สำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
รัก,ดราม่า,ผู้ใหญ่,ไทย,รักโรแมนติก,พระเอกหล่อ,พระเอกอบอุ่น,นางเอกเก่ง,นางเอกรุก,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
My Roseสำหรับคนที่ปลูกกุหลาบตายมาแล้วอย่างเธอ พอมาเจอเขา คนที่เดิมพันชีวิตเธอด้วยกุหลาบต้นเดียว รสสุคนธ์ก็ชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างให้เขาสอนปลูกกุหลาบ หรือปลูกรักในหัวใจ แบบไหนยากกว่ากัน
บทที่ ๓๗
ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าตะขาบตัวนั้นจะฝากรอยแผลเป็นใหญ่ที่ปลายนิ้วได้ ในยามที่รสสุคนธ์มองหรือสัมผัสรอยแผล หล่อนก็จะรำลึกถึงความแสบร้อนและอาการแน่นอกรุนแรงตอนนั้นได้ทุกครั้งไป จึงกลายเป็นว่าหล่อนสำนึกในโอกาสรอดของชีวิต และคิดว่าควรขอบคุณหนูน้อยโรซี่ที่ฉุกคิดถึงหล่อนแล้วบอกให้เขาผู้นั้นย้อนกลับมา
ก็ไม่รู้ว่าใครขีดโชคชะตาให้ แต่หล่อนก็ยังคงเดินตามความตั้งใจของตนไม่ท้อถอย หลังออกจากโรงพยาบาลก่อนบิดาที่แพทย์อนุญาตให้พักฟื้นหลังผ่าตัดที่บ้าน รสสุคนธ์ก็ทั้งติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างห้างสรรพสินค้า และเตรียมรายงานให้พร้อมสรรพสำหรับการประชุมใหญ่กับมิสเตอร์เรมอนด์
แน่นอนว่าอิทธิฤทธิ์จะไม่ถูกนำมาเกี่ยวข้องใดกับงานของหล่อน เขาแค่รอสวมแหวนแต่งงานให้ก็พอแล้วสำหรับสิ่งที่เขาเฝ้าตั้งใจมานาน และต่อให้เขามาพันพัวในฐานะสามี รสสุคนธ์ก็ไม่คิดเชื่อมไมตรีให้ชิดเชื้อไปมากกว่าพี่ชาย สรรพนามเรียกแทนกันก็มีความหมายสื่อแล้วทางนิตินัย ฉะนั้นในทางพฤตินัย หล่อนไม่ต้องการ
ความคิดนี้ส่งผลต่ออารมณ์ของชายหนุ่มแน่แท้ ทว่านางปัทมา มารดาของหล่อนกลับนิ่งเงียบ ไม่ออกความเห็นค้าน เหมือนกับลืมไปว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้น การแต่งงานเกิดเพื่อต้องการกู้กิจการนี้เป็นความคิดของนางเอง
การเปลี่ยนแปลงซึ่งสังเกตุได้นั้นทำให้รสสุคนธ์วิตก แม้หล่อนควรจะชอบใจที่นางปัทมาไม่พูดถึงการแต่งงานอันจะมีในอีกไม่กี่วันข้างหน้าให้อึดอัดใจ แต่ใบหน้าและแววตาของคนเป็นมารดาก็ซึมเศร้าเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ แต่เพราะใกล้วันประชุมสำคัญรสสุคนธ์จึงต้องมุ่งมั่นไม่วอกแวก ปัญหาใหญ่กว่ากำลังรอหล่อนอยู่ แล้วหนนี้ก็ไม่รู้ว่านายฝรั่งจะตำหนิอะไรอีก
แต่ที่หล่อนพะวงมากกว่าคำตำหนิของผู้ร่วมทุนใจแคบคือรสสุคนธ์เดาไม่ถูกเลยว่ารองประธานมิลเลอร์โฮลดิ้งที่ส่งข้อความผ่านผู้ช่วยแจ้งว่าขอเข้าร่วมฟังความคืบหน้าของโครงการนั้น เขาจะคิดอย่างไรหากรู้ว่าผืนดินเดิมที่เคยเป็นของเขายังไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดไปทดแทนโรงเรียน แต่กระนั้นรสสุคนธ์ก็พร้อมสู้ สำหรับคนที่ผ่านเส้นตายมาแล้วอย่างหล่อน รู้ซึ้งว่าอะไรคือสิ่งที่หล่อนต้องการต่อจากนี้
ในวันประชุม ทีมงานของหล่อนมารวมกันอย่างพร้อมเพรียง ขาดไม่ได้คืออิทธิฤทธิ์ที่พกพาใบหน้าเคร่งขรึมเหมือนจำเลยในชั้นศาล ส่วนหล่อนนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยเรื่องความกังวล เพราะมันเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ต้องทำให้ผ่านไปด้วยดีเท่าที่จะสามารถทำได้
นายเรมอนด์มาช้ากว่ากำหนด ทว่ารองประธานมิลเลอร์มาถึงก่อนเวลาการประชุม ขนาบข้างด้วยผู้ช่วยผมทองที่ไม่เคยปล่อยให้เจ้านายหนุ่มอยู่ตามลำพัง
แต่การมีคนนอกเข้ามาฟังด้วยนั้นไม่ทำให้รสสุคนธ์อึดอัดได้เท่ากับใบหน้าเรียบไร้วี่แววของคนที่หล่อนเคยใกล้ชิดในโรงเรียนปลูกปัญญา อีกทั้งการวางท่าเงียบขรึมกับดวงตานิ่งเย็นก็ยิ่งทำให้หล่อนนึกอยากกระชากเอาครูหนุ่มที่อยู่ในร่างเดียวกันออกมา
“ที่คุณสัญญาว่าจะทำกำไรในไตรมาสแรกของปีหน้า ยังจำได้อยู่ใช่ไหม และผมหวังว่าคุณจะคำนึงถึงความล่าช้าในการก่อสร้างดีแล้ว”
แล้วนั่นก็เป็นประโยคแรกในที่ประชุมของนายเรมอนด์ หลังจากฟังหล่อนพูดเรื่องโครงการรถรางพลังงานทางเลือกที่เชื่อมระหว่างอาคารจอดรถกับตัวห้างที่ส่งผลต่อกำหนดการเดิมให้ถูกเลื่อนออก
“ผมจำได้” อิทธิฤทธิ์ตอบด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนปรายตามองหล่อน “แล้วก็อธิบายให้ทุกคนฟังไปแล้วนี่ว่าเรามีแผนเรียกรายได้ยังไง”
“หรือไม่ก็คุณเรมอนด์ฟังแผนที่สองที่ดิฉันกำลังจะอธิบายในสไลด์ต่อไป” หล่อนเสริมคำพูด
“สิ่งที่ผมอยากรู้ไม่ใช่วิธีการ แต่เป็นผลลัพธ์ ผมต้องการรู้ว่ากำไรที่ผมต้องได้จะถูกเลื่อนออกไปนานแค่ไหน” นายเรมอนด์ถามเสียงเขียว รสสุคนธ์จึงสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปลี่ยนสไลด์ไปยังหน้าความคาดหวังของกำไรที่คนฟังอยากได้ยินมากกว่าอยากรู้ว่าหล่อนมียุทธวิธีใด
“เรื่องแผนที่คุณอิทธิฤทธิ์บอก ในนามของมิลเลอร์โฮลดิ้ง ผมขอบอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะรายได้จากลูกค้ารายย่อยไม่พอกับการทำกำไรให้ทันไตรมาสแรกที่ล่าช้ากว่าแผน แต่ขอเสนอแผนใหม่คือการตรึงราคาค่าเช่าพื้นที่ในห้างของเจ้าของร้านค้าเพื่อให้เขาสามารถเอาส่วนต่างไปลดราคาสินค้าให้ผู้ซื้อเป็นการเรียกลูกค้าได้ดีกว่าให้พวกเขาก่อหนี้โดยไม่จำเป็น” แต่เสียงนุ่มที่เปล่งจากเรียวปากหยักได้รูปของชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสวยทำให้รสสุคนธ์หันขวับไปมอง
“ผมจึงสนใจอยากฟังแผนของคุณรสสุคนธ์ อย่างน้อยก็ช่วยเป็นข้อมูลประเมินความเป็นไปได้ของผลลัพธ์”
“แล้วถ้าผมฟังแต่ไม่เห็นด้วยล่ะ” นายเรมอนด์ยิงเงื่อนไข
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะลองเสี่ยงหรือเปล่า ซึ่งถ้าคุณสบายใจกว่าหากถอนทุนคืนโดยไม่ต้องการู้ผลของมัน ผมก็ยินดี และไม่ค้านในฐานะผู้ถือหุ้นสี่สิบเปอร์เซนต์ของคุณากรพร็อพเพอตี้”
ไม่เชิงกดดันแต่นั่นก็ทำให้นายเรมอนด์ขบกราม ส่วนกรรมการผู้จัดการใหญ่ที่เพิ่งถูกหักหน้าก็กำมือแน่น แต่ไม่อาจโต้แย้งอะไรได้
“เชิญอธิบายแผนครับ คุณรสสุคนธ์” เขาหันมาสบตาหล่อน
สิ่งที่เขาทำยังส่งผลให้รสสุคนธ์ต้องลบอคติที่มีต่อชายหนุ่มในบทบาทของทีเค มิลเลอร์ ลงไปบ้าง แต่รสสุคนธ์ก็ยังไม่วางใจ เพราะหล่อนรู้ว่าเป้าหมายหลักของเขาคือการฮุบกิจการทั้งหมด
“ฉันคิดแผนคล้ายกันไว้อยู่ค่ะ” หล่อนเอ่ยบอก จ้องดวงตาชายหนุ่มนิ่ง “สิ่งที่ฉันจะทำคือสร้างตลาดสดในห้าง ไม่ใช่ซุปเปอร์ทั่วไป แต่เป็นตลาดติดแอร์ที่มีบรรยากาศการต่อราคาเหมือนตลาดสดจริงๆ ”
“ผมเห็นด้วยนะครับ เรื่องการทำตลาดสดติดแอร์แบบมีการต่อรองราคาได้ แต่ผมทราบมาว่าแถวนั้นมีตลาดสดอยู่แล้ว และเป็นตลาดดั้งเดิมของคนในพื้นที่ที่เปิดให้เช่าแผง คุณคิดว่าเราจะแย่งพ่อค้าแม่ค้าจากเขามาได้หรือ”
“หากเราตรึงราคาค่าเช่าแผง และไม่สร้างเงื่อนไขบีบคั้นผู้ค้า แต่ให้เกียรติพวกเขา และให้เขามีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของห้างสรรพสินค้าที่ไม่ใช่ถึงเวลาแล้ว เราไปเรียกเก็บค่าแผงเหมือนเจ้าหนี้ทวงหนี้ ดิฉันว่าพวกเขาจะทยอยมาโดยการบอกปากต่อปาก ดีกว่าทุ่มเงินครั้งเดียวเรียกแค่หน้าม้ามาแต่เวลาผ่านไป เขากลับรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบไม่ต่างกัน นี่เป็นแผนการเรียกผู้ค้าให้มาเป็นคนของเรา”
มีรอยยิ้มกดลึกที่มุมปากของชายหนุ่ม แต่รอยยิ้มนั้นพลันเลือนหายไปเพราะคำพูดของอิทธิฤทธิ์
“แต่ก็ไม่แน่นะ อาจจะไม่มีใครมาขอเช่าที่เลยก็ได้ เพราะกังวลว่าคุณรสสุคนธ์จะมีส่วนพัวพันการตายของเจ้าของตลาดเดิมหรือเปล่า”
หญิงสาวย่นคิ้วเข้าหากัน “พี่อิท พูดเรื่องอะไรคะ”
อิทธิฤทธิ์ไม่ได้มองหน้าหล่อนเลย แต่ส่งตาเรียวไปยังชายหนุ่มตรงข้าม “ก็แค่การคาดคะเนน่ะ พอดีได้ยินข่าวมา แล้วก็เป็นข่าวที่ส่งผลต่อคุณากรพร็อพเพอตี้เสียด้วย”
หล่อนไม่รู้ความหมายนั้น แต่ดวงตาของผู้ติดตามรองประธานมิลเลอร์โฮลดิ้งแข็งกร้าว ในขณะที่เจ้านายหนุ่มของเขายังสงบนิ่ง
“ผมไม่อยากฟังข่าวฆ่ากันตายตอนนี้ ผมอยากฟังพรีเซนต์ให้จบก่อนจะต้องบินไปดูไบ”
ความเอาแต่ใจของนายเรมอนด์เข้ามาช่วยแก้ไขบรรยากาศ การประชุมจึงดำเนินต่อไปจนจบวาระ แต่ยังเหลือคนที่ค้างคาใจ จนต้องตามไปหาคำตอบกับอิทธิฤทธิ์ที่ห้องทำงาน ซึ่งเขาก็คงรู้อยู่แล้วว่าหล่อนต้องการถามอะไร จึงเตรียมหนังสือพิมพ์วางไว้บนโต๊ะให้หล่อนหยิบขึ้นอ่านด้วยตัวเอง
พาดหัวข่าวตัวโตบอกว่าผู้มีอิทธิพลตายปริศนาในอาคารพาณิชย์เก่าที่เคยเป็นบ่อนของตัวเอง สาเหตุการตายมีเพียงอย่างเดียว คือเรื่องขัดแย่งผลประโยชน์แล้วคู่กรณีที่ว่านั้นก็ยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวน ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยอะไรเกี่ยวโยงกับหล่อน หากแต่คำว่าผลประโยชน์นั้นกินความกว้างแค่ไหน รสสุคนธ์เองก็รู้ตัวดี
“เตรียมใจรับกองทัพนักข่าวได้เลย” อิทธิฤทธิ์แค่นเสียงพูด “แล้วดูซิว่าแผนเรียกพ่อค้าแม่ค้าของโรสจะได้ผลหรือเปล่า”
“แค่อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัย ไม่เห็นว่าควรกังวลอะไรนี่คะ โรสยังทำตามแผนเดิม ออกไปหาทางทำเงินยังดีกว่านั่งรอให้ใครผ่านมาโยนเศษเหรียญใส่กระป๋องให้”
“เดี๋ยวนี้วาจาร้ายนักนะ” ดวงตาเรียวตวัดมอง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวขาเข้ามาใกล้
“ร้ายมานานแล้วค่ะ แล้วจะร้ายกว่านี้อีก” หญิงสาวไม่กลัวการสบตา แต่หล่อนไม่คิดว่ามันจะยั่วให้ชายหนุ่มโกรธจนถือสิทธิ์ว่าที่สามีฉุดต้นแขนทั้งสองเข้าไปกระแทกแผ่นอก
“ดี ร้ายๆ แบบนี้รู้ไหมว่าของชอบ”
บอกแล้วจู่โจมนวลแก้มด้วยปลายจมูก ก่อนซุกไซ้ไปตามต้นคอระหง รสสุคนธ์อยากหวีดร้องแต่หล่อนมีวิธีจัดการดีกว่านั้น ส้นเข็มแหลมปรี๊ดของรองเท้าแบรนด์ดังคู่ที่เคยหักหลังหล่อนในงานศพโธมัสจึงถูกยกขึ้นแล้วเหยียบเข้าที่ปลายรองเท้าของอิทธิฤทธิ์เต็มแรง ความเจ็บปวดแล่นปราดรวดเร็วจนเจ้าของจมูกโด่งผงะหงายร้องออกมาด้วยความเจ็บ รีบถอยทัพกลับด้วยท่าเดินกะเผลก
“โรส!” แล้วเรียกชื่อหล่อนลอดไรฟัน มองด้วยดวงตาวาวโรจน์
“ต่อไปนี้ ถ้าเข้าใกล้โรสในระยะหนึ่งเมตร พี่อิทจะโดนแบบนี้” สะบัดเสียงพูดใส่แล้วหมุนตัวเดินจากห้อง พร้อมกับเหวี่ยงหนังสือพิมพ์ทิ้งลงพื้น
แต่พอกลับมาถึงห้องตัวเอง ก็สั่งเลขานุการห้ามไม่ให้ใครเข้าไปรบกวน แล้วยกสองมือปิดหน้าก่อนร้องไห้ออกมาเหมือนเขื่อนพัง
ไม่ได้เสียใจหรอกที่ทำแบบนั้นกับอิทธิฤทธิ์ แล้วก็ไม่รู้สึกผิดอะไรด้วย เพียงแต่หล่อนนึกถึงคำพูดของเขาในวันก่อนที่กล่าวไว้ว่าศัตรูของนายประชาเป็นใคร แต่หล่อนไม่อยากให้ความคิดที่กำลังกระเจิดกระเจิงไปปรักปรำใครโดยไม่มีหลักฐานชัดเจน ทว่าดวงตาของชายชาวอังกฤษที่ชื่อเคย์แมนนั้นฟ้องความผิดปกติบางอย่าง
ความเหนื่อยใจนี้ยังติดตามหล่อนกลับไปบ้านหลังใหญ่ แต่หญิงสาวจำต้องปรุงแต่งใบหน้าให้สดใสก่อนเข้าไปร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับบิดาและมารดา แต่ก็ยังมีคนที่ทำหน้าเหมือนจมในบ่อทุกข์ยิ่งกว่าหล่อน
“แม่ไม่ค่อยสบายหรือเปล่าคะ โรสจะได้พาไปพบคุณหมอ” อดห่วงไม่ได้เลยต้องออกปากถาม “หรือเหนื่อยจนร่างกายอ่อนแอตอนเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล”
“ไม่ แม่ไม่ได้เป็นอะไร” นางปัทมาปฏิเสธเสียงอ่อน ยิ่งส่อเค้าความผิดปกติ
“อาทิตย์หน้า แม่เขาต้องขึ้นศาลน่ะ” ผู้เป็นสามีจึงบอกกล่าวแทน
รสสุคนธ์ถอนลมหายใจเสียงยาว คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุของครูหนุ่ม นี่เขาคงเริ่มตามเรียกเก็บบัญชีแค้นรายตัวแล้วสินะ
“โรสจะไปเป็นเพื่อนค่ะ”
“ไม่ต้อง แม่ไม่อยากให้โรสมาเกี่ยวกับเรื่องที่แม่เป็นคนก่อ”
“แต่” หล่อนกำลังจะยื่นคำค้าน
“ลูกก็มีสิ่งที่ลูกต้องทำไม่ใช่หรือ อย่าห่วงเรื่องแม่เลย เดี๋ยวมันก็จบลงด้วยดี”
“หมายความว่ายังไง” คิ้วของบุตรสาวขมวดมุ่น มันจะจบลงด้วยดีได้อย่างไรกัน
“ตามพ่อมา” คุณากรลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินออกจากโต๊ะอาหาร บุตรสาวยังไม่เข้าใจอะไรดีนัก แต่ก็ทำตามคำสั่ง ก้าวขาเข้าไปในห้องทำงานของบิดาที่นั่งรอหล่อนอยู่บนโซฟา
“พ่อได้ยินจากคนของพ่อว่าการประชุมวันนี้ไม่ค่อยดีนัก”
รสสุคนธ์เม้มปากแน่น แต่ไม่หาข้อแก้ตัว
“แล้วพ่อก็รู้ว่าโรสพยายามอย่างหนักแค่ไหนที่จะทำให้โครงการห้างสรรพสินค้าสำเร็จ”
ขอบตาคมของบุตรสาวมีน้ำเอ่อรื้น “ไม่ใช่แค่ทำให้โครงการสำเร็จ แต่โรสมุ่งเป้าไปที่กู้วิกฤตให้คุณากรพร็อพเพอตี้ที่พ่อกับแม่สร้างมา ถ้าโรสทำโครงการห้างสรรพสินค้าล้มเหลว ก็หมายความว่าบริษัทนี้คง...”
คนเป็นพ่อยิ้มละมุน “ถ้ามันจะเจ๊งหรือจะไปอยู่ในมือใคร ก็ช่างมันเถอะ พ่อไม่ได้ต้องการให้มันเป็นห่วงแขวนคอลูกสาวของพ่อ”
“ไม่ค่ะพ่อ มันไม่ใช่ห่วงแขวนคอโรสคนเดียว แต่หมายถึงพนักงานของเราทุกคน พวกเราทำกันเต็มที่ ถ้าพ่อได้ยินทีมงานของเราพูด พ่อจะชื่นใจเพราะทุกคนขยันขันแข็ง และมีจุดหมายว่าจะต้องทำให้ได้”
“พ่อรู้ แต่ถ้าพ่อเห็นว่าควรส่งบริษัทนี้ต่อให้คนอื่น ลูกจะว่ายังไง”
รสสุคนธ์แทบอยากหลั่งน้ำตาเป็นสาย “ถ้าเป็นความต้องการของพ่อเอง โรสคงห้ามไม่ได้ แต่ขอให้มันไปอยู่ในมือของคนที่เหมาะสม แต่ถ้าพ่อยกให้คนอื่นเพราะความสามารถของโรสไม่ถึง โรสก็คงไม่ให้อภัยตัวเอง”
ผู้เป็นบิดาฟังแล้วระบายลมหายใจ “พ่อก็เคยคิดแบบนั้น”
คำพูดของบิดาเหมือนหนามปักอกบุตรสาว
“ถึงปล่อยให้แม่ยกลูกให้คนอื่นตามอำเภอใจ แต่ลูกไม่ใช่บริษัท ต่อให้คนรับไปจะเหมาะสมด้วยคุณสมบัติใดก็แล้วแต่ หากลูกไม่รักเขา แต่งกันไปก็ไม่ต่างกันจูงมือไปลงแดนนรก ส่วนบริษัทก็เหมือนกัน ถ้าคนที่ได้ไปคิดแค่จะตักตวงกำไรเพื่อผลประโยชน์ ต่อให้บริษัทมีมูลค่าเป็นร้อยล้านก็ล่มจมฉิบหายได้เหมือนกัน”
รสสุคนธ์งุนงง แปลความหมายไม่ออก ได้แต่นั่งฟังอย่างเงียบเชียบ จนในที่สุดคำตอบทั้งเรื่องใบหน้าหมองเศร้าของมารดาและเรื่องที่บิดากล่าวออกมาก็ถูกเผย
“เขามาหาพ่อ หลังจากที่พ่อฟื้นตัวจากการผ่าตัด”
หัวใจของหล่อนเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง “เขา... เขาไปหาพ่อทำไม”
“ก็ด้วยเรื่อง...” พ่อของหล่อนประสานมือกันแน่น มองมาราวกับกำลังคาดคะเนความระดับความรู้สึก ก่อนกล่าวต่อมา
“เรื่องขอให้พ่อขายหุ้นอีกหกสิบเปอร์เซ็นต์ให้เขา แลกกับการยกฟ้องคดีพยายามฆ่าของแม่”
แล้วน้ำตาที่เก็บกลั้นไว้ไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่ได้อีก เจ็บปวดในอกเหมือนหัวใจกำลังสลายไปในบัดเดี๋ยวนั้น ไม่ต้องถามต่อเลยว่าพ่อของหล่อนตอบไปว่าอย่างไร เพราะถ้าเป็นหล่อนก็คงเลือกคนรักมากกว่าวัตถุ หากเพียงแต่เขาคนนั้นจะเอ่ยบอกสัญญาณเตือนภัยแก่หล่อนบ้าง ความร้าวรานคงไม่รุนแรงเท่านี้
“โรสเข้าใจค่ะพ่อ... แต่...” บุตรสาวกลืนน้ำตาเค็มปร่า สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดก่อนกล่าวออกไปด้วยเสียงกลั้วน้ำตา
“แต่โรสยังไม่ทิ้งความตั้งใจ โรสจะทำห้างสรรพสินค้าให้สำเร็จ ต่อให้ทำไปแล้วมันจะไม่ได้เป็นของเรา แต่โรสก็ยินดีที่จะทำ ไม่ใช่เพื่อตัวโรสเอง แต่เพื่อพนักงานของคุณากรพร็อพเพอตี้ทุกคน”
อากาศเย็นรุกเข้าโจมตีใบหน้าทันทีที่ชายหนุ่มก้าวขาออกจากสนามบินฮีทโธรว์ ร่างสูงก้าวขายาวตามการเดินนำของผู้ติดตามสัญชาติอังกฤษไปยังรถหรูคันโตสีขาวบริสุทธิ์ ที่มีผู้รอต้อนรับโค้งคำนับก่อนเปิดประตูให้เขาเข้าไปนั่งในที่นั่งตอนหลังอันโอ่อ่า แล้วโค้งให้อีกครั้งแล้วก่อนดันประตูเพื่อปิดให้สนิท
แต่มือหนายกขึ้นหยุด พร้อมกล่าวเสียงเรียบกับผู้ติดตามที่กำลังเปิดประตูที่นั่งตอนหน้า “เคย์แมน กรุณามานั่งกับผม”
เคย์แมนชะงักงันชั่วครู่ แต่ก็ทำตามคำร้องขอของชายหนุ่มที่ไม่เคยใช้ประโยคคำสั่งแม้อีกฝ่ายจะอยู่ในฐานะผู้รับใช้ ร่างสูงใหญ่สมกับผู้ทำหน้าที่บอดี้การ์ดเดินอ้อมไปอีกฝั่ง เปิดประตูแล้วสอดตัวเข้ามานั่งจากอีกด้าน ส่วนชายหนุ่มยังไม่ได้เอ่ยวาจาใดต่อ แต่ทอดตามองไปยังถนนเบื้องหน้าที่สองข้างทางประดับด้วยสีส้มสลับแดงของต้นไม้ใหญ่ อันเป็นสารจากธรรมชาติบอกให้สิ่งมีชีวิตในโลกเตรียมรับมือกับความหนาวยะเยือกที่กำลังคืบคลานเข้ามา
“บุหรี่ไหม” เจ้านายหนุ่มเปล่งคำถาม
“ไม่ครับ ขอบคุณ” คนที่นั่งด้านข้างตอบกลับรวดเร็ว พลันนั้นถึงได้รู้ตัวว่า พลั้งพลาดไปเพราะคำถามที่เปล่งจากเรียวปากหยักของเจ้าของคำถามที่เอ่ยด้วยภาษาไทย
“ให้ตายสิ คุณทีเค” เคย์แมนสบถอย่างหัวเสีย “คุณไม่สูบบุหรี่แต่หลอกให้ผมพูดภาษาไทย”
ดวงตาของผู้เป็นนายมองอีกฝ่ายนิ่ง “คุณกำลังประหม่า ก็เลยขาดสติ”
เคย์แมนสูดลมหายใจเข้าลึก หันไปส่งตามองสารถีว่ายังจดจ้องมองที่ท้องถนนหรือไม่ และคล้ายกับพยายามส่งสารบางอย่างให้เขารู้ทางสายตา ก่อนพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า
“ผมชักอยากบุหรี่จริงๆ แล้วสิ”
ผู้เป็นนายรู้เท่าทัน จึงออกปากสั่งให้จอดรถตรงทางเข้าสวนสาธารณะขนาดย่อมก่อนเข้าสู่ตัวเมือง แต่เมื่อล้อหยุด เคย์แมนกลับพูดกับสารถีว่า
“แย่ชะมัด บุหรี่หมด นายช่วยไปซื้อบุหรี่ให้ฉันหน่อย”
“เฮ้ ฉันไม่ได้เป็นคนอยากบุหรี่ นายไปซื้อเอง ฉันจะอารักขาคุณทีเคในรถ” แต่คนถูกไหว้วานกล่าวปฏิเสธไร้เยื่อใย และไม่มีทีท่าจะออกจากรถไปไหนในวันที่อากาสเริ่มเย็นลง
“ผมอยากดื่มเอสเปรสโซ่ร้อน ผมจะไปกับคุณ”
สิ้นคำบอกของเจ้านายหนุ่ม ดวงตาของสารถีก็หรี่แคบ ทว่าก็ไม่อาจขัดใจยมทูตแห่งมิลเลอร์ได้ จึงปลดล็อกประตูให้ก่อนกำชับเสียงเข้มว่า
“บุหรี่หนึ่งมวน ฉันจะจับเวลา”
เคย์แมนเองก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ก้าวลงจากรถนำหน้าเขาเข้าสู่สวนสาธารณะที่ครอบครัวชาวอังกฤษมาใช้เป็นแหล่งหย่อนใจในวันหยุด จึงต้องเดินไปจนสุดปลายทางออกสวนอีกด้านโดยไม่ลืมซื้อบุหรี่และเอสเพรสโซให้ผู้เป็นนายที่รอนั่งรอบนเก้าอี้สนามในมุมอับผู้คน
“คุณอยากรู้อะไร” เคย์แมนเป็นฝ่ายเริ่มต้นหลังส่งกาแฟรสเข้มมาให้ แล้วหย่อนตัวนั่งคาบบุหรี่ไว้ในปากพลางจุดไฟเผาปลายมวน
“ทุกเรื่องที่คุณรู้เกี่ยวกับการตายของอันนา”
ผู้รับใช้ร่างใหญ่หัวเราะในลำคอ แล้วพ่นควันสีเทาให้ลอยหายไปในอากาศที่เริ่มขมุกขมัวคล้ายฟ้ากำลังโปรยสายฝนลงมาซ้ำเติมอากาศให้เลวร้ายขึ้น
“ตั้งแต่ผมรายงานให้เบนรู้ว่าคุณสั่งให้ผมไปทำอะไรที่เมืองไทย” พูดแล้วยกมวนบุหรี่ขึ้นสูบควันจนเต็มปอด “คุณอาจสงสัยว่าทำไมเบนไม่คัดค้านแบบหัวชนฝาห้ามไม่ให้คุณกลับไปที่นั่น เพราะเขาก็คาดหวังให้คุณฆ่านายประชาให้ตายสมความแค้นและนั่นหมายถึงเรื่องที่คุณไม่ควรรู้ก็จะได้ตายไปด้วย”
ดวงตาคมกล้าสีน้ำผึ้งป่าเพ่งมองใบหน้าคนพูด ก่อนถอนสายตาหันไปมองยอดไม้ที่หวิวไหวตามสายลม บ้างก็ทนกระแสแรงลมไม่ไหว ทิ้งใบสีน้ำตาลให้ร่วงพราวพรมพื้นคล้ายกับสภาพจิตใจของชายหนุ่มที่ถูกโชคชะตาปลิดทิ้งจากความเชื่อที่ฝังแน่นในหัวมาตลอดหลายปี
“คุณคงแค้นมิลเลอร์น่าดู แต่ผมอยากให้คุณเข้าใจว่าเราถูกหลอก พวกมันปล่อยข่าวให้เราและท่านโธมัสเข้าใจอันนาผิด เป็นแผนของนายประชาทั้งหมด”
เจ้านายหนุ่มระบายลมหายใจ ไม่เถียงคำพูดของเคย์แมน จริงอยู่ที่เขาอยากจะแค้น แต่หลายปีที่เขาสะสมความแค้นต่อนายประชาจนได้รู้ตื้นลึกหนาบางของมุมมืดที่ตามองไม่เห็นก็ทำให้ใจของเขาชาไปหมด รวมไปถึงที่ได้รู้ว่าลูกชายนายประชาหรืออริคู่ทะเลาะวัยเรียนของเขาเกลียดเขาเพราะรักผู้หญิงคนเดียวกัน
“ถ้าจะแค้น ผมก็ขอแค้นตัวเองที่ตัดสินใจอยากปีนไปให้ถึงยอดภูเขาตามคำโน้มน้าวของท่านโธมัส ตอนนั้นผมอยากทำทุกวิถีทางให้กลายเป็นคนที่มีอำนาจเหนือคนอื่น เพื่อสักวัน ผมจะได้กลับไปย่ำยีคนที่เคยทำให้ผมเจ็บใจ”
“คุณทำสำเร็จแล้ว” เคย์แมนพ่นควันบุหรี่กลุ่มใหญ่ “ท่านโธมัสก็สิ้นแล้ว เรื่องในอดีตก็จบไปแล้ว แต่ผมอยากให้คุณรับรางวัลจากเบน เงินตอบแทนมหาศาลและตำแหน่งงานใหญ่โตในมิลเลอร์โฮลดิ้ง เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณควรจะได้”
“ไม่...” เขาส่ายหน้า “ผมไม่ต้องการเงิน ไม่ต้องการอำนาจ มันไม่จำเป็นสำหรับผมอีกต่อไป ตำแหน่งยมทูตก็เช่นกัน”
“ผมไม่ชอบเลย ไม่ชอบจริงๆ เวลาคุณพูดแบบนี้” คราวนี้เคย์แมนพ่นลมหายใจแทนควันบุหรี่ “หรือไม่คุณควรจะพูดแบบนั้นอีกทีหลังจัดการนายอิทธิฤทธิ์ จริงอยู่ที่ผมเป็นคนลงมือสังหารนายประชา แล้วการตายของมันก็ช่วยหนุนให้ชื่อของคุณโด่งดังในหมู่พวกผู้มีอิทธิพล นั่นเท่ากับผมส่งดาบสองคมให้คุณ ยิ่งเห็นดวงตาของเจ้าอิทธิฤทธิ์ตอนที่มันเปรยถึงการตายของนายประชา ผมยิ่งอยากจัดการมันให้รู้แล้วรู้รอดไป คุณควรจะเขี่ยเจ้านั่นไปอยู่ในเดดลิสต์ได้แล้ว”
“ผมบอกคุณแล้วผมอยากให้โอกาสเขา”
“โอกาสที่มันจะมากัดคุณน่ะสิ บอกผมตามตรงเถอะว่าคุณเองก็คิดเหมือนผม”
ต้นกล้าระบายลมหายใจ มองแก้วคราบกาแฟสีน้ำเข้มติดก้นแก้ว “ให้เขามากัดผมดีกว่าไปกัดคนอื่น”
เคย์แมนแค่นหัวเราะ “กัดคนอื่น... คนอื่นที่คุณว่าคือแม่กุหลาบ”
“เขายังมีโอกาส แอนเจลฟลายกู้เงินในนามบริษัท แต่นายอิทธิฤทธิ์ยังไม่มีพันธะอะไร และถ้าเขายังอยากให้ปีกติดอยู่บนแผ่นหลังนางฟ้าต่อไป ผมก็มีข้อเสนอมัจจุราชให้”
“คุณจะเสนออะไรกับเขา”
“แล้วผมจะบอกคุณ... หลังจากฟังเรื่องทุกอย่างจากเบน”
เคย์แมนไม่เอ่ยถามอะไรต่อ ปล่อยให้เจ้านายหนุ่มซึมซับความคิดต่างๆ ที่ไหลบ่าเหมือนแม่น้ำหลากสาย พร้อมกับเอสเพรสโซร้อนรสขมแต่กลมกล่อมยามที่แปรเป็นรสหวานหอมในโพรงปาก กระทั่งจิบสุดท้ายถูกกลืนกินพอๆ กับไฟปลายมวนบุหรี่ของเคย์แมนมอดไหม้จนดับ
ต้นกล้ามาถึงจุดนับพบที่เบนเป็นผู้เลือก เขาก้าวขาลงจากรถ แหงนมองป้ายโลหะขัดมันสีเงินรมดำ มีตัวอักษรพลิ้วงามเป็นชื่อนักบุญผู้ภักดีต่อเยซูเจ้า จากนั้นมุ่งหน้าสู่ที่ฝังร่างของบิดาบุญธรรมผู้สร้างพระเดชและพระคุณล้นเกล้าจนเขามิกล้าล่วงละเมิดแม้ในความคิด แม้ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้เขาเจ็บเจียนตาย
เบนยืนสงบนิ่งรออยู่แล้วหน้าหลุมศพบิดาตัวเอง รายล้อมไปด้วยเหล่าสมุนผู้พร้อมอารักขา ด้านหน้าร่างสูงใหญ่มีประติมากรรมเทวรูปกางปีกแผ่ขยายปกคลุมแผ่นคอนกรีตหนา ที่ผนึกแผ่นป้ายระบุชื่อของร่างไร้วิญญาณผู้ครองแผ่นดินใต้พิภพ
“เบน” ต้นกล้าส่งเสียงให้รู้ว่าเขาได้มาถึงแล้ว
“ไง น้องชาย ทำไมถึงทำหน้าเคร่งเครียดแบบนั้น” เบนหมุนตัวมาส่งยิ้มกว้าง ผายมือทั้งสองออก ก่อนเดินเข้ามาโอบกอดเขาพร้อมกับตบบ่า
ต้นกล้ายืนนิ่ง ไม่ได้ยกสองแขนกอดกลับ แต่ก็ทำแค่ยิ้มบางให้พี่บุญธรรมในตอนที่เขาผละตัวออก “ผมก็เป็นคนหน้าแบบนี้อยู่แล้ว”
“อาจจะใช่ แต่นั่นคือก่อนนายกลับเมืองไทย ล่าสุดที่ฉันเจอนายในวันเซ็นสัญญาซื้อหุ้นบริษัทของแม่กุหลาบงาม นายยังดูสดชื่นมากกว่านี้”
ต้นกล้าไม่ได้เลี่ยงการสบกับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล และไม่มีเหตุผลที่จะปิดบังสิ่งที่ฉายแจ่มชัดในดวงตา เพราะเขาเองก็รู้ตัวว่าเปลี่ยนไป แต่ไม่ใช่หลังจากกลับเมืองไทย หากเป็นหลังจากได้ใกล้ชิดรสสุคนธ์
“อาจเป็นเพราะผมได้ยินเรื่องบางอย่างจากคนที่ผมไม่ควรเชื่อคำพูดเขา”
“นายก็ไม่ควรเชื่อ”
เช่นกันในตอนนี้ ที่ดวงตาคมเข้มของผู้น้องก็หาได้หลบการจ้องมองดวงตาของผู้พี่ “แต่คนใกล้ตายจะไม่กล่าวคำเท็จ”
เบนยกยิ้มที่มุมปาก “แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันบอกว่าเรื่องที่นายประชาพ่นออกมาคือความจริง จะเกิดอะไรขึ้นถ้านายรู้ว่าคนที่นายอยากล้างแค้นมาตลอดชีวิตไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่ารักแรกของนาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้มีส่วนรู้เห็น”
ต้นกล้ายังยืนสงบ มองผู้เป็นพี่ชายบุญธรรมนิ่ง ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินวนรอบตัวเขาแล้วมาหยุดยืนตรงหน้า
“อย่าลืมว่าที่นายมีวันนี้ วันที่มีอำนาจบารมีบริวาร วันที่นายสามารถชี้ขาดได้ว่าใครจะเป็นใครจะตาย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะใคร”
ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก จ้องดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลแสนลึกสุดหยั่ง ก่อนคลี่คำตอบที่ออกจากก้นบึ้งของความคิด “เป็นเพราะผม เป็นตัวผมที่เลือกทางเดินนี้เอง”
นั่นทำให้เบนย่นคิ้วชนกัน ต้นกล้ารู้ดีว่าสร้างความขุ่นเคืองให้แก่พี่ชายบุญธรรมมากแค่ไหน แต่มันคือความสัตย์ที่เขาจะแสดงต่อตัวเอง และเป็นการยอมรับอย่างแท้จริงโดยไม่คิดโทษใคร หากในวันนั้นเขาตั้งมั่นยืนหยัดว่าจะสู้คดีกับนายประชา แม้ผลจะออกมาแพ้ราบคาบหรือถูกกระทำย่ำยีเยี่ยงไร ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเขา การตัดสินของเขา
คนที่เคยแค้นกลับไม่ได้เป็นคนร้ายตัวจริง แต่คนร้ายตัวจริงกลับสร้างความเคารพสะสมให้เขาจนยากที่จะล้างออกจากใจ แล้วความแค้นลวงๆ สิบปีที่ผ่านนั้นเล่าจะล้างด้วยสิ่งใด ถ้าไม่ใช่จิตใจของตัวเอง
“ความแค้นของผมถูกชำระไปแล้ว งานของท่านโธมัสก็สำเร็จแล้ว ชื่อของมิลเลอร์ตอนนี้ขจรในหมู่มาเฟียเมืองไทย ต่อไปนี้มิลเลอร์โฮลดิ้งจะมีทั้งเงินมีทั้งอำนาจมากขึ้น เป็นงานที่ผมตั้งใจให้เป็นเครื่องบรรณาการแด่มิลเลอร์โฮลดิ้งในฐานะยมทูตแห่งมิลเลอร์” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท เช่นเดียวกับดวงตาที่ไร้ซึ่งความหวาดเกรงต่อบุคคลตรงหน้า
“นายพูดเหมือนกับกำลังจะบอกลาฉันอย่างนั้น” ดวงตาสีฟ้าเข้มขึ้นยามโกรธเคือง
“ยังหรอกเบน... คำบอกลาของผมจะพูดก็ต่อเมื่อผมได้หุ้นทั้งหมดของคุณากรพร็อพเพอตี้คืนกลับมา”
เบนลั่นเสียงหัวเราะ “นายคิดจริงหรือว่านายกับยายกุหลาบจะทำให้กิจการไปไกลจนราคาหุ้นเทียบเท่ากับมิลเลอร์โฮลดิ้ง”
“นั่นคือวิธีการหนึ่งที่เราเคยคุยกัน แต่ก็ไม่ใช่วิธีการเดียวที่ผมจะเลือกทำ”
เสียงหัวเราะของเบนเงียบหายไป แต่ความขุ่นใจเพิ่มระดับขึ้นมาแทนที่ “ฉันจะคอยดู แต่หากแม่กุหลาบพากิจการลงหุบเหว นายคงรู้นะว่าฉันจะทำอะไรกับคุณากรพร็อพเพอตี้ต่อไป”
“จนกว่าจะถึงวันนั้นเบน... จนกว่าจะถึงวันนั้น”
ชายหนุ่มทิ้งวลีที่ไร้การให้ความหมายชัดเจน เขาหมุนตัวเดินจากมา เหลือบมองไปทางเคย์แมนที่ยืนตรงอยู่ที่หางแถวของผู้อารักขานายใหญ่ ก่อนก้าวขามุ่งหน้าออกจากสถานที่เก็บสะสมร่างผุพังของผู้ละสังขาร หากแต่ความทรงจำที่ทิ้งไว้ยังคงอยู่ยงในใจยากที่จะลืมเลือน