รัก,ชาย-ชาย,ไทย,ลึกลับ,พล็อตสร้างกระแส,feel good,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
"อื้อ! ไล่ไปหรือยัง"
"ยังเลย...ขอเวลาอีกหน่อย"
สายลมอบอุ่นที่พัดลอดบานเกล็ดหน้าต่างห้องเรียนวาดเส้นของคณะศิลปศาสตร์ เทียบไม่ได้กับความร้อนแรงของชายหนุ่มสองคนที่กำลังประกบริมฝีปากกันอย่างดุเดือดที่มุมหนึ่งของห้อง
คนร่างสูงสวมชุดนักศึกษาตัวใหญ่ แขนเสื้อพับขึ้นถึงข้อศอกเพื่อความทะมัดทะแมง ที่ใบหูข้างหนึ่งสวมต่างหูสีดำใหญ่ เส้นผมหนาสีน้ำตาลแดงยิ่งทำให้เจ้าของร่างดูดุดันและเร่าร้อนในเวลาเดียวกัน
คนตัวเล็กที่กำลังถูกกอดเอาไว้กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดโดยที่ยังคงปิดเปลือกตาแน่นสนิท เสื้อผ้าเรียบร้อยก่อนหน้านี้ถูกทำให้ยับยู่ยี่ด้วยมือใหญ่จอมคุกคาม เขามีผิวขาวนวล แขนขาผอมแห้ง ไม่มีกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของคนตัวโตได้
เส้นผมสีเข้มของร่างเล็กถูกเสยขึ้น เสียงลมหายใจของชายหนุ่มทั้งสองดังสลับกันไปมา หากแต่เสียงที่ออกมาจากชายร่างเล็กไม่ได้เป็นเสียงที่เปล่งเพราะความสุขสมกับสิ่งที่ทำ นัยน์ตาสั่นไหวกำลังจับจ้องไปยังร่างเงาทะมึนที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว
มันยังอยู่ตรงนั้นจริงๆ ด้วย!
วิญญาณคนตายปรากฏในรูปลักษณ์หญิงสาววัยกลางคน บนใบหน้าของเธอมีรอยฟกช้ำ ลูกตาข้างหนึ่งปูดโปนราวกับว่ามันจะหลุดออกจากเบ้าตาในอีกไม่ช้า
น้ำมนต์รู้สึกอยากจะเป็นลม เขาไม่ควรลืมตาขึ้นมองดวงวิญญาณตนนั้นเลยจริงๆ
มือเล็กตีอกชายร่างสูงที่กำลังตั้งสมาธิกับการฝังรอยเขี้ยวลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างเมามัน
"อะ อื้อ!! ไล่ไปที...อื้อ!"
ชายร่างสูงไม่ได้สนใจคำพูดนั้นเสียเท่าไร เขาเพียงโอบคนตรงหน้าเข้ามาแนบชิด หมุนเอาหลังตัวเองชิดกำแพง เขาชี้นิ้วไปที่ร่างของผีสาวอย่างใจเย็นขณะสอดลิ้นเข้าไปในปากของคนร่างเล็กในอ้อมกอด เขาเคลื่อนปลายนิ้วไปทางหน้าต่าง ออกคำสั่งให้ผีสาวเจ้าถิ่นตนนั้นรีบไสหัวไปซะ!
หากดวงตาของผีสาวตนนั้นไม่ได้กำลังจะทะลักออกจากเบ้า เธอก็อยากจะกลอกตามองบนให้กับพฤติกรรมของชายหนุ่มหน้าไม่อายทั้งสองที่กำลังกอดกันกลม โดยไม่เกรงใจวิญญาณเจ้าถิ่นที่ยืนตัวซีดอยู่ตรงนี้เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มร่างเล็กแลดูจะหวาดกลัวเธออยู่บ้าง แต่ชายตัวโตคนนั้นกลับดูสนุกสนานคึกคัก ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวรูปลักษณ์เละเทะของเธอ มิหนำซ้ำเขายังถือโอกาสใช้คนที่ตายไปแล้วมาเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์จากหนุ่มน้อยน่าสงสารคนนั้นอีก
ถ้าร่างวิญญาณยังพอมีเลือดไปเลี้ยงสมองอยู่บ้าง เธอคงต้องไมเกรนขึ้นจนหัวระเบิดตายอีกรอบเป็นแน่
วิญญาณสาวถอนหายใจออกมาเป็นเลือดสีแดงสด ร่างโปร่งทำปากขมุบขมิบด่าทอในใจ แล้วเลือกที่จะลอยทะลุบานหน้าต่างออกไปเอง อย่างน้อยไปหลอกคนอื่นน่าจะได้รีแอคชั่นที่ดีกว่าสองคนนี้...
ชายร่างสูงกระตุกยิ้มเมื่อร่างของผีสาวจากไป ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือปลาหมึกของตนออกจากน้ำมนต์เสียที
"เธอไปแล้วหรือยังคุณใส?" น้ำมนต์พยายามเปล่งเสียงพูดอย่างยากลำบาก
"ยังๆ ...จุ๊บๆ ...ยัยผีตัวนี้มันฤทธิ์เยอะโคตรเลย!"
ผ่านไปพักใหญ่ คุณใสก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ แทบไม่เว้นจังหวะให้น้ำมนต์หายใจหายคอ นั่นทำให้ชายตัวเล็กรับรู้ได้ว่าตนกำลังถูกกลั่นแกล้งอีกตามเคย
น้ำมนต์ออกแรงดันอกคุณใสออกไป แต่อีกฝ่ายก็ยังดื้อดึงและเกาะหนึบแผ่นหลังของร่างเล็กเอาไว้ ราวกับแปะกาวสองหน้าเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น
"อย่ามองๆ !!... ผู้หญิงนั่นตาหลุดออกมาแล้ว!!"
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก เนื่องจากถูกปิดตาเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ใช่แล้ว...เหตุที่ทำให้สองหนุ่มที่ต่างกันสุดขั้วอยู่ร่วมกันได้ยาวนานขนาดนี้ เป็นเพราะทั้งสองมีบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกัน พวกเขาสามารถมองเห็นดวงวิญญาณของคนตายได้
สำหรับคุณใสผีสางพวกนั้นแทบไม่อยู่ในสายตา แต่ไม่ใช่กับน้ำมนต์ ภาพน่ากลัวเหล่านั้นไม่ส่งผลดีต่อคนขี้กลัวอย่างเขา ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเห็นภาพน่าสยดสยองเหล่านั้นอีกแล้ว
คุณใสฉีกยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อเห็นว่าคนในอ้อมกอดหยุดดิ้น และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาก้มลงขบใบหูของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว
คนตัวเล็กสะดุ้งโหยง ทว่าก่อนที่จะได้แหกปากร้อง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องเรียน
"พวกนายสองคนไม่ควรทำเรื่องอย่างว่าในห้องเรียนนะ"
หญิงสาวในชุดนักศึกษาเอ่ย เธอชี้นิ้วไปข้างหลัง ซึ่งมีกลุ่มนักศึกษาหลายสิบคนกำลังทยอยเดินมาทางห้องเรียน
ร่างเล็กถือโอกาสที่คุณใสเผลอสลัดออกจากอ้อมกอด แน่นอนว่าผีสาวตนนั้นหายไปแล้ว เป็นอย่างที่เพื่อนสาวของเขาว่า นักศึกษาในสาขาคนอื่นๆ กำลังเดินมาทางนี้แล้ว หากพวกเขาสองคนไม่ผละออกจากกัน พวกเพื่อนๆ ในสาขาคงได้เห็นเดือนสาขา และคนที่เกือบจะได้เป็นเดือนสาขา ทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงในห้องเรียนวาดเส้นเป็นแน่
"นายแกล้งฉันอีกแล้ว" ใบหน้าของน้ำมนต์เปลี่ยนเป็นสีแดง เพราะความโกรธและอับอาย
คุณใสผิวปากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาหันไปทำความรู้จักกับหุ่นรูปปั้นเดวิดแทน
เอาอีกแล้ว...ไม่ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้อีกกี่ครั้ง ในท้ายที่สุดแล้วมันก็มักจะจบลงที่น้ำมนต์ถูกคุณใสแกล้งอีกตามเคย...ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา น้ำมนต์ก็มักจะเป็นฝ่ายที่แพ้อยู่เสมอ
ความสัมพันธ์ประหลาดๆ นี้ เริ่มต้นตั้งแต่ที่น้ำมนต์และคุณใสอายุได้เพียง 7 ขวบ
เพราะพ่อและแม่ของทั้งสองเป็นเพื่อนเก่ากันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มันจึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะทำให้น้ำมนต์และคุณใส่เป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก
แทนที่พวกเขาทั้งสองจะได้เติบโตเป็นเพื่อนรักที่ดีต่อกัน มันกลับกลายเป็นความสัมพันธ์แบบสองเพื่อนซี้ที่แทบจะตีกันตายในทุกๆ วัน คนหนึ่งแกล้ง คนหนึ่งวิ่งหนี พอวิ่งจนเหนื่อยร่างเล็กก็จะยอมเดินกลับไปให้โดนแกล้งอีกครั้ง วนลูปอยู่เช่นนี้
ทุกครั้งที่ถูกแกล้ง น้ำมนต์จะรู้สึกโกรธอยู่ประมาณสามวินาที แล้วก็กลับไปเดินตามคุณใสต้อยๆ หลายคนอาจคิดว่าน้ำมนต์เป็นพวกเจ็บแล้วไม่จำ แต่เปล่าเลย เป็นเพราะลึกๆ แล้ว น้ำมนต์รู้ดีว่าคุณใสเป็นคนเช่นไร แม้จะขี้แกล้งไปบ้าง แต่เขาก็มีส่วนที่อ่อนโยนและใจดีเช่นกัน
อย่างที่รู้กันว่าน้ำมนต์และคุณใสสามารถมองเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติได้ จะต่างก็ตรงที่ผลกระทบที่ในชีวิตประจำวัน สำหรับคุณใสวิญญาณพวกนั้นไม่ได้น่ากลัวอะไร เรียกได้ว่าแทบจะเป็นธาตุอากาศเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แต่กับน้ำมนต์ วิญญาณเหล่านั้นไม่เคยให้เกียรติ มีแต่จะกลั่นแกล้ง และทำให้เขาพบเจอกับเรื่องอันตราย สิ่งที่เด็กชายตัวเล็กๆ จะทำได้ก็มีเพียงการวิ่งหนีจากสิ่งน่ากลัวเหล่านั้น และคนที่ช่วยเขาไว้ก็คือคนขี้แกล้งอย่างคุณใสนั่นเอง
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสองตัวติดกันตั้งแต่ยังเล็ก ที่ไหนมีน้ำมนต์ ที่นั่นมีคุณใส เป็นเช่นนี้เสมอมา
เวลาล่วงเลยผ่านไป น้ำมนต์ได้เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับคุณใส ด้วยปัญหาด้านการเงิน และอีกหลายๆ อย่าง แม้จะไม่มีทางเลือกมากนัก น้ำมนต์ก็ไม่รู้สึกเสียใจ หากจินตนาการว่าในชีวิตวันพรุ่งนี้ของเขาไม่มีคนขี้แกล้งอย่างคุณใสอยู่ข้างๆ นั่นคงน่าเศร้ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
บางทีน้ำมนต์อาจจะคิดไปเอง แต่คุณใสดูชอบอกชอบใจ ที่จะได้พกของเล่นแก้เบื่ออย่างน้ำมนต์ไปเรียนที่มหาลัยด้วยตลอดเวลา
น้ำมนต์ไม่ได้เกลียดคุณใส กลับกัน เขารู้สึกปลอดภัยจากพวกวิญญาณเมื่ออยู่ใกล้คุณใส ราวกับออร่ารอบตัวชายคนนี้เป็นโล่ที่ป้องกันไม่ให้สิ่งไม่ดีเข้ามาใกล้ แม้มันจะต้องแลกกับการถูกแกล้งและถูกเอาเปรียบก็ตาม
แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาสองคนถึงต้องไปจูบกันในห้องเรียน จนทำให้คุณผีสาวเจ้าถิ่นถึงกับต้องเนรเทศตัวเองออกไปนอกระเบียง
น้ำมนต์จำได้ว่าข้อตกลงแปลก ๆ ของพวกเขาสองคนเริ่มขึ้นในวันแรกของการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา คนมักจะคิดและพูดกันปากต่อปากว่าถ้าเจอเรื่องโชคร้าย เรื่องเหนือธรรมชาติ อย่างการดวงตกหรือโดนวิญญาณร้ายคุกคาม ให้หันไปพึ่งพาศาสนา การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น
อันนี้น้ำมนต์ขอเถียงสุดชีวิต
การสะสมแต้มบุญเพื่อหนีจากเหล่าวิญญาณร้ายเป็นเรื่องที่ผิดถนัด
ลองเปรียบวิญญาณเป็นคนปกติที่โหยหาในอำนาจและเงินทอง ในขณะที่บุญกุศลคือเม็ดเงินจำนวนมหาศาล หากคุณสะสมเงินจำนวนมาก โอบอุ้มมันไว้กับตัว คุณคิดว่าเหล่าผู้ที่โหยหาความมั่งคั่งเหล่านั้นจะวิ่งหนีจากคุณไปงั้นหรือ ไม่...พวกเขาจะพุ่งเข้ามาหาคุณหนักกว่าเดิมมากกว่า
การถูกวิญญาณผ่านร่างไม่ใช่เรื่องสนุก เพราะหากโดนมากเข้าอาจจะมีผลกระทบถึงชีวิต เชื่อเถอะ...น้ำมนต์ไม่อยากนอนป่วยเป็นเดือน โดยที่แพทย์ไม่สามารถหาทางรักษาได้อีกแล้ว
ความซวยคือ ในวันปฐมนิเทศต้องมีการจัดกิจกรรมอย่างหนึ่ง นั่นคือการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมหาวิทยาลัย น้ำมนต์ยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้มตอนที่ถูกลากไปเข้าแถวเรียงอยู่หน้าศาลาไม้ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยแอ่งน้ำขนาดใหญ่
ศาลาแห่งนี้ไม่ได้กว้างขวางพอจะจุนักศึกษาทั้งสาขา ในคราวเดียว เด็กใหม่จึงถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โชคดีที่น้ำมนต์และคุณใสอยู่ในกลุ่มแรก ทว่าพวกเขากลับยืนห่างกันจนแทบจะมองไม่เห็นอีกฝ่าย
น้ำมนต์พยายามข่มความปอดแหกของตัวเอง เขามองไปข้างหน้า กลางศาลามีรูปปั้นของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยตั้งตระหง่านอย่างสวยงาม รอบๆ ถูกตกแต่งด้วยผ้าแพรสีฟ้า ในส่วนของแท่นบูชาประดับไปด้วยดอกไม้ที่ใส่ในแจกัน กลิ่นชื้นอ่อนๆ ของดอกบัวและดอกกล้วยไม้ทำให้น้ำมนต์รู้สึกเวียนหัว
"พี่ครับ ผมรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย ขอผมไปพัก..."
ธูปเทียนชุดหนึ่งถูกยัดใส่มือของน้ำมนต์ขณะที่เขากำลังพูด
หญิงสาวผู้เป็นรุ่นพี่ตบบ่าเขา
"แค่แป๊บเดียวน่า เป็นลูกผู้ชายอดทนหน่อย เอ้า!...เดินไปข้างหน้ายืนให้เป็นระเบียบด้วย!"
ถูกเมินแบบ 300%
ทุกๆ ย่างก้าวหัวใจของน้ำมนต์เต้นรัว เขาหอบหายใจถี่ แม้ลมเย็นของบ่อน้ำที่โอบรอบศาลาจะพัดแรงแค่ไหน บนใบหน้าของเขาก็ยังคงชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อแห่งความวิตกกังวล
กลิ่นควันจากธูปเทียนทำให้น้ำมนต์เริ่มตาลาย เขากะพริบตาถี่ๆ พยายามสูดหายใจลึก บอกกับตัวเองว่ามันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรหรอก...
ไม่มีอะไรกับผีน่ะสิ!
ในตอนนี้ รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยร่างโปร่งที่ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า พวกมันไม่ได้มีรูปร่างแน่ชัด แสงสีขาวมากมายผุดขึ้นมาจากพื้นศาลา ก้อนพลังงานเหล่านั้นวนเวียนอยู่รอบตัวกลุ่มนักศึกษาที่ยืนเรียงแถว ราวกับสนอกสนใจว่าเด็กๆ พวกนี้กำลังทำอะไร น้ำมนต์ไม่รู้สึกถึงอันตรายจากก้อนพลังงานสีขาวเหล่านั้น
สิ่งที่ทำให้เขากังวลอยู่ถัดออกไปต่างหาก นอกศาลาปรากฏกลุ่มก้อนพลังงานสีดำจำนวนมาก บ้างไม่มีรูปลักษณ์ที่ชัดเจน บ้างมีร่างเนื้อราวกับมนุษย์ที่ยังมีชีวิต ทว่าร่างกายไม่สมประกอบ ที่แย่ที่สุดคือเสียงร้องโหยหวนที่มีเพียงน้ำมนต์เท่านั้นที่ได้ยิน
ร่างน้ำมนต์ซวนเซไปมา เขารู้สึกเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่
"อยู่นี่เอง"
เสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้น ตามด้วยร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษาของคุณใส เขาก้าวเข้ามายืนข้างน้ำมนต์ และดันเพื่อนที่ยืนอยู่ก่อนหน้าให้หลบไป ในมือของเขาถือธูปเทียนเอาไว้อย่างลวกๆ เขาสะกิดแขนน้ำมนต์
"ไม่ต้องไปมองพวกนั้น" คุณใสยกมือขึ้นปิดตาน้ำมนต์ "นิ่งไว้ล่ะ"
เหล่ารุ่นพี่เริ่มเดินไปยืนล้อมรุ่นน้องและเริ่มนำสวดบางอย่าง น้ำมนต์ไม่ได้ท่องอะไรทั้งนั้น ได้แต่จับมือของคุณใสแน่น รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงครวญครางจากโลกหลังความตาย แม้จะเจอสถานการณ์เช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง น้ำมนต์ก็ไม่อาจทำใจให้ชินกับมันได้จริงๆ
ร่างของคุณใสขยับเข้ามาใกล้ แม้จะมองไม่เห็นแต่น้ำมนต์ก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นของเขา ถึงปกติคุณใสจะชอบแกล้งน้ำมนต์ แต่ในเวลาแบบนี้ก็มีเพียงชายขี้แกล้งคนนี้นี่แหละที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ
หลังพิธีต่างๆ จบลง เสียงร้องของวิญญาณก็จางหายไป คุณใสค่อยๆ ดึงมือออก หลังจากอยู่ในโลกอันมืดมิดมานานกว่า 10 นาที สิ่งแรกที่น้ำมนต์เห็นคือรอยยิ้มและการยักคิ้วอย่างก่อกวนของคุณใส
"เป็นคนยังไงให้โดนผีแกล้งเนี่ย" คุณใสดีดหน้าผากคนขี้กลัวตรงหน้าไปหนึ่งที "ไม่เอาไหนเลย"
น้ำมนต์ทำแก้มป่อง ยกมือขึ้นกุมหน้าผากและบ่นอุบอิบ
"ช่วยไม่ได้นี่ ก็พวกนั้น..."
"พวกนั้นทำไม?"
(พวกนั้นน่ากลัว-ิบหาย!) น้ำมนต์ไม่ได้กล่าว
"ไม่มีอะไร..." น้ำมนต์เบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่าตนกำลังโกหก
เหล่านักศึกษาหน้าใหม่เดินเรียงแถวไปปักธูปลงในกระถาง รุ่นพี่ประกาศนัดแนะเวลาเข้าพบที่ปรึกษา ก่อนปล่อยให้เด็กใหม่แยกย้ายไปทานอาหาร พักผ่อนตามอัธยาศัย
"ไปหยิบกระเป๋าให้ทีสิ" คุณใสฉวยเอาธูปเทียนในมือของน้ำมนต์ไป "ฉันเอานี่ไปปักให้"
น้ำมนต์พยักหน้า
กระเป๋าของทั้งสองคนถูกวางไว้ข้างพุ่มไม้รวมอยู่กับกระเป๋าของนักศึกษาใหม่คนอื่นๆ น้ำมนต์กวาดสายตามองไปรอบๆ มองหากระเป๋าที่มีพวงกุญแจรูปไข่ต้มของคุณใส
"อ๊ะ! เจอแล้ว"
ในจังหวะที่น้ำมนต์คว้ากระเป๋าของคุณใส พบว่าสายกระเป๋าได้ไปเกี่ยวกับกระเป๋าของใครอีกคน
"ขอโทษครับ/โทษที" น้ำมนต์พูดขึ้นพร้อมกับนักศึกษาสาวเจ้าของกระเป๋าอีกใบ
อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวที่มีเชื้อสายจีน เธอตัวเล็กกว่าน้ำมนต์ เส้นผมสีดำสนิทถูกมัดเป็นหางม้าต่ำๆ ไว้ด้านหลัง ใบหน้าของเธอนิ่งเฉย หญิงสาวยังคงสวมเสื้อคลุมแขนยาวแม้อากาศจะอบอ้าว ในมือกำสายกระเป๋าของตนเอาไว้แน่น
"แป๊บนะ" หญิงสาวเอ่ยและค่อยๆ ก้มลงแกะสายกระเป๋าที่พันกันยุ่งเหยิง
น้ำมนต์ยืนมองหญิงสาวแกะสายกระเป๋าอย่างทะมัดทะแมง ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีกระเป๋าของพวกเขาก็เป็นอิสระจากกัน
"เอานี่" เธอยื่นกระเป๋าคืนให้น้ำมนต์
"ขอบใจนะ"
ป้ายชื่อที่คอของหญิงสาวเขียนว่า หลินซี และเป็นสีส้มซึ่งหมายความว่าเธออยู่สาขาเดียวกับน้ำมนต์ ที่ผ่านมาน้ำมนต์ไม่เคยมีเพื่อนคนอื่นนอกจากคุณใสมาก่อน หลายคนที่คบกับเขามักชอบกลั่นแกล้งและพูดจาไม่ดีใส่อย่างไม่มีสาเหตุ ดังนั้นค่าประสบการณ์ในการมีเพื่อนของน้ำมนต์แทบจะเป็นศูนย์ การที่หลินซีพูดด้วยอย่างสุภาพและช่วยเหลือเขา มันทำให้น้ำมนต์อยากลองเสี่ยงทำความรู้จักเพื่อนใหม่ดูอีกสักครั้ง
"หวัดดีหลินซี ฉันชื่อน้ำมนต์นะ"
"เรียกแค่หลินก็ได้"
"โอเค"
น้ำมนต์หัวเราะเก้อเขินแต่อีกฝ่ายกลับยังนิ่งเฉย ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึก
"เอ่อคือ พวกเราไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันไหม เดี๋ยวมีเพื่อนอีกคนด้วย..."
"เอาสิ"
น้ำมนต์ : สถานะ ได้เพื่อนใหม่ เย้!
ในตอนที่น้ำมนต์กำลังฉีกยิ้มดีใจ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างไร้วิญญาณตนหนึ่ง มันยืนอยู่ห่างจากหลินซีไปไม่กี่ก้าว
ร่างนั้นเป็นชายผมสั้นเกรียน ใบหน้าปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำทะมึน ทำให้ไม่สามารถเห็นหน้าตาที่แท้จริง คอและลำตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ เหนือปากแผลมีเศษกระจกปักทิ่มแทงอย่างน่าเวทนา
ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้ำมนต์เห็นชายคนนี้ เขาตามติดน้ำมนต์มาตั้งแต่จำความได้ แม้จะไม่เคยเข้ามาทำร้ายร่างกายโดยตรง แต่ทุกครั้งที่พบกัน น้ำมนต์มักจะต้องพบเจอกับเรื่องอันตรายอยู่เสมอๆ ราวกับเป็นตัวนำโชคร้าย
"เป็นอะไรไป?" เพื่อนใหม่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าชายตรงหน้ายืนแน่นิ่ง สายตาจ้องเขม็งไปยังด้านหลังของเธอ
น้ำมนต์พยายามอ้าปากตอบ แต่เสียงเหมือนจะติดอยู่ในลำคอ ขาของเขาก้าวถอยหลัง หากล้มพับลงไปคงสร้างความสงสัยและความประทับใจแรกที่ไม่ดีให้เพื่อนใหม่อย่างแน่นอน
"คือฉัน...เหมือนจะเวียนหัวนิดหน่อย เธอพอจะรู้ทางไปห้องพยาบาลไหม?"
"ไม่รู้...แต่เดี๋ยวไปถามรุ่นพี่ให้ นายโอเคไหม...ไม่สิ ฉันก็ไม่น่าถาม หน้านายเขียนแปะอยู่ตัวเบ้อเริ่มว่าไม่โอเค?"
ใช่...ไม่โอเคสุดๆ
"ไม่เป็นไร แค่โลหิตจางน่ะ" เขาโกหก
หลินซีดูไม่เชื่อเสียเท่าไร แต่เธอก็ไม่ได้พยายามคาดคั้นเอาคำอธิบายอะไร เธอบอกให้เขานั่งรอ ก่อนจะวิ่งไปหากลุ่มรุ่นพี่เพื่อถามทาง
น้ำมนต์ได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อในขณะที่ผีไร้ใบหน้าตนนั้นค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้...ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และหยุดลงตรงหน้าน้ำมนต์ในที่สุด