สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
My Roseสำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
บทที่ ๓๐
แพรพรรณรายปิดร้านแล้วพาร่างโรยแรงไปล้มตัวนอนบนโซฟา หวังพักกายให้หายเหนื่อยอ่อน ก่อนเดินทางฝ่าฝูงยวดยานยามตะวันลับฟ้ากลับสู่ที่พัก แต่ความพะอืดพะอมที่เกิดขึ้นทั้งวันก็กลับมาเล่นงานให้พรวดพราดลุกขึ้นไปโก่งคออาเจียนที่อ่างล้างมืออีกครั้ง
ความทรมานกายแบบนี้หล่อนเพิ่งได้ลิ้มรส แต่ความทรมานใจที่ถูกชายคนรักตัดเยื่อใยนั้นหล่อนควรจำขึ้นใจตั้งนานแล้วมิใช่หรือ แล้วน้ำตาหลั่งรินอีกครั้ง ทั้งที่รู้แก่ใจว่าไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา แต่ก็พิสูจน์หัวใจชายหนุ่ม ซึ่งคำตอบที่ได้คืออิทธิฤทธิ์ไม่เคยมีหัวใจให้หล่อนเลย และคงไม่มีหัวใจให้ผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น
หากรสสุคนธ์ต้องตกเป็นของเขาจริง จะพบเส้นทางเดียวกันกับหล่อนหรือไม่ แต่หล่อนไม่มีผลประโยชน์อันใดให้ชายหนุ่ม ตรงข้ามที่รสสุคนธ์มีทั้งรูปและทรัพย์เพียบพร้อมให้เขามีกินมีใช้ไม่หมด
หลังล้างหน้าล้างตา หญิงสาวก็คว้ากระเป๋าแล้วออกจากร้านตรงไปยังรถที่จอดไว้ริมทางเท้า แต่ในตอนที่ก้าวออกจากร้าน เสียงสายเรียกเข้าที่ดังจากโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ทำให้หล่อนหัวเสียเพราะยังไม่อยากพูดกับใครตอนนี้ ทว่าฉับพลันนั้นข้อมือบางก็ถูกคว้าหมับ จึงหันไปมองด้วยความตกใจ แต่พอเห็นว่าเป็นสัญชัย ก็รีบหันซ้ายหันขวา ส่งตาดุ ก่อนกล่าวคำพูดไม่พอใจ
“ฉันบอกแล้วนี่ว่าให้เราเลิกเจอกันสักพัก”
อีกฝ่ายไม่สนใจท่าทีขัดเคือง สอดโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงแล้วดึงตัวหล่อนให้เดินตาม “ถ้าไม่อยากให้ใครเห็น ก็รีบตามไปขึ้นรถกับผม”
แพรพรรณรายยังดื้อดึง “ไม่ ฉันจะกลับบ้าน”
“หงส์” สัญชัยจดจ้องมองหล่อนด้วยแววตาจริงจัง เปล่งคำพูดเสียงต่ำ “ถ้าไม่สำคัญ ผมไม่พาตัวเองออกจากกรงทองหรอก!”
แล้วลากหล่อนให้เดินตาม ด้วยความอ่อนเพลียเป็นทุนเดิม จึงไม่อาจทานกำลังของชายหนุ่ม กระทั่งถูกนำตัวเข้าไปในรถ แล้วขับหล่อนไปยังสถานที่หล่อนอยากกรีดร้องว่ากล่าวเป็นคำหยาบคายใส่
“ม่านรูด!” แพรพรรณรายถลึงตาใส่ชายหนุ่มที่เดินมาเปิดประตูให้ “นี่คุณอดอยากปากแห้งขนาดหนักหรือไง ถึงพาฉันมากินที่นี่!”
“อย่าเพิ่งโวยวายน่ะ ที่ไม่อยากพาคุณไปคุยที่คอนโดก็เพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าคุณกับผมเจอกัน คิดให้ขนาดนี้ไม่ดีหรือไง” เขาดึงตัวหล่อนให้ลงจากรถ แล้วพาเข้าสู่ห้องสี่เหลี่ยมกลิ่นอับชื้นที่มีแต่เตียงนอนกับโซฟาหนังเทียมราคาถูก
“ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ แล้วก็อยากให้คุณเห็นด้วยกับผม”
สัญชัยกดบ่าหล่อนให้นั่งลงบนโซฟา กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าก็ดูขึงขังจนหล่อนนึกพะวง “ผมอยากให้คุณตัดใจจากนายอิทธิฤทธิ์ แล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศกับผม”
แต่คำพูดของสัญชัยทำให้หล่อนตะลึงงันไปหลายนาที “ถ้าคุณอยากหนีไปต่างประเทศ ก็ไปคนเดียวเถอะ อย่าเอาฉันไปเกี่ยวด้วย”
“นายนั่นไม่รักคุณเลยนะหงส์ ต่อให้คุณตายต่อหน้ามัน มันก็ไม่แยแส”
“ถึงจะจริง แต่ก็ไม่ใช่กงการอะไรของคุณ!” เพราะถูกพูดจี้ใจดำ หล่อนจึงสะบัดแขนเต็มแรง แล้วพรวดลุกขึ้นยืน แต่จู่ๆ อาการวิงเวียนหัวก็เกิดฉับพลัน
“คุณนี่โง่หรือบ้ากันแน่!” โชคดีที่สัญชัยคว้าแขนหล่อนไว้ แต่เขาไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติบนใบหน้าของหล่อน “ฟังให้ชัดๆ นะ เมื่อวานลูกน้องมันพาผมไปหามันที่คอนโด เพื่อจ้างให้ผมหายตัวไปสักพัก ผมรู้ดีว่ามันคงกำลังพยายามสร้างสถาณการณ์เหมือนว่าผมกำลังหนีคดี ทั้งคดีไอ้จ้อย หรือแม้แต่คดีของต้นกล้าที่ผมไม่มีเอี่ยว”
“คุณก็ไปสิ เขาคงจ้างคุณเยอะอยู่”
“หงส์” ดวงตาของสัญชัยหม่นเศร้าลงทันที “คุณอยากให้ผมหนีไปทั้งๆ ผมอาจถูกใส่ร้ายว่าเป็นตัวการอย่างนั้นหรือ ให้ตายเถอะคุณหงส์ ผมคิดว่าคุณน่าจะฉลาดกว่านี้”
“อย่ามาว่าฉันนะ!”
ชายหนุ่มระบายลมหายใจ “ถึงผมจะหนีไป แต่คุณคิดหรือว่าคุณอยู่ที่นี่แล้วมันจะไม่หาทางเอาคุณไปเป็นแพะแทนใครก็ไม่รู้ คุณเองก็รู้ไม่ใช่หรือว่าถึงคุณจะบูชาความรักขนาดยอมช่วยมันทุกอย่าง มันก็ไม่เชิดชูคุณเป็นเมียออกนอกหน้า”
แพรพรรณรายเม้มปากแน่น ทั้งอยากอาเจียน ทั้งอยากร้องไห้
“ไปกับผมเถอะ” เขาจับต้นแขนบางท้องสองบีบเบาๆ “ให้ผมดูแลคุณ ผมจะมีแต่คุณคนเดียว ผมจะทิ้งลายเสือผู้หญิงเพื่อได้อยู่กับคุณ ผมรักคุณนะหงส์”
เขาไม่ได้ตะโกนเสียงดังใส่ แต่ประโยคที่ถูกเปล่งออกมามีอานุภาพสั่นหัวใจหล่อนทั้งดวง พูดออกมาง่ายเหมือนไอ้หนุ่มชวนสาวหนีพ่อแม่ไปอยู่กิน แต่ไม่ง่ายเลยสำหรับหล่อน เพราะไม่รู้ชะตากรรมต่อจากนี้หากจับจูงมือไปกับผู้ชายที่หล่อนรู้แค่ว่าเขาเป็นอดีตเด็กกำพร้าจากบ้านอนาถา
“ฉัน... ฉันไปกับคุณไม่ได้”
“ทำไม” เขาถามเสียงสั่น
แพรพรรณรายกลืนน้ำลายลงคอ แล้วหลุบตาลงไม่กล้ามองหน้าด้วยเกรงว่าจะถูกจับเท็จที่ไม่อาจปกปิดได้ทางสายตา
“ฉัน... ฉันท้องลูกของเขา”
ความเงียบไหลผ่านมวลความอึดอัดที่แทรกซึมในบรรยากาศกดดันแพรรพรรณรายให้อยากเดินออกจากตรงนั้น จึงเบี่ยงตัว เอ่ยกับชายหนุ่มพลางหันหน้าเดินมุ่งไปที่ประตู “ฉันจะกลับ เหม็นห้องนี้เต็มทีแล้ว”
“คุณตั้งใจท้องเพื่อใช้เด็กเป็นข้อต่อรองเรียกร้องหาความรักจากคนที่ไม่เคยรักคุณ ถ้าเขารู้ว่าเขาเกิดมาเพราะแค่แม่ตัวเองอยากจับผู้ชายรวยๆ คนหนึ่ง เขาจะเสียใจแค่ไหน!”
“เขา... เขาอาจจะไม่ได้เกิด"
“หงส์...” ดวงตาของเขาไหวระริก “ผม... เคยเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง เคยเป็นเด็กที่รู้ว่าพ่อแม่ไม่เคยอยากให้ตัวเองเกิดมา แต่เป็นแค่ผลของความคึกคะนองตามประสาวัยรุ่นโดยไม่สนใจว่าก้อนเนื้อก้อนหนึ่งที่เกิดจากความผิดพลาดมันมีชีวิตอย่างไร”
หล่อนเม้มปากแน่น คล้ายมีน้ำร้อนผุดจากตัวหา แต่แม้จะไร้คำพูดโต้ตอบจากเรียวปากอิ่ม ก็ไม่ได้หมายความว่าหล่อนไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดบาดลึก
“แต่ถ้าคุณไม่รังเกียจชาติกำเนิดของผม” เขาหยุดพูด จ้องหล่อนด้วยดวงตาชื้น “ให้ผม...ให้ผมเป็นพ่อของเด็กคนนั้น”
หัวใจของหล่อนฟูประหลาด จ้องตาชื้นของชายคนที่เข้ามาในชีวิตหล่อนเพื่อให้ชายอีกคนหนึ่งกลับมารักตน แต่ทิฐิที่ก่อสร้างมานานจนเป็นพังผืดหนาเกินไป
“ฉัน... ฉันขอโทษ ฉันรับข้อเสนอของคุณไม่ได้...” แพรพรรณรายเบี่ยงหน้าหนีแล้วเดินจากมาเงียบๆ ทิ้งเขาให้ซึมซับความผิดหวังในห้องเหม็นอับ แต่ความพะอืดพะอมตีตื้นจากลำคอขึ้นมาฉับพลัน เดินไปไม่ถึงถนนใหญ่ ก็วิ่งไปย่อเข่าโก่งคออาเจียนริมพุ่มไม้ สวนทางกับรถเก๋งคันหนึ่งที่พุ่งเข้าม่านรูดด้วยความเร็ว
ปัง!
แพรพรรณรายสะดุ้งโหยงด้วยเสียงปืนที่ดังสนั่น พอหันหน้าขับมองทิศทางของเสียง แล้วก็ถึงกับเบิกตากว้าง แล้วรีบพาตัวเองเข้าไปในหลืบของซอกพุ่มไม้หวังให้กิ่งก้านบดบังร่างตัวเองจากสายตาของหญิงร้างท้วมที่เผยตัวออกจากห้องที่หล่อนเพิ่งเดินจากมา
ด้วยดวงตาขวางและปืนในมือของสตรีนางนั้นทำให้หล่อนขวัญหนี หัวใจเต้นแรงราวกับมันจะหลุดออกจากอกรีบขดตัวนิ่ง ยกมือปิดปากกลั้นเสียงร้องไว้ให้สนิท
กระทั่งเสียงฝีเท้าเงียบหาย ก่อนตามด้วยเสียงล้อรถที่บดบี้ถนนอย่างเกรี้ยวกราดตามอารมณ์ของคนขับห่างออกไป แพรพรรณรายถึงได้คลานออกมาด้วยสภาพหวาดผวาเนื้อตัวสั่นเทา หันสายตาไปทางห้องที่ยังมีรถสปอร์ตคันโก้สีขาวของสัญชัยจอดอยู่ด้านหน้าทางเข้า เฝ้ารอขอให้ชายหนุ่มเดินออกมา แต่ไร้เงา ไร้เสียง ไร้ซึ่งความหวัง
หล่อนลุกขึ้นเดินระหกระเหินด้วยขาอ่อนแรง พาตัวเองไปให้ถึงประตูที่เปิดอ้าค้าง น้ำร้อนชื้นเอ่อนองขอบดวงตา เรียวปากอิ่มสั่นระริก เปล่งเสียงร่ำร้องก่อนก้าวขาตรงไปทรุดนั่งข้างชายหนุ่มร่างอาบเลือดที่นอนพิงขอบเตียง หายใจหอบโรยริน
“สัญชัย คุณอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ ฉันจะเรียกกู้ภัย” แล้วรีบล้วงหาโทรศัพท์ในกระเป๋า แต่ก็แสนขัดใจเพราะมือไม้อ่อนแรง หยิบจับอะไรไม่ถูก
“ไม่... ไม่ต้อง” แต่เสียงแหบของชายหนุ่มเรียกดวงตาเอ่อชื้นให้หันไปมอง เห็นเขาพยายามยกมือสั่นๆ ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบกระดาษออกมา
“เอา... เอาโทรศัพท์ผมไป”
แพรพรรณรายไม่เข้าใจความต้องการของชายหนุ่ม แต่พอมีเสียงเบรกรถดังสนั่นด้านนอกทำให้เขาจับมือหล่อนแล้วยัดกระดาษให้
“มันย้อนกลับ...มา คุณ... ต้องรีบออกจากที่นี่”
น้ำตาไหลเป็นสาย หล่อนรู้ตัวว่ากลัวตาย แต่จะทิ้งเขาไว้ตรงนี้ได้หรือ “ไม่ๆ คุณรีบลุกขึ้นเร็วสิ”
“ในโทรศัพท์... มีบันทึกคำพูดของผมกับ... คนที่คุณรัก... ถ้าคุณฟังแล้ว... อยากลบทิ้ง... ก็ตามใจ... ผม...ทำให้... เพื่อคุณ...”
น้ำตาหล่อนไหลเป็นทาง กำโทรศัพท์ของชายหนุ่มแน่น แล้วรีบย่อตัวคลานออกไปหลบหลังรถของชายหนุ่ม อาศัยเงามืดบังตา ลอดมองผู้หญิงร่างท้วมที่สังหารสัญชัย แต่รอบนี้มีชายวัยเลยกลางคนไว้หนวดเคราน่าเกรงขามติดตามมาด้วย
“ฉันเตือนแกแล้วว่าอย่าไปเอาคนไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาทำผัว”
คำพูดที่พ่นออกจากริมฝีปากหนากระแทกกระทั้นจิตใจหล่อน คำว่าไม่มีหัวนอนปลายเท้าจากคนที่คิดว่าตนสูงส่งทว่าไร้ซึ่งหัวจิตหัวใจ และถึงแม้หล่อนจะเป็นผู้หญิงใจดำเยี่ยงอีกาเพียงไร ก็ไม่ถึงกับตัดชีวิตใครได้
มิเช่นนั้นแล้ว... หล่อนคงไม่ปล่อยให้ก้อนเนื้อในท้องสร้างความทรมานให้ร่างกายหล่อนทุกวัน แต่นับจากนี้ที่เพิ่มมาคือความทรมานใจที่แพรพรรณรายเพิ่งรู้ตัวว่าหล่อนอาทรสัญชัยมากเพียงใด
ปัง!
กระสุนนัดสุดท้ายที่ปลิดชีพชายหนุ่มนั้นเหมือนมันสะท้อนพลังมาปลิดหัวใจเธอให้ขาดจากกัน แพรพรรณรายกลั้นเสียงสะอื้นให้สนิท หาจังหวะหนีออกจากม่านรูดได้ แต่ยังเดินลอยเหมือนสะเก็ดดาวเคว้งกลางอวกาศหลังจากเปิดฟังบทสนทนาที่ถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของสัญชัย
เมื่อลองหยอดตัวเลขเงินปันผลที่จ่ายให้กับแอนเจลฟลายในอัตราที่เท่ากับห้าปีก่อนผลประกอบการของคุณากรพร็อพเพอตี้จะตกต่ำ รสสุคนธ์ก็ได้เห็นว่าถ้าอิทธิฤทธิ์ไม่เพิ่มจำนวนเงินปันผลที่จ่ายให้กับตัวเอง ลำพังแค่กำไรสะสมของคุณากรพร็อพเพอตี้ก็พอที่จะพยุงกิจการควบคู่กับใช้เงินกู้จากธนาคารวงเงินเท่าเดิมได้โดยไม่ต้องหาผู้ร่วมลงทุนทำห้างสรรพสินค้า
อีกประเด็นที่ทำให้หล่อนฉุนจัดคือค่าใช้จ่ายราคาวัสดุในรอบห้าปีที่ผ่านมาแพงเกินจริง และเมื่อหักลบเงินคงเหลือหลังจากสิ้นสุดโครงการต่างๆ ที่อิทธิฤทธิ์ดูแล หล่อนก็พบว่าตัวเลขของต้นทุนไปจมอยู่กับราคาวัสดุจากตัวแทนขายที่หาหลักฐานใบเสนอราคาไม่ได้
ครูหนุ่มพูดถูกทีเดียวว่าถ้าอยากรู้เรื่องความเป็นไปของกิจการว่าจะดิ่งลงเหวหรือป่ายปีนขึ้นสวรรค์ ให้กลับไปนั่งอ่านงบการเงินของบริษัท และถ้าหล่อนไม่เรียกทีมบัญชีชุดเก่าทั้งหมดให้มารวมตัวกันแสดงข้อมูล ก็ไม่มีทางรู้ความจริง
แต่การประกาศให้ทุกคนรู้ถึงการกระทำของกรรมการผู้จัดการใหญ่ อาจเป็นการชักมีดคว้านท้องตัวเอง เพราะคนเก่าคนแก่ที่จะสนับสนุนเสียงหล่อนเหลือไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ถ้าเปรียบเทียบกับจำนวนคนจากแอนเจลฟลายที่อิทธิฤทธิ์จ้างเข้ามาแทนที่ทุกตำแหน่งสำคัญ
นั่นหมายความว่า ตราบเท่าที่หล่อนยังไม่ได้ครองเก้าอี้ประธานบริษัท เขาก็จะใช้อำนาจการกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเองต่อไป แล้วหล่อนก็จะไม่เหลืออะไรให้สืบสานต่อจากบิดา เว้นแต่หุ้นในส่วนที่บิดาถือครองอยู่โอนเป็นของหล่อนตามกฎหมาย หล่อนก็จะได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ซึ่งพ่อของหล่อนคงไม่ได้ยกหุ้นให้ง่ายๆ เหมือนกับให้ของขวัญวันเกิด
รสสุคนธ์แหงนคอพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดหวัง คิดกลับไปกลับจนปวดหัวแทบระเบิดก็หาทางออกไม่ได้เลย นอกจากบริหารโครงการที่จับอยู่ให้ได้กำไรตามที่ลั่นวาจาเอาไว้ และต่อให้หล่อนทำสำเร็จก็เถอะ ผลกำไรก็คงถูกอิทธิฤทธิ์เอาไปย่อยไม่เหลือซาก
“เรียนมาก็สูง แต่เอาความรู้ที่มีช่วยอะไรไม่ได้เลยหรือไง ยายโง่โรส!” อัดอั้นจนต้องระบายออกมาเสียงลั่นสำนักงานชั่วคราว ธุรการสาวที่นั่งหน้าห้องก็ตกใจ รีบเปิดประตูเข้ามา
“คุณโรส เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงแสดงถึงความกังวลโดยแท้
รสสุคนธ์โคลงศีรษะ “ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”
“เอ่อ... แล้วคุณโรสจะทานอะไรไหมคะ หนูจะได้ไปซื้อมาให้ก่อนกลับ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ โรสเองก็จะกลับแล้วเหมือนกัน” รสสุคนธ์ยิ้มตอบกลับน้ำใจ
“อ้อ วันนี้ก็มีแม่ค้ามาแจ้งขอถอนชื่อจากผู้เช่าพื้นที่ห้างสรรพสินค้าสี่รายค่ะ”
“สี่รายเลยหรือ” เจ้านายสาวย่นคิ้ว ถ้าจำไม่ผิดก็เหลือแค่เจ้าเดียวเท่านั้น ไม่รวมกับกลุ่มชาวประมงที่หล่อนเสนอการรับซื้ออาหารทะเลหน้าแพบวกกับการรับประกันราคา
“พวกเขายอมจ่ายค่าเช่าแผงในตลาดที่แพงกว่าค่าเช่าที่ของห้างเราเพราะอะไรกัน” หล่อนรำพึงด้วยความไม่เข้าใจ เหลือบเห็นธุรการเดินกลับไปเปิดประตู มองซ้ายมองขวาด้านนอกแล้วเดินเข้ามาเอ่ยพูดด้วยเสียงเบาใกล้ๆ
“คือ... หนูก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า หนูได้ยินมาจากแฟนหนูอีกที... เป็นข่าวลือเกี่ยวกับบริษัทเรา...”
“อะไร” รสสุคนธ์ไม่รอช้าที่จะเปิดโอกาสให้
“ตอนที่แฟนหนูไปบ่อนนายประชา แฟนหนูได้ยินพวกพ่อค้าแม่ค้าพูดกันว่าคุณอิทธิฤทธิ์รับซื้อหนี้ที่พวกนั้นติดไว้กับนายประชา”
คิ้วเรียวงามย่นเข้าหากัน “รีไฟแนนซ์หนี้?”
“คล้ายกับอย่างนั้นค่ะ แต่จ่ายดอกที่ถูกกว่า ถ้าเทียบกับค่าเช่าที่ของห้างที่พวกเขาต้องจ่ายในปีต่อไปกับค่าแผงที่จ่ายให้นายประชาก็ไม่ต่างกันเลย พวกเขาเลยไม่จำเป็นต้องย้ายมาห้างของเราที่ไม่รู้ว่าจะทำมาค้าขึ้นไหม”
รสสุคนธ์ฟังแล้วก็ฉุน ที่แผนหล่อนไม่บรรลุความตั้งใจเพราะมีอิทธิฤทธิ์คอยบั่นทอนนี่เอง แต่ทำไมเขาต้องทำขนาดนี้ ถ้าแค่อยากให้โครงการไปรอด ก็ไม่จำเป็นต้องรับเอาภาระหนี้สินที่ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเองไปแบกไว้
“แล้วคุณวิชัยได้มาไซต์งานที่นี่บ้างไหม”
“จริงๆ เขาก็มาแถวนี้บ่อยค่ะ แต่แทบไม่ได้เข้าไซต์เลย” เสียงของธุรการสาวเบากว่าเดิม
“แล้วเขาไปอยู่ไหน”
“ถ้าเขาไม่เข้าบ่อนก็ไปเลี้ยงดริงก์ผู้หญิงที่คาราโอเกะของนายประชาค่ะ”
ดวงตากลมเบิกกว้างเพราะประหลาดใจ ด้วยบุคลิกท่าทางของอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาไม่น่าเป็นคนแบบนั้น แล้วทำไมนายใหม่ของเขาถึงปล่อยปละละเลยให้คนของตนทำตัวไม่เหมาะสม
เสียงโทรศัพท์ดังเรียกความคิดของหญิงสาว พอดูชื่อของสายเรียกเข้าที่ปรากฏบนหน้าจอ รสสุคนธ์ก็ถอนลมหายใจ
“สวัสดีค่ะแม่” หล่อนเลื่อนหน้าจอแล้วกรอกเสียงทักทายลงไป
“อะไรนะคะ!” แต่แล้วคิ้วเรียวก็ขมวดเป็นปม “ใครกันที่ทำเรื่องเลวๆ แบบนั้น!”
หล่อนขบกรามอย่างเคืองแค้นหลังฟังข่าวลือที่แพร่สะพัดในวงธุรกิจ มีใครบางคนปล่อยข่าวว่าคุณากรพร็อพเพอตี้กำลังย่ำแย่จนไปเข้าหูนายเรมอนด์ ส่งผลให้ซีอีโอฝรั่งร้อนใจ ร่อนจดหมายมากดดันบิดาของหล่อนว่าหากห้างสรรพสินค้าทำกำไรไม่ได้ตามที่หล่อนลั่นวาจา ก็เตรียมเงินชดเชยก้อนโตไว้ได้เลย
แต่คำขู่จะยังคงเป็นเพียงแค่ลมต่อไปหากหล่อนทำโครงการใหญ่สัมฤทธิ์ผล ซึ่งต่อจากนี้ก็แค่ควบคุมการก่อสร้างและทำการตลาดเรียกความสนใจจากผู้ค้าปลีกให้มาจับจองพื้นที่ไว้เท่านั้น เว้นแต่จะมีมหันตภัยทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวร้ายแรงขนาดสิบเอ็ดริกเตอร์ หรือถูกสึนามิความสูงมากกว่าห้างสรรพสินค้าถาโถมเข้าใส่ราบเป็นหน้ากลอง ถึงตอนนั้น นายเรมอนด์จะเรียกร้องอะไรคืน หล่อนก็มิอาจขัดขืน
แล้วใครกันล่ะที่ปาลูกมะพร้าวใส่กระต่ายให้ตื่นตูม...
คนแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดคืออิทธิฤทธิ์ จะเป็นใครอื่นอีกไม่ได้ถ้าไม่ใช่คนที่จ้องทำลายความเชื่อมั่นในตัวหล่อน แล้วถ้าเขาเล่นเกมโกงกันแบบนี้ หล่อนก็จะตลบหลังบ้าง ในเมื่ออยากได้คุณากรพร็อพเพอตี้ไปครอง ก็ขอผลงานการบริหารของแอนเจลฟลายมาดูบ้างจะเป็นไร
ความคิดที่เกิดขึ้นฉับพลันทำให้ไปบ่อนลับหลังตลาดสดของชุมชน แต่ในวิถีอโคจรที่หล่อนเพิ่งได้ประสบสร้างความกังวลใจยามเดินเข้าสู่สถานที่รวมตัวกันของนักเสี่ยงดวง หรือเพราะหน้าตาแบบหล่อนไม่เข้าข่ายคนเล่นการพนันหรืออย่างไร ถึงได้ถูกคนเฝ้าบ่อนยกมือห้ามย่างกรายผ่านประตูเข้าไป
“ฉันไม่เข้าก็ได้ แต่ช่วยเรียกคนที่ชื่อวิชัยให้ฉันที ฉันรู้ว่าเขามาที่นี่” มาถึงที่แล้ว ยังไงก็ต้องได้เจอ
“ฉันต้องเฝ้าประตูไม่มีหน้าที่ตามคนให้ใคร แต่ถ้าอยากเข้า ต้องไปลงทะเบียนผู้เล่นกับคุณประชาเสียก่อน”
ผู้เฝ้าประตูบอกหล่อนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ช่างรักษาหน้าที่ได้ดีจนหล่อนนึกเชยชมในใจ “แล้วฉันจะไปพบนายประชาได้ที่ไหน”
หนึ่งในคนเฝ้าประตูพยักพเยิดไปทางชายฉกรรจ์ใบหน้าดุดันที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ก่อนบอกให้หล่อนเดินตามการนำทางสู่บริเวณด้านหลังที่เป็นดูลึกลับยิ่งกว่าสถานที่ตั้งของบ่อน
รสสุคนธ์สูดลมหายใจเรียกความกล้า แล้วก้าวขาผ่านประตูของอาคารคอนกรีตชั้นเดียว แต่พอเข้าไปแล้วกลับได้ยินเสียงของคนที่ต้องการพบเล็ดลอดออกมาจากห้องด้านใน
“ผมขอครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมครับคุณประชา ผมรับรองว่าเดือนหน้าจะคืนเงินให้คุณประชาครบทุกบาททั้งต้นทั้งดอก”
“ที่ผ่านมาผมเห็นว่าคุณเป็นคนของคุณอิทธิฤทธิ์ เลยยอมผ่อนผันให้ แต่ครั้งนี้เห็นจะไม่ได้” หลังเสียงพูดที่สองที่จบลง คนของนายประชาก็ผลักประตูอ้ากว้างเฉลยให้รสสุคนธ์รู้ว่าใครคือเจ้าของประโยคนั้น
“นายครับ เขาอยากมาลงทะเบียนผู้เล่น” พอจบการแนะนำตัวหล่อนแบบเน้นวัตถุประสงค์ ชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ก็คลี่ยิ้มเย็นต้อนรับ
“ยินดีหากคุณจะมาเป็นลูกค้าวีไอพีของผม” นายประชากล่าวเชิญหล่อนให้เข้าไปนั่งบนเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้าม โดยไม่สนว่าแขกรายเดิมยังไม่เสร็จธุระของตน
“คะ... คะ... คุณโรส” ดวงตาหยีเล็กหลังเลนส์แว่นของนายวิชัยก็เบิกกว้างเหมือนเห็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต
“จริงๆ แล้วฉันตั้งใจไปหาคุณวิชัยที่บ่อน แต่ลูกน้องของคุณประชาบอกว่าคนที่ลงทะเบียนผู้เล่นแล้วเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าบ่อนได้ แต่คุณวิชัยอยู่ที่นี่ ฉันคงไม่ต้องสมัครสมาชิกแล้วกระมังคะ” รสสุคนธ์ยืดตัวตรง บอกที่มาที่ไปที่แท้จริง
“อ้าว แย่จัง ผมก็หลงดีใจว่าจะได้คุณรสสุคนธ์มาเป็นลูกค้ารายใหญ่” แม้จะเป็นคำพูดเชิงหยอก แต่ด้วยใบหน้าเปี่ยมอำนาจนั้นแฝงพลังข่มขวัญไว้ในถ้อยวาจา
“แต่ถ้าคุณรสสุคนธ์ไม่มีธุระอะไรกับผม ผมจะขอสะสางธุระกับคุณวิชัยต่อ”
หล่อนเหลือบมองใบหน้าซีดขาวของอดีตลูกน้องชั่วแวบหนึ่ง แล้วจึงค่อยหันไปทางผู้เป็นใหญ่ในที่แห่งนี้ “ฉันขอสะสางธุระให้แทนก็แล้วกัน”
จากนั้นหยิบสมุดเช็คกับปากกาออกจากกระเป๋า “ฉันต้องสะสางให้เขาเท่าไร”
“ทั้งคุณรสสุคนธ์ทั้งคุณอิทธิฤทธิ์ช่างมีน้ำใจกับลูกน้องของตัวเองจริงๆ ทำเอาผมอยากเข้าไปสมัครเป็นพนักงาน”
หล่อนไม่ถือเอาคำกล่าวเจือเสียงหัวเราะในลำคอมาเป็นเรื่องจริงจัง แต่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการเอ่ยอ้างถึงความเมตตาที่เกินขอบเขตของอิทธิฤทธิ์ต่อผู้ใต้บังคับบัญชา
“บอกทีว่าฉันต้องสะสางเป็นจำนวนเงินเท่าไร” หล่อนย้ำอีกครั้งด้วยเสียงจริงจังขึ้น
นายประชายกยิ้มที่มุมปาก กระดิกนิ้วแทนคำสั่งให้ลูกน้องนำเอาบัญชีค้างจ่ายที่หน้าปกระบุชื่อและมีรูปถ่ายของนายวิชัยติดไว้ ทว่าความประหลาดใจของรสสุคนธ์ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขในช่องยอดหนี้ค้างจ่าย แต่กลับอยู่บนใบหน้าของคนที่นำสมุดหนี้มาให้แล้วรีบเพิ่งถอยเท้ากลับไปหลบด้านหลังนายของตน
“คนงานเก่าของคุณทำงานให้ผมได้ดีเชียว แย่ตรงที่มันขี้เมาไปหน่อย” นายประชาเบ้ริมฝีปากเหมือนอยากตำหนิ แต่แล้วก็ไหวไหล่ “ซึ่งผมก็ไม่ได้กำหนดวินงวินัยอะไร ขอให้ภักดีไม่แทงข้างหลังเป็นพอ รับรองผมจะเลี้ยงดูอย่างดียันพ่อแม่ลูกเมีย”
“กฎของฉันคือห้ามทะเลาะวิวาทและเล่นการพนันในพื้นที่ของบริษัท เขาทำตามกฎไม่ได้ เลยไม่เหมาะที่จะทำงานกับฉัน แต่คงเหมาะกับคุณ”
ฝ่ายนั้นคลี่ยิ้มกว้าง “แต่คุณน่าจะดีใจที่ผมสั่งให้เขาทำงานบางอย่างเพื่อช่วยคุณ”
“ช่วยฉัน?”
“ไม่สิ ช่วยแม่ของคุณมากกว่า”
บอกแล้วหยิบบุหรี่ออกจากซอง เคาะปลายมวนกับฝ่ามือ ก่อนคาบไว้หมิ่นเหม่รอให้อดีตลูกน้องของหล่อนพุ่งเข้ามาจุดไฟแช็กให้ จากนั้นสูบควันเข้าปอดจากนั้นแหงนคอหลับตาพ่นควันให้ลอยพวยพุ่งในอากาศ
“ผมจะให้เขาเป็นแพะรับความผิดแทนแม่ของคุณ”
รสสุคนธ์กลืนน้ำลายลงคอ จ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งงัน
“พอเขาถูกจับเข้าคุก เขาก็จะทำงานให้ผมต่อในนั้น ส่วนคนที่แม่คุณจ้างวาน ถูกลูกน้องผมปิดปากไปแล้ว”
คำว่าปิดปากทำให้นายวิชัยนั่งสะดุ้ง หายใจแรงจนเป็นที่สังเกต ส่วนหล่อนก็รู้สึกมือเย็นขึ้นมาอย่างประหลาด
“ใครสั่งคุณให้ทำแบบนั้น” รสสุคนธ์เค้นเสียงถามออกจากลำคอ
“สั่งให้ปิดปากน่ะหรือ?” นายประชาถามกลับด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่มีใครสั่งผมได้หรอกว่าต้องทำอะไร แค่บอกว่าอยากให้ความลับเป็นความลับต่อไป เท่านี้ผมก็รู้แล้วว่าจะใช้วิธีไหนจัดการ”
แต่สายตาที่ควรมองหล่อนกลับไปหยุดที่ใบหน้าขาวเหมือนกระดาษของนายวิชัย เช่นเดียวกันกับรสสุคนธ์ ที่ไม่รู้เป็นเพราะบรรยากาศน่าอึดอัด หรือเป็นเพราะมีสิ่งเร้นลับดูดซับพลังจากตัวหล่อนให้รีบพาตัวเองออกจากที่ตรงนี้
“เสร็จธุระแล้ว ฉันขอตัว” รสสุคนธ์วางเช็คที่เขียนตัวเลขตามจำนวนหนี้ค้างจ่ายของนายวิชัยไว้บนโต๊ะแล้วส่งสายตาเป็นสัญญาณให้อดีตผู้ช่วยร่างท้วมลุกขึ้นยืน แต่คำลาของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทำให้หล่อนหายใจติดขัด
“ยินดีที่ได้คุย และหวังว่าความกตัญญูต่อแม่ของคุณจะช่วยให้ผมทำงานสำเร็จ”
รสสุคนธ์ปลายตามองก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องโดยไม่ได้ให้ตำตอบ แต่หล่อนก็ได้ทิ้งลมหายใจแห่งความผิดหวังฝังไว้ร่วมกับอากาศคลุ้งควันบุหรี่ก่อนจากมา