สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

My Rose - บทที่ ๒๙ บทที่ ๒๙ โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

My Rose

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า

รายละเอียด

My Rose โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

สารบัญ

My Rose-บทที่ 1 บทที่ 1,My Rose-บทที่ 2 บทที่ 2,My Rose-บทที่ 3 บทที่ 3,My Rose-บทที่ 4 บทที่ 4,My Rose-บทที่ 5 บทที่ 5,My Rose-บทที่ 6 บทที่ 6,My Rose-บทที่ 7 บทที่ 7,My Rose-บทที่ 8 บทที่ 8,My Rose-บทที่ 9 บทที่ 9,My Rose-บทที่ 10 บทที่ 10,My Rose-บทที่ 11 บทที่ 11,My Rose-บทที่ 12 บททึ่ 12,My Rose-บทที่ 13 บทที่ 13,My Rose-บทที่ 14 บทที่ 14,My Rose-บทที่ 15 บทที่ 15,My Rose-บทที่ 16 บทที่ 16,My Rose-บทที่ 17 บทที่ 17,My Rose-บทที่ ๑๘ บทที่ ๑๘,My Rose-บทที่ ๑๙ บทที่ ๑๙,My Rose-บทที่ ๒๐ บทที่ ๒๐,My Rose-บทที่ ๒๑ บทที่ ๒๑,My Rose-บทที่ ๒๒ บทที่ ๒๒,My Rose-บทที่ ๒๓ บทที่ ๒๓,My Rose-บทที่ ๒๔ บทที่ ๒๔,My Rose-บทที่ ๒๕ บทที่ ๒๕,My Rose-บทที่ ๒๖ บทที่ ๒๖,My Rose-บทที่ ๒๗ บทที่ ๒๗,My Rose-บทที่ ๒๘ บทที่ ๒๘,My Rose-บทที่ ๒๙ บทที่ ๒๙,My Rose-บทที่ ๓๐ บทที่ ๓๐,My Rose-บทที่ ๓๑ บทที่ ๓๑,My Rose-บทที่ ๓๒ บทที่ ๓๒,My Rose-บทที่ ๓๓ บทที่ ๓๓,My Rose-บทที่ ๓๔ บทที่ ๓๔,My Rose-บทที่ ๓๕ บทที่ ๓๕,My Rose-บทที่ ๓๖ บทที่ ๓๖,My Rose-บทที่ ๓๗ บทที่ ๓๗

เนื้อหา

บทที่ ๒๙ บทที่ ๒๙

บทที่ ๒๙

 

แสงสุดท้ายลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว แต่รสสุคนธ์ยังก้มหน้าก้มตา ใช้สมาธิจดจ่อไปกับตัวเลขในตารางทั้งบนหน้ากระดาษสลับกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ทางผู้สอบบัญชีทีมพิเศษส่งมาให้

แต่เมื่อตรวจสอบกับงบการเงินของอิทธิฤทธิ์ หล่อนเจอคำถามมากมายเกี่ยวกับกระแสเงินสดที่ไม่สอดคล้องกัน ผลกำไรที่เคยได้เป็นกอบเป็นกำกลับค่อยๆ หดหายลงหลังจากอิทธิฤทธิ์เข้ามานั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ และในทางกลับกัน หนี้กู้ยืมมีตัวเลขที่สูงขึ้นตีคู่กันกับรายจ่าย

หากย้อนดูโครงการก่อสร้างที่เกิดในแต่ละปีไล่มาจนถึงโครงการห้างสรรพสินค้าล่าสุดที่หล่อนยื้อมาไว้ใต้อาณัติ ไม่มีโครงการไหนเลยที่ทำรายได้น่าพอใจ และเป็นแบบนี้มาตลอดในช่วงห้าปี เทียบกับเมื่อสิบปีที่แล้วที่กำไรพุ่งแตะกลีบเมฆ ตรงข้ามกับในช่วงหลังที่มีแต่จะร่วงดิ่งลงก้นเหว

ความแตกต่างของตัวเลขจากข้อมูลสองแหล่งทำให้หล่อนฉงนสงสัยในการทำงานของฝ่ายบัญชี ซึ่งพอเรียกขอข้อมูลจากฝ่ายบุคคลก็พบว่าเมื่อห้าที่แล้วมีการโยกย้ายฝ่ายบัญชีคนเก่าออกแล้วเสียบคนใหม่เข้าไป เหมือนกับอิทธิฤทธิ์ทำการเล่นแร่แปรธาตุองค์กรครั้งใหญ่หลังจากเขาได้ครองตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด

“คุณโรสคะ” ธุรการประจำไซต์งานส่งเสียงเรียกเจ้านายสาวหลังจากเคาะประตู “คือ... หนูจะขอกลับค่ะ เลยจะมาถามว่าคุณโรสต้องการอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า”

รสสุคนธ์ยกข้อมือดูนาฬิกา เห็นว่าเข็มสั้นชี้ไปที่เลขเก้าแล้ว หากธุรการสาวกลับ ก็หมายความว่าต่อจากนี้จะเหลือแค่หล่อนคนเดียวในสำนักงานชั่วคราวที่ห่างจากแคมป์คนงานไม่กี่เมตร

“ฉันก็จะกลับเหมือนกันค่ะ” หล่อนบอกแล้วเก็บแฟ้มงานใส่ถุงใบใหญ่ คว้ากระเป๋าขึ้นสะพายแล้วออกจากสำนักงานตามหลังไปไม่กี่นาที จึงทันได้เห็นคนรักของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขับมอเตอร์ไซค์มารับด้านหน้า

รสสุคนธ์ส่งยิ้มทักทายให้ก่อนทั้งคู่จะทะยานมอเตอร์ไซค์ขนาดกะทัดรัดกลืนหายไปในท้องถนน ส่วนหล่อนก็เดินเท้ากลับไปยังโรงแรมที่อยู่ห่างจากไซต์ก่อสร้างไปไม่ไกล เป็นช่วงเวลาเดียวที่ได้พักความคิดพักใจ แล้วทอดตามองชีวิตที่เคลื่อนไหวรอบตัว

ความรู้สึกคล้ายกับอยู่คนเดียวในห้วงจักรวาลกลับเข้ามาให้หล่อนลิ้มรสอีกครั้ง แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปในตอนที่เปิดประตูห้องพักแล้วเห็นกิ่งก้านของเจ้าโรสที่รอหล่อนอย่างเดียวดายตรงระเบียง

“เป็นไงบ้าง วันนี้รับแสงอาทิตย์เต็มอิ่มเลยใช่ไหม” รสสุคนธ์ทักทายพลางย่อตัวสำรวจความเปลี่ยนแปลง และแม้จะยังจะไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน แต่สีเขียวของก้านก็ยังสดดูมีชีวิตชีวา ก็เท่ากับว่าหล่อนยังไม่หมดหวัง และสิ่งที่ต้องทำตอนนี้คืออดทน

“อยากให้ฉันร้องเพลงให้ฟังหรือเปล่า” เสนอให้ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่ถนัดเรื่องนี้เลยสักนิด

“เอาเพลงอะไรดีล่ะ...” แล้วก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นระเบียงนึกหาเพลงที่พอจะร้องได้

“เพลงเป็ดเดินก็แล้วกัน” คิดไปคิดมาก็ไม่พ้นเพลงที่จำเนื้อร้องทุกท่อนได้ขึ้นใจ “แต่เตือนก่อนว่าฉันเป็นนักร้องเสียงเพี้ยนตัวแม่เลยนะ”

ว่าแล้วก็หัวเราะขำ ขำทั้งเรื่องว่ากล่าวตัวเอง ขำทั้งเรื่องที่หล่อนกำลังยึดเจ้าโรส กุหลาบป่วยเป็นเพื่อนสนิท ชั่วแวบของความคิด หล่อนนึกถึงเวลาที่เคยมีแพรพรรณรายเป็นเพื่อนรู้ใจ

ตั้งแต่รู้ความจริงเรื่องรักลับๆ รสสุคนธ์ก็ไม่ได้ติดต่อไปหาแพรพรรณรายอีก ด้วยกระดากในความรู้สึกและด้วยความโกรธที่ถูกหักหลัง แต่อีกใจตอนนี้ก็อยากรู้ว่าเพื่อนที่เคยรักกันเป็นอย่างไรบ้าง สภาพจิตใจที่ถูกชายหนุ่มร้ายกาจผู้นั้นทำร้ายจะย่ำแย่แค่ไหน

แต่หล่อนจะสนใจทำไมกัน เพราะหากแพรพรรณรายอยากได้อิทธิฤทธิ์จริง ก็ควรพูดกับหล่อนตามตรง ไม่ใช่ฟังคำว่าร้ายชายหนุ่มเหมือนเออออตามกัน แต่ลับหลังกลับสร้างสัมพันธ์แนบชิด

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด แล้วสะบัดความทรงจำเก่าทิ้งไป จากนั้นยืดตัวนั่งหลังตรงเตรียมพร้อมเปล่งเสียงร้องแปร่งๆ ในเพลงเป็ดให้เจ้าโรสฟัง

“ยามเมื่อ...”

แต่ร้องไปได้แค่สองคำ เสียงโทรศัพท์ภายในห้องก็ดัง จึงลุกขึ้นไปรับสายที่ทางฝ่ายต้อนรับโทรศัพท์มาแจ้งหล่อนว่ามีคนมารอพบที่ล็อบบีโรงแรม

“คุณผู้ชายให้แจ้งว่ามาจากมิลเลอร์โฮลดิ้งค่ะ” คำขยายของผู้ขอพบทำให้หล่อนเลิกคิ้วสงสัย แต่ก็รับคำแล้วลงไปพบแขกปริศนาที่เป็นชายชาวต่างชาติ

“เชิญคุณรสสุคนธ์ไปพบนายผมที่รถ คุณทีเคมีเวลาไม่มากก่อนขึ้นเครื่องไปอังกฤษ”

คำบอกนั้นไขความสงสัย รสสุคนธ์จึงเดินตามไปจนถึงรถอเนกประสงค์สีดำมันเงาที่จอดสงบอยู่ในลานจอด และเมื่อบานประตูอัตโนมัติเลื่อนออก หล่อนก็ได้เห็นครูหนุ่มที่อยู่ในสถานภาพของทีเค มิลเลอร์

“ทำไมคุณกลับดึก”

เขาควรจะกล่าวคำทักทายหล่อนมากกว่าใช้คำถามน้ำเสียงขุ่น หล่อนเลยตอบเสียงขุ่นใส่ปานกัน “ฉันเป็นผู้บริหาร ไม่ใช่พนักงานทั่วไปที่พอห้าโมงแล้วจะต้องรีบตอกบัตรกลับบ้าน”

“แล้วใช้ตำเหน่งผู้บริหารเป็นโล่กันคนมาทำร้ายได้ไหม”

เขายอกย้อนได้น่าหมั่นไส้จนหล่อนหันไปส่งค้อนให้ แต่ต่อให้ค้อนอันใหญ่เท่ารถถังก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มสะท้านสะเทือน

“เห็นคนของคุณบอกว่าคุณมีเวลาไม่มาก” รสสุคนธ์จึงยื่นคำเตือนให้รีบเข้าเรื่องที่เขาดึงตัวหล่อนมาพบ “รีบพูดธุระของคุณมาเถอะค่ะ”

เสียงผ่อนลมหายใจดังจากชายหนุ่มที่นั่งกอดอก เอี้ยวหน้าออกไปทางหน้าต่างรถทอดตามองยอดกุหลาบในสวนที่ทางโรงแรมรับอุปการะไปจากโรงเรียนปลูกปัญญา

“ขอบคุณที่ส่งหลักฐานสุดท้ายของจ้อยให้ตำรวจ”

เขาหมายถึงธนบัตรที่มีข้อความจากจ้อยถึงหล่อน “ฉันเก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้ ไม่ใช่ว่าดูถูกเงินห้าร้อยบาทนะคะ แต่คิดว่าจะช่วยให้รู้สาเหตุการเสียชีวิตของจ้อยชัดเจนขึ้น”

“จ้อยคงตั้งใจมาหาคุณ เพื่อขอโทษ...” ดวงตาคู่สวยแต่เต็มไปด้วยแววโศกเศร้าหันมาสบมอง ก่อนถอนหายใจเสียงยาว “ทางเจ้าหน้าที่พบหลักฐานลายนิ้วมือเพิ่ม สันนิษฐานว่าเจ้าลายนิ้วมืออาจเป็นคนสุดท้ายที่จ้อยเจอ”

รสสุคนธ์ไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่อ นอกจากสบตาชายหนุ่มนิ่ง เขาเองก็ไม่เปล่งคำพูดใดออกมา คล้ายกับอยากใช้เวลาให้เคลื่อนคล้อยไปกับการจ้องตากันและกัน กระทั่งเป็นฝ่ายเขาที่ทำลายความเงียบงัน

“พรุ่งนี้ จะมีคนของมิลเลอร์มารับรถคุณไปซ่อมแซม ระหว่างนั้นคุณจะต้องเดินทางไปไหนมาไหนด้วยลีมูซีนโรงแรม”

คิ้วเรียวงามเลิกขึ้นเป็นคำถาม เขาจึงเอ่ยอธิบายต่อ “ผมอยากเป็นตัวแทนจ้อยรับผิดชอบเรื่องที่เขาทำกับคุณ”

“ฉันไม่รับค่ะ คุณไม่ต้องทำอะไรชดเชยแทนจ้อย และฉันก็อยากให้มันเป็นอนุสรณ์ความทรงจำว่าฉันเคยทำลายสวรรค์ของเด็กคนหนึ่ง”

“รับซะ” น้ำเสียงเจือการบังคับ

“แต่...”

“ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าสักวันผมจะทวงที่ดินของผมคืน” ประกายในดวงตาคมเข้มเติมเต็มความจริงจังของคำพูดทุกคำ

“สวรรค์ของจ้อยยังอยู่ วิมานในอากาศของผมก็เช่นกัน” แล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้ผิวกายหล่อนเย็นประหลาด

“ผมรบกวนเวลาคุณแค่นี้ ขอบคุณที่ลงมาพบ” จากนั้นก็ไล่หล่อนเมื่อธุระของตนเสร็จสิ้น

รสสุคนธ์ขุ่นใจจนอยากถองคำพูดกลับ แต่บานประตูถูกเลื่อนออกพร้อมด้วยคำเตือนเวลาออกเดินทางจากผู้ติดตามของเขา จึงต้องยอมล่าถอยขยับตัวเพื่อลงจากรถก่อนที่จะทำให้ใครตกเครื่องบิน หากทว่ารอบต้นแขนบางก็อุ่นวาบฉับพลัน รสสุคน์จึงหันหน้ากลับไปประสานตากับเจ้าของมือหนาที่กำแขนแน่นเหมือนยังไม่อยากปล่อยให้หล่อนก้าวขาลงจากรถ

“มีอะไรจะพูดอีกหรือไงคะ” หญิงสาวถามหางเสียงประชดประชัน

“อย่าให้อิทธิฤทธิ์ทำแบบนั้นกับคุณอีก”

“แบบนั้น?”

“แบบที่ลานจอดรถ... ในโรงแรม...”

“ต่อให้ฉันระวัง แต่ถ้าเขาจะทำ เขาก็ไม่บอกให้ฉันรู้ล่วงหน้าหรอกค่ะ”

“แค่เลี่ยงการอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ทำไม่ได้หรือไง” ดวงตาคู่สวยฉายแววความขุ่น

“ฉันไม่เคยอยากอยู่กับผู้ชายคนไหนสองต่อสอง ถ้าไม่จำเป็นเหมือนตอนนี้” หล่อนก็โกรธเหมือนกัน แล้วลดสายตามองที่มือหนาที่ยังกำแน่นเหมือนมีกาวฉาบเต็มฝ่ามือ

“บอกผมก่อนว่าคุณจะไม่เปิดโอกาสให้เขาเข้าใกล้”

รสสุคนธ์พ่นลมหายใจ “แล้วคุณมีสเปรย์ไล่ผู้ชายเหมือนที่คุณใช้ไล่แมลงให้กุหลาบหรือเปล่าคะ ถ้ามีขอฉันยืมใช้สักกระป๋อง”

“ถ้าผมมีของแบบั้น คุณจะใช้มันกับผมหรือเปล่า”

“ถ้าคุณทำรุ่มร่ามกับฉันแบบนี้ก็ไม่แน่ค่ะ มิสเตอร์ทีเค”

“อยู่ในเมืองไทยผมชื่อต้นกล้า”

หญิงสาวยักไหล่ “ก็ยังดีกว่าเรียกคุณว่าคุณครูต้นกล้าใช่ไหมคะ”

“จะดีกว่าหรือเปล่า... คุณก็ลองเรียกผมว่าครูดูอีกครั้งสิ”

มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกวนใจ แต่เขาก็ยอมปลดมือออกจากต้นแขนบาง แล้วส่งสายตาไปทางผู้ติดตามชาวต่างชาติที่ยืนคอยท่าอยู่นาน

“ส่งคุณรสสุคนธ์ให้ถึงหน้าประตูห้องพัก” เอ่ยประโยคแล้วเลื่อนดวงตาสีน้ำผึ้งป่ากลับมาจดจ้องมองหล่อน ก่อนตามด้วยคำสั่งสุดท้ายว่า

“แล้วบอกกับผู้จัดการโรงแรมว่าผมจะส่งคนมาปัดรังควานแมลงให้กุหลาบของผมทุกต้น”

รสสุคนธ์ย่นจมูกใส่ก่อนก้าวขาเดินลงจากรถไปโดยไม่เหลียวมองชายหนุ่ม แต่หล่อนรู้ว่าทิ้งความอาทรไว้ตรงนั้นโดยที่เขาไม่คงรับรู้ จนเมื่อเขาบินลัดฟ้าห่างไกลออกไป ความเหงาใจก็เข้ามาอยู่เคียงข้างหล่อนทันที

 

อิทธิฤทธิ์อยากขยำกระดาษสัญญาฉบับใหม่จากมิลเลอร์ทิ้งด้วยความคับแค้นใจ แต่ในเมื่อหนทางปลดหนี้ของแอนเจลฟลายเหลือเพียงแค่การขายหุ้นคุณากรพร็อพเพอตี้ในราคาบาดจิตให้กับมิลเลอร์โฮลดิ้งแทนการนำหุ้นของแอนเจลฟลายไปจำนอง อิทธิฤทธิ์จึงจำต้องยอมตกลง ยังดีกว่าพาตัวเองไปสู่ขั้นสุดท้ายในสัญญากู้เงินมัจจุราช

แต่เขาอยากให้เหลืออากาศหายใจบ้าง การได้บริษัทคุณากรพร็อพเพอตี้ของรสสุคนธ์มาครองก่อนเซ็นสัญญาจะทำให้เขายังมีอำนาจ แม้จะขายหุ้นส่วนของตนราคาต่ำให้มิลเลอร์โฮลดิ้งไปแล้ว ก็ยังเก็บหุ้นส่วนที่เหลือไว้เป็นเสบียงให้กิจการของครอบครัวต่อไป ฉะนั้นการเป็นสามีของรสสุคนธ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายคือทางเลือกที่ดีที่สุด

และเพื่อกรุยทางไปสู่พิธีวิวาห์ เขาต้องกำจัดวัชพืชที่เกะกะระรานออกไปให้พ้นทาง ความอยากถอนรากถอนโคนต้นหญ้าทุกต้นทำให้อิทธิฤทธิ์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเลขหมายของลูกน้องผู้แปรพักตร์จากรสสุคนธ์มาน้อมหัวแก่นายใหม่

“งานที่ผมสั่งไว้ ได้เรื่องหรือยัง”

“อ่ะ เอ่อ ผมเจอตัวเขาแล้วครับ จะให้ผมพาเขาไปพบคุณอิทที่ไหนดี”

“พาเขามาพบผมที่คอนโดฯ เย็นนี้” เจ้านายหนุ่มสั่งการต่อ

“คะ... คุณอิทครับ ผะ... ผมมีเรื่องอยากขอร้อง...”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว ถามเสียงต่ำ “เรื่องอะไร”

“คือ... ถะ... ถ้าผมทำงานให้คุณอิทพอใจ... คุณอิทจะเลื่อน...ตะ...ตำแหน่งให้ผม... ได้ไหม”

คำขอตะกุกตะกักทำให้อิทธิฤทธิ์เผยรอยยิ้มเย้ยหยัน ลำพังเงินเดือนที่ผู้จัดการคนนี้ได้รับก็มากกว่าความสามารถที่ไม่ต่างจากหัวหน้าทั่วไปแล้ว แต่ถ้าเขาไม่เลี้ยงคนเก่าคนแก่ของคุณากรพร็อพเพอตี้ไว้บ้าง อาจทำให้เขาสร้างอำนาจได้ลำบาก และคนโลภโมโทสันอย่างนายวิชัยก็เลี้ยงง่ายไม่ยุ่งยากอะไร

“ได้สิ ตำแหน่งต่อไปของคุณคือผู้จัดการภาค”

เพียงแค่นั้น อิทธิฤทธิ์ก็มั่นใจแล้วว่านายวิชัยจะดีใจจนเนื้อเต้นและทำงานให้เขาแบบถวายหัว ซึ่งไอ้ตำแหน่งผู้จัดการภาคที่ว่านี่มันก็ไม่มีในผังองค์กรหรอก แต่นายวิชัยก็รีบวางสายไปพร้อมกับรับปากมั่นเหมาะ ส่วนเขายังเหลือเวลาหลายชั่วโมงสำหรับใช้ฆ่าเวลาก่อนถึงเวลานัด

สัญชัยมาหยุดยืนหน้าประตูห้องพักสุดหรูเหนือระดับที่คนอย่างเขาจะปีนป่ายขึ้นมาได้ ถ้าไม่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของห้องที่อาศัยอยู่บนชั้นสูงของตึกทรงล้ำยุคกลางใจกรุง ถึงจะมีเงินถุงเงินถังมาโชว์ ก็ไม่มีสิทธิ์ได้ย่างกราย

รับเงินแล้วพาตัวเองออกจากที่นี่ คือสิ่งที่เขาจะทำ สัญชัยจึงเอื้อมมือไปแตะกระดิ่งเรียกเจ้าบ้านให้มาเปิดประตู แต่เขาถูกต้อนรับด้วยใบหน้าขุ่นของคนที่กำลังสวมเสื้อคลุมอาบน้ำ

“คุณมาเร็วไป”

เจ้าของร่างสูงชักสีหน้าใส่ พลางผูกเชือกรัดเอวให้แน่น แล้วหมุนตัวกลับนำแขกเข้าสู่อาณาเขตปกครอง โดยมีเหตุผลของความขุ่นใจปรากฏอยู่ด้านหลังประตูห้องนอน เป็นหญิงสาววัยสะคราญเดินเมามายออกมาในสภาพล่อแหลมสายตา เร่งรีบสวมเสื้อผ้าแบบขอไปที แล้วเดินออกจากห้องพักสุดหรูนี้ออกไป

“คุณอยากดื่มอะไรไหม เบียร์ ไวน์ บรั่นดี” เจ้าของห้องผายมือเชิญแขกให้นั่งบนโซฟา แล้วหยิบแก้วออกจากตู้

“อย่ามากพิธี ผมมารับเงินแล้วก็จะกลับ” ฝ่ายแขกปฏิเสธ

แต่เจ้าบ้านคงอยากดื่มเป็นทุนเดิม จึงคว้าขวดบรั่นดีออกจากชั้น กับแก้วสองใบเดินกลับมานั่งบนโซฟา แล้วเปิดฝารินของเหลวสีเชอร์รี่ใสแก้วก่อนเลื่อนส่งให้ ทว่าสัญชัยไม่คิดแตะ จ้องมองชายหนุ่มตรงข้าม หวังหาเหลี่ยมคมที่ซ่อนไว้ในดวงตาเรียว

“หรือคุณมีเรื่องอื่นนอกจากให้ผมมารับเงิน”

อิทธิฤทธิ์กระตุกยิ้มที่มุมปาก คว้าสมุดเช็คจากลิ้นชักข้างโซฟาออกมากรอกตัวเลขลงไป ก่อนฉีกเช็คใบนั้นเลื่อนส่งให้เขาดู

“มันมากกว่าที่หงส์บอกผม คุณต้องการอะไรก็บอกมาตามตรงเถอะ”

“ในส่วนนี้ มีค่าจ้างรอบก่อน กับค่าจ้างรอบใหม่”

คนฟังเลิกคิ้วมอง เพราะหากหักลบค่าจ้างรอบก่อนแล้ว ค่าจ้างรอบใหม่มากกว่าเกือบสองเท่า”

“ผมไม่รับงานใหม่” สัญชัยปฎิเสธ

“ก็ไม่เชิงเป็นงานหรอก” ฝ่ายนั้นดื่มเหล้าจนหมดแก้ว แล้วรินรอบใหม่เติมลงไป “แต่เป็นเงินช่วยเวลาให้คุณไปพักร้อน”

“พักร้อน?” คนฟังเลิกคิ้ว ใช้สองมือล้วงกระเป๋า “บอกผมสิว่าทำไมผมจำเป็นต้องพักร้อน” แล้วก้าวขาเข้าไปหย่อนตัวนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม คว้าแก้วเหล้าขึ้นจิบ ขณะมองตาอีกฝ่าย

“คนของผมบอกว่ามีคดีความเกิดขึ้น แล้วมันก็อาจเกี่ยวกับคุณ”

“คดีความอะไรไม่ทราบ”

อิทธิฤทธิ์คลี่ยิ้ม เอนหลังพิงพนัก “ไม่เอาน่า คุณอย่ามาทำเป็นไม่รู้”

“ถ้าเรื่องเพื่อนผมถูกรถชน ผมไม่เกี่ยว ผมแค่รับทำให้กุหลาบต้นนั้นตาย แล้วผมก็คิดว่าผมเสร็จงานแล้ว กรุณาเปลี่ยนจำนวนเงินบนเช็คให้ผมด้วย”

“แย่จัง นั่นเช็คใบสุดท้ายที่ผมมีตอนนี้เสียด้วย”

สัญชัยแค่นยิ้ม ลุกขึ้นยืน มองหน้าอีกฝ่ายแน่วนิ่ง “ถ้าอย่างนั้น... ผมขอเปลี่ยนจากเงินค่าจ้างเป็นอย่างอื่น”

คิ้วเข้มที่วางขนานเหนือดวงตาเรียวขยับชิดกัน “เปลี่ยนเป็นอะไร”

“เปลี่ยนเป็นยกหงส์ให้ผม คุณยกหงส์ให้ผมได้ไหม”

อิทธิฤทธิ์ลั่นเสียงหัวเราะ “คุณก็เป็นอีกคนที่หลงมารยาของยายผู้หญิงคนนั้นสินะ ก็ได้ ถ้าคุณคิดว่าค่าตัวผู้หญิงคนนั้นหักล้างกับเงินในเช็คได้ก็เชิญเอาหล่อนไป”

เมื่อได้คำตอบชัดเจน สัญชัยก็แค่นยิ้มแล้วเดินออกจากห้องพักราคาแพง แม้จะไม่ได้กำเงินก้อนใหญ่ แต่ได้สิ่งที่มีค่ามากกว่านั้น

ชายหนุ่มล้วงเอาโทรศัพท์ออกจากกระเป๋า ปิดระบบบันทึกบทสนาทนา แล้วขับรถสปอร์ตคันหรูที่ได้จากการกินหัวคิวงานก่อสร้างโรงเรียนปลูกปัญญา มุ่งหน้าไปส่งความรู้สึกจากชายที่แพรพรรณรายปักใจรัก แล้วหล่อนจะได้ตาสว่างเสียที