รัก,ชาย-ชาย,ไทย,ลึกลับ,พล็อตสร้างกระแส,feel good,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
น้ำมนต์จำไม่ได้ว่าหลับไปตอนไหน เขาตื่นขึ้นและพบว่าตัวเองถูกพันธนาการด้วยท่าหมีกอดของคุณใส ใช้เวลาอยู่นานกว่าคนตัวเล็กจะหนีรอดออกมาได้ คุณใสที่กำลังงัวเงียรู้สึกได้ว่าหมอนข้างส่วนตัวหายไป เขากวาดมือไปจนทั่วที่นอนและเริ่มส่งเสียงโอดครวญ น้ำมนต์ไม่อยู่รอให้คุณใสตื่น รีบฉวยเอาแปรงและยาสีฟังดิ่งไปหลังบ้านทันที
ยูเรตื่นเช้ากว่าใครเพื่อน น้ำมนต์พบญาติของคุณใสกำลังยืนกลั้วปากอยู่หน้าก๊อกน้ำ สีหน้ามัวหมองดูไม่สู้ดีเสียเท่าไร
"ตื่นเช้าจังเลยนะยู" น้ำมนต์กล่าวทักทาย
ยูเรถอนหายใจ "ใช้คำว่ายังไม่นอนดีกว่า...อย่าพูดถึงมันเลย"
น้ำมนต์ไม่รู้ว่ายูเรมีปัญหาอะไร ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากพูดถึง น้ำมนต์ก็ไม่ควรซักไซ้ให้มากความ
อากาศยามเช้าเย็นสบาย เมื่อถึงเวลาเที่ยง แดดส่องจึงเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ แสงยามเช้าไปจนถึงเที่ยงเป็นช่วงที่ถ่ายรูปดีที่สุด ไม่ใช่ว่าแสงตอนบ่ายถ่ายไม่สวย แสงของทุกช่วงเวลาต่างมีเสน่ห์ในแบบของมัน เพียงต้องใช้ให้ถูกกับหัวข้องาน ภาพนั้นย่อมออกมาดี แต่หากเลือกได้ ก็คงไม่มีใครอยากทำงานในสภาพอากาศร้อนๆ ดังนั้นหลินซีจึงเสนอให้รวมตัวกันแต่เช้า
ไม่นานหลังจากนั้นคนอื่นๆ ก็ทยอยตื่น ต่างคนต่างจัดการธุระส่วนตัว และเริ่มทำงานตามตารางที่วางเอาไว้
ซีซวนขับรถพาเหล่ารุ่นน้องไปยังจุดต่างๆ ที่กำหนดไว้เพื่อถ่ายภาพงาน ทุกคนทำงานอย่างคล่องแคล่ว คุณใสรับหน้าที่แบกขาตั้งและอุปกรณ์เสริมกล้อง ยูเรช่วยคุณใสหามุมที่เหมาะจะเก็บภาพ ในขณะเดียวกันน้ำมนต์กับหลินซีก็รับหน้าที่ไปเจรจาขอความร่วมมือจากชาวบ้านในละแวกนั้น ขออนุญาตในการบันทึกภาพ ซึ่งชาวบ้านที่นี่เป็นกันเองและใจดีมาก คุณยายสองสามคนเดินเข้ามาดูว่าเหล่านักศึกษาทำอะไรกัน พร้อมเอาขนมมาฝากพวกเขาด้วย
ใช่ว่าการทำงานต่างถิ่นจะราบรื่นเสมอไป หลายครั้งที่น้ำมนต์เหลือบเห็นวิญญาณคนตาย และวิญญาณตามป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งต่างจากวิญญาณทั่วไปที่น้ำมนต์เคยพบเจอ มันให้ความรู้สึกที่ทรงพลังและไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ช่วงก่อนพระอาทิตย์ตก ตามถนนจะค่อยๆ เงียบและร้างคนลงเรื่อยๆ หลังทำงานมาอย่างหนักพวกเขาก็แวะทานมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารใกล้ที่พัก
ร้านนี้ก่อสร้างจากไม้เก่า ที่ริมหน้าต่างมีกิ่งไม้จากด้านนอกแทงเข้ามาเป็นช่วงๆ ราวกับงานศิลปะ เจ้าของเป็นคุณลุงตัวเล็กที่ฉีกยิ้มร่าอย่างเป็นมิตรอยู่ตลอดเวลา
ระหว่างรออาหาร น้ำมนต์รู้สึกง่วงเล็กน้อย จึงขอตัวไปล้างหน้าล้างตาที่ห้องน้ำ
"งั้นฉันไปด้วย" คุณใสลุกขึ้นยืน
"ไม่เป็นไร ฉันไปคนเดียวได้"
คำปฏิเสธของน้ำมนต์ทำให้คุณใสหยุดชะงัก ทุกครั้งที่น้ำมนต์พูดคำว่า ‘ไม่’ คุณใสก็เหมือนจะดูเศร้าใจเป็นอย่างมาก เมื่อนึกได้เช่นนั้นน้ำมนต์ที่พยายามจะกลับคำก็ถูกขัดเอาไว้เสียก่อน
"ฉันไปกับน้ำมนต์เอง...ไปกันเถอะ" ยูเรคว้าแขนน้ำมนต์และลากเดินไปดื้อๆ
"ฉันไปสูดอากาศหน่อย...เดี๋ยวมา" คุณใสถอนหายใจ เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปอีกคน
สองพี่น้องนั่งมองหน้ากันอย่างมึนงง
หลินซีที่รู้สึกอึดอัดกับท่าทางของเพื่อนชายเริ่มจะทนไม่ไหว เห็นทีครั้งนี้เธอคงต้องยุ่งเรื่องชาวบ้านเสียหน่อยแล้ว
หญิงสาวลุกขึ้นตอนที่อาหารมาเสิร์ฟ
"เธอก็จะไปเหรอ?" ซีซวนเอ่ยถาม "อย่าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นเลยน่า"
แม้จะไม่ได้สนใจการทำงานของกลุ่มรุ่นน้อง แต่ซีซวนก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศน่าอึดอัดที่แผ่ออกมาจากน้ำมนต์และคุณใส
"คนอื่นที่ว่านั่นน่ะ เป็นเพื่อนของฉัน"
หลินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนเดินตามคุณใสไป
"ยืนถ่ายเอ็มวีแบบนั้นแล้วมันจะช่วยแก้ปัญหาได้หรือไง"
น้ำเสียงเย็นชาของเพื่อนสาวดึงให้คุณใสคิ้วขมวดได้อีกครั้ง
"ตามมาทำไม" น้ำเสียงของคุณใสฟังดูเหนื่อยหน่ายเต็มทน
"ตอนแรกฉันก็กะจะไม่ยุ่งเรื่องของพวกนายสองคนหรอกนะ แต่การที่นายแสดงออกแบบนี้ มันกำลังทำให้ทุกคนอึดอัดรู้ไหม และนั่นไม่เป็นผลดีกับการทำงานกลุ่มเอาเสียเลย"
"แล้วไง...จะไล่ออกจากกลุ่มเลยไหมล่ะ?" คุณใสพูดประชด
หลินซีนิ่วหน้า ปกติเธอไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าเสียเท่าไร แต่เวลานี้ใบหน้าของเธอบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอกำลังหงุดหงิด
"ถ้าในสมองไม่ได้มีแต่ขี้เลื่อย ก็คงดูออกแหละว่าฉันคิดอะไร" หลินซีเดินมาประจันหน้ากับคุณใส "ไหนบอกปัญหาของนายมาซิ พูดออกมาให้หมดเปลือกเลย"
คุณใสถึงกับหน้าเหวอเมื่อถูกถามตรงๆ
"นี่เธอ! เวลาอยากเผือกเรื่องชาวบ้านเนี่ย เธอควรแอบสืบอย่างลับๆ ไม่ก็ถามแบบอ้อมๆ ไม่ใช่หรือไง?"
หลินซีกอดอก "ฉันอ้อมค้อมมามากแล้ว จะพูดออกมาดีๆ หรือให้ฉันไปคาดคั้นเอาจากน้ำมนต์"
"หยุดเลย!" ถ้าจะต้องให้น้ำมนต์เผชิญหน้ากับผู้หญิงป่าเถื่อนคนนี้ มิสู้คุณใสยอมพูดเองเสียดีกว่า "รู้แล้วน่า! รู้แล้ว..แต่จะว่ายังไงดี..."
"พูด!"
ความผิดของคุณใสเริ่มขึ้นตอนที่เขายังเด็ก
มันคือช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียแม่ไป ทั้งครอบครัวเหลือเพียงผู้เป็นพ่อและคุณใสตัวน้อย ทั้งสองย้ายที่อยู่บ่อยครั้ง เพราะความสามารถแปลกๆ ของคุณใส ถ้าพูดว่าคุณใสเคยถูกแกล้งมาก่อน ทุกคนคงไม่มีทางเชื่อเป็นแน่ คนดุร้ายป่าเถื่อนอย่างคุณใสน่ะหรือ ใช่แล้ว...หลายปีก่อนคุณใสไม่ได้ก้าวร้าวเฉกเช่นในตอนนี้
ที่โรงเรียนคุณใสมักถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด เป็นผลมาจากการที่เขาชอบทักคนนู้นคนนี้ไปทั่ว
ครั้งหนึ่งคุณใสเคยทำเด็กอนุบาลร้องไห้โฮ เพราะดันไปบอกว่าข้างหลังของเธอมีผีคุณลุงตาโบ๋ยืนอยู่ นอกจากนี้เขายังเคยทักคุณครูที่ถูกวิญญาณตามติดให้ระวังตัวเอง ไม่กี่วันถัดมาคุณครูคนนั้นก็ประสบอุบัติเหตุ นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนานเป็นเดือน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งเด็กๆ คุณครู และผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างไม่เข้าใกล้คุณใส มองว่าเขาเป็นตัวอันตราย สุดท้ายสองพ่อลูกก็เลือกที่จะย้ายที่อยู่เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
เพื่อนสนิทของพ่อสมัยเรียนแนะนำบ้านข้างๆ ให้ เธอเป็นผู้หญิงจิตใจดี ไม่มองข้อเสียของคุณใสเป็นสิ่งอันตราย และยังเอ็นดูคุณใสไม่ต่างจากลูกแท้ๆ เธอเองก็เสียสามีไป และดูเหมือนเธอจะมีลูกชายรุ่นราวคราวเดียวกับคุณใส เพียงแต่เด็กคนนั้นทั้งตัวเล็กและขี้กลัว เอาแต่เกาะขาแม่ไม่ห่าง
นั่นเป็นครั้งแรกที่คุณใสได้พบกับน้ำมนต์
คุณใสสัมผัสได้ถึงดวงวิญญาณที่วนเวียนรอบตัวเด็กชายคนนี้ เพียงแต่ไม่ชัดเจน มันเบาบางจนไม่สามารถก่อร่างสร้างตัวได้
"นี่ มีวิญญาณอยู่ข้างๆ นายน่ะ" คือประโยคแรกที่คุณใสพูดกับน้ำมนต์
โป๊ก!
กำปั้นป๊ะป๊าทุบลงกลางหัวของคุณใส
"เดี๋ยวเถอะเจ้าลูกคนนี้ พูดอะไรของแกฮะ!" คุณพ่อของคุณใสจับหัวเกรียนของลูกชายก้มลงเพื่อขอโทษ "ลูกชายฉันมันปากเสีย อย่าไปถือสามันเลยนะ"
ครอบครัวของน้ำมนต์ไม่ถือสาเอาความแต่อย่างใด กลับกันเด็กหนุ่มตัวน้อยมีแววตาเป็นประกาย แสดงท่าทีสนอกสนใจอย่างเปิดเผย
"ผี? หน้าตาเป็นยังไงหรือ?" น้ำมนต์ตัวน้อยเอ่ยถามเสียงใส
ใช่แล้ว...น้ำมนต์ไม่ได้เป็นคนเห็นผีมาตั้งแต่แรก
"ฉันทำให้เขาเป็นแบบนั้น"
คุณใส ณ เวลาปัจจุบันหลบสายตาลงต่ำ "เป็นฉันที่ทำให้เขาเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเห็น"
น้ำมนต์เคยพูดเรื่องความสามารถพิเศษของตนให้ฟัง หลินซีไม่เคยใส่ใจมันมาก่อน ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าจะมองข้าม แม้มันจะดูน่าเหลือเชื่อ แต่คำพูดของคุณใสที่ทั้งหนักแน่นและจริงจังทำให้หลินซีไม่กล้าด่วนสรุป
"นายทำอะไรน้ำมนต์...?"