปลือกตาที่ปิดลง แต่หน้าอกของครูชรายังสะท้อนขึ้นลง “หมายถึง... ต่อให้น้ำเชี่ยวแรง คนดีก็จะไม่ไหลไปตามน้ำ และต่อให้ไฟร้อนแค่ไหน คนดีก็ไม่สะทกสะท้าน น้ำกับไฟเปรียบเหมือนสิ่งรอบตัว จะให้เลวร้ายแค่ไหน คนดีก็ต้องปกป้องความดีไว้มิให้เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งรอบตัว...”
มือผอมขยับขึ้น พยายามเคลื่อนปลายนิ้วชี้แห้งหนังติดกระดูกแตะตรงตำแหน่งหัวใจของตนเอง
“แล้วความฝันของครูนะต้นกล้า ไม่ใช่โรงเรียน ไม่ใช่พื้นที่กว้าง ไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่แค่นี้ แค่ตรงนี้... หัวใจของนักเรียนที่ครูปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ความดีไว้ให้เติบโตงอกงาม หัวใจบริสุทธิ์ทุกดวงของนักเรียนที่จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง คือสิ่งแท้จริงที่คนเป็นครูต้องปกป้อง...”
สายน้ำตาหลั่งรินล้นจากดวงตาสีน้ำผึ้ง ขณะสบมองใบหน้าและรอยยิ้มของหญิงชราในภาพเคลื่อนไหวนิ่ง ประโยคสุดท้ายของครูเพ็ญทำให้เขามองออกไปนอกห้อง มองอาณาบริเวณที่เขากำลังปกป้องมันด้วยกุหลาบต้นเดียวที่ทำให้หญิงสาวผู้ซึ่งเป็นคู่สัญญาอาจสูญเสียเงินหมื่นล้านเมื่อรู้ความจริง
เขาปิดโทรศัพท์แล้วหลับตาทบทวนความคิดถึงแผนการขอผ่อนผันหนี้จากแอนเจลฟลายด้วยการขายหุ้นกิจการคุณากรพร็อพเพอร์ตี้เพื่อนำเงินมาจ่ายหนี้ ระบุผู้สนใจซื้อคือบริษัทเรมอนด์แลนด์ ซึ่งหากรสสุคนธ์รู้เห็นเป็นใจกับเรื่องนี้ ความมุมานะของหล่อนก็ทำไปเพื่อให้อิทธิฤทธิ์ได้ขายหุ้นในส่วนที่ไม่ใช่ของตนเอง
แต่มันจะเป็นความตั้งใจของหล่อนจริงหรือ...
เขาเองก็อยากฟังจากปากหล่อนเช่นกัน และจำเป็นต้องไขข้อสงสัยให้กระจ่างเดี๋ยวนั้น รวมถึงการบอกเรื่องเจ้าโรสที่เขาสับเปลี่ยนกับต้นปลอม และเรื่องอดีตที่เขาอยากให้หล่อนเข้าใจ
ความคิดฉับพลันสั่งให้เขาก้าวขาเดินออกนอกเขตรั้ว แล้วสับขาเดินเร็วด้วยความคล่องแคล่วมากขึ้น กะเกณฑ์เวลาเทียบกับระยะทางความห่างจากจุดที่เดินไปถึงสำนักงานชั่วคราวของคุณากรพร็อพเพอร์ตี้คงได้ทันพบก่อนที่จะสวนทางกันกับหล่อน
“โรสพูดใหม่อีกทีซิ บอกพี่ชัดๆ ว่าทำไมเราถึงยังรุกอาณาเขตของนายต้นกล้าไม่ได้!”
แม้จะถูกชายหนุ่มตรงหน้าชักสีหน้าและถามด้วยน้ำเสียงกร้าวแค่ไหน รสสุคนธ์ก็พยายามควบคุมอารมณ์ อธิบายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เพราะสัญญากุหลาบ โรสสัญญากับเขาว่าถ้าโรสปลูกกุหลาบได้ โรสจะละเว้นโรงเรียนของเขา”
“แล้วผลล่ะ ผลลัพธ์ของมันเป็นอย่างไร!” จากเสียงตะเบ็งเป็นเสียงเค้นจากลำคอ
จะให้บอกอย่างไรก็ในเมื่อหล่อนเองยังสับสน กุหลาบที่หล่อนฟูมฟายหลังเฝ้าฟูมฟักแต่สุดท้ายก็ตายไม่ต่างกับกิ่งไม้แห้ง กับกุหลาบใบสวยสมบูรณ์มีช่อดอกตูมสะพรั่งห้อยป้ายชื่อเดียวกันตั้งวางอย่างสงบใต้ซุ้มเรดเอเดน ต้นไหนกันที่เป็นต้นในพันธสัญญา
“อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาสัญญายังเหลืออีกเจ็ดวัน ในเจ็ดวันนี้คุณากรก็ยังเข้าพื้นที่ของเขาไม่ได้” หล่อนเบี่ยงประเด็น
“พี่รอไม่ได้ อย่างช้าพรุ่งนี้พี่ต้องได้เอาเครื่องจักรเข้าไปทะลวงแปลงกุหลาบพวกนั้น!”
“อีกเจ็ดวันถึงจะครบกำหนดการเข้าพื้นที่โรงเรียนปลูกปัญญา ต่อให้พี่อิทรีบแค่ไหน ทางทีมวิศวกรก็ยังไม่พร้อม” หล่อนให้เหตุผล “แล้วคนที่ต้องร้อนใจรอ ไม่ใช่พี่อิท แต่ควรจะเป็นโรส โรสเป็นผู้จัดการโครงการนี้นะคะ อย่าลืม”
เสียงหัวเราะของอิทธิฤทธิ์ดังลั่นสำนักงานชั่วคราวที่เหลือแค่หญิงสาวกับเขาสองคน “โรสรู้ตัวหรือเปล่าว่าถ้าทุกคนปล่อยให้โรสคุมงานคนเดียว ป่านนี้งานก็ไม่คืบหน้า ถ้ายังไม่รู้ก็ขอบอกไว้ให้รู้ว่าไม่ใช่แม่ของโรสหรือที่จ่ายเงินจ้างนักเรียนออก แล้วการที่นายต้นกล้าถูกรถชน โรสคิดว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุหรือไง!”
“พี่อิท... หมายความว่า... อย่างไร” หัวใจของหล่อนสั่นสะเทือน เปล่งคำถามเสียงขาดหาย
“มันไม่ใช่อุบัติเหตุ ใครบางคนถูกจ้างเพื่อฆ่าครูใหญ่ของโรงเรียนปลูกปัญญาโดยทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ!”
“ใคร...” และแล้วความทรงจำในตอนที่หล่อนเห็นมารดาคุยกับนายวิชัยก็ฉายชัดอีกครั้ง
อิทธิฤทธิ์กระตุกยิ้ม “ก็ไปถามแม่ของโรสดูเองแล้วกัน”
“โรสไม่เชื่อ” น้ำตาร้อนหลั่งรินเป็นทาง
“โรสก็รู้ดีว่าโครงการนี้สำคัญกับคุณากรพร็อพเพอร์ตี้แค่ไหน แล้วทั้งคุณลุงกับคุณป้าก็คงไม่ไว้ใจให้โรสดูแลเอง ไม่อย่างนั้นคุณป้าคงไม่ยื่นมือเข้ามาผลักดันโครงการโดยไม่บอกให้โรสรู้”
“แม่ไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่...” รสสุคนธ์คร่ำครวญเสียงแผ่ว ร่างกายอ่อนแรงจะยืนไม่อยู่ ทรุดตัวลงนั่งกองบนพื้น
“โลกใบนี้มีกลเกมมากมายนัก คนกันเองนี่ละตัวดี โรสเรียนรู้จากหงส์แล้วไม่ใช่หรือ และแม้แต่คนที่ใครต่อใครคิดว่าบริสุทธิ์ขาวสะอาดอย่างนายต้นกล้าก็ยังมีอดีตดำมืด”
หญิงสาวยังนั่งตัวแข็งทื่อ อิทธิฤทธิ์จึงเดินเข้ามาย่อเข่า แล้วจับต้นแขนบางทั้งสองแน่น “เก็บน้ำตาคืนบ่อซะโรส แล้วทำในสิ่งที่โรสต้องทำ โครงการห้างสรรพสินค้าของคุณากรพร็อพเพอร์ตี้จะต้องสำเร็จ”
“แต่... กุหลาบมัน...” หล่อนกลืนคำพูดพร้อมน้ำตา กุหลาบที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้มันกำลังจะบานหรือไม่ และหากมันเป็นกุหลาบต้นแรกที่หล่อนปลูกจริง คุณากรพร็อพเพอร์ตี้ก็จะลำบาก
“กุหลาบจะต้องตายโรส กุหลาบทุกต้นที่อยู่ในโรงเรียนปลูกปัญญาจะต้องตายไม่ว่าต้นไหนก็ตาม ชะตาชีวิตของคุณากรพร็อพเพอร์ตี้อยู่ที่การตัดสินใจของโรส หรือไม่ก็ยอมแต่งงานกับพี่ตามความต้องการของคุณป้าปัทมา รวมแอนเจลฟลายกับคุณากรพร็อพเพอร์ตี้เข้าด้วยกัน”
ในน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำของอิทธิฤทธิ์หมายถึงแค่ชีวิตของกุหลาบทุกต้น หรือรวมถึงตัวเจ้าของโรงเรียนปลูกปัญญากันแน่ แต่ระหว่างความอยู่รอดของบริษัทกับความปลอดภัยของครูหนุ่ม หล่อนจะเลือกทางใดได้บ้าง
“คุณากรพร็อพเพอร์ตี้จะต้องอยู่ต่อไป โรสจะสร้างห้างสรรพสินค้าทับที่โรงเรียนปลูกปัญญา” หล่อนเปล่งคำพูดชัดเจน แล้วลุกขึ้นยืน พลางจับจ้องดวงตาเรียว “โรสจะทำให้ได้ โดยไม่ต้องหวังพึ่งใคร!”
ร่างบางสะบัดแขนดึงตัวเองออกจากพันธนาการมือหนา แล้วเดินออกจากสำนักงาน มุ่งตรงไปยังคอนเทนเนอร์ที่เก็บเคมีก่อสร้าง กวาดตามองหาสิ่งที่ต้องการจนพบแล้วหยิบขึ้นมาไว้ในมือ แล้วหมุนตัวเดินเท้าไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่โรงเรียนปลูกปัญญาซึ่งตั้งโดดเด่นท่ามกลางกองคอนกรีตของอาคารที่ถูกทุบทิ้งให้เหลือเพียงแค่เศษซากความเจริญ
ครูหนุ่มคงออกไปทำงานพิเศษของเขาแล้ว โรงเรียนปลูกปัญญาเลยให้ความรู้สึกเงียบเหงา ประตูรั้วที่เคยเป็นสีทองมันวาวก็ถูกเคลือบเต็มไปด้วยฝุ่น ป้ายโรงเรียนที่ถูกวางทิ้งไว้ก็ดูไร้ค่า หมดความขลังดั่งชื่อที่ถูกตั้งไว้เพื่อเป็นสถานให้การศึกษา
รสสุคนธ์สูดลมหายใจเข้าลึก แหงนหน้าหลับตาคิดถึงใบหน้าครูหนุ่ม พลันนั้นน้ำตาก็รินไหล จึงรีบใช้นิ้วกรีดน้ำตา แล้วกลั้นหายใจผลักประตูเข้าไปให้เงียบเสียงที่สุด ค่อยๆ ย่องเข้าไปแปลงกุหลาบ พร้อมกับกอดขวดแก้วแนบอกแน่น จนเข้าใกล้ซุ้มเรดเอเดนและเห็นกระถางกุหลาบที่ร้อยป้ายชื่อเขียนด้วยลายมือของหล่อนวางสงบนิ่งเหมือนรู้โชคชะตา
หญิงสาวบิดฝาที่ผนึกขวดออก กลิ่นสารระเหยพลันโชยขึ้นจู่โจมประสาทรับกลิ่นที่แรงจนขนาดหล่อนต้องเบือนหน้าหนี แล้วเจ้ากุหลาบต้นนี้มันจะรู้สึกอย่างไรหากถูกราดรดลงไปในดิน คิดแล้วก็สมเพชตัวเองที่ไร้ความสามารถ ไม่สามารถเจรจากับครูหนุ่มให้เขายอมโดยดี แต่ก็รู้ว่าทางรอดของบริษัทและอิสรภาพจากการแต่งงานหล่อนไม่ควรไปทำลายอุดมการณ์หรือสวรรค์วิมานของใคร
เจ้าเด็กจ้อยคงเสียใจมากทีเดียว แต่หล่อนก็ต้องเลือกทางที่ดีที่สุด ยังดีกว่าโรงเรียนคงอยู่ แต่ครูหนุ่มตายจากไป เพราะถ้าเรื่องที่อิทธิฤทธิ์พูดเป็นความจริง และด้วยนิสัยวิ่งเข้าหาเป้าหมายแบบเดียวกันกับที่หล่อนมีนั้นถูกถ่ายทอดมาจากมารดา จึงไม่อาจบอกได้แม่ว่าของหล่อนจะทำอะไรกับเขาต่อไป
แต่พอมองช่อดอกตูมที่คล้ายกับกำลังเริ่มแย้มกลีบน้อยๆ ของมันแล้วก็ให้ใจอ่อน ราวกับมันเป็นเด็กน้อยไร้ทางสู้และอ้อนวอนขอชีวิต ครั้นจะเอียงขวดรินเคมีฤทธิ์กัดกร่อนใส่ ก็ละล้าละลังไม่กล้าทำเสียอย่างนั้น ในหัวก็พยายามหาทางออกที่ดีกว่านี้ให้เจ้ากุหลาบต้นนี้และตัวหล่อนด้วยเช่นกัน
“คุณลังเลอะไรอยู่ รีบจัดการมันให้พ้นทางเสียสิ”
เสียงที่ดังจากด้านหลังทำให้รสสุคนธ์เย็นวาบจากแผ่นหลัง ตัวค้างนิ่งแข็งไม่กล้าหันไปมอง รอจนร่างสูงเดินเข้ามาปรากฏกายตรงหน้าระหว่างหล่อนและต้นกุหลาบ
“ลงมือสิ ทำต่อหน้าผม ให้ผมรู้ซึ้งว่าสัญญาที่คุณให้ไว้มันเป็นเพียงแค่ลมปาก ไร้น้ำหนัก”
ดวงตาของต้นกล้าแข็งกร้าวน่ากลัว หัวใจของหล่อนเต้นแรงจนรู้สึกได้ มือบางสั่นไหวจนเกือบถือขวดสารเคมีไม่อยู่ “ฉัน... ฉันมีเหตุผล... อยากอธิบายให้คุณฟัง... คุณพอจะฟังได้ไหม”
“เชิญ” คำตอบห้วนสั้น
“บริษัทคุณากรพร็อพเพอร์ตี้กำลังแย่ ขาดทุนติดต่อกันหลายปี...” หล่อนเอ่ยโดยไม่กล้าสบตา “ร่างกายพ่อของฉันอ่อนแอไม่สามารถบริหารงานต่อได้ แม่ของฉันก็ไม่เชื่อมั่นว่าฉันจะทำได้เลยจะให้ฉัน...”
รสสุคนธ์หยุดคำพูดไว้ที่ปลายริมฝีปาก สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยต่อ “แต่งงานกับเขา...”
ร่างสูงยังยืนอย่างสงบ แต่หล่อนยังไม่กล้าเงยหน้ามอง ได้แต่ส่งสายตาไปให้เจ้าโรสที่กลายเป็นตัวแทนรับฟังเรื่องราวทั้งหมด
“แต่ฉันมั่นใจว่าทำได้ ฉันเลยรับปากกับมิสเตอร์เรมอนด์ไว้ว่าจะทำโครงการนี้ให้สำเร็จ ฉันเสนอเงื่อนไขว่าถ้าฉันทำสำเร็จ ฉันจะซื้อหุ้นคืนจากเขาในราคาที่คูณอีกหนึ่งเท่าตัว”
เสียงแค่นหัวเราะจากชายหนุ่มเหมือนมีดคมบาดลึก เขาคงกำลังเยาะเย้ยอยู่ในใจ แต่การรับปากมิสเตอร์เรมอนด์ไปตอนนั้น หล่อนยังไม่รู้ว่าจะต้องเจออุปสรรคอย่างเขา
“แล้วถ้าฉันทำไม่ได้...” เสียงพูดต่อมาสั่นไหว “ฉันก็ต้อง... แต่งงานกับ... เขาจริงๆ เพื่อควบสองกิจการ...”
ทุกอย่างที่ต้องการบอกหมดสิ้นแล้ว มีแต่ความเงียบงันเท่านั้นที่เหลืออยู่ รสสุคนธ์อยากรู้ว่าเขาคิดอะไร แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม ได้แต่ยืนตาพร่ามัวมองต้นกุหลาบ ดมกลิ่นสารระเหยจนแสบตาแสบจมูก
“ถ้าผมเป็นพนักงานบริษัทของคุณ ก็คงต้องบอกตามตรงว่า คุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะบริหารเลยสักนิด และถ้าคุณจะฟัง ขอให้อดีตเด็กกำพร้าสอนคุณสักข้อว่าคุณควรไปดูงบการเงินย้อนหลังอย่างน้อยสิบปีขึ้นไป แล้วคุณจะรู้ว่าที่พ่อคุณสร้างมามันยังเป็นกำไรหรือขาดทุน”
แม้แต่คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนก็ยังกล่าวคำดูถูก และไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยประโยคต่อมา “แม่ของคุณคิดถูกแล้วละที่จับคุณแต่งงานกับเขา”
หยดน้ำตาไหลเปื้อนใบหน้า เรียวปากบางเม้มเข้าหากันแน่น ยอมรับคำดูถูกที่เจ็บแสบในอกยิ่งกว่าครั้งไหน แต่ฉับพลันทันใด เขาก็ยื้อแย่งขวดสารระเหยไปถือไว้ หล่อนจึงเงยหน้ามองด้วยดวงตาชื้น
“ไม่ว่าจะบริหารกิจการหรือปลูกกุหลาบแค่ต้นเดียว คุณก็ทำไม่ได้” ไม่มีครั้งไหนเลยที่คำพูดของต้นกล้าบาดใจหล่อนได้เท่าครั้งนี้
ทันใดนั้น รสสุคนธ์ก็ร้องเสียงหลงเมื่อต้นกล้าราดสารเคมีลงบนกุหลาบต้นที่เขาเองก็มีส่วนทำให้มันเจริญงอกงาม
“กุหลาบต้นนี้มันไม่คู่ควรกับคุณ คุณากรพร็อพเพอร์ตี้ก็ไม่คู่ควรกับคุณ” ชายหนุ่มขว้างขวดแก้วเปล่าทิ้งลงพื้นแตกกระจาย ก่อนขยับเท้าเดินเข้ามาจ้องหญิงสาวด้วยแววตาที่มีไฟลุกโชน แล้วกล่าวใส่ด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวก่อนเดินจากไปว่า
“ตามสัญญา ที่ดินผืนนี้เป็นของคุณแล้ว แต่อย่าได้ดีใจไป เพราะสักวันผมจะมาทวงคืน!”
ร่างบางถึงกับอ่อนระโหยโรยแรง คลานไปอุ้มกระถางเปียกชื้นโชกไปด้วยสารเคมีขึ้นมากอดแน่น ร้องไห้ประหนึ่งเป็นหล่อนเองที่กำลังจะตาย