สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
My Roseสำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
บทที่ ๒๖
ตั้งแต่ล้อหมุนจากร้านอาหารที่ใช้จัดงานเลี้ยงรวมญาติทั้งหลายของตระกูลภรรยาม่ายสาวใหญ่ สัญชัยก็ยังหัวเสียไม่หาย ใบหน้าเย้ยกับเสียงหัวเราะเยาะหยันของคนที่นางสมรเรียกว่าอาเฮียคนโตยังตามมาหลอนในโสตประสาท อีกทั้งคำพูดที่บ่งบอกถึงการต้องยอมเป็นช้างเท้าหลังก็สร้างความรู้สึกต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าตอนอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
สัญชัยเกลียดแววตาคนพวกนั้น มันเป็นแววตาที่แสดงถึงความสมเพชเวลามองสัตว์รูปร่างแปลกประหลาดในกรง ถึงแม้หน้าตาของตนจะดีกว่าน้องเขยคนอื่น แต่ด้วยความจนและชาติกำเนิดจึงไม่เคยได้ถูกยกยอปอปั้น เขาเกลียดนักกับสังคมที่ใช้เงินทองเป็นบัตรผ่านทาง ต่อให้อัปลักษณ์หรือพิการก็ยังมีคนอุ้มชู
ถึงกระนั้นเขาก็ไม่มีทางคุกเข่าเลียนิ้วเท้าอาเฮียใหญ่ เพราะอย่างไรสมบัติพัสถานก็ไม่มีทางตกถึงมือ สัญชัยจึงอยากปลดเปลื้องพันธะจากสาวใหญ่ที่เคยใช้เป็นบันไดไต่ไปหาความสุขสบาย นางสมรก็เหมือนจะรู้แล้วว่าเขาอยากตีปีกบินหนี แต่นาทีสุดท้ายก่อนขับออกจากร้านอาหาร หล่อนก็เป็นฝ่ายไล่ตะเพิดหลังจากที่เขาบอกว่าต้องมาเคารพศพของครู
ความคิดในหัวเกือบทำให้สัญชัยขับเลยวัด ชายหนุ่มดับเครื่องยนต์ในลานกว้างข้างหอระฆัง แล้วเดินเลียบไปตามกำแพงที่มีต้นราตรีขึ้นคู่ขนาน ใช้สายตาเพ่งมองในความมืดไล่รูปถ่ายและชื่อไปเรื่อยจนพบตำแหน่งที่บรรจุกระดูกของครูผู้มีพระคุณ
“ผมมาช้าไปหน่อย แถมไม่มีดอกไม้ธูปเทียนติดมือมา ครูคงไม่ว่านะครับ”
สัญชัยกล่าวพลางประนมมือขอโทษกับรูปถ่ายหน้าตรงของครูชราแล้วย้อนคิดถึงช่วงเวลาในวันเก่า ที่เขากับต้นกล้าต่างก็เคยวิ่งขนาบข้างครูสาวขาพิการไม่เท่ากันเพื่อช่วยเหลืองานในโรงเรียน แม้ทั้งคู่จะกำพร้าและไม่เคยรู้จักความรักจากบิดามารดา แต่ครูเพ็ญก็พยายามเติมเต็มให้แก้วก้นรั่วอย่างเขาและต้นกล้าด้วยการสอนสั่งให้เห็นคุณค่าของตนเอง
“แต่วันนี้ผมก็ยังรู้สึกด้อยกว่าทุกคน ทำไมหรือครับครู ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ครูตอบผมได้หรือเปล่า...”
แค่เสียงลมเป่ายอดไม้คงไม่อาจตีความเป็นคำตอบจากครูผู้ล่วงลับ และในช่วงของภวังค์ความคิด มีเสียงกรอบแกรบของกิ่งไม้แห้งดังจากมุมกำแพงวัด สัญชัยจึงเอี้ยวตัวไปทางต้นเสียง พลันเห็นประกายในดวงตาเด็กชายที่ซุ่มซ่อนตัวใต้แสงสลัว ก่อนเดินพาร่างผอมของตัวเองเข้ามาใกล้
“ผมรอเจอคุณอยู่ คิดว่าคุณต้องมาหาครูเพ็ญ ก็เลยมารอในวัดทุกวัน”
สัญชัยหันซ้ายหันขวา แล้วรีบคว้าข้อมือน้อยให้เดินตาม ไม่สนใจว่าขาตะเกียบจะสับทันหรือไม่ พอถึงรถก็เปิดประตูผลักเด็กชายเข้าไปนั่ง ก่อนพาตัวเองไปนั่งฝั่งคนขับแล้วขับออกไปจอดในที่ลับตา
“ฉันบอกแล้วไงว่าถ้าฉันมาแล้วจะหาทางไปเจอเธอเอง” น้ำเสียงแข็งทำให้จ้อยหน้าเสีย
“ผมรู้... แต่... แต่ผมก็อยากเจอคุณ อยากถามคุณเรื่องที่คุณให้ผมทำ...”
สัญชัยเลิกคิ้วใส่ “ถามอะไร เธอก็ทำสำเร็จไปแล้วนี่ หรือเธออยากได้เงินค่าจ้างเพิ่ม”
“เปล่า...” จ้อยส่ายหน้าแล้วนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ “ผม... ผมไม่แน่ใจว่าครูกล้าหักหลังผมอย่างที่คุณบอกจริงหรือเปล่า”
“เธอกำลังหาว่าฉันโกหกหรือไง”
ดวงตาของเด็กชายจ้องเขม็งมาที่เขา “คุณบอกผมว่าให้ผมไปทำให้กุหลาบต้นนั้นตาย เพราะถ้ามันตาย โรงเรียนก็จะไม่ถูกทุบ”
“ก็ใช่น่ะสิ แล้วเธอก็เห็นนี่ว่าต้นกล้ามันพยายามทำให้กุหลาบรอดแค่ไหน แล้วเธอก็แอบเห็นตอนแม่รสสุคนธ์ร้องห่มร้องไห้ตอนกุหลาบแห้งตายแล้วไม่ใช่หรือไง”
“ใช่... ผมเห็น...” เสียงของจ้อยเริ่มสั่น “แล้วผมก็เห็นด้วยว่า ครูกล้าเป็นคนราดทินเนอร์ลงบนกุหลาบอีกต้น... ต้นที่มีชื่อของผู้หญิงคนนั้นร้อยอยู่”
คิ้วเข้มของสัญชัยย่นเข้าหากันชิด “กุหลาบอีกต้น...กุหลาบอีกต้นคืออะไร”
“ผมก็ไม่รู้... รู้แต่... เป็นผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่อยากให้กุหลาบตาย... ไม่ใช่ครูกล้า” เสียงของเด็กชายเริ่มอู้อี้“คืนก่อน... ผมคิดถึงครูกล้า เลยไปหาที่โรงเรียน แต่ผมเห็นผู้หญิงคนนั้นถือขวดทินเนอร์เข้าไปในแปลงกุหลาบ พอแอบตามไป ก็เหมือนกับว่าเขาจะเททินเนอร์ใส่ต้นที่ผมเพิ่งเห็นว่ามีป้ายชื่อของเขาร้อยอยู่”
“แล้วอย่างไรต่อ” สัญชัยเร่งให้เล่า
“ครูกล้ามาพอดี เขาก็พูดอะไรที่ผมไม่เข้าใจ แต่ผมเห็นครูกล้าแย่งขวดทินเนอร์ไปราดบนต้นกุหลาบเอง แล้วบอกว่าโรงเรียนเป็น... เป็นของผู้หญิงคนนั้นแล้ว...”
สัญชัยเงียบไปชั่วขณะ พยายามคิดหาเหตุผลมาอธิบาย เพราะถ้ากุหลาบอีกต้นเป็นต้นจริง จะมีเหตุผลอะไรที่ต้นกล้าเอามีดคว้านหัวใจตัวเองออกจากอกมอบให้คนอื่น
“คุณบอกผมว่าถ้ากุหลาบตายโรงเรียนจะอยู่ แต่ทำไมครูกล้าถึงทำแบบนั้น... ทำไมยกโรงเรียนให้เขาไป ผมไม่เข้าใจ... หรือครูกล้าทรยศผมจริงอย่างที่คุณบอก”
คำถามของจ้อยมีสัญญาณความไม่เชื่อใจเต็มพิกัด และถึงเขาจะสงสัยเรื่องกุหลาบปริศนามากแค่ไหน แต่ยังไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะซักไซ้เด็กชาย เขาต้องรีบรายงานเรื่องประหลาดนี้กับแพรพรรณรายโดยเร็ว
“ฉันต้องไปแล้ว คงให้คำตอบที่เธอถามไม่ได้ตอนนี้” สัญชัยบอกแล้วหยิบธนบัตรใบละห้าร้อยออกกระเป๋าเงินยื่นส่งให้ “เราอาจเจอกันครั้งนี้ครั้งสุดท้าย นี่ถือเป็นค่าปลอบใจเรื่องที่เธอเสียโรงเรียนไปก็แล้วกัน”
“ผมไม่เอา!” จ้อยผลักมือสัญชัย “ผมไม่อยากได้เงิน ผมอยากได้โรงเรียนคืน อยากได้กรงไก่คืน อยากได้แปลงปลูกผักคืน อยากได้แปลงกุหลาบคืน!”
“เงินตั้งห้าร้อย ซื้อนมให้น้องเธอกินอิ่มได้ตั้งหลายมื้อ แต่ถ้าไม่เอาก็ลงจากรถไปได้แล้ว” ชายหนุ่มไม่สนใจอาการง่อนแง่นของจ้อย
“แต่ผมอยากถามคุณอีกเรื่อง คุณเป็นเพื่อนครู คุณน่าจะรู้... ”
“เรื่องอะไร” สัญชัยถามกลับด้วยเสียงหงุดหงิด
“ครูกล้าเคยทำร้ายใครจนเกือบตาย... จริงไหม”
ดวงตาคมหรี่แคบมอง ประมวลความคิดในหัวก่อนให้คำตอบ “ฉันไม่รู้ เธอน่าจะไปถามเขาเอง”
“ผมไม่กล้า”
“ฉันรู้ว่าทำไมเธอไม่กล้า เธอกลัวคำตอบที่จะได้ยินจากปากเขาใช่ไหม”
ดวงตาเศร้าสร้อยของจ้อยทำให้ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ ชั่งความคิดอยู่หลายนาทีกว่าจะพูดต่อ “ฉันไม่รู้อะไรมากนัก รู้แต่ว่าเขาถูกเศรษฐีรับไปทำงานด้วยหลังจากผู้หญิงคนรักของเขาตายเพราะเสพยาเกินขนาด”
สัญชัยเงียบไปชั่วอึดใจ จ้องตาชื้นของเด็กจ้อย แล้วคลี่คำพูดต่อ “เธออาจจะเข้าใจเขามากขึ้น ถ้าเธอใช้คำถามเดียวกับที่ถามตัวเองว่าทำไมเธอถึงฆ่าเจ้าลาย”
จ้อยสะอื้นต่อราวกับโลกกำลังสลายไปในอีกไม่กี่นาที สัญชัยเห็นแล้วก็เวทนา แต่เขาเริ่มรับเสียงร้องไห้ต่อไปไม่ไหว ฟังแล้วมันบาดลึกกินไปถึงหัวใจ เหมือนเขาย้อนกลับไปนั่งกลางเสียงร้องระงมของเด็กผู้ถูกทอดทิ้งในสถานเลี้ยงกำพร้า
“ลงจากรถเสียที ฉันต้องไปแล้วจริงๆ”
สัญชัยพูดตัดบทแต่เด็กชายยังนั่งนิ่ง ไม่ยอมทำตามที่บอก แถมยังจ้องหน้าเหมือนรอคำตอบจนชายหนุ่มรำคาญใจ จึงลงจากรถฝั่งคนขับแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูฝั่งที่จ้อยนั่งก่อนฉุดลากตัวออกมา จ้อยเองก็ดิ้นขัดขืน แต่ถูกมือแข็งแกร่งบีบเข้าที่ต้นแขน พร้อมกับคำพูดเสียงขรึม
“ตอนที่ฉันยังอายุเท่าเธอนะจ้อย ฉันไม่เคยคิดว่าโรงเรียนเป็นสวรรค์ แต่เป็นแค่ทางผ่านของคนไร้การศึกษา ที่เชื่อว่าการเรียนจะพาตัวเองจากจุดต่ำต้อยไปหาจุดที่สูงกว่าได้ แต่เธอรู้ไหม ทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่คิดว่าอยู่สูงกว่าใคร ไอ้วิชาที่ได้เรียนในห้องมันไม่ได้ช่วยให้เธอไปถึงฝัน เงินเท่านั้นจ้อย เงินเท่านั้น!” พูดจบก็ยัดธนบัตรสีม่วงใส่มือเด็กชาย
จ้อยส่งเสียงสะอื้น เอียงหน้าเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อ แล้วหมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับเงินในมือ เห็นแล้วก็ให้เวทนาใจ แต่ในวินาทีนั้นก็มีสายเรียกเข้าจากหญิงสาวที่กำลังต้องการพูดคุย จึงรีบเลื่อนหน้าจอรับสาย
“ผมกำลังจะโทร.จะหาคุณอยู่พอดี มีเรื่องตลกแต่ไม่ขำจะเล่าให้คุณฟัง เจ้าจ้อยมันบอกว่าต้นกล้าซ่อนกุหลาบอีกต้นไว้” เขารีบบอกข่าวแต่แล้วคิ้วเข้มก็ย่นเข้าหากัน
“หงส์ คุณพูดว่าอะไรนะ พูดอีกทีซิ” สัญชัยพยายามสงบจิตสงบใจ แต่คำพูดของปลายทางก็ยังเหมือนเดิม แถมยังชัดเจนมากกว่าเดิม “ยกที่ดินให้ฟรีอย่างนั้นหรือ”
พอฟังปลายทางพูดไปได้สักพัก สัญชัยก็สบถเมื่อได้รู้ว่าแท้จริงแล้วต้นกล้าไม่ได้มีฐานะเป็นแค่ครูใหญ่ แต่เป็นเจ้าของที่ดินเองต่างหาก ความรู้สึกที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ต่างกับถูกเพื่อนเสียบมีดปักอก แต่ถ้าต้นกล้ารู้เรื่องกุหลาบว่าเป็นฝีมือใคร ก็คงเจ็บแค้นไม่ต่างกัน
ทว่าก็ยังไม่สร้างความเจ็บแค้นให้เท่ากับเรื่องที่แพรพรรณรายเพิ่งพูดออกมา “ผมไม่เกี่ยวกับที่เจ้าต้นกล้าถูกรถชน หรือคุณกับนายอิทธิฤทธิ์กำลังรวมหัวกันโยนความผิดให้เป็นของผมหรือไง ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็ ผมก็จะไม่รับเงินค่าจ้างทำกุหลาบตายจากมันสักบาท!”
เขาตะเบ็งเสียงใส่แล้วตัดสายด้วยความโมโห แต่ฉับพลันในตอนที่กำลังหันหลังเพื่อขึ้นรถก็เห็นร่างเล็กๆ ของจ้อยยืนจังก้าอยู่ ก่อนตกใจวิ่งหนีไป สัญชัยสบถลั่น ถีบเท้าวิ่งตามไปด้วยความเร็ว ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นได้ยินอะไรบ้าง แต่เขาจะไม่ยอมกลายเป็นแพะในเรื่องวุ่นวายแสนบัดซบนี้คนเดียว!
‘กุหลาบต้นนี้มันไม่คู่ควรกับคุณ คุณากรพร็อพเพอร์ตี้ก็ไม่คู่ควรกับคุณ’
คำพูดเสียดแทงใจในคืนนั้นยังสะท้อนก้องในหัว ยามหลับก็เหมือนได้ยินเสียงของเขาตะโกนอยู่ใกล้หู คราใดที่ได้ยินเสียงเครื่องจักรทุบอาคารเรียน ก็เหมือนกับมันกำลังทุบหัวใจตัวเอง
คำประกาศของเขาแปลงเป็นการกระทำแสนชัดเจนด้วยการเรียกหล่อนไปลงชื่อผู้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่เลขศูนย์ตัวเดียวที่ใส่มาในเช็คธนาคารก็ทำให้หล่อนเจ็บปวดราวกับเป็นคนอนาถารับของบริจาคจากผู้ใจบุญ ทั้งที่หล่อนก็ยอมจ่ายในราคาที่มากพอให้เขาไปหาซื้อที่ดินผืนใหม่ และเขาคงต้องการกรวดน้ำคว่ำขัน แม้วันที่ไปพบกันในกรมที่ดินก็ไม่แลตามองมา ต่างฝ่ายต่างอยู่ในมุมของตน มีตัวแทนของกันและกันเป็นผู้เจรจา จะมีก็แต่เพียงปลายนิ้วที่สัมผัสผ่านกระดาษมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เขาลงนามท้ายกระดาษว่า
‘ทีเค มิลเลอร์’
เจ็บปวดเหลือเกินเมื่อรู้ความจริงว่าเป็นเขามาตลอด คนสวนแห่งเอเดนคนนี้ปิดบังความลับเพื่อแค่อยากทำให้หล่อนเป็นตัวตลก หรือมีอะไรอื่นอีกที่เขาซ่อนไว้ไม่ให้หล่อนรู้
หลังจากวันที่ทัพคุณากรพร็อพเพอร์ตี้บุกผ่านเข้าประตูโรงเรียน รสสุคนธ์ก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย ในห้องพักครูว่างเปล่า หนังสือและกีตาร์โปร่งถูกนำออกจากสถานที่ เขาคงมาขนย้ายไปก่อนหน้า แล้วทิ้งกุหลาบทั้งหลายไว้ให้หล่อนจัดการตามแต่ใจปรารถนา
กระนั้นเจ้ากุหลาบอนาถาทั้งหลายก็ไม่โชคร้ายเกินไป เพราะทางโรงแรมที่หล่อนพักขอรับเลี้ยงพวกมันไว้เป็นไม้ประดับสวนแทนเจ้าของเดิมที่ทิ้งขว้างมันแล้วหนีหาย
โชคดีเป็นของกุหลาบพวกนั้น แต่สำหรับ ‘เจ้าโรส’ ของหล่อน มันดูร่อแร่เกินเยียวยา แต่ก็ยังหวังว่าวิธีกู้ชีพที่ฝ้ายบอกให้ลองทำจะช่วยต่ออายุให้มันได้บ้าง หนึ่งวันก็ยังดี
หลังจากถูกครูหนุ่มตะคอกเสียงใส่คืนนั้น รสสุคนธ์ก็สับสนใจระหว่างปล่อยให้มันตายไปกับเลือกช่วยชีวิตมันไว้ สุดท้ายก็อุ้มมันไปหาฝ้ายถึงหน้าบ้าน ร่ำร้องเรียกฝ้ายให้ออกมาช่วยเหลือชีวิตกุหลาบต้นนี้ ในตอนแรกฝ้ายทำท่าเย็นชาใส่ แต่คงทนแรงคะยั้นคะยอไม่ไหวจึงยอมบอก ซึ่งแม้จะเป็นวิธีที่ฝ้ายเองก็ไม่รับรองผล แต่หล่อนก็ต้องลอง
‘การล้างรากกุหลาบ’ เป็นเรื่องสุดแสนประหลาดหูสำหรับคนไม่มีพรสวรรค์ในการปลูกพืชใดๆ เลย เวลานี้ผ่านมาได้เจ็ดวันแล้ว ทว่าสัญญาณชีพก็ยังนิ่งสนิท กระนั้นรสสุคนธ์ก็ไม่ถอดใจ ยังรินน้ำสะอาดบริสุทธิ์ให้เจ้ากุหลาบทุกวันไม่มีขาด
“คุณโรสคะ ดิฉันเอารายงานความคืบหน้าของการก่อสร้างมาส่งค่ะ”
รสสุคนธ์วางแก้วน้ำลงข้างกระถางกุหลาบที่หล่อนอุ้มไปกลับระหว่างห้องพักและสำนักงานชั่วคราวทุกวัน ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อสังเกตความเป็นไปของมันอย่างใกล้ชิด
“ขอบใจ” หล่อนกล่าวแล้วกลับมานั่งที่เก้าอี้ทำงาน เปิดแฟ้มอ่านรายงาน แต่เห็นว่าธุรการสาวยังไม่เดินออกจากห้อง จึงเงยหน้ามอง “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ธุรการสาวส่ายหน้า “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร แค่เห็นว่าช่วงนี้คุณโรสไม่ค่อยสดใส ก็เลยเป็นห่วง”
“ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง แต่ฉันสบายดี” เจ้านายสาวยิ้มอ่อน ให้คำตอบแล้วก้มหน้าอ่านรายงานต่อ จนได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงปิดประตู แต่รสสุคนธ์ครอบครองความเงียบในสำนักงานชั่วคราวได้ไม่นาน ผู้มาเยือนคนใหม่ก็พาสุ้มเสียงขุ่นมามอบให้ถึงโต๊ะทำงาน
“ได้ข่าวว่าโรสอยากดูงบการเงินย้อนหลังสิบปี”
รสสุคนธ์ลอบถอนหายใจ ยังไม่เงยหน้ามองผู้พูดเพราะอยากอ่านข้อมูลให้จบ แต่ดูเหมือนมีคนไม่ชอบการถูกเมิน จึงวางแฟ้มเอกสารหนาทับหน้ากระดาษที่หล่อนกำลังอ่านค้าง
“ดูจนพอใจแล้วก็บอกพี่ด้วยว่าทำแบบนี้แล้วได้อะไรบ้าง”
“ได้อะไรของพี่อิทนี่คืออะไรคะ” หญิงสาวส่งคำถามเสียงเรียบ มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเฉยเมย
“ก็ที่ดูงบการเงินย้อนหลังสิบปีแล้วโรสได้อะไรบ้างไงล่ะ” ดวงตาเรียวส่อเค้าความไม่พอใจในปฏิกิริยาเฉยชาของหล่อน “อ้อ แล้วก็เรื่องกู้ชีพต้นไม้เฉาต้นนั้นด้วย”
รสสุคนธ์เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองหน้าคนที่อุตส่าห์หอบเอาแฟ้มงบการเงินย้อนหลังมาส่ง แทนที่จะใช้เวลาอันมีค่ากับงานหรือกับผู้หญิงคนไหนสักคนมากกว่าจะมาส่งมอบเอกสารด้วยตัวเอง
“แต่โรสอยากอ่านฉบับจากผู้สอบบัญชีค่ะ แล้วเขาก็กำลังจัดส่งมาให้ โรสต้องขอโทษที่ทำให้พี่อิทเสียเวลาเปล่า ส่วนต้นไม้เฉาต้นนั้น โรสว่าไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรกับพี่อิทนะคะ”
อิทธิฤทธิ์แค่นหัวเราะ ย้ายตัวเองไปยืนมองกิ่งก้านไร้ชีวิตชีวาของกุหลาบหนามแหลมที่ถูกหล่อนลิดใบจนหมดเพื่อลดการคายน้ำตามวิธีที่ลูกศิษย์มือขวาของครูหนุ่มสอนมา
“มิสเตอร์เรมอนด์จะมาถามความคืบหน้าของโครงการพรุ่งนี้ พี่อยากให้โรสเป็นคนต้อนรับ” เขาบอกพลางยื่นนิ้วไปแตะป้ายชื่อกุหลาบที่มอมแมมไปด้วยดิน “เพราะพี่มีธุระสำคัญกับแขกของแอนเจลฟลาย”
“มากะทันหันแบบนั้น โรสเตรียมตัวไม่ทันหรอกค่ะ” หล่อนตั้งท่าปฏิเสธ
“ถ้าโรสไม่ไป พี่ก็คงต้องขอให้คุณป้าปัทมาไปแทน”
คำพูดที่ใช้ต่างเชือกรัดคอบีบบังคับให้หล่อนต้องยอมจำนน จึงกัดฟันถามกลับ “นัดกับมิสเตอร์เรมอนด์ที่ไหนและกี่โมงคะ”
“ภัตตาคารรูฟท็อปในโรงแรมที่พัทยา เวลาสองทุ่มตรง”
“มันไม่ดึกเกินไปหรือคะ”
“มิสเตอร์เรมอนด์บินตรงจากต่างประเทศ เขาเจียดเวลาให้เราได้แค่นั้น แล้วเขาต้องเดินทางต่อ แค่คุยงานสองสามชั่วโมง อย่าบอกนะว่าโรสทำไม่ได้”
เขาคงตั้งใจยั่วยุให้หล่อนแสดงอารมณ์โกรธ แต่มีเพียงความเฉยชาเท่านั้นที่เกิดขึ้น แม้แต่รสสุคนธ์เองก็แปลกใจในการเปลี่ยนไปของตัวเอง
“ถ้าแค่คุยความคืบหน้าของงาน โรสทำได้แน่นอน” รสสุคนธ์ตัดบทสนทนาไม่ให้ยืดยาว แล้วลุกขึ้นยืนพลางเก็บเอกสารให้ก่อนหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่ “โรสขอตัว จะไปทำธุระ”
จากนั้นร่างระหงก็เดินตรงไปอุ้มกระถางกุหลาบ แล้วหมุนตัวเดินออกมา ไม่สนใจเสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่ม รวมไปถึงสายตาของพนักงานในไซต์ที่มองหล่อนเหมือนมองตัวประหลาด เว้นแต่ธุรการสาวที่เริ่มเข้ามาสร้างความคุ้นเคย ซึ่งรสสุคนธ์ก็จัดให้อยู่ในมิตรภาพโดยมีผลประโยชน์กันในรูปแบบนายจ้างและลูกจ้าง
เพราะคิดแบบนี้จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ้างว้างจนน้ำตาเปียกหมอนทุกคืน ราวกับอยู่ตัวคนเดียวในโลก ไม่มีใครอยากคบค้าด้วยความจริงใจ ไม่มีใครเลยที่สนใจใคร่ฟังความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ภายในหัวใจหล่อน จะหันหน้าไปทางไหนก็เห็นแต่คนแปลกหน้า จากที่คิดว่าจะได้คนคุ้นตาคุ้นใจคนใหม่อย่างฝ้ายหรือนางแพร้วก็พูดคุยกันไม่สนิทใจดังเดิม
อย่าว่าแต่คนไกลตัวเลย คนใกล้ตัวอย่างมารดา หล่อนก็รู้สึกเหมือนห่างเหินกันมานานปลายปี
“โลกนี้มีแต่แกกับฉันสินะเจ้าโรส” หญิงสาวรำพึงกับเพื่อนใหม่ไร้เสียง อุ้มกระถางเจ้าโรสแนบอกแน่น เดินตรงไปยังรถสภาพยับเยินที่จอดทิ้งไว้หลายสัปดาห์ และคืนพรุ่งนี้หล่อนต้องปลุกมันให้รับใช้พาหล่อนไปพบกับนายเรมอนด์ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโครงการห้างสรรพสินค้า
รสสุคนธ์เดินตรงเข้าโรงแรมที่พัก ตั้งใจจะไปขอให้ผู้จัดการช่วยเหลือเรื่องการเติมลมยาง แต่เคาน์เตอร์ต้อนรับดูแปลกตาไปจากเดิม เพราะนอกจากจะมีแขกเข้ามาเช็กอิน ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองสามนายสนทนากับพนักงาน และอีกหลายนายกำลังเดินตรวจสอบหาอะไรบางอย่างรอบๆ โถงรับรอง
“มีอะไรกันหรือคะ” หล่อนเดินตรงเข้าไปถามผู้จัดการ เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่สู้ดี
“เรื่องไม่ดีเลยครับคุณโรส ผมไม่รู้ว่าคุณโรสอยากฟังหรือเปล่า”
แค่เกริ่นมา หล่อนก็รู้สึกใจแป้วไม่มีเหตุผล “เล่ามาเถอะค่ะ”
ผู้จัดการพ่นลมหายใจเสียงหนัก ทิ้งช่วงเวลาเหมือนเป็นตัวเองต่างหากที่ไม่อยากพูด แต่สุดท้ายก็ทนการถูกหญิงสาวจ้องหน้าไม่ไหว
“จ้อยครับ... จ้อยตายแล้ว”