ความรักของ'เอแคร์'อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟมาตลอด แต่วันหนึ่งหากว่าไม่ได้มีเพียงกลิ่นหอมนั้นช่วยปลอบโยนจิตใจของเธอเพียงอย่างเดียวจะเป็นเช่นไร หาก'แคท'เข้ามาเติมเต็มรสชาติของมันให้หวานมากขึ้น

Sweet taste : ห้วงรักรสหวาน - บทที่ 1 จังหวะ โดย NICORETte @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,หญิง-หญิง,ไทย,ตลก,ดราม่า,ดราม่า,อบอุ่น,อบอุ่นหัวใจ,นิยายรัก,โรแมนติก,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Sweet taste : ห้วงรักรสหวาน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,หญิง-หญิง,ไทย,ตลก,ดราม่า

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ดราม่า,อบอุ่น,อบอุ่นหัวใจ,นิยายรัก,โรแมนติก,นิยายวาย

รายละเอียด

ความรักของ'เอแคร์'อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟมาตลอด แต่วันหนึ่งหากว่าไม่ได้มีเพียงกลิ่นหอมนั้นช่วยปลอบโยนจิตใจของเธอเพียงอย่างเดียวจะเป็นเช่นไร หาก'แคท'เข้ามาเติมเต็มรสชาติของมันให้หวานมากขึ้น

ผู้แต่ง

NICORETte

เรื่องย่อ

         'เอแคร' ใช้ชีวิตเรียบง่ายหลังจากเรียนจบเธอก็ออกมาเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง แม้บางวันจะมีเรื่องวุ่นๆที่ทำให้เธอปวดหัวอยู่บ้างแต่หญิงสาวก็ใช้ชีวิตต่อไปด้วยรอยยิ้ม ตราบใดที่เธอยังได้ทำในสิ่งที่รักอุปสรรคแม้จะยากเพียงใดเธอก็พร้อมจะพุ่งชน 

        แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ได้ไปรับรู้เรื่องหนี้สินที่พ่อของเธอไปก่อไว้จนยอดของมันทวีเพิ่มมากขึ้นแตะ 1 ล้าน!! เรื่องที่พบเจอครั้งนี้เป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเธอ แต่กระนั้นเธอก็ไม่ได้เดินเพียงลำพัง เมื่อหญิงสาวคนหนึ่งได้เดินเข้ามาในชีวิตของเธอ ตั้งแต่วันที่ได้พบกัน 'แคท' ก็เข้ามาช่วยเหลือเธอในหลายๆเรื่อง อีกทั้งเรื่องแปลกๆและวันที่แสนธรรมดาของเธอก็เปลี่ยนไป 

สารบัญ

Sweet taste : ห้วงรักรสหวาน-บทที่ 1 จังหวะ,Sweet taste : ห้วงรักรสหวาน-บทที่ 2 ช่วยเหลือ

เนื้อหา

บทที่ 1 จังหวะ

        มีคนเคยบอกไว้ว่าเมื่อเวลาที่เรารู้สึกทุกข์ใจ ให้เราหนีออกมาจากจุดนั้นแล้วหาสถานที่ใหม่ที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น คนส่วนหนึ่งมักหนีจากความวุ่นวายเข้าไปอยู่ในโลกใบใหม่อาจเป็นนวนิยายสักเรื่องที่ทำให้พวกเขาหลีกหนีจากความเป็นจริงได้ บางคนก็มักเดินเข้ามาที่นี่เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศและกลิ่นอบอวลของกาแฟ 
        เช่นเคยกับทุกวันฉันมักเห็นคนหลากหลายประเภทบ้างก็เข้ามานั่งพักผ่อนในร้านบ้างก็เข้ามาพูดคุยกันถึงเรื่องงานแต่สำหรับบางคนก็ต่างออกไป 
        “นังนี่เป็นใคร!” ลูกค้าหน้าใหม่ของวันนี้เดินเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าที่ตึงเครียดก่อนเธอจะมาหยุดยืนโวยวายที่โต๊ะหนึ่งซึ่งมีชายหนุ่มและหญิงสาวหน้าตาดีนั่งอยู่ 
        ไม่บ่อยครั้งที่ฉันจะพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยรับมือมาก่อน ฉันตัดสินใจเดินตรงเข้าไปห้ามปรามทั้งสองฝ่ายก่อนที่ร้านกาแฟของฉันจะกลายเป็นสนามอารมณ์ให้ผู้หญิงคนนั้นได้พังข้าวของเล่น
        “มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” 
        “อย่ายุ่งเรื่องของคนอื่นได้ไหม” หญิงสาวตรงหน้าพูดทำตาค้อนใส่ฉันอย่างกับว่าตัวเองใหญ่มาจากไหน ไม่เห็นหัวฉันที่เป็นเจ้าของร้านเลยสักนิด
        “ฉันก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องของพวกคุณหรอกนะคะ แต่นี่มันร้านฉัน ฉันไม่อนุญาตให้พวกคุณมามีเรื่องกันในนี้ ถ้าจะตบตีกันก็เชิญด้านนอกค่ะ” ฉันเชิดหน้าผายมือเชิญให้ทั้งสามคนออกจากร้าน ลองมีเรื่องกับฉันดูสิ แล้วจะได้เห็นดีกันแน่ 
        ชายที่นั่งอยู่ยังคงอ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูกคงเพราะจู่ๆหญิงสาวหน้าเหวี่ยงก็พุ่งตรงเข้ามาโดยที่เขาเองก็ยังไม่ทันตั้งตัว ไม่นานนักก็ดูเหมือนจะคิดได้เขาลุกขึ้นโค้งคำนับ
         “ขอโทษนะครับ” เขากล่าวขอโทษก่อนจะหันหน้าไปพูดกับอีกฝ่ายโดยรั้งมือเธอไว้ “ไปคุยกันข้างนอกเถอะ พี่ขอร้อง” 
         แต่ดูทรงแล้วผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นคนไม่ยอมคน เธอสะบัดมือของชายหนุ่มจนแขนของเขาส่ายออกจากลำตัวแรงอย่างเห็นได้ชัด “ไม่!” 
         “ออกไปกับพี่!” เขากระชากแขนของเธอด้วยแรงที่มีและพาเดินออกไปนอกร้านได้สำเร็จ
         แต่ถึงแม้จะอยู่นอกร้านแล้วเสียงกรี๊ดของเธอก็ยังคงดังลั่นผ่านกระจกเข้ามาได้ 
         “กรี๊ดดด!!”
         .
         .
         .
         นี่แหละค่ะสิ่งที่ฉันต้องเจอในทุกๆวัน แม้จะดูเรียบง่ายแต่บางวันก็เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างวันนี้ ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ปวดหัวเท่าไหร่เพราะยังมีสิ่งปลอบใจอย่าง…
         “จะไปไหนคะ” สาวหน้าตาดีอีกคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ลุกขึ้นกำลังจะเดินผ่านฉันไป
         “เอ่อ…”
ฉันผายมือไปด้านหน้าเพื่อเก็บเงินจากเธอ เพราะชายคนนั้นเดินออกไปแล้วเหลือเพียงแค่เธอที่สามารถจ่ายส่วนของฝ่ายชายได้ 
        “คะ?” สาวสวยทำหน้างุนงง
        “เงินค่ะ” หวังว่ารอยยิ้มที่ฉันมอบให้เธอจะทำให้เธอรู้สึกว่าฉันเป็นมิตรได้บ้างล่ะนะ 

        ด้วยความที่ร้านของฉันอยู่ติดกับสวนสาธารณะทำให้บรรยากาศช่วงเย็นดูสงบลงกว่าช่วงบ่าย หลังเลิกงานก็ได้เวลาที่ฉันจะดื่มด่ำกับชาร้อนอยู่ที่ริมหน้าต่างคนเดียวและผ่อนคลายบ้างโดยไม่มีใครมารบกวน 
         แต่เอ๊ะ.. ใครกันมายืนด้อมๆมองๆหน้าร้าน ดูจากอาการเหนื่อยหอบนั่นแล้วเหมือนคนพึ่งไปวิ่งมาเลย ไม่ทันไรเธอก็เปิดประตูร้านเข้ามา คงไม่ได้อ่านป้ายหน้าร้านเลยสินะว่าปิดแล้ว 
         “คุณคะ ร้านปิ-” 
         พรึบ! 
         หญิงสาวในชุดเสื้อสูทสีน้ำเงินเข้มล้มลงต่อหน้าฉัน ก่อนจะพยายามกวักมือเรียกฉันให้เข้าไปช่วยเธอ มีหรือที่เมื่อเห็นคนล้มลงตรงหน้าฉันจะยืนเฉยๆได้ 
         “คุณ คุณ! เป็นอะไรคะ” ฉันพยุงร่างของเธอขึ้นอย่างกระเสือกกระสน แต่เพราะแรงฉันน้อยจึงทำได้เพียงแค่พลิกร่างของเธอให้นอนหงาย
         “นะ..น้ำร้อน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งคล้ายคนขาดน้ำทำให้ฉันได้ยินไม่ชัดนักแถมอุณหภูมิร่างกายก็เย็นเฉียบ หรือว่าเธอจะเป็นลม?
         “คุณพูดว่าอะไรนะคะ” 
         “ขอถุงน้ำร้อน..ถุงน้ำร้อน” 
         “ค่ะๆ” ฉันพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีพยุงร่างของเธอขึ้นเพราะไม่อยากให้เธอมานอนแน่นิ่งอยู่ที่หน้าร้านแบบนี้ 
         เมื่อพาเธอไปนอนที่เก้าอี้โซฟาได้แล้วฉันก็รีบวิ่งไปหลังร้านเพื่อหาถุงน้ำร้อน โชคยังดีที่ฉันมักจะพกมันมาด้วยเผื่อไว้หากว่าปวดท้องประจำเดือนรุนแรง ส่วนน้ำร้อนก็พึ่งเดือดได้ไม่นาน ทุกอย่างดูจะเป็นใจไปหมด ฉันพอจะโล่งใจได้ว่าฉันสามารถช่วยเธอได้เต็มที่
         .
         .
         . 
         “คุณปวดประจำเดือนเหรอ” ทันทีที่เตรียมทุกอย่างเสร็จถุงน้ำร้อนก็ถูกประคบไว้ที่ส่วนร่างของเธอ 
         “อือ” สาวหน้าคมพยักหน้า 
         เธอสูดหายใจเข้าออกแรงและยังมีเหงื่อเต็มหน้าผากอีก เห็นอย่างนั้นฉันก็อยากดูแลเธอให้ดีที่สุดเลยจะเดินไปหายาและน้ำมาให้ดื่ม 
         “จะไปไหน” เธอยื่นมือมาคว้าแขนของฉัน 
         “ไปเอายากับน้ำมาให้” แววตาของเธอเหมือนเด็กน้อยที่กลัวว่าฉันจะเดินหายไปและไม่กลับมา จนเมื่อรู้ว่าฉันจะกลับมาเธอก็ปล่อยแขนฉันให้เป็นอิสระ
         ผ่านไปชั่วโมงครึ่งเห็นจะได้ ฟ้าก็เริ่มมืดครึ้มลงเรื่อยๆแล้ว คนแปลกหน้าที่ฉันพึ่งได้ช่วยเหลือก็ดูเหมือนอาการจะดีขึ้นไม่มีเหงื่อ ตัวไม่เย็นเหมือนเมื่อครู่ เธอเริ่มพูดคุยกับฉันได้ปกติ
“ขอบคุณนะ” 
“ยินดีค่ะ”
          “อือ..และก็..ขอโทษที่ทำให้คุณเสียเวลา” เธอมองตาฉันด้วยความรู้สึกผิดที่ฉันก็รับรู้ได้ ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้นึกถือโทษอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอขอโทษเรื่องอะไรและมันเสียเวลายังไง 
“เสียเวลายังไงคะ”
          “ก็เห็นหน้าร้านติดป้ายว่าปิดแล้ว ฉันทำให้คุณกลับบ้านช้าหรือเปล่า”
          อ๋อ เรื่องนี้นี่เอง เป็นคนคิดมากพอตัวนะเนี่ย ขนาดตัวเองจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้วยังไม่ห่วงตัวเองแต่ห่วงว่าฉันจะกลับบ้านช้า นึกแล้วก็เผลอยิ้มออกมา ไม่บ่อยครั้งที่ฉันจะเจอคนแบบนี้
          “ไม่เป็นไร ปกติหลังเลิกงานฉันก็ชอบนั่งเล่นก่อนกลับอยู่แล้ว”
“เจ้านายไม่ว่าเหรอคะ” 
“ไม่ค่ะ ฉันนี่แหละเจ้าของร้าน"
          หลังจากได้ยินฉันพูดว่าเป็นเจ้าของร้านเธอก็หันหน้ามองไปรอบๆคล้ายกับว่ามีคำถามบางอย่างอยู่ในใจ 
“คุณทำงานคนเดียวเหรอ” เธอถามต่อ
“ค่ะ”
“ไม่อยากได้คนช่วยเหรอ”
“ก็..”
          “อยู่คนเดียวมันอันตรายนะคะ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะทำยังไงคะ” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้อ้าปากพูดถึงเหตุผลที่ทำงานคนเดียวจบ เธอก็สวดฉันอย่างกับว่าฉันเป็นเด็กน้อยที่อยู่คนเดียวไม่ได้และยังพูดต่ออีกว่า “คุณควรหาลูกน้องมาช่วยทำงานนะคะ และ..”
          คราวนี้เป็นฉันบ้างที่หยุดเธอไม่ให้พูดต่อโดยการนำนิ้วชี้ไปใกล้ริมฝีปากของคนขี้บ่น เธอเลยไม่ได้เอ่ยอะไรต่อจากนั้นและเป็นฝ่ายฉันที่ได้พูดบ้าง 
           “เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะเก็บไปคิดนะคะ แต่ตอนนี้คุณควรเป็นห่วงตัวเองก่อน ก่อนที่จะมาเป็นห่วงฉันนะ” พูดจบฉันก็เก็บนิ้วและนำมือไปวางที่ตักแทน 
           สาวหน้าคมมองฉันตาปริบๆ ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่เพราะดูผิวเผินแล้วสีหน้าของเธอดูอารมณ์ยากมากดูดุแต่ก็น่ารักในคนคนเดียว ออกแนวสาวเกาหลีเลยก็ว่าได้ 
           เดี๋ยว.. นี่ฉันกำลังคิดชื่นชมใบหน้าของเธออยู่งั้นเหรอ?
           “คุณชื่ออะไร” เธอพูดพลางค่อยๆลุกขึ้นโดยฉันเองก็ไม่ลืมที่จะช่วยพยุง
           “จะกลับแล้วเหรอคะ”
           “อือ ก่อนฉันจะกลับ บอกก่อนสิ คุณชื่ออะไร” หญิงสาวถามหน้าตาจริงจัง 
           “เอแคร์ค่ะ เรียกแคร์เฉยๆก็ได้ แล้ว..คุณล่ะ” 
           “ฉันแคท” แคทเผยรอยยิ้มบางๆออกมา ทำให้เธอยิ่งดูสวยมากขึ้นจนฉันก็แอบใจสั่นหน่อยๆ นี่สินะที่เขามักบอกว่าคนหน้าดุพอยิ้มแล้วก็สามารถทำให้คนใจละลายได้
           ฉันไม่อยากให้เธอรู้ว่าฉันเขินกับรอยยิ้มนั้นเลยคิดชวนคุยเรื่องอื่น แต่เรื่องอื่นที่ว่าก็หนีไม่พ้นเรื่องชื่อของพวกเราสองคน “ชื่อเราคล้ายกันเลยเนาะ” 
           นึกแล้วมันก็ดูน่ารักดีนะ…
           แคทไม่ได้ตอบอะไร เธอเอาแต่นั่งมองหน้าฉันที่พยายามหลบตาเธออยู่ 
           “มองอะไรคะ” 
           “เปล่าค่ะ มองเฉยๆ” 
           ที่ว่ามองเฉยๆนั่นทำไมต้องยิ้มด้วยล่ะ หรือว่าหน้าฉันมันตลกเหรอ หรือว่ามีอะไรติดหน้านึกได้อย่างนั้นฉันก็รีบนำมือขึ้นมาจับใบหน้าเพื่อตรวจเช็กทันทีเพราะเกรงว่าจะเป็นอย่างที่คิดจริงๆ
           แคทขำในลำคอก่อนจะร่ำลากัน “งั้นฉันกลับก่อนนะ ถ้าคุณมีเรื่องอะไรให้ฉันช่วย..” เธอล้วงกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบบางอย่างที่คล้ายนามบัตรออกมาแล้วยื่นให้ฉัน “ติดต่อมานะ ถ้าเป็นคุณฉันพร้อมช่วยเสมอ”
“พูดแบบนี้ก็เหมือนให้ความหวังกันนะคะ” 
          “คุณช่วยฉันแล้ว ฉันไม่ลืมง่ายๆหรอก ฉันสัญญา ถ้าคุณมีเรื่องเดือดร้อนอะไรฉันจะรีบมาช่วยทันที” 
           แคทลุกจัดแจงเสื้อผ้าให้ดููเรียบร้อยมากขึ้นแล้วหันมาส่งยิ้มให้ฉันที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ พอมองจากมุมนี้แล้วเธอดูเป็นสาวเท่ ไหนจะเสื้อผ้าที่ใส่นั่นอีกทำให้ดูสมาร์ตสุดๆเลย 
           ฉันก้มมองดูนามบัตรในมือ ‘ แคทเธอรีน ’ มันดูไม่เหมือนนามบัตรทางการเท่าไหร่นักแต่เหมือนนามบัตรส่วนบุคคลที่ไว้ติดต่อโดยตรงมากกว่า 
           “ว่าแต่คุณทำอาชีพอะไรคะ…” เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ไม่พบแคทแล้ว 
           ฉันเลยเปลี่ยนความสนใจมาเก็บถุงน้ำร้อนแก้วน้ำและอื่นๆที่วางอยู่บนโต๊ะแทน จนสายตาไปสะดุดกับแหวนวงหนึ่ง รูปลักษณ์ดูมีราคาแม้จะมีสีเงินที่ดูเรียบง่ายก็ตาม 
           น่าจะเป็นของแคทเพราะพอมองดีๆด้านในถูกสลักด้วยตัวอักษรอังกฤษตัวเดียว ‘ K ’
.
.
.