สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
My Roseสำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
บทที่ ๒๗
รถมอเตอร์ไซค์ของธุรการสาวยังจอดไม่สนิทดี รสสุคนธ์ก็วิ่งตรงไปแผนกนิติเวชด้วยใจอยากรู้ให้แน่ชัดว่าเจ้าเด็กโมโหร้ายที่เกลียดหล่อนเข้าไส้จากโลกนี้ไปแล้วจริงหรือ
‘ศพจ้อยลอยมาติดอวนของชาวประมงเมื่อเช้านี้’ ใบหน้าของผู้เล่าเศร้าสลด พาให้หัวใจของหล่อนลอยล่องหลุดจากอก
‘เพราะใบหน้าบางส่วนถูกปลากัดแทะ ในตอนแรกเลยไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่มีคนจำจากเสื้อผ้าได้ว่าเป็นตัวที่จ้อยเคยใส่’
น้ำตาร้อนไหลรินอาบแก้ม รสสุคนธ์รู้สึกไร้เรี่ยวแรงจนแทบอุ้มกระถางกุหลาบไม่อยู่ ใจยังไม่อยากเชื่อ จึงถามไถ่เจ้าหน้าที่ตำรวจจนได้ความว่าศพของเด็กชายยังถูกเก็บไว้ที่แผนกนิติเวชโรงพยาบาล รสสุคนธ์จึงโทรศัพท์หาธุรการสาวให้ช่วยรับหน้าที่สารถีบึ่งมอเตอร์ไซค์มาส่งที่โรงพยาบาลแห่งนี้
‘ตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังสืบว่าเป็นจ้อยตกน้ำเองหรือถูกฆาตกรรม’
สาเหตุการตายของเด็กชายยังคงคลุมเครือ แต่ด้วยการบอกเล่าของผู้พบเห็นและเทปบันทึกกล้องวงจรปิดของโรงแรมจับภาพจ้อยลอบเข้ามาแถวบริเวณหลังเคาน์เตอร์รีเซปชันก่อนวิ่งหายลับเข้าไปในดงต้นกุหลาบที่โรงแรมรับมาจากโรงเรียนปลูกปัญญา
ไม่มีใครรู้ว่าจ้อยไปทำอะไรที่โรงแรมและก็ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับจ้อยหลังจากนั้น แต่มีข่าวประหลาดๆ ลือกันไปว่าเจ้าจ้อยเสียใจเรื่องคดีในอดีตของครูหนุ่มจึงกระโดดทะเลฆ่าตัวตาย
“ขอโทษค่ะ ดิฉันรู้จักกับจ้อย เด็กที่เอ่อ...” พอถึงแผนกนิติเวช หล่อนก็ตรงรี่ไปหาเจ้าหน้าที่ แล้วบอกความต้องการ แต่เพราะไม่อยากเอ่ยเต็มปากว่าพบเป็นศพลอยไปติดอวนชาวประมง รสสุคนธ์จึงอึกอักหาคำพูดที่บาดใจไม่ได้ในทันที
“คุณเป็นญาติหรือผู้ปกครองเด็กหรือเปล่าคะ” ความเคร่งครัดของเจ้าหน้าที่คือสิ่งที่ต้องเคารพ แต่ความต้องการของหล่อนคือแรงผลักดันให้กล่าวมุสา
“ฉันเป็นน้าของเขาค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น รอให้ดิฉันเข้าไปบอกคุณครูของเด็กในห้องเก็บศพก่อนนะคะว่าญาติของเด็กมารับศพแล้ว”
รสสุคนธ์ตัวเย็นวาบ จะออกปากห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้เข้าไปประตูห้องเก็บศพก็เปิดออกเผยร่างสูงของชายหนุ่มก้าวขาออกมาด้วยใบหน้าหมองหม่นเหมือนคนที่สูญสิ้นทุกอย่างในชีวิต
“ไม่จริงใช่ไหม ไม่ใช่จ้อยใช่ไหม” รสสุคนธ์ไม่รอให้เจ้าหน้าที่ประจำแผนกแจงเรื่องที่หล่อนอ้างเป็นน้า รีบตรงเข้าไปหาต้นกล้า
ดวงตาแดงก่ำแต่สุดแข็งกร้าวมองมาเพียงชั่วลมหายใจ ก่อนพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินผ่านหล่อนไปที่เคาน์เตอร์แล้วเอ่ยกับเจ้าหน้าที่ว่า
“ผมจะรับศพลูกศิษย์กลับไปทำพิธี ต้องลงชื่อตรงไหน”
ไม่ชัดเจนในคำตอบ แต่ชัดเจนในความรู้สึก รสสุคนธ์หันหน้าไปทางบานประตูที่ถูกปิดผนึกแน่นหนา ติดป้ายเตือนชัดเจนว่าห้องดับจิต หล่อนหายใจหอบสะท้าน อยากร้องไห้แต่ก็เหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบรัดหน้าอก อึดอัดจนเจ็บแน่น ได้แต่ทอดตาอาลัยให้แด่ดวงวิญญาณของเด็กชายที่หล่อนจะไม่ได้เห็นหน้าเกรี้ยวโกรธ ไม่ได้ยินเสียงประชดประชันอีกต่อไป
เช้าวันต่อมาหลังจากผลชันสูตรพบว่าบริเวณต้นแขนของเด็กชายมีรอยคล้ำ อาจเกิดจากการกระแทกหรืออะไรนั้นไม่สามารถบอกได้ละเอียดเพราะเนื้อถูกปลากัดกินทำลาย ทางเจ้าหน้าที่จึงลงคำตัดสินว่าจ้อยอาจพลาดตกทะเลแล้วร่างไปพันติดอวน และไม่สามารถช่วยตัวเองได้จนขาดอากาศหายใจตายในทะเล
ฟังดูเหมือนจะจบเรื่องจบราว แต่หล่อนได้ยินจากผู้จัดการโรงแรมว่า ครูหนุ่มยังขอให้มีการสืบสวนต่อไป ด้วยเชื่อว่าจ้อยไม่ได้ตายด้วยอุบัติเหตุ ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดจึงต้องถูกเรียกตัวสอบสวนในภายหลัง แน่นอนว่าหากใครต้องการถามหล่อน ก็จะยินดีตอบ โดยไม่เกรงว่าจะถูกจัดไว้อยู่ในกลุ่มผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับเด็กชาย
งานศพถูกจัดในบ่ายของวันต่อมา ต้นกล้ารับเป็นเจ้าภาพคนเดียว โดยให้มีแค่บุคคลที่ใกล้ชิดกับเด็กชาย เช่นจ๊ะจ๋า นายเผ่า นางแพร้ว หนูมุก ฝ้าย และนักเรียนที่เคยร่วมชั้นกับจ้อยมาร่วมงาน ยังดีที่เขายอมให้หล่อนเข้าไปทำความเคารพ รดน้ำศพอาบมือน้อยที่ซีดเผือดไร้สัญญาณชีวิต
และมือน้อยๆ นี้เองที่หล่อนเคยเห็นในความฝัน รวมถึงแววตาที่มองมาราวกับเป็นคนแปลกหน้ากันและกันของทุกคน ก็คือบุคคลไร้หน้าทั้งหลายที่เห็นในนิมิต ภาพทุกอย่างถูกเล่นซ้ำอีกครั้งในหัว เว้นแต่ว่าหล่อนไม่มีน้ำตาอย่างในความฝัน
เวลามีไม่พอให้รสสุคนธ์อยู่จนถึงส่งร่างเล็กเข้าสู่เมรุ เพราะนัดสำคัญกับมิสเตอร์เรมอนด์คืนนี้ทำให้ต้องรีบออกจากงานศพที่ไม่มีใครสนใจว่าหล่อนจะยังอยู่ต่อหรือไม่ โดยเฉพาะชายหนุ่มเจ้าภาพของงานที่ไม่คิดแลสายตามาทางหล่อนเลยสักครั้ง
รสสุคนธ์จึงหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าเพื่อเรียกใช้งานธุรการสาวที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางไปไหนมาไหนของหล่อน แต่แล้วชายกระโปรงของรสสุคนธ์ก็ถูกกระตุก พอก้มลงมองก็เห็นจ๊ะจ๋ายืนส่งยิ้มตาแป๋วมาให้ พลางส่งเสียงคล้ายกับเรียกชื่อของหล่อน
“โล้ด”
หัวใจของรสสุคนธ์เบิกบาน รีบตัดสายทิ้งแล้วย่อเข่าพูดจากับเด็กหญิงตัวน้อย “จำชื่อของฉันได้แล้วหรือ”
“จ้า จ้า ไปฉะหวัน จ้าไปฉะหวัน” เด็กหญิงพูดพลางชี้นิ้วป้อมไปทางเมรุแล้วหันหน้ามาทางหล่อน
ความไร้เดียงสาเรียกคะแนนสงสารให้หญิงสาวจนอยากดึงเด็กน้อยเข้ามากอด แต่ก็ทำได้แค่อ้าแขนค้าง เพราะครูหนุ่มก้าวเข้ามาอุ้มจ๊ะจ๋าจากไปโดยไม่คิดเอ่ยคำพูดใดๆ
การกระทำของเขาครั้งนี้สร้างความขุ่นเคืองเข้ามาแทนที่ทุกความรู้สึกในใจ คล้ายกับเขากำลังเล่นสงครามประสาท คงอยากให้หล่อนเจ็บใจที่ถูกเพิกเฉยเหมือนอย่างที่เขาเคยทำในช่วงแรกที่หล่อนก้าวเข้าไปรุกรานโรงเรียน ซึ่งถ้าเขาต้องการแบบนั้นจริง ทำไมหล่อนจะสนองตอบให้ไม่ได้เล่า
รสสุคนธ์สลัดใบหน้าเย็นชาออกจากความคิด แล้วกลับโรงแรมเพื่อเตรียมเอกสารและเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ไม่ลืมเข้าไปบอกลาเจ้าโรสที่ถูกวางไว้บนพื้นระเบียงรับลมทะเล
“อยู่คนเดียวเหงาๆ สักสามสี่ชั่วโมงนะ”
กล่าวจบแล้วก็คว้าเสื้อแจ็กเกตผ้าทวีตสีขาวเข้าชุดกับเดรสแขนกุดเนื้อผ้าและสีเดียวกันที่ตัดเตรียมไว้เพื่องานสำคัญ ออกจากห้องพักที่ให้ความรู้สึกเป็นบ้านหลังที่สอง ตรงไปยังรถคันโปรดที่เต็มไปด้วยริ้วรอยอันเกิดจากความโกรธแค้นของเด็กคนหนึ่งซึ่งฝากไว้ให้หล่อนดูต่างหน้าแทนเจ้าตัวที่ลาจากโลกนี้ไป
ล้อรถทั้งสี่ถูกเติมลมไว้เรียบร้อยแล้วตามคำขอร้องที่หล่อนบอกกับผู้จัดการโรงแรม เอกสารสำคัญเกี่ยวกับความคืบหน้าของโครงการก็มีครบ รสสุคนธ์เห็นว่าควรไปก่อนเวลานัดสักหน่อย เพื่อจะได้อ่านทวนข้อมูลสักรอบก่อนแขกชาวยุโรปจะไปถึง
หล่อนติดเครื่องยนต์แล้วเปิดระบบปัดน้ำฝนเพื่อขับไล่ฝุ่นหนาที่เกาะกระจกหน้ารถออก แต่ในตอนที่มันขยับทำงานก็เห็นบางอย่างถูกสอดแนบไว้กับก้านปัดน้ำฝน ส่งผลให้มันทำงานติดๆ ขัดๆ จึงยื่นหน้าเข้าไปส่องดูใกล้ๆ แล้วเห็นว่าเป็นธนบัตรใบละห้าร้อยที่ถูกพับทบจนเหลือขนาดเล็ก
ความอยากรู้ทำให้หญิงสาวลงจากรถ เพื่อยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นหยิบธนบัตรมาพลิกหน้าหลังก่อนคลี่มันออก แล้วหัวใจของหล่อนก็สั่นสะเทือนเมื่อเห็นข้อความลายมือไก่เขี่ยคล้ายเด็กหัดเขียนหนังสือ
‘ผมขอโทษที่ทำรถคุณเป็นรอย’
‘ผมขอโทษที่ทำแขนคุณเจ็บ’
‘ผมขอโทษที่ทำกุหลาบคุณตาย’
น้ำตาที่ไม่คิดว่าจะไหลตั้งแต่รู้ข่าวการตายของเด็กชายพลันรินหลั่งราวเขื่อนแตก รสสุคนธ์ร้องไห้ออกมาเสียงดัง ไม่สนใจแขกและพนักงานของโรงแรมที่เดินผ่านไปมา อ่านทวนประโยคเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมาพร้อมกับใบหน้าเศร้าของจ้อยที่ลอยเข้ามาอยู่ในภวังค์คล้ายกับเด็กชายมายืนแล้วกล่าวกับหล่อนตรงหน้า
“ฉันก็ขอโทษนะจ้อย... ขอโทษที่ทำลายสวรรค์ของเธอ” หล่อนครวญเสียงสั่น รำพึงรำพันประโยคนั้นกับความว่างเปล่าด้วยดวงตาพร่ามัว
ความเวิ้งว้างของท้องทะเลพาความคิดของรสสุคนธ์ล่องลอยเป็นเรือชีวิตไร้จุดหมายที่ไหลไปตามคลื่นลมซึ่งบางครั้งก็สงบ แต่บางครั้งก็เกรี้ยวกราดถาโถมให้ลำเรือโคลงเคลง หากไม่พยายามพยุงสติให้ดีแล้วครองลำเรือให้ลอยต่อไป ก็ไม่แคล้วต้องจมดิ่งลงไปพร้อมกับชิ้นส่วนของหัวใจที่เริ่มผุพังเพราะมรสุมชีวิตระลอกแล้วระลอกเล่า
“ผมมาช้าไปหน่อย ขออภัย”
คำทักทายเตือนหล่อนให้สะบัดความซึมเศร้าออกจากหัวแล้วดึงตัวเองกลับสู่ปัจจุบัน “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันก็เพิ่งมาถึงก่อนหน้าไม่นาน”
รสสุคนธ์ไม่ได้ต้องการพูดเอาใจ แต่หล่อนเพิ่งหย่อนตัวนั่งบนโซฟาได้ไม่ถึงสิบห้านาที และที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะทวนอ่านข้อมูลทั้งหมดก่อนมิสเตอร์เรมอนด์มา ก็มีอันต้องล้มเลิกไปเพราะใจที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย
“ผมว่าเราย้ายไปที่นั่งด้านนอกดีกว่า จะได้คุยกันในบรรยากาศสบายๆ” นายฝรั่งตาน้ำข้าวเสนอ
“ไม่ดีกว่าค่ะ จริงๆ ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร เกรงว่ารับลมทะเลแล้วจะเป็นไข้”
“อย่างนั้นหรือครับ แต่ผมเห็นว่าวันนี้คุณสวยสดใสมาก มองไม่ออกเลยว่าเป็นคนป่วย”
รสสุคนธ์ยิ้มอ่อน เบี่ยงเบนการสบตาประกายก้อร่อก้อติก ด้วยการหยิบแฟ้มงานออกจากกระเป๋าขึ้นมาวางบนโต๊ะ “วันนี้คุณอิทธิฤทธิ์ติดธุระสำคัญเลยมาไม่ได้ แต่ฉันสามารถอธิบายความคืบหน้าของโครงการห้างสรรพสินค้าให้คุณได้ชัดเจนครบถ้วนแน่นอนค่ะ”
“ธุระของเขาคงจะสำคัญมากทีเดียวถึงได้เลือกผิดนัดกับผม แต่เขาก็เกริ่นๆ กับผมบ้างแล้วเกี่ยวกับความคืบหน้า” สายตากรุ้มกริ่มนั้นชัดเจนยิ่งกว่าตอนที่มีอิทธิฤทธิ์คอยประกบหล่อน
“ถ้าอย่างนั้นคุณคงรู้จากคุณอิทธิฤทธิ์แล้วว่าคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ครอบครองพื้นที่ทั้งหมดแล้วอย่างเป็นธรรม” ด้วยไม่อยากเสียเวลา รสสุคนธ์จึงเริ่มเข้าเรื่องงาน “และตอนนี้การปรับพื้นที่ก็ทำเสร็จเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว หลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วงลงเสาเข็มโดยเริ่มจากอาคารหลัก ต่อด้วยอาคารจอดรถ”
นายฝรั่งไล่ตามองตามแผนงานที่หล่อนกางให้ดูแบบผ่านๆ แล้วตั้งคำถามที่ไม่เกี่ยวกับแผนงานเลยสักนิด “ผลประกอบการของคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ในช่วงห้าเดือนเป็นอย่างไรบ้าง คุณช่วยบอกผมที”
“ดิฉันไม่รู้ว่าคุณจะถามคำถามนี้ เลยไม่ได้เตรียมข้อมูลมา”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วสีบลอนด์ใส่ มองหล่อนด้วยแววตาประหลาดใจ “ปกติแล้วคนที่เป็นผู้บริหารจะต้องรู้ความเป็นไปของบริษัทตัวเอง และที่ผมถามก็เพราะเกี่ยวข้องกับความสามารถในการบริหารโครงการของคุณ เพราะถ้าคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ยังไปได้ดีอยู่ ก็หมายความว่าคุณมีศักยภาพพอที่จะทำให้โครงการนี้รุ่ง”
รสสุคนธ์ลอบกลืนน้ำลาย เพราะถ้าหล่อนตอบตามความจริงว่าตอนนี้ผลประกอบการของคุณากรพร็อพเพอร์ตี้กำลังร่วงจนต้องใช้โครงการสำคัญเป็นไม้ค้ำยัน นายฝรั่งคนนี้ยังเชื่อใจในตัวหล่อนอยู่อีกหรือ
“ดิฉันขอส่งข้อมูลให้ทางอีเมลภายหลังได้ไหมคะ ส่วนวันนี้เรามาคุยกันเรื่องโครงการก่อนจะดีกว่า ความคืบหน้าเป็นไปในทางที่ดี และมีแนวโน้มว่าเราจะเปิดกิจการได้เร็วกว่ากำหนดเดิมหนึ่งเดือนล่วงหน้าทีเดียว”
แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาราวกับหล่อนเล่าเรื่องตลกให้ฟัง “มันก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่อดีตที่ผ่านมาเป็นอย่างไร คุณรสสุคนธ์ยังให้คำตอบผมไม่ได้ นี่อย่าหาว่าผมสอนเลยนะ คุณพ่อคุณไม่ได้บอกหรือว่าตัวเลขผลประกอบการพวกนั้นก็เป็นแค่เครื่องประดับ แต่สิ่งที่มีเสน่ห์ดึงดูดนักลงทุนอย่างพวกเราคือ...”
เรมอนด์บอกแล้วใช้นิ้วชี้จิ้มที่ศีรษะของตน “...มันสมองของผู้บริหาร”
“ดิฉันทำได้แน่นอน”
เขาหัวเราะส่ายหน้า “นี่เราตกลงกันด้วยเงื่อนไขอะไรนะ อ้อ ใช่แล้ว ถ้าคุณบริหารห้างสรรพสินค้าจนได้กำไร คุณจะขอซื้อหุ้นในส่วนที่ผมถือคูณราคาตอนทำสัญญาอีกเท่าตัว”
“ใช่ค่ะ เราตกลงกันแบบนั้น”
“แต่ผมรู้มาว่าคุณากรพร็อพเพอร์ตี้กำลังกระท่อนกระแท่น แล้วกิจการห้างสรรพสินค้าที่คุณไม่เคยทำจะไปได้หรือ”
รสสุคนธ์ข่มกลั้นความขุ่น แม้สิ่งที่นายฝรั่งพูดมาจะจริง แต่เขาควรให้เกียรติหล่อนด้วยการฟังแผนการที่ตระเตรียมมาบ้าง ไม่ใช่เอาแต่โจมตีจุดด้อยของหล่อน แล้วแบบนี้จะเป็นพาร์ตเนอร์ธุรกิจกันได้อย่างไร หากไม่เชื่อมั่นกันและกัน
พลันนั้น ลำแขนเรียวก็เย็นวาบเมื่อถูกมือกร้านของนายฝรั่งบีบเนื้อนุ่ม รสสุคนธ์จึงตวัดตาตำหนิ แต่ปฏิกิริยาตอบกลับคือรอยยิ้มร้ายของคนที่คิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่เป็นเรื่องสามัญธรรมดา
“หรือคุณจะทำข้อตกลงกันใหม่ ผมก็ยินดีประนีประนอม”
“ข้อตกลงอะไรคะ” รสสุคนธ์รู้ตัวว่าเสียงแข็งเป็นหิน แต่แรงบีบรัดที่ต้นแขนทำให้หล่อนอยากลุกขึ้นตะโกนใส่หน้ามากกว่า
“ก็ข้อตกลงที่ผมกับคุณจะทำร่วมกัน” เสียงหัวเราะในลำคอและแววตาของอีกฝ่ายทำให้รสสุคนธ์สะอิดสะเอียน อยากเสียมารยาทสะบัดตัวเดินออกจากตรงนี้
“ดิฉันไม่เข้าใจ”
“ผมพอมองออกนะว่าคุณไม่ได้ชอบใจอะไรในตัวคุณอิทธิฤทธิ์นัก และเขาก็ไม่มีความสามารถมากขนาดจะพาบริษัทของคุณพ้นวิกฤตหรอก”
รสสุคนธ์ก็อยากให้เขามองออกว่าหล่อนรังเกียจการกระทำของเขามากแค่ไหน แต่เพราะคำว่าวิกฤตที่เขาใช้ต่างมีดเสียบหัวใจนั้นทำให้หล่อนกำมือแน่น นั่งนิ่งเฉยไม่ตอบโต้อะไร กระนั้นการวางเฉยของหล่อนกลับทำให้อีกฝ่ายย่ามใจ ค่อยๆ กระชับมือหยาบบนผิวต้นแขนแน่นขึ้น
“ไม่ทราบว่าผมจะขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยได้ไหม”
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีดำแสนสง่าที่เดินมาหยุดตรงหน้า ไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้ชายอาวุโสขี้แต๊ะอั๋งเท่านั้น รสสุคนธ์เองก็แทบไม่เชื่อสายตาว่าเขาจะมาปรากฏกาย
“ได้สิครับคุณทีเค” มิสเตอร์เรมอนด์บอกแล้วรีบปลดมือจากไหล่ของหญิงสาว “บังเอิญจนน่าตกใจ คุณมาทานอาหารที่นี่หรือครับ”
ผู้มาใหม่คลี่ยิ้มพลางหย่อนตัวนั่งหลังคำอนุญาต “ครับ บังเอิญจนน่าตกใจ... ผมมาสังสรรค์กับคู่ค้าที่นี่ เราเพิ่งตกลงดีลธุรกิจมูลค่าหลายร้อยล้านสำเร็จ”
“ผมยินดีด้วย คนหนุ่มที่มีความสามารถระดับคุณหายากจริงๆ” นายเรมอนด์กล่าวชื่นชม แต่สายตาคู่นั้นตรงข้ามกับคำพูด
“แต่ผมเองก็ได้ข่าวมาว่าคุณกำลังหาที่ฝังเงินของคุณในประเทศแถบนี้ไม่ใช่หรือครับ” ดวงตาสีน้ำผึ้งป่าแวววาวเมื่อปรายตามาทางหญิงสาว
รสสุคนธ์ไม่คุ้นเคยกับการพูดจาเชิงธุรกิจของชายหนุ่ม ถึงน้ำเสียงของเขาจะน่าฟังชวนเคลิ้มแค่ไหน แต่หล่อนพอใจให้เขาพูดถึงการปลูกกุหลาบหรือท่องอาขยานร่วมกับนักเรียนมากกว่าวางมาดเป็นนายทีเค มิลเลอร์ผู้มีสายตาของหมาป่า
“จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะครับ ก็ทางภูมิภาคยุโรปถูกมิลเลอร์คอร์ปอเรชันจับจองไปหมด ผมก็ต้องออกมาหากินนอกเขตบ้าง”
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ยินดีที่จะบอกคุณว่ามิลเลอร์คอร์ปอเรชันกำลังสนใจขยายฐานธุรกิจมาประเทศไทยผ่านการลงทุนของมิลเลอร์โฮลดิ้งในบริษัทที่นี่”
ความประหลาดใจปรากฏบนใบหน้าของนายเรมอนด์แบบไม่ปกปิด ส่วนใบหน้าผู้พูดกลับเรียบสนิทเหมือนกำลังพูดถึงเรื่องลมฟ้าอากาศทั่วไป
“แล้วมิลเลอร์โฮลดิ้งกำลังมองที่ไหนอยู่” ดวงตาสีฟ้าหรี่แคบมอง
ชายหนุ่มฝ่ายตรงข้ามคลี่ยิ้ม ปรายตามองมาทางรสสุคนธ์ ก่อนเอ่ยคำตอบออกมา “เป็นความลับของมิลเลอร์ ผมบอกคุณไม่ได้”
เพราะเคืองที่ถูกคนอ่อนวัยกว่าลูบคม นายเรมอนด์จึงชักสีหน้า หันมากระแทกเสียงใส่รสสุคนธ์ ผิดกับท่าทีกะลิ้มกะเหลี่ยอย่างตอนก่อนที่ชายหนุ่มจะปรากฏตัว “คุณต้องส่งข้อมูลงบการเงินย้อนหลังห้าปีของคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ให้ผมทางอีเมลภายในพรุ่งนี้”
ว่าแล้วลุกขึ้นกระชับเสื้อสูท “ส่วนเรื่องความคืบหน้าของโครงการ ผมรู้แค่ว่าไม่มีโรงเรียนตั้งอยู่ตรงนั้น ผมก็พอใจแล้ว”
เขาเน้นย้ำเสียงตรงส่วนท้ายของประโยคแล้วเดินออกไป ทิ้งรายงานความคืบหน้าของโครงการที่หญิงสาวเตรียมมาให้ รวมถึงทิ้งชายหนุ่มดวงตาสวยให้นั่งตีหน้าขรึมถือครองโซฟาราวกับกำลังสวมบทบาทเป็นคู่นัดของหล่อนเสียเอง
แต่รสสุคนธ์ก็ไม่เห็นความจำเป็นต้องอยู่ต่อ ในเมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของงานแล้ว จึงเรียกบริกรให้มาเคลียร์ค่าเครื่องดื่ม แต่แทนที่บิลจะถูกส่งให้หล่อน กลับนำไปวางบนฝ่ามือของชายหนุ่มที่ชิงกวักนิ้วเรียก แล้วยื่นบัตรเครดิตสีเงินวาวตีตราสถาบันการเงินระดับโลกคู่กับโลโก้ของมิลเลอร์คอร์ปอเรชัน
“ขอบคุณค่ะ” รสสุคนธ์กล่าวขอบคุณเสียงเบา
“ไม่ต้องขอบคุณ ผมจ่ายคืนแทนเงินค่าหมอของจ๊ะจ๋าที่คุณออกให้คราวก่อน” ต้นกล้าบอกหล่อนขณะลงนามบนกระดาษแผ่นจิ๋วยืนยันยอดชำระ แล้วเก็บบัตรกลับเข้ากระเป๋าเงิน
“ฉันขอตัว” หญิงสาวเม้มเรียวปาก กระชับสายกระเป๋า
“ผมไปส่งที่รถ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก” หล่อนปฏิเสธเสียงเรียบ
“ผมจะไป”
เสียงเข้มทำให้รสสุคนธ์อ่อนใจจะโต้เถียง จึงยอมให้ชายหนุ่มทำตามต้องการ แต่การมาส่งหล่อนที่รถของเขาควรเรียกว่าบังเอิญมาทางเดียวกันจะถูกกว่า เพราะเขาเดินนำหล่อนลิ่วไปไกล จะหยุดรอก็ตอนถามว่ารถของหล่อนจอดชั้นไหน
“ขอบคุณที่เดินมาส่งนะคะ” รสสุคนธ์กล่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งประชด ส่วนเขาก็ยืนสอดมือทั้งสองใส่กระเป๋ากางเกงสแล็กส์มองมาแบบเมินๆ เห็นแล้วอยากเข้าไปบิดปลายจมูกโด่งนัก
เมื่อหล่อนสตาร์ตรถแล้วเขาก็เดินกลับไป นาทีนั้นรสสุคนธ์ก็เหมือนได้อากาศหายใจกลับมา หญิงสาวพิงศีรษะหลับตาพักใจให้หายอ่อนล้าสักครู่ใหญ่ แล้วค่อยพาตัวเองกลับบ้านหลังที่สอง ทว่าเสียงโทรศัพท์ก็ช่วงชิงเวลาแห่งการผ่อนคลาย และเจ้าของหมายเลขก็คือคนที่กำลังช่วงชิงบริษัทของพ่อไปจากหล่อน
“รู้เวลาดีจังเลยนะคะ หรือว่ามีคนโทร.ไปรายงานผลแล้ว”
ชายหนุ่มส่งเสียงแค่นหัวเราะมาตามสัญญาณ “ใช่ ดูท่าจะไม่พอใจเสียด้วย”
รสสุคนธ์กลอกตาเบื่อหน่าย เพราะรู้ว่านายเรมอนด์ไม่พอใจเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องที่หล่อนทำตัวเป็นตอไม้ไม่ได้รู้สึกสิเน่หาในการเล่นหูเล่นตา ก็คงเป็นเรื่องที่ถูกทีเค มิลเลอร์ลูบคม
“แต่เขาจะพอใจหรือไม่ อย่างไรโรสก็ต้องส่งงบการเงินของคุณากรพร็อพเพอร์ตี้ไปให้เขา เรื่องนี้พี่อิทรู้มาก่อนหรือเปล่าคะว่ามิสเตอร์เรมอนด์ต้องการข้อมูล”
“พี่ถึงได้เอาไปให้โรสเมื่อวาน แต่โรสก็อวดดีไม่รับ จำไม่ได้หรือไง”
หล่อนขว้างงูไม่พ้นคอ คำพูดที่ตั้งใจจับผิดชายหนุ่มกลับย้อนมากัดตัวเองเสียนี่
“ตอนนี้พี่อยู่โรงแรมเดียวกับโรส เพิ่งเสร็จธุระกับแขกของแอนเจลฟลาย พี่อยากให้โรสเล่าให้ฟังว่าคุยอะไรกับนายเรมอนด์บ้าง”
รสสุคนธ์พ่นลมหายใจแรง ดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถเอนตัวพิงกับประตู “โรสอยู่ลานจอดรถชั้นที่เชื่อมกับตัวโรงแรมค่ะ คุยกันที่รถก็ได้ โรสไม่อยากย้อนขึ้นไปอีก”
หล่อนรอไม่ถึงห้านาที อิทธิฤทธิ์ก็ปรากฏกายในสภาพของคนที่ดื่มมาหนักหน่วง ชายเสื้อเชิ้ตบางส่วนหลุดออกจากกางเกง เนกไทถูกดึงจนหลวม รวมไปถึงกระดุมเชิ้ตสองเม็ดบนก็ถูกปลดออกจนเห็นผิวแดงอย่างคนแพ้ฤทธิ์แอลกอฮอล์
“พอดีว่าการเจรจาของแอนเจลฟลายมีผลดีเกินคาด”
รอยยิ้มที่มุมปากสร้างภาพลักษณ์ของผู้ชายร้ายกาจอย่างที่หล่อนคุ้นเคย แต่อะไรทำให้เขาอารมณ์ดีถึงขนาดเมาสุราในวันสำคัญของแอนเจลฟลายได้
“ดีใจด้วยนะคะ ที่แอนเจลฟลายได้ฟลายสมชื่อ” รสสุคนธ์อดไม่ได้ที่จะส่งคำเหน็บแนม “ส่วนโรสก็คงต้องรอผลจากการส่งงบการเงินให้เขาภายในพรุ่งนี้”
ชายหนุ่มแค่นยิ้ม “ถ้ารอให้ผู้สอบบัญชีส่งงบการเงินมาให้ก็คงไม่ทันพรุ่งนี้หรอก”
“โรสจะส่งงบที่พี่อิทให้ไปก่อน แล้วจะส่งของผู้สอบบัญชีตามไปทีหลัง” อย่างไรก็ตาม หล่อนถือว่าข้อมูลที่ถูกต้องจะต้องมาจากผู้สอบบัญชีเท่านั้น
“แล้วถ้ามิสเตอร์เรมอนด์อ่านงบแล้วเกิดไม่มั่นใจในตัวโรสขึ้นมา จะทำอย่างไร” คำถามที่มาพร้อมกับกลิ่นฉุนของเหล้าเริ่มทำให้หล่อนมึนหัว
“เขาควรจะอ่านงบแล้วตัดสินใจจากผลการดำเนินงาน ไม่ใช่มามุ่งที่ตัวโรส”
อิทธิฤทธิ์กระตุกยิ้ม “เคยบอกว่าจะเป็นผู้นำบริษัทให้รอดวิกฤตไม่ใช่หรือ แต่ทำไมวันนี้ถึงบอกว่าไม่เกี่ยวกับตัวเอง”
“แล้วพี่อิทล่ะคะ นอกจากพูดจาข่มกำลังใจโรสแล้ว พี่อิททำอะไรที่พอให้บริษัทได้กำไรปีหน้าขึ้นมาบ้าง”
“ทำกำไรน่ะไม่ยากหรอก แต่โรสต้องยอมแต่งงานกับพี่”
ดวงตาคมแสดงความฉุนเฉียว แย้งคำพูดของเขาเต็มที่ “ทำไมโรสต้องแต่งกับพี่เพื่อทำกำไรให้บริษัท”
“เพราะพี่จะเพิ่มทุนให้คุณากรพร็อพเพอร์ตี้น่ะสิ แล้วจำนวนสินทรัพย์ก็จะมากกว่าจำนวนหนี้ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมไม่รู้”
คำพูดของเขาทำให้หล่อนขมปาก เมื่อนึกถึงข้อตกลงที่นายเรมอนด์บอกว่าอาจประนีประนอมได้ก็เริ่มพะอืดพะอม แม้เคยรู้มาว่าโลกของธุรกิจต้องการการแข่งขันโดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นเพศไหน แต่หล่อนก็ไม่คิดว่าจะพบเจอเรื่องราวน่ารังเกียจแบบนี้กับตัวเอง
“ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนั้นหรอกค่ะ”
“โรส” ดวงตาเรียวมองหล่อนอย่างขบขัน “ถ้ามั่นใจเหลือเกินว่าแค่คนเดียวจะทำงานใหญ่ได้ แล้วใครกันล่ะที่คอยวิ่งเต้นหาทางไล่ที่ไอ้โรงเรียนนั่นลับหลัง”
อิทธิฤทธิ์ยกเรื่องปวดใจขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนจะใช้มันเป็นเชือกรัดคอหล่อน
“เรื่องนั้นโรสจะถามความจริงจากปากแม่ของโรสเอง”
“แล้วถ้ามันจริง...” เขาฉีกยิ้มร้าย “ถ้าแม่ของโรสทำจริง หรือจ้างใครบางคนทำงานแทน โรสจะว่าอย่างไร จะไปแจ้งความจับแม่ตัวเองได้หรือ”
หล่อนไม่ตอบคำถาม เชิดหน้าทำท่าหยิ่งทะนง แต่ภายในอกแหลกเหลวไปแล้วเมื่อคิดถึงคำตอบที่หล่อนกลัวว่าจะเป็นจริง จนเผลอตัวไม่ระวังชายหนุ่มที่เคลื่อนเข้าใกล้ กระซิบกระซาบคำพูดร้ายใส่ข้างใบหู
“แต่แทนที่จะไปก้มกราบเท้าขอให้พี่แต่งงานด้วยวันหลัง ก็ยอมเป็นเมียพี่วันนี้จะดีกว่า หรือว่าอยากได้ผัวแก่อย่างเจ้าเรมอนด์ถึงได้ยอมให้มันจับมือถือแขน”
“พี่อิท!” รสสุคนธ์ถลึงตามอง
“ก็มันเห็นกับตา” เขาคงยังยั่วยุให้หล่อนโกรธไม่สาแก่ใจพอ จึงสรรหาคำพูดลบหลู่เกียรติมาพ่นใส่ต่อไม่หยุด “แล้วก็เห็นด้วยว่าโรสถูกขนาบข้างทั้งโคแก่หน้าเงินกับไอ้หนุ่มกำพร้าขึ้นวอ แหม... ว่าที่ภรรยาของพี่นี่มีเสน่ห์ไม่เบา”
พอกันที จบแล้วในความเคารพที่เคยมี!
“พี่อิทอยากแต่งงานกับโรสเพราะอยากได้คุณากรพร็อพเพอร์ตี้ใช่ไหมคะ ถ้าใช่ โรสจะให้มันเป็นทางเลือกสุดท้าย จนกว่าโรสจะหมดทางสู้เหมือนหมาจนตรอก แล้วค่อยเข้าไปกราบเท้าขอให้พี่อิทแต่งงานด้วย แต่ขอบอกไว้ตรงนี้ว่าการแต่งงานกับพี่อิทคือสิ่งที่โรสจะทำในวันสุดท้ายของชีวิต!”
“ไม่ต้องถึงวันสุดท้ายของชีวิตหรอก!” อิทธิฤทธิ์ก้าวอาดเข้ามาประชิด แล้วบีบต้นแขนทั้งสองแน่นจนหล่อนเจ็บร้าว แล้วก้มใบหน้าที่เต็มไปด้วยไรหนวดสากถูไถแก้มนวล ขืนร่างหล่อนให้แนบกับประตูรถ
“อย่านะพี่อิท!”
แต่มีหรือที่หล่อนจะยอมเป็นทาสอารมณ์ รสสุคนธ์ขัดขืนออกแรงดิ้น ทว่าอิทธิฤทธิ์ในตอนนี้ก็ไม่ต่างกับคนบ้าที่เพิ่งได้เหล้าเข้าปาก คำพูดบาดหูจึงเป็นการล่อให้โทสะเผยตัวออกมาอย่างง่ายดาย
พลันนั้น ในตอนที่หล่อนไม่รู้หนทางหลุดพ้นจากคนขาดสติ ร่างของอิทธิฤทธิ์ก็ถูกกระชากออกไปด้วยแรงมหาศาลของชายฉกรรจ์ชาวต่างชาติในสูทสีดำ
“ขอโทษที่ผมมาขัดจังหวะ แต่ผมเพิ่งปรึกษาเจ้านายเรื่องที่เราเพิ่งตกลงกันไป แล้วเจ้านายของผมก็เพิ่มข้อเสนอใหม่ อยากให้คุณตอบเราตอนนี้ว่าจะรับหรือไม่รับ”
รสสุคนธ์ยังไม่หายตระหนก แต่ก็มั่นใจว่าคนที่เข้ามาขวางการกระทำของอิทธิฤทธิ์ เป็นคนคนเดียวกันกับคนที่ร่วมมือกับครูหนุ่มช่วยหล่อนไว้ในตอนถูกคนงานทำร้าย
“เน้นย้ำว่าตอนนี้”
เขาบอกด้วยภาษาอังกฤษเสียงเข้ม แล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าสู่โรงแรม อิทธิฤทธิ์สบถออกมาหลังจากนั้น แล้วตวัดตามองหล่อนก่อนเดินตามเข้าไป รสสุคนธ์พลันทรุดตัวนั่งลงบนพื้น เอนหลังพิงประตูรถยนต์ แล้วปล่อยความรู้สึกทั้งหมดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
เป็นหนที่สองของวันที่หล่อนอยากร้องไห้จนน้ำตาท่วมฟ้า เป็นหนที่สองของวันที่หล่อนรู้สึกว่าอ่อนแอกว่ากุหลาบใกล้ตาย และเป็นหนที่สองของวันที่ความเดียวดายเข้ามาจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว
“จะมีอะไรหนักกว่านี้อีกหรือเปล่า ถ้ามีฉันขอผัดเป็นวันอื่นได้ไหม ขอให้คืนนี้ฉันได้หลับตาเก็บแรงสู้ต่อไปบ้าง” หญิงสาวคร่ำครวญสะอื้น ใช้น้ำตาเป็นเครื่องสังเวยความทุกข์ที่ขยันเข้ามาเคาะประตูเยี่ยมเยียน
กระทั่งมีขายาวของใครคนหนึ่งเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า รสสุคนธ์ก็เงยหน้ามอง เห็นเจ้าของร่างสูงย่อตัวลงมาจับจ้องด้วยดวงตาสีน้ำผึ้งป่า ก่อนฉุดร่างอ่อนแรงของขึ้นยืนแล้วพยุงพาเข้าไปในโรงแรม
“แข็งใจเดินหน่อย อย่าให้ผมต้องอุ้มคุณ” คำพูดเข้มงวดดังข้างหู แต่มือหนายังประคองเอวบางไว้
“ปล่อย ฉันอยากกลับแล้ว”
“แค่เดินคุณยังไม่ค่อยจะไหว คิดหรือว่าจะบังคับพวงมาลัยได้”
เป็นจริงตามที่เขาพูด หากเขาปล่อยตัวหล่อนตอนนี้ก็คงจะล้มครืน รสสุคนธ์อ่อนล้าเกินกว่าจะพูดอะไรอีก จึงยอมให้ชายหนุ่มนำพาเข้าลิฟต์แล้วป่ายปีนไปยังห้องพักแสนกว้างขนาดสองห้องนอนพร้อมเคาน์เตอร์บาร์และสระว่ายน้ำส่วนตัวบนชั้นสูงที่มองเห็นวิวอ่าวพัทยาได้หนึ่งร้อยแปดสิบองศา
ความแปลกใจสำหรับรสสุคนธ์ไม่ได้อยู่ตรงที่เขามีสิทธิ์ใช้ห้องนี้ได้อย่างไร เพราะนามสกุลตามกฎหมายสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ชายหนุ่มได้ดีเหมือนบัตรเอกสิทธิ์ที่เขาถือครองอยู่ แต่หล่อนแปลกใจที่เขาไม่เอื้อนเอ่ยอะไรเลยสักคำ ตั้งแต่เขาพาหล่อนเข้ามา ก็ทำแค่เปิดตู้เย็นหยิบน้ำเปล่าเปิดฝามาวางตั้งไว้ตรงหน้า แล้วคว้าเบียร์กระป๋องติดมือไปนั่งจิบพรายฟองบนเก้าอี้แบบปรับเอนนอนที่ระเบียงรับลมวิวทะเล
ความเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศทำงานนั้นสร้างความหนาวยะเยือกให้กับคนที่ไม่รู้ว่ากำลังจะถูกชายหนุ่มต้มยำทำแกงอะไร ถ้าเขาเพิกเฉยปล่อยให้หล่อนนั่งจมบ่อน้ำตาที่เดิมยังดีกว่าพาหล่อนมาทิ้งไว้ตรงจุดที่หนาวยิ่งกว่าช่องฟรีซในตู้เย็น
“ฉันดีขึ้นแล้ว ขอกลับเลยได้ไหม” รสสุคนธ์โยนหินถามทาง แต่เหมือนหินจะเล็กเกินไป ชายหนุ่มจึงยังเฉยเมยไม่ขยับตัวหันมา
“ฉันรู้ว่าคุณได้ยิน ฉะนั้นถึงคุณไม่ตอบ ฉันก็จะกลับ” จะสนใจเขาทำไม ในเมื่อหล่อนไม่ใช่เด็กที่ต้องคอยรอคำอนุญาต คิดได้ดังนั้นร่างบางก็ลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวเดินไปที่ประตู
“ถ้าคุณกลับไป แล้วเจอเขาดักรอที่หน้าห้อง คุณคิดว่าคุณจะทำอย่างไร ร้องให้คนช่วยจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต หรือฝืนทนยอมให้เขาทำแบบนั้นอีก” ต้นกล้าส่งมาแต่คำพูด ส่วนเจ้าตัวยังนั่งสบาย ชมวิวจิบเบียร์ทอดสายตามองท้องทะเลมืดมิด
“คุณอยากให้ฉันอยู่ที่นี่ต่ออย่างนั้นหรือ”
“ทำไมผมต้องบอกคำตอบ หรือคุณอยากได้ยินไอ้หนุ่มกำพร้าขึ้นวออย่างผมพูดแบบนั้น”
คำประชดประชันทำให้หญิงสาวหน้าตึง นี่เขาคิดว่ากำลังเล่นเกมทายใจหรือ ถึงได้ตีความหมายคำพูดของหล่อนแบบนั้น แต่สิ่งที่เขาถามก็ทำให้ฉุกคิดขึ้น ยืนลังเลใจไม่รู้ว่าจะเลือกคำตอบไหนให้ตัวเอง จะกลับโรงแรมที่พักก็หวั่นเกรงว่าอิทธิฤทธิ์จะไปดักหาเรื่องหล่อนจริงตามเขาพูด แต่จะให้อยู่ในห้องนี้ก็หวั่นใจเกินไป
“ฉันจะพักที่นี่ แต่เป็นห้องอื่น”
เมื่อหาคำตอบที่ดีที่สุดได้แล้ว รสสุคนธ์ก็ออกจากห้องลงไปยังชั้นเช็กอิน แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะทุกห้องถูกจองเต็มแล้ว จะเหลือก็แต่ห้องแบบเชื่อมต่อกัน ซึ่งไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญแน่ที่มันเป็นห้องที่เชื่อมกับห้องของชายหนุ่ม
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น รสสุคนธ์จึงจนใจแบกหน้ากลับไปขอให้เขาสละห้องข้างๆ ให้ใช้ค้างอ้างแรมสักคืน แต่แล้วดูเหมือนทุกอย่างได้ถูกจัดฉากไว้ล่วงหน้า ห้องของหล่อนถึงถูกตระเตรียมเพียบพร้อมและล็อกกลอนประตูฝั่งด้านของหล่อนไว้แน่นหนากันชายข้างห้องล่วงล้ำเข้ามา
รสสุคนธ์พาร่างอ่อนแรงไปหย่อนตัวบนที่นอนนิ่มแล้วเอนหลังหงายหลับตา แต่ไม่ง่ายเลยที่จะกล่อมตัวเองให้หลับลงท่ามกลางความคิดมากมายในหัว เหมือนหล่อนเป็นปลาบาดเจ็บที่หาทางรอดในบ่อโคลนเหนอะ จะอยู่เฉยๆ ก็ไม่ต่างกับปลาตาย แต่ให้ว่ายต่อก็แสนทุรนทุราย
แต่แล้วในห้วงความรู้สึกร้อนรนนั้นก็แว่วเสียงบทเพลงบรรเลงกีตาร์โปร่งที่แทรกซึมในมวลอากาศซึมซาบเข้าสู่จิตใจบรรเทาความกระวนกระวายให้เย็นลง หญิงสาวจึงเคลิ้มครึ้มผ่อนคลาย ความกลัดกลุ้มพลันหายไปด้วยบทเพลงหวานที่เคยขอเขาร้องให้ฟัง แม้ท่าทีที่แสดงต่อหล่อนจะเย็นเยียบ แต่กลับขับกล่อมด้วยบทเพลงอบอุ่นอ่อนโยนที่ส่งหล่อนเข้าสู่ห้วงนิทรา ดำดิ่งหลับลึกราวกับไม่เคยมีตัวตน
กระทั่งแสงของรุ่งอรุณจุมพิตแก้มเนียน ปลุกรสสุคนธ์ให้ตื่นขึ้นมาพบภาพท้องฟ้ากว้างของวันใหม่ สวยงามน่ามองจนต้องขอหย่อนเท้าลงจากเตียงไปเปิดผ้าม่านโปร่งสีขาวรับความเจิดจ้าของธรรมชาติเบื้องหน้า และแอบหวังในใจที่คนข้างห้องก็ยืนชมภาพเดียวกันอยู่ในนาทีนี้
นาทีนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังเรียกหล่อนให้กลับเข้าห้อง ปลายสายเป็นพนักงานรูมเซอร์วิสที่บริการปลุกแขกยามเช้าด้วยคำทักทายเสียงสดใส และไม่กี่วินาทีถัดมา รสสุคนธ์ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู จึงเดินไปเปิดรับบริการส่งอาหารเช้าถาดใหญ่ถึงห้องนอน
ไข่คนจานร้อน ขนมปังอบ กับแพนเค้กราดเมเปิลไซรัปส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลทั่วห้องเรียกความอยากอาหารให้รสสุคนธ์ได้ราวกับเป็นเด็กหญิงที่ตื่นตาตื่นใจกับอาหารน่ากิน แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจของเด็กหญิงรสสุคนธ์คืนร่างเป็นสาวเต็มตัวคือกุหลาบสีขาวก้านยาวดอกโตที่สอดไว้กับผ้าเช็ดปากสีแดงเลือดนก
‘Patience Love’
คือชื่อของมัน