“เราต่างมีชะตากรรมร่วมกัน” — พันธะที่ติดตัวมาเนิ่นนานของทั้งสอง — เป็นเหตุให้พวกเขาไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างสามัญชนแต่จำต้องกระทำการมากมายเพื่อรักษาซึ่งกันและกันแทน
แฟนตาซี,ดราม่า,ลึกลับ,รัก,ชาย-ชาย,แฟนตาซี,คำสาป,นิยายวาย,ดราม่า,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
“เราต่างมีชะตากรรมร่วมกัน” — พันธะที่ติดตัวมาเนิ่นนานของทั้งสอง — เป็นเหตุให้พวกเขาไม่สามารถดำเนินชีวิตอย่างสามัญชนแต่จำต้องกระทำการมากมายเพื่อรักษาซึ่งกันและกันแทน
ผู้แต่ง
jaynarian
เรื่องย่อ
ยินดีต้อนรับเข้าสู่คฤหาสน์ไฮเซนเบิร์ก
พันธะต้องคำสาป
หรือ
ตระกูลต้องคำสาป
คำบอกเล่ามากมายจากสามัญชนช่างระคายหู
หากคุณใคร่รู้เกี่ยวกับเรื่องราวของตระกูลผมนัก
ก็จงก้าวเดินเข้ามาค้นหาความจริงเสีย
ผมรอคอยที่จะบอกเล่าเรื่องราวของผมอยู่ :)
Heisenberg กับพันธะต้องคำสาป
แท็กนิยาย: #ข้ารับใช้ไฮเซนเบิร์ก
Written : jaynarian
Cover : หัวหน้าม้าหมุน พิชิตแพนเค้ก
Illust : Kuncry
TRIGGER WARNING
Blood มีฉากนองเลือด
Homicide มีการฆาตกรรม
Graphic Depictions of Violence มีการบรรยายในฉากที่ใช้ความรุนแรง
Character Death ตัวละครในเรื่องมีการเสียชีวิต
Violence มีการใช้ความรุนแรง
Classism มีการเหยียดชนชั้น
Suicide Attempt มีการพยายามฆ่าตัวตาย
Supernatural มีพลังเหนือธรรมชาติ
ตัวละครมีการทำร้าย และด้อยค่าตัวเองซึ่งเป็นอาการมาจากการสูญเสียที่เกิดขึ้นในอดีต (PTSD)
ตัวละครมีอาการของโรคหลายอัตลักษณ์ (โรคหลายบุคลิก)
ความเชื่อทางศาสนา/ล่าแม่มด/เผาทั้งเป็น/ปีศาจ
นิยายเรื่องนี้สงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537
ห้ามคัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลงหรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายไปเผยแพร่ต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน
หากฝ่าฝืนถือว่ามีโทษตามกฎหมาย
นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น
เนื้อหาในบางส่วนมีการอ้างอิงตามประวัติศาสตร์ ความเชื่อทางศาสนา รวมถึงสถานที่
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
แกร๊ก
เสียงเปิดประตูห้องนอนดังขึ้น เผยให้เห็นเหล่าคนรับใช้มากหน้าหลายตาที่ทยอยเดินเข้าด้านในห้องของหญิงสาววัยกลางคน ซึ่งบัดนี้เอนกายบนเตียงด้วยสีหน้าซีดขาวไร้สี ลมหายใจรวยริน รอบดวงตาคล้ำดำ จนไม่เหลือเคล้าโครงของผู้สูงศักดิ์แต่อย่างใด ผู้คนรอบข้างจึงต่างเวทนาอย่างอดไม่ได้
เธอเฝ้ามองการกระทำของผู้คนรอบข้างด้วยสายตาอิ่มเอิบไร้ความกังวลใจ มือขวาของเธอถูกกอบกุมจากฝ่ามือของลูกชายผู้เป็นที่รัก เขาเฝ้าดูอาการของผู้เป็นแม่อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเขารู้ดีว่าหญิงวัยกลางคนต้องการความอบอุ่นที่มอบให้เธออย่างถึงที่สุด
สถานการณ์ภายในคฤหาสน์ตระกูลไฮเซนเบิร์กเดินทางมาถึงช่วงวิกฤตอย่างไม่มีใครคาดเดามาก่อน หลังจากที่ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือน คุณผู้ชายก็ได้จากไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้า จนแพทย์ประจำตระกูลไม่สามารถยื้อชีวิตของเขาได้อีกต่อไป
บรรดาคนรับใช้มากหน้าหลายตาต่างเศร้าโศกเสียใจให้กับการสูญเสียในครั้งนี้ ถึงแม้คนภายนอกจะมองว่าตระกูลไฮเซนเบิร์กของพวกเขาจะเน่าเฟะโสมมสักแค่ไหน แต่สำหรับบรรดาคนรับใช้ที่ได้รับความเมตตาหาได้สนใจคำพูดเหล่านั้นสักนิด
หลังจากพิธีอาลัยต่อคุณผู้ชายได้จบลงไปไม่นานนัก คุณผู้หญิงก็ได้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ต่างจากสามีของเธอเลยแม้แต่น้อย แพทย์ลงความเห็นว่าเธอจะสามารถมีชีวิตได้อีกเพียงห้าวันเท่านั้น
ข้อสรุปของแพทย์หนุ่มคล้ายกับสายฟ้าฟาดลงมายังบริเวณกลางอกของทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลอันสูงส่งอย่าง แอรีส ไฮเซนเบิร์ก ที่ในขณะนั้นเขามีอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น
ความหนักอึ้งภายในจิตใจของเด็กหนุ่มเริ่มก่อตัวอีกครั้ง เมื่อเขารับรู้ว่าอีกไม่นาน ผู้เป็นแม่ของเขาจะต้องก้าวไปยังอีกโลกหนึ่งที่เรียกกันว่า
โลกหลังความตาย
เขาจำเป็นจะต้องแบกรับภาระหนักอึ้งมากมายเอาไว้ในนามของตระกูลไฮเซนเบิร์กอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป ไม่ใช่แค่เรื่องการดูแลซึ่งความเป็นอยู่ของบรรดาคนรับใช้นับสิบชีวิต
แต่ยังรวมถึงสิ่งหนึ่งที่ตระกูลของเขาได้อุทิศตนเพื่อคอยดูแลรักษามาตลอดระยะเวลานับร้อยปี
“แอ..รีส..” เสียงแหบแห้งจากหญิงวัยกลางคนพูดขึ้น พลางเหลียวมองลูกชายของเธอที่ตอนนี้ไม่ได้แสดงสีหน้าตื่นตระหนกแต่อย่างใด
“ครับ คุณแม่” แอรีสลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ทันทีที่ได้ยินเสียงเอ่ยเรียกจากผู้เป็นแม่ของเขาเอง
“จากนี้ต่อไปลูกคงจะลำบากไม่น้อยเลย แฮ่ก-” เสียงหอบหายใจของผู้เป็นแม่ทำให้จิตใจของแอรีสหล่นวูบลงทันใด แต่ก็ยังคงไม่แสดงอาการหวาดหวั่นออกมาให้บรรดาคนรับใช้ภายในห้องเห็นแม้แต่น้อย
“ไม่หรอกครับ คุณแม่เองก็คงลำบากมามากพอแล้ว” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าภายในใจกลับถูกบีบคั้นจนแทบจะหายใจไม่ออก
“ลูกรู้หน้าที่ของลูกดีใช่ไหม” เธอเอ่ยพลางสบตาเข้ากับดวงตาสีเขียวมรกตอันแสนโดดเด่นนั้น ที่เป็นสัญลักษณ์ของบรรดาทายาทผู้เกิดมาในนามของตระกูลไฮเซนเบิร์ก “อย่าลืมการสังเวยเด็ดขาด ลูกรู้ใช่ไหม”
“ครับ ผมรู้ดี” แอรีสพยักหน้า พลางหันไปเอ่ยกับบรรดาคนรับใช้ที่รอคอยให้การช่วยเหลือแก่ผู้เป็นนายทั้งสองอย่างใจจดใจจ่อว่าเขาต้องการที่จะพูดคุยกับคุณผู้หญิงสองต่อสอง
เมื่อบานประตูห้องนอนได้ถูกปิดลง ความเงียบสงัดจึงเข้ามาแทนที่บุคคลทั้งสองที่อยู่ในห้องทันใด แอรีสยังคงแสดงสีหน้าเรียบนิ่งอย่างเคย เพราะเขารู้ดีว่าการแสดงด้านที่อ่อนแอของตนออกมามักจะส่งผลทำให้ผู้คนเสื่อมสิ้นความศรัทธาในตัวของเขา เหมือนดั่งที่คุณพ่อของเขาได้พร่ำสอนมาแต่เล็ก
“แอรีส-” เสียงขาดห้วงของผู้เป็นแม่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แต่แอรีสกลับได้ยินมันชัดเจนยิ่งกว่าเสียงลมหายใจของตนเองในตอนนี้เสียอีก
“ครับ” เขาเอ่ยตอบกลับพลางคุกเข่าลงบนพื้น จากนั้นยกมือผอมแห้งของผู้เป็นแม่ขึ้นมากอบกุม
“คำพูดต่อจากนี้.. แม่ต้องการให้ลูกจดจำมันให้ขึ้นใจ” เธอพูดพลางเอื้อมมือซีดเซียวขึ้นไปสัมผัสยังบริเวณแก้มขาวของลูกชายอย่างอ้อยอิ่ง จากนั้นจึงเริ่มเอ่ยประโยคถัดมาอย่างแผ่วเบา
“ทั้งสองคนต่างมีชะตากรรมร่วมกัน ดังนั้น จงอย่าเกรงกลัวต่อสิ่งใดที่กำลังใกล้เข้ามา แต่จงจับมือกันให้แน่น และสุดท้ายแสงสว่างจะนำทางทั้งสองเอง”
แอรีสเมื่อได้ยินดังนั้นก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เพราะเขาไม่ต้องการจะรับรู้สิ่งอื่นใดอีกในสถานการณ์อันน่าสลดนี้
“แสงสว่างจะนำทางพวกเราที่กระทำบาปมามากมายต่อสามัญชนเหล่านั้นด้วยเหรอครับ” แอรีสเอ่ยคำถามที่เขาติดค้างอยู่ในใจแทน เขาไม่ศรัทธาต่อสิ่งใดยกเว้นตัวของเขาเอง ดังนั้น แสงสว่างในชีวิตสำหรับเขานั้น มีเพียงแต่ตัวเขาเพียงผู้เดียว
“จงเชื่อมั่นในจิตวิญญาณของตนเอง แอรีส ไฮเซนเบิร์ก”
เมื่อสิ้นประโยคนั้น ฝ่ามือของหญิงวัยกลางคนก็ร่วงหล่นลงบนเตียงทันใด แอรีสรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเวลาของเธอได้หมดลงแล้ว เธอจากไปในขณะที่มอบรอยยิ้มสุดท้ายที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก เมื่อมองตรงมายังลูกชายเพียงคนเดียวของเธอนั้นเอง
แอรีสนิ่งเงียบ แต่ภายในใจแหลกสลาย ทว่ายังคงใบหน้าราบเรียบ เขาปล่อยให้ผู้เป็นแม่จากไปอย่างสงบ พลางจัดแจงเสื้อผ้าของเธอให้เข้าที่เพื่อหวังให้เธอจะยังคงความงามไปจนกว่าจะถึงพิธีอาลัยต่อดวงวิญญาณของเธอเอง แอรีสไม่คิดจะเอ่ยบทสวดภาวนาให้แก่ผู้เป็นแม่ มีเพียงคำปฏิญาณตนที่เขาพอที่จะสามารถเอ่ยต่อหน้าผู้ให้กำเนิดเขาได้เท่านั้น
“ในนามของข้า แอรีส ไฮเซนเบิร์ก
ขอสาบานว่าจะปกป้องตระกูลอันสูงศักดิ์ของข้า
ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
✢ ✢ ✢
เวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงปัจจุบัน หลังจากการสูญเสียครั้งใหญ่ได้ผ่านพ้น ท่ามกลางเสียงร่ำไห้เศร้าโศกจากคนรับใช้มากมายที่ต่างร่วมไว้อาลัยให้กับเจ้านายผู้มีความเมตตาอันสูงส่ง ปราศจากชาวบ้านแปลกหน้าที่ไม่แม้แต่จะนึกเศร้าโศกต่อการจากไป กลับกันเมื่อพวกเขาได้รับข่าวสาร เสียงโห่ร้องยินดีกลับเริ่มขึ้นอย่างมิได้นัดหมาย
แอรีสได้กลายเป็นผู้นำของตระกูลไปโดยปริยาย
แอรีส ไฮเซนเบิร์ก ปัจจุบันมีอายุครบยี่สิบเอ็ดปีบริบูรณ์ เขาได้ตัดสินใจให้บรรดาคนรับใช้หลายสิบชีวิตออกจากคฤหาสน์ทันที หลังจากพิธีอาลัยต่อผู้เป็นแม่ของเขาได้เสร็จสิ้นลง เขาไม่ต้องการจะให้ผู้อื่นเข้ามายุ่มย่ามภายในบริเวณรอบคฤหาสน์ของตนอีกต่อไป แต่ถึงอย่างนั้น เขายังคงเลือกที่จะให้แม่นมผู้ที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กได้อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ร่วมกันกับเขาต่อไป
แอรีสไม่ได้มีนิสัยเย่อหยิ่งต่ออำนาจที่ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลได้รับมาเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เขาได้ออกคำสั่งให้บรรดาคนรับใช้ที่สนิทสนมกับเขามาตั้งแต่ยังเล็กออกจากคฤหาสน์ เขาก็ไม่ลืมที่จะจัดหาหน้าที่การงานให้กับพวกเขาทุกคน โดยหวังจะให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตอย่างสามัญชนทั่วไปได้อย่างสงบก็เท่านั้น
บรรดาคนใช้ที่ถูกสั่งให้ออกจากคฤหาสน์ไม่ได้นึกเกลียดชังในตัวเด็กหนุ่มแต่อย่างใด กลับกันพวกเขาเห็นใจที่เด็กหนุ่มจะต้องสูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รักไปตั้งแต่ยังเล็ก พวกเขาต่างเคารพในการตัดสินใจของเขา เพราะเชื่อมั่นว่าเด็กหนุ่มจะต้องคิดไตร่ตรองมาอย่างดี ก่อนที่จะตัดสินใจกระทำการใดลงไป
แกร๊ก
เสียงบานประตูห้องนอนเปิดขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง เผยให้เห็นหญิงวัยกลางคนที่สวมชุดประจำตำแหน่งตามแบบฉบับที่ทางตระกูลได้จัดหาเอาไว้ให้ เธอถือถาดน้ำชาเข้ามาภายในห้อง พร้อมกับวางลงบนบริเวณโต๊ะตัวเล็กที่อยู่ข้างเตียงนอน กลิ่นหอมหวานปนความสดชื่นจากชาเปเปอร์มิ้นท์ทำให้ร่างของบุคคลที่นอนอยู่บนเตียงปรือตาขึ้นเล็กน้อย
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณหนู” เธอเอ่ยทักทายเด็กหนุ่มที่ตอนนี้ปรือตาขึ้นมาอย่างงัวเงียที่ถูกรบกวนแต่เช้า
“อืม.. อรุณสวัสดิ์ครับ แม่นม” เขาเอ่ยตอบ พลางซุกไซ้ใบหน้าลงไปบนหมอนใบโปรดของตน
“ตื่นมาดื่มชาสักหน่อยนะคะ เดี๋ยวนมเตรียมน้ำให้อาบค่ะ” เธอพูดจบก็เดินเข้าไปในห้องอาบน้ำภายในห้องนอนทันที
แอรีสผุดลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทางงัวเงีย เนื่องจากเขาไม่สามารถนอนหลับสนิทติดต่อกันหลายคืนจนทำให้อาการอ่อนเพลียเข้ารุมเร้าเขามาพักใหญ่ แม่นมจึงอาสานำชาเปเปอร์มิ้นท์หอมกรุ่นเข้ามาเสิร์ฟให้กับเขาในช่วงเช้า และก่อนเข้านอนเป็นประจำทุกวัน หวังจะให้ความอบอุ่นช่วยเยียวยาจิตใจของเด็กหนุ่มที่กำลังตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตของเขา
“ตายจริง” เสียงของแม่นมดังออกมาจากภายในห้องอาบน้ำ ไม่นานเธอก็เดินออกมาพร้อมแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม “นมว่าเขาคงเป็นคนจัดการเตรียมน้ำร้อนเอาไว้ให้คุณหนูน่ะค่ะ”
เมื่อแอรีสได้ยินดังนั้น เขาจึงยกยิ้มขึ้นเพื่อเป็นการตอบรับแทน แม่นมแยกตัวออกไปเพื่อเตรียมมื้ออาหารในช่วงเช้าเสียก่อน แอรีสที่เมื่อเห็นว่าภายในห้องไร้ผู้อื่นแล้ว จึงยกชาร้อนถ้วยนั้นขึ้นมาดื่มพลางสูดกลิ่นหอมของมันอย่างอภิรมย์ กลิ่นหอมหวานเจือความเย็นตามแบบฉบับของพืชพรรณนั้นทำให้จิตใจของเขาเริ่มสดชื่น และเย็นสบายในเวลาเดียวกัน เขาปล่อยให้ตนเองเพลิดเพลินไปกับน้ำชาในถ้วยนั้นพักใหญ่ จากนั้นจึงเริ่มก้าวเท้าลงบนพื้นห้องนอนทันที หวังจะถอดชุดออกเพื่อแช่กายลงในน้ำอุ่นที่มีคนเตรียมเอาไว้ให้
กึก
เสียงเก้าอี้ดังขึ้นที่บริเวณมุมมืดภายในห้องนอนไม่ได้ทำให้แอรีสนึกตกใจแม้แต่น้อย กลับกันเขายกยิ้มขึ้นบนใบหน้า พลางเอ่ยประโยคทักทายยามเช้าออกไปในอากาศอย่างรู้ทัน
“อรุณสวัสดิ์ครับ เจซ”
เมื่อสิ้นคำเอ่ยทักของแอรีส เสียงฝีเท้าก็ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาประชิดร่างของคุณหนูประจำตระกูลทันใด แอรีสตัดสินใจหันกลับไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงฝีเท้านั้น พร้อมรอยยิ้มที่บริเวณริมฝีปาก นึกขบขันกับการปรากฎตัวที่แสนจะมีลับลมคมในของบุคคลปริศนา
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณแอรีส” ชายหนุ่มผู้ที่มีเรือนผมสีดำขลับ พร้อมดวงตาอัญมณีสีฟ้าสว่างไสวเอ่ยขึ้นพลางส่งยิ้มบาง ทำให้แอรีสยกยิ้มขึ้นบนใบหน้ากว้างขึ้นกว่าเดิม
“คุณต้องเลิกทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ได้แล้วนะ เดี๋ยวแม่นมก็หัวใจวายไปเสียก่อนหรอก” แอรีสตำหนิคนตรงหน้าเล็กน้อย เนื่องจากแม่นมมักจะเอ่ยปากพูดกับเขาอยู่บ่อยครั้ง ว่าเธอเกือบจะอกแตกตายทุกครั้งที่เจซมักจะโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงจากมุมมืดภายในคฤหาสน์
“ผมก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้บ่อยนักหรอกครับ แต่แสงสว่างมันทำให้วิญญาณของผมโปร่งใสนี่นา” เจซพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เขาไม่ได้ต้องการจะสร้างความตื่นกลัวให้แก่คนในคฤหาสน์
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อวิญญาณอย่างเขาไม่สามารถเผชิญกับแสงอาทิตย์ได้นานนักนี่นา
“ผมรู้ดีครับ เอาไว้ผมจะบอกให้แม่นมปิดผ้าม่านที่โถงทางเดินแทนก็แล้วกันนะ” แอรีสพูดจบก็กลับหลังหันไปถอดชุดนอนของตนออกอย่างคุ้นชิน พลางเดินตรงไปภายในห้องอาบน้ำ
โดยที่มีเจซคอยตามเก็บบรรดาเสื้อผ้าที่เขาเพิ่งถอดออกจากเรือนร่างให้ติด ๆ
ผู้อยู่อาศัยในคฤหาสน์ต่างคุ้นชินกับการใช้ชีวิตประจำวันภายใต้ความมืดที่ถูกบดบังแสงตะวันจากด้านนอก เนื่องจากทั้งแอรีส และแม่นมต่างต้องการจะรักษาวิญญาณประจำตัวของแอรีสอย่างเจซเอาไว้ให้ดี
เมื่อย้อนกลับไปในครั้งแรกที่เขาได้พบกับเจซ บรรดาคนรับใช้ทุกคนในคฤหาสน์ต่างตื่นกลัวกับวิญญาณของเจซ เนื่องจากเขามักจะปรากฎตัวล่องลอยไปมาทั่วคฤหาสน์ในสภาพล่อนจ้อน
ดังนั้น แอรีสจึงเสาะหาทุกวิถีทางที่จะทำให้เจซสามารถอาศัยอยู่ร่วมกับผู้คนในคฤหาสน์ได้อย่างกลมกลืน นั่นก็คือ การจัดหาเครื่องแต่งกายให้เขาสวมใส่ รวมถึงการทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้จิตวิญญาณของเจซแข็งแกร่งขึ้นให้ได้
ในส่วนของวิธีการเติมเต็มวิญญาณ โดยเริ่มมาจากการที่เขาไม่ต้องการจะให้เจซต้องทนอาศัยอยู่แค่ภายในบริเวณตัวคฤหาสน์เพียงเท่านั้น เขาจึงบากหน้าไปอ้อนวอนให้พ่อของเขาช่วยหาวิธีรักษาเจซให้ทีตามประสาความคิดไร้เดียงสาของเด็กน้อยในวัยนั้น ผู้เป็นพ่อจึงเริ่มพร่ำสอนวิธีการสังเวยจิตวิญญาณให้แอรีสมาตั้งแต่วันนั้น และสุดท้ายเขาก็ได้ลงมือกระทำมันจนเผลอคิดว่ามันเป็นหน้าที่ไปเสียแล้ว
✢ ✢ ✢
เหยื่อคนแรกของแอรีส
เริ่มขึ้นเมื่อตอนที่เขามีอายุได้เพียงสิบห้าปีเท่านั้น หญิงสาวผมยาวสลวยที่เผอิญผ่านเข้ามายังบริเวณคฤหาสน์ เธอเดินเข้ามาพร้อมกับความกระหายที่จะหยั่งรู้ถึงการมีอยู่ของตระกูลต้องคำสาป เมื่อนั้นเองที่แอรีสเริ่มใช้กลิ่นหอมจากกุหลาบสีแดงฉานเพื่อเติมเต็มความใคร่รู้ของเธอ ล่อลวงให้เดินตรงมายังบริเวณบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูล จากนั้นก็ไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะเริ่มลงมือทำตามขั้นตอนต่อไป
‘เริ่มจากการทุบตีให้เหยื่อกรีดร้องออกมาด้วยความทรมาณ’
ปั้ก!
แอรีสทุบของแข็งลงไปบนศีรษะของหญิงสาวผู้นั้นเต็มแรง หยดเลือดมากมายสาดลงแปดเปื้อนกุหลาบสีแดงฉานเบื้องหน้า
เธอเปล่งถ้อยคำร้องขอชีวิตออกมาด้วยเสียงแหบพร่า สองมือคลานตัวออกห่างจากแอรีสด้วยท่าทีเชื่องช้า ท้ายที่สุดแอรีสตัดสินใจเงื้อมมือขึ้นเหนือศีรษะของเธอ จากนั้นน้ำเสียงเย็นเยียบก็แล่นเข้ามาในหัว
‘จากนั้นก็ลงมือฆ่าอย่างไม่ต้องลังเล’
ปั้ก!
แอรีสใช้เท้าของตนเหยียบเข้าไปยังบริเวณต้นขาของหญิงสาวเต็มแรง จากนั้นจึงทุบของแข็งลงไปยังศีรษะทันทีโดยไร้ความลังเลใด ๆ ตามที่ผู้เป็นพ่อของเขาได้พร่ำสอนมา หยดเลือดมากมายชโลมลงบนฝ่ามือ
เมื่อนั้นร่างของเขารับรู้ถึงความหนักอึ้งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ แอรีสตัวสั่นเทาด้วยความตื่นตระหนก พลางยกร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวที่ขึ้น มุ่งตรงไปยังบริเวณบ่อน้ำที่ห้อมล้อมไปด้วยดอกกุหลาบสีเลือด
จากนั้นจึงโยนร่างของเธอลงไปในบ่อน้ำนั้น เขาจ้องมองไปยังความมืดมิดภายในบ่อน้ำด้วยสายตาที่แสนว่างเปล่า ครู่เดียวจึงสังเกตเห็นหยดเลือดมากมายที่ถูกรีดออกจากกายของหญิงสาว จนร่างของเธอแห้งผากไม่เหลือเคล้าโครงมนุษย์เลยสักนิด
เมื่อนั้นเองที่เขาเริ่มยกฝ่ามือของตนทาบลงไปยังบริเวณหน้าอกของตน
“ในนามของแอรีส ไฮเซนเบิร์ก
ข้าขอสังเวยดวงวิญญาณของสามัญชนผู้นี้แก่วิญญาณผู้ปกปักษ์รักษาเคียงกายข้า”
หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จสรรพ แอรีสทำเพียงทรุดตัวลงไปยังบริเวณเบื้องหน้าของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ สองมือของเขาที่ถูกชโลมไปด้วยเลือดสีแดงฉานส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้เขาเผลออาเจียนออกมาอย่างอดไม่ได้กับความคาวของมัน สัมผัสของกลิ่นเลือดที่ปะปนมาพร้อมกับสัมผัสใคร่รู้จากหญิงสาวคนนั้น ทำให้เขาสั่นกลัวต่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เธอเป็นเพียงสามัญชนที่แสนจะบริสุทธิ์ แต่กลับต้องพบจุดจบที่แสนทรหดยิ่ง
ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนที่ยืนดูสถานการณ์อยู่ไม่ไกลนักก็เดินเข้ามาประชิดตัวของแอรีส เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเข้ากับนัยน์ตาสีเขียวมรกตที่มันคล้ายคลึงกับตัวของเขาเองแทบจะทุกประการ
ความรู้สึกตื่นกลัวเข้าแทรกภายในจิตใจของแอรีสทันใด สายตาของเขาที่แสดงออกมาทำให้คนตรงหน้ายกยิ้มขึ้นอย่างชอบใจ พลางคุกเข่าลงมาสัมผัสที่ใบหน้าขาวซีดของแอรีสอย่างแผ่วเบา
‘ทำได้ดีมาก
ทีนี้ แกคือทายาทของตระกูลเราโดยแท้’
✢ ✢ ✢
tbc.