"อะไรนะ อยากให้ช่วยไล่วิญญาณพวกนั้นไปเหรอ...ได้ งั้น...จูบฉันสิ"

Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี - บทที่ 1 น้ำมนต์กับคุณใส โดย เห็ดสีน้ำเงิน @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ชาย-ชาย,ไทย,ลึกลับ,พล็อตสร้างกระแส,feel good,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ชาย-ชาย,ไทย,ลึกลับ

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,feel good,#BL

รายละเอียด

"อะไรนะ อยากให้ช่วยไล่วิญญาณพวกนั้นไปเหรอ...ได้ งั้น...จูบฉันสิ"

ผู้แต่ง

เห็ดสีน้ำเงิน

เรื่องย่อ

น้ำมนต์และคุณใสสามารมองเห็นวิญญาณได้เหมือนกัน ทว่าคุณใสนั้นไม่เคยกลัวสิ่งใด ต่างจากน้ำมนต์ที่หวาดกลัวไปเสียทุกอย่าง ทั้งสองเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่มีความสัมพันธ์กันแบบ คนหนึ่งแกล้ง และอีกคนถูกแกล้ง วันหนึ่งน้ำมนต์ถูกดวงวิญญาณจู่โจม คุณใสที่เข้ามาช่วยจึงยื่นข้อเสนอบางอย่างแลกกับความช่วยเหลือ
"อะไรนะ อยากให้ช่วยไล่วิญญาณพวกนั้นไปเหรอ...ได้ งั้น...จูบฉันสิ"

สารบัญ

Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 1 น้ำมนต์กับคุณใส,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 2 ข้อตกลงของคนขี้แกล้ง,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 3 หลินซีผู้รู้เห็นทุกสิ่งอย่าง,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 4 กลับบ้านด้วยกันเถอะ,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 5 นอนด้วยคน,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 6 ชอบฉันหรือเปล่า?,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 7 พี่ชายของหลินซี,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 8 ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองหน่อยสิ,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 9 ควบคุมตัวเองไม่ได้,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 10 คุณป้าของหลินซีเป็นสาววาย,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 11 พูด!!,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 12 สารภาพ,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 13 เพราะว่า...ชอบ,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 14 ผีสาวในชุดนอนสีแดง,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 15 เพศศึกษากับอาจารย์คุณใส,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 16 ความฝัน,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 17 ทดสอบหลังเรียน 1,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 18 ทดสอบหลังเรียน 2 ,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 19 เหมือนถูกด่า,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 20 แฟนของหลินซี,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 21 ดูแลคนไข้,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 22 หลังจากนั้นสามวัน,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 23 แม่รู้แม่เห็น,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 24 แค่ทำเงียบๆ ก็โอเคแล้ว,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 25 จ้องมาจ้องกลับ,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 26 คำเตือนจากคุณลุงถือไม้กวาด,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 27 พนักงานปากแซ่บคนนั้นคือ...,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 28 มีคนอกหัก,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 29 ร้าวฉาน,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 30 ฉันรู้อยู่แล้ว!,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 31 หนี,Soul kiss me now จูบวันละหนกับนายคนเห็นผี-บทที่ 32 ภาพถ่ายของเรา

เนื้อหา

บทที่ 1 น้ำมนต์กับคุณใส

"อื้อ! ไล่ไปหรือยัง"

"ยังเลย...ขอเวลาอีกหน่อย"

สายลมอบอุ่นที่พัดลอดบานเกล็ดหน้าต่างห้องเรียนวาดเส้นของคณะศิลปศาสตร์ เทียบไม่ได้กับความร้อนแรงของชายหนุ่มสองคนที่กำลังประกบริมฝีปากกันอย่างดุเดือดที่มุมหนึ่งของห้อง

คนร่างสูงสวมชุดนักศึกษาตัวใหญ่ แขนเสื้อพับขึ้นถึงข้อศอกเพื่อความทะมัดทะแมง ที่ใบหูข้างหนึ่งสวมต่างหูสีดำใหญ่ เส้นผมหนาสีน้ำตาลแดงยิ่งทำให้เจ้าของร่างดูดุดันและเร่าร้อนในเวลาเดียวกัน

คนตัวเล็กที่กำลังถูกกอดเอาไว้กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดโดยที่ยังคงปิดเปลือกตาแน่นสนิท เสื้อผ้าเรียบร้อยก่อนหน้านี้ถูกทำให้ยับยู่ยี่ด้วยมือใหญ่จอมคุกคาม เขามีผิวขาวนวล แขนขาผอมแห้ง ไม่มีกล้ามเนื้อ ทำให้ไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของคนตัวโตได้

เส้นผมสีเข้มของร่างเล็กถูกเสยขึ้น เสียงลมหายใจของชายหนุ่มทั้งสองดังสลับกันไปมา หากแต่เสียงที่ออกมาจากชายร่างเล็กไม่ได้เป็นเสียงที่เปล่งเพราะความสุขสมกับสิ่งที่ทำ นัยน์ตาสั่นไหวกำลังจับจ้องไปยังร่างเงาทะมึนที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว

มันยังอยู่ตรงนั้นจริงๆ ด้วย!

วิญญาณคนตายปรากฏในรูปลักษณ์หญิงสาววัยกลางคน บนใบหน้าของเธอมีรอยฟกช้ำ ลูกตาข้างหนึ่งปูดโปนราวกับว่ามันจะหลุดออกจากเบ้าตาในอีกไม่ช้า

น้ำมนต์รู้สึกอยากจะเป็นลม เขาไม่ควรลืมตาขึ้นมองดวงวิญญาณตนนั้นเลยจริงๆ

มือเล็กตีอกชายร่างสูงที่กำลังตั้งสมาธิกับการฝังรอยเขี้ยวลงบนริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างเมามัน

"อะ อื้อ!! ไล่ไปที...อื้อ!"

ชายร่างสูงไม่ได้สนใจคำพูดนั้นเสียเท่าไร เขาเพียงโอบคนตรงหน้าเข้ามาแนบชิด หมุนเอาหลังตัวเองชิดกำแพง เขาชี้นิ้วไปที่ร่างของผีสาวอย่างใจเย็นขณะสอดลิ้นเข้าไปในปากของคนร่างเล็กในอ้อมกอด เขาเคลื่อนปลายนิ้วไปทางหน้าต่าง ออกคำสั่งให้ผีสาวเจ้าถิ่นตนนั้นรีบไสหัวไปซะ!

หากดวงตาของผีสาวตนนั้นไม่ได้กำลังจะทะลักออกจากเบ้า เธอก็อยากจะกลอกตามองบนให้กับพฤติกรรมของชายหนุ่มหน้าไม่อายทั้งสองที่กำลังกอดกันกลม โดยไม่เกรงใจวิญญาณเจ้าถิ่นที่ยืนตัวซีดอยู่ตรงนี้เลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มร่างเล็กแลดูจะหวาดกลัวเธออยู่บ้าง แต่ชายตัวโตคนนั้นกลับดูสนุกสนานคึกคัก ไม่มีทีท่าว่าจะกลัวรูปลักษณ์เละเทะของเธอ มิหนำซ้ำเขายังถือโอกาสใช้คนที่ตายไปแล้วมาเป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์จากหนุ่มน้อยน่าสงสารคนนั้นอีก

ถ้าร่างวิญญาณยังพอมีเลือดไปเลี้ยงสมองอยู่บ้าง เธอคงต้องไมเกรนขึ้นจนหัวระเบิดตายอีกรอบเป็นแน่

วิญญาณสาวถอนหายใจออกมาเป็นเลือดสีแดงสด ร่างโปร่งทำปากขมุบขมิบด่าทอในใจ แล้วเลือกที่จะลอยทะลุบานหน้าต่างออกไปเอง อย่างน้อยไปหลอกคนอื่นน่าจะได้รีแอคชั่นที่ดีกว่าสองคนนี้...

ชายร่างสูงกระตุกยิ้มเมื่อร่างของผีสาวจากไป ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือปลาหมึกของตนออกจากน้ำมนต์เสียที

"เธอไปแล้วหรือยังคุณใส?" น้ำมนต์พยายามเปล่งเสียงพูดอย่างยากลำบาก

"ยังๆ ...จุ๊บๆ ...ยัยผีตัวนี้มันฤทธิ์เยอะโคตรเลย!"

ผ่านไปพักใหญ่ คุณใสก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ แทบไม่เว้นจังหวะให้น้ำมนต์หายใจหายคอ นั่นทำให้ชายตัวเล็กรับรู้ได้ว่าตนกำลังถูกกลั่นแกล้งอีกตามเคย

น้ำมนต์ออกแรงดันอกคุณใสออกไป แต่อีกฝ่ายก็ยังดื้อดึงและเกาะหนึบแผ่นหลังของร่างเล็กเอาไว้ ราวกับแปะกาวสองหน้าเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

"อย่ามองๆ !!... ผู้หญิงนั่นตาหลุดออกมาแล้ว!!"

ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก เนื่องจากถูกปิดตาเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ใช่แล้ว...เหตุที่ทำให้สองหนุ่มที่ต่างกันสุดขั้วอยู่ร่วมกันได้ยาวนานขนาดนี้ เป็นเพราะทั้งสองมีบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนกัน พวกเขาสามารถมองเห็นดวงวิญญาณของคนตายได้

สำหรับคุณใสผีสางพวกนั้นแทบไม่อยู่ในสายตา แต่ไม่ใช่กับน้ำมนต์ ภาพน่ากลัวเหล่านั้นไม่ส่งผลดีต่อคนขี้กลัวอย่างเขา ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากเห็นภาพน่าสยดสยองเหล่านั้นอีกแล้ว

คุณใสฉีกยิ้มอย่างผู้ชนะเมื่อเห็นว่าคนในอ้อมกอดหยุดดิ้น และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาก้มลงขบใบหูของอีกฝ่ายอย่างมันเขี้ยว

คนตัวเล็กสะดุ้งโหยง ทว่าก่อนที่จะได้แหกปากร้อง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องเรียน

"พวกนายสองคนไม่ควรทำเรื่องอย่างว่าในห้องเรียนนะ"

หญิงสาวในชุดนักศึกษาเอ่ย เธอชี้นิ้วไปข้างหลัง ซึ่งมีกลุ่มนักศึกษาหลายสิบคนกำลังทยอยเดินมาทางห้องเรียน

ร่างเล็กถือโอกาสที่คุณใสเผลอสลัดออกจากอ้อมกอด แน่นอนว่าผีสาวตนนั้นหายไปแล้ว เป็นอย่างที่เพื่อนสาวของเขาว่า นักศึกษาในสาขาคนอื่นๆ กำลังเดินมาทางนี้แล้ว หากพวกเขาสองคนไม่ผละออกจากกัน พวกเพื่อนๆ ในสาขาคงได้เห็นเดือนสาขา และคนที่เกือบจะได้เป็นเดือนสาขา ทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงในห้องเรียนวาดเส้นเป็นแน่

"นายแกล้งฉันอีกแล้ว" ใบหน้าของน้ำมนต์เปลี่ยนเป็นสีแดง เพราะความโกรธและอับอาย

คุณใสผิวปากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาหันไปทำความรู้จักกับหุ่นรูปปั้นเดวิดแทน

เอาอีกแล้ว...ไม่ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้อีกกี่ครั้ง ในท้ายที่สุดแล้วมันก็มักจะจบลงที่น้ำมนต์ถูกคุณใสแกล้งอีกตามเคย...ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา น้ำมนต์ก็มักจะเป็นฝ่ายที่แพ้อยู่เสมอ



ความสัมพันธ์ประหลาดๆ นี้ เริ่มต้นตั้งแต่ที่น้ำมนต์และคุณใสอายุได้เพียง 7 ขวบ

เพราะพ่อและแม่ของทั้งสองเป็นเพื่อนเก่ากันตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มันจึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะทำให้น้ำมนต์และคุณใส่เป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็ก

แทนที่พวกเขาทั้งสองจะได้เติบโตเป็นเพื่อนรักที่ดีต่อกัน มันกลับกลายเป็นความสัมพันธ์แบบสองเพื่อนซี้ที่แทบจะตีกันตายในทุกๆ วัน คนหนึ่งแกล้ง คนหนึ่งวิ่งหนี พอวิ่งจนเหนื่อยร่างเล็กก็จะยอมเดินกลับไปให้โดนแกล้งอีกครั้ง วนลูปอยู่เช่นนี้

ทุกครั้งที่ถูกแกล้ง น้ำมนต์จะรู้สึกโกรธอยู่ประมาณสามวินาที แล้วก็กลับไปเดินตามคุณใสต้อยๆ หลายคนอาจคิดว่าน้ำมนต์เป็นพวกเจ็บแล้วไม่จำ แต่เปล่าเลย เป็นเพราะลึกๆ แล้ว น้ำมนต์รู้ดีว่าคุณใสเป็นคนเช่นไร แม้จะขี้แกล้งไปบ้าง แต่เขาก็มีส่วนที่อ่อนโยนและใจดีเช่นกัน

อย่างที่รู้กันว่าน้ำมนต์และคุณใสสามารถมองเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติได้ จะต่างก็ตรงที่ผลกระทบที่ในชีวิตประจำวัน สำหรับคุณใสวิญญาณพวกนั้นไม่ได้น่ากลัวอะไร เรียกได้ว่าแทบจะเป็นธาตุอากาศเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แต่กับน้ำมนต์ วิญญาณเหล่านั้นไม่เคยให้เกียรติ มีแต่จะกลั่นแกล้ง และทำให้เขาพบเจอกับเรื่องอันตราย สิ่งที่เด็กชายตัวเล็กๆ จะทำได้ก็มีเพียงการวิ่งหนีจากสิ่งน่ากลัวเหล่านั้น และคนที่ช่วยเขาไว้ก็คือคนขี้แกล้งอย่างคุณใสนั่นเอง

นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสองตัวติดกันตั้งแต่ยังเล็ก ที่ไหนมีน้ำมนต์ ที่นั่นมีคุณใส เป็นเช่นนี้เสมอมา

เวลาล่วงเลยผ่านไป น้ำมนต์ได้เข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับคุณใส ด้วยปัญหาด้านการเงิน และอีกหลายๆ อย่าง แม้จะไม่มีทางเลือกมากนัก น้ำมนต์ก็ไม่รู้สึกเสียใจ หากจินตนาการว่าในชีวิตวันพรุ่งนี้ของเขาไม่มีคนขี้แกล้งอย่างคุณใสอยู่ข้างๆ นั่นคงน่าเศร้ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

บางทีน้ำมนต์อาจจะคิดไปเอง แต่คุณใสดูชอบอกชอบใจ ที่จะได้พกของเล่นแก้เบื่ออย่างน้ำมนต์ไปเรียนที่มหาลัยด้วยตลอดเวลา

น้ำมนต์ไม่ได้เกลียดคุณใส กลับกัน เขารู้สึกปลอดภัยจากพวกวิญญาณเมื่ออยู่ใกล้คุณใส ราวกับออร่ารอบตัวชายคนนี้เป็นโล่ที่ป้องกันไม่ให้สิ่งไม่ดีเข้ามาใกล้ แม้มันจะต้องแลกกับการถูกแกล้งและถูกเอาเปรียบก็ตาม

แน่นอนว่าเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมพวกเขาสองคนถึงต้องไปจูบกันในห้องเรียน จนทำให้คุณผีสาวเจ้าถิ่นถึงกับต้องเนรเทศตัวเองออกไปนอกระเบียง

น้ำมนต์จำได้ว่าข้อตกลงแปลก ๆ ของพวกเขาสองคนเริ่มขึ้นในวันแรกของการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา คนมักจะคิดและพูดกันปากต่อปากว่าถ้าเจอเรื่องโชคร้าย เรื่องเหนือธรรมชาติ อย่างการดวงตกหรือโดนวิญญาณร้ายคุกคาม ให้หันไปพึ่งพาศาสนา การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น

อันนี้น้ำมนต์ขอเถียงสุดชีวิต

การสะสมแต้มบุญเพื่อหนีจากเหล่าวิญญาณร้ายเป็นเรื่องที่ผิดถนัด

ลองเปรียบวิญญาณเป็นคนปกติที่โหยหาในอำนาจและเงินทอง ในขณะที่บุญกุศลคือเม็ดเงินจำนวนมหาศาล หากคุณสะสมเงินจำนวนมาก โอบอุ้มมันไว้กับตัว คุณคิดว่าเหล่าผู้ที่โหยหาความมั่งคั่งเหล่านั้นจะวิ่งหนีจากคุณไปงั้นหรือ ไม่...พวกเขาจะพุ่งเข้ามาหาคุณหนักกว่าเดิมมากกว่า

การถูกวิญญาณผ่านร่างไม่ใช่เรื่องสนุก เพราะหากโดนมากเข้าอาจจะมีผลกระทบถึงชีวิต เชื่อเถอะ...น้ำมนต์ไม่อยากนอนป่วยเป็นเดือน โดยที่แพทย์ไม่สามารถหาทางรักษาได้อีกแล้ว

ความซวยคือ ในวันปฐมนิเทศต้องมีการจัดกิจกรรมอย่างหนึ่ง นั่นคือการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมหาวิทยาลัย น้ำมนต์ยืนหน้าซีดเป็นไก่ต้มตอนที่ถูกลากไปเข้าแถวเรียงอยู่หน้าศาลาไม้ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยแอ่งน้ำขนาดใหญ่

ศาลาแห่งนี้ไม่ได้กว้างขวางพอจะจุนักศึกษาทั้งสาขา ในคราวเดียว เด็กใหม่จึงถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โชคดีที่น้ำมนต์และคุณใสอยู่ในกลุ่มแรก ทว่าพวกเขากลับยืนห่างกันจนแทบจะมองไม่เห็นอีกฝ่าย

น้ำมนต์พยายามข่มความปอดแหกของตัวเอง เขามองไปข้างหน้า กลางศาลามีรูปปั้นของผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยตั้งตระหง่านอย่างสวยงาม รอบๆ ถูกตกแต่งด้วยผ้าแพรสีฟ้า ในส่วนของแท่นบูชาประดับไปด้วยดอกไม้ที่ใส่ในแจกัน กลิ่นชื้นอ่อนๆ ของดอกบัวและดอกกล้วยไม้ทำให้น้ำมนต์รู้สึกเวียนหัว

"พี่ครับ ผมรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย ขอผมไปพัก..."

ธูปเทียนชุดหนึ่งถูกยัดใส่มือของน้ำมนต์ขณะที่เขากำลังพูด

หญิงสาวผู้เป็นรุ่นพี่ตบบ่าเขา

"แค่แป๊บเดียวน่า เป็นลูกผู้ชายอดทนหน่อย เอ้า!...เดินไปข้างหน้ายืนให้เป็นระเบียบด้วย!"

ถูกเมินแบบ 300%

ทุกๆ ย่างก้าวหัวใจของน้ำมนต์เต้นรัว เขาหอบหายใจถี่ แม้ลมเย็นของบ่อน้ำที่โอบรอบศาลาจะพัดแรงแค่ไหน บนใบหน้าของเขาก็ยังคงชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อแห่งความวิตกกังวล

กลิ่นควันจากธูปเทียนทำให้น้ำมนต์เริ่มตาลาย เขากะพริบตาถี่ๆ พยายามสูดหายใจลึก บอกกับตัวเองว่ามันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรหรอก...

ไม่มีอะไรกับผีน่ะสิ!

ในตอนนี้ รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยร่างโปร่งที่ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า พวกมันไม่ได้มีรูปร่างแน่ชัด แสงสีขาวมากมายผุดขึ้นมาจากพื้นศาลา ก้อนพลังงานเหล่านั้นวนเวียนอยู่รอบตัวกลุ่มนักศึกษาที่ยืนเรียงแถว ราวกับสนอกสนใจว่าเด็กๆ พวกนี้กำลังทำอะไร น้ำมนต์ไม่รู้สึกถึงอันตรายจากก้อนพลังงานสีขาวเหล่านั้น

สิ่งที่ทำให้เขากังวลอยู่ถัดออกไปต่างหาก นอกศาลาปรากฏกลุ่มก้อนพลังงานสีดำจำนวนมาก บ้างไม่มีรูปลักษณ์ที่ชัดเจน บ้างมีร่างเนื้อราวกับมนุษย์ที่ยังมีชีวิต ทว่าร่างกายไม่สมประกอบ ที่แย่ที่สุดคือเสียงร้องโหยหวนที่มีเพียงน้ำมนต์เท่านั้นที่ได้ยิน

ร่างน้ำมนต์ซวนเซไปมา เขารู้สึกเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่

"อยู่นี่เอง"

เสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้น ตามด้วยร่างสูงโปร่งในชุดนักศึกษาของคุณใส เขาก้าวเข้ามายืนข้างน้ำมนต์ และดันเพื่อนที่ยืนอยู่ก่อนหน้าให้หลบไป ในมือของเขาถือธูปเทียนเอาไว้อย่างลวกๆ เขาสะกิดแขนน้ำมนต์

"ไม่ต้องไปมองพวกนั้น" คุณใสยกมือขึ้นปิดตาน้ำมนต์ "นิ่งไว้ล่ะ"

เหล่ารุ่นพี่เริ่มเดินไปยืนล้อมรุ่นน้องและเริ่มนำสวดบางอย่าง น้ำมนต์ไม่ได้ท่องอะไรทั้งนั้น ได้แต่จับมือของคุณใสแน่น รอบข้างเต็มไปด้วยเสียงครวญครางจากโลกหลังความตาย แม้จะเจอสถานการณ์เช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง น้ำมนต์ก็ไม่อาจทำใจให้ชินกับมันได้จริงๆ

ร่างของคุณใสขยับเข้ามาใกล้ แม้จะมองไม่เห็นแต่น้ำมนต์ก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นของเขา ถึงปกติคุณใสจะชอบแกล้งน้ำมนต์ แต่ในเวลาแบบนี้ก็มีเพียงชายขี้แกล้งคนนี้นี่แหละที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ

หลังพิธีต่างๆ จบลง เสียงร้องของวิญญาณก็จางหายไป คุณใสค่อยๆ ดึงมือออก หลังจากอยู่ในโลกอันมืดมิดมานานกว่า 10 นาที สิ่งแรกที่น้ำมนต์เห็นคือรอยยิ้มและการยักคิ้วอย่างก่อกวนของคุณใส

"เป็นคนยังไงให้โดนผีแกล้งเนี่ย" คุณใสดีดหน้าผากคนขี้กลัวตรงหน้าไปหนึ่งที "ไม่เอาไหนเลย"

น้ำมนต์ทำแก้มป่อง ยกมือขึ้นกุมหน้าผากและบ่นอุบอิบ

"ช่วยไม่ได้นี่ ก็พวกนั้น..."

"พวกนั้นทำไม?"

(พวกนั้นน่ากลัว-ิบหาย!) น้ำมนต์ไม่ได้กล่าว

"ไม่มีอะไร..." น้ำมนต์เบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่าตนกำลังโกหก

เหล่านักศึกษาหน้าใหม่เดินเรียงแถวไปปักธูปลงในกระถาง รุ่นพี่ประกาศนัดแนะเวลาเข้าพบที่ปรึกษา ก่อนปล่อยให้เด็กใหม่แยกย้ายไปทานอาหาร พักผ่อนตามอัธยาศัย

"ไปหยิบกระเป๋าให้ทีสิ" คุณใสฉวยเอาธูปเทียนในมือของน้ำมนต์ไป "ฉันเอานี่ไปปักให้"

น้ำมนต์พยักหน้า

กระเป๋าของทั้งสองคนถูกวางไว้ข้างพุ่มไม้รวมอยู่กับกระเป๋าของนักศึกษาใหม่คนอื่นๆ น้ำมนต์กวาดสายตามองไปรอบๆ มองหากระเป๋าที่มีพวงกุญแจรูปไข่ต้มของคุณใส

"อ๊ะ! เจอแล้ว"

ในจังหวะที่น้ำมนต์คว้ากระเป๋าของคุณใส พบว่าสายกระเป๋าได้ไปเกี่ยวกับกระเป๋าของใครอีกคน

"ขอโทษครับ/โทษที" น้ำมนต์พูดขึ้นพร้อมกับนักศึกษาสาวเจ้าของกระเป๋าอีกใบ

อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวที่มีเชื้อสายจีน เธอตัวเล็กกว่าน้ำมนต์ เส้นผมสีดำสนิทถูกมัดเป็นหางม้าต่ำๆ ไว้ด้านหลัง ใบหน้าของเธอนิ่งเฉย หญิงสาวยังคงสวมเสื้อคลุมแขนยาวแม้อากาศจะอบอ้าว ในมือกำสายกระเป๋าของตนเอาไว้แน่น

"แป๊บนะ" หญิงสาวเอ่ยและค่อยๆ ก้มลงแกะสายกระเป๋าที่พันกันยุ่งเหยิง

น้ำมนต์ยืนมองหญิงสาวแกะสายกระเป๋าอย่างทะมัดทะแมง ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีกระเป๋าของพวกเขาก็เป็นอิสระจากกัน

"เอานี่" เธอยื่นกระเป๋าคืนให้น้ำมนต์

"ขอบใจนะ"

ป้ายชื่อที่คอของหญิงสาวเขียนว่า หลินซี และเป็นสีส้มซึ่งหมายความว่าเธออยู่สาขาเดียวกับน้ำมนต์ ที่ผ่านมาน้ำมนต์ไม่เคยมีเพื่อนคนอื่นนอกจากคุณใสมาก่อน หลายคนที่คบกับเขามักชอบกลั่นแกล้งและพูดจาไม่ดีใส่อย่างไม่มีสาเหตุ ดังนั้นค่าประสบการณ์ในการมีเพื่อนของน้ำมนต์แทบจะเป็นศูนย์ การที่หลินซีพูดด้วยอย่างสุภาพและช่วยเหลือเขา มันทำให้น้ำมนต์อยากลองเสี่ยงทำความรู้จักเพื่อนใหม่ดูอีกสักครั้ง

"หวัดดีหลินซี ฉันชื่อน้ำมนต์นะ"

"เรียกแค่หลินก็ได้"

"โอเค"

น้ำมนต์หัวเราะเก้อเขินแต่อีกฝ่ายกลับยังนิ่งเฉย ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึก

"เอ่อคือ พวกเราไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันไหม เดี๋ยวมีเพื่อนอีกคนด้วย..."

"เอาสิ"

น้ำมนต์ : สถานะ ได้เพื่อนใหม่ เย้!

ในตอนที่น้ำมนต์กำลังฉีกยิ้มดีใจ สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างไร้วิญญาณตนหนึ่ง มันยืนอยู่ห่างจากหลินซีไปไม่กี่ก้าว

ร่างนั้นเป็นชายผมสั้นเกรียน ใบหน้าปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำทะมึน ทำให้ไม่สามารถเห็นหน้าตาที่แท้จริง คอและลำตัวของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ เหนือปากแผลมีเศษกระจกปักทิ่มแทงอย่างน่าเวทนา

ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้ำมนต์เห็นชายคนนี้ เขาตามติดน้ำมนต์มาตั้งแต่จำความได้ แม้จะไม่เคยเข้ามาทำร้ายร่างกายโดยตรง แต่ทุกครั้งที่พบกัน น้ำมนต์มักจะต้องพบเจอกับเรื่องอันตรายอยู่เสมอๆ ราวกับเป็นตัวนำโชคร้าย

"เป็นอะไรไป?" เพื่อนใหม่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าชายตรงหน้ายืนแน่นิ่ง สายตาจ้องเขม็งไปยังด้านหลังของเธอ

น้ำมนต์พยายามอ้าปากตอบ แต่เสียงเหมือนจะติดอยู่ในลำคอ ขาของเขาก้าวถอยหลัง หากล้มพับลงไปคงสร้างความสงสัยและความประทับใจแรกที่ไม่ดีให้เพื่อนใหม่อย่างแน่นอน

"คือฉัน...เหมือนจะเวียนหัวนิดหน่อย เธอพอจะรู้ทางไปห้องพยาบาลไหม?"

"ไม่รู้...แต่เดี๋ยวไปถามรุ่นพี่ให้ นายโอเคไหม...ไม่สิ ฉันก็ไม่น่าถาม หน้านายเขียนแปะอยู่ตัวเบ้อเริ่มว่าไม่โอเค?"

ใช่...ไม่โอเคสุดๆ

"ไม่เป็นไร แค่โลหิตจางน่ะ" เขาโกหก

หลินซีดูไม่เชื่อเสียเท่าไร แต่เธอก็ไม่ได้พยายามคาดคั้นเอาคำอธิบายอะไร เธอบอกให้เขานั่งรอ ก่อนจะวิ่งไปหากลุ่มรุ่นพี่เพื่อถามทาง

น้ำมนต์ได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อในขณะที่ผีไร้ใบหน้าตนนั้นค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้...ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และหยุดลงตรงหน้าน้ำมนต์ในที่สุด