ความรักของ'เอแคร์'อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของกาแฟมาตลอด แต่วันหนึ่งหากว่าไม่ได้มีเพียงกลิ่นหอมนั้นช่วยปลอบโยนจิตใจของเธอเพียงอย่างเดียวจะเป็นเช่นไร หาก'แคท'เข้ามาเติมเต็มรสชาติของมันให้หวานมากขึ้น
รัก,หญิง-หญิง,ไทย,ตลก,ดราม่า,ดราม่า,อบอุ่น,อบอุ่นหัวใจ,นิยายรัก,โรแมนติก,นิยายวาย,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ฉันนั่งจ้องบัตรและแหวนสลับไปมาจนเมื่อยตาก็ยังไม่รู้ว่าจะโทรไปดีไหม ถ้าคุณเขาติดธุระหรือทำงานอยู่ล่ะ นี่ก็พึ่งจะเก้าโมงเช้าซะด้วยสิ ถ้าโทรไปฉันจะโดนด่าหรือเปล่า
เห้อออ… คิดไปคิดมา ไว้ตอนเที่ยงค่อยโทรไปแล้วกัน
“เซอร์ไพรส์!”
“อุ้ย!” อยู่ๆ กริด ก็มาอยู่ตรงหน้าฉันพร้อมดอกกุหลาบสีแดง ทำเอาฉันสะดุ้งเพราะไม่รู้ตัวว่าเขามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“ทำอะไรกริด” ฉันพูดน้ำเสียงแหน็บเขา
กริดเป็นเพื่อนฉันตั้งแต่เรียนมหาลัยแต่เขากลับไม่ได้คิดกับฉันแค่เพื่อนนี่สิ ทุกครั้งที่กริดมาหาก็มักจะมาพร้อมของเซอร์ไพรส์ ไม่ก็ขนมพร้อมคำหวานที่มักจะสรรหามาหยอดฉันทุกวัน สำหรับคนอื่นอาจจะมองว่าน่ารักและยอมเป็นแฟนกับเขาไปแล้วด้วยรูปลักษณ์ที่ดูมีภูมิฐานหล่อ ขาว สูง สเปคใครหลายๆคน แต่สำหรับฉัน ฉันกลับไม่เคยคิดกับกริดเกินเลยไปจากคำว่าเพื่อนเลย คำหวานของเขาเลยไม่เคยทำให้ฉันใจสั่นสักนิด
“เอาดอกไม้มาให้แคร์ไง” กริดยิ้มอ่อนดูๆแล้วก็อบอุ่นดีแต่มันดูเลี่ยนมากกว่าน่ะสิ
“รู้แล้วว่าเอามาให้ แต่แคร์อายคนอื่น”
กริดกวาดสายตามองดูลูกค้าในร้าน ซึ่งทุกคนก็กำลังมองมาที่เขาอยู่ เขาเลยลดมือลงวางดอกไม้ไว้ด้านหน้าเคาน์เตอร์แทน
“คนอื่นรู้ก็ดีนี่นา จะได้เป็นพยานรักให้เราสองคน”
“ยังจะติดตลกอีกนะ” ฉันยืนกอดอก จิกตาใส่กริดเพราะเบื่อหน่ายที่ต้องพูดเรื่องนี้กับเขาแล้ว ว่าฉันไม่ได้ชอบให้เขาทำแบบนี้เลย
“อาๆ กริดขอโทษ เดี๋ยวไว้วันหลังเอามาให้หลังเลิกงานแทนนะ”
ฉันทำเป็นเมินการกระทำของเขาขนาดนี้แล้ว เขาก็ยังไม่ลดละความพยายามอีก ฉันล่ะยอมใจจริงๆ เอาล่ะฉันคงต้องพูดอะไรบางอย่างเพื่อให้เขาเลิกทำแบบนี้ได้แล้ว
“กริดไม่ต้องเอามาให้แล้ว”
“ทำไมล่ะ แคร์ไม่ชอบดอกกุหลาบเหรอ”
“กริด.. แคร์ไม่ได้หมายถึงดอกกุหลาบ”
“แล้วแคร์จะพูดอะไร” เขายิ้มเจื่อนลง
“กริดพยายามแบบนี้ทุกวันไม่เหนื่อยเหรอ แคร์เองก็ไม่เคยบอกชอบกริดเลยนะ” แม้ฉันอยากจะพูดตรงๆแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายจนจะบอกไปว่า ‘รำคาญ’ หรอกนะ ถ้าพูดอ้อมๆแบบนี้เจ้าตัวก็น่าจะรู้นะว่าฉันอยากจะสื่ออะไร
ชายหนุ่มนิ่งคิดบางอย่างก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนๆออกมาอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า
“กริดแค่ไม่อยากยอมแพ้น่ะ แคร์ให้กริดได้พยายามจนสุดความสามารถของกริดก่อนเถอะนะ” แม้น้ำเสียงจะดูอ่อนลงแต่แววตาของเขาก็ยังคงเป็นประกายสดใสไม่เปลี่ยนเลยเมื่อได้พูดถึงความตั้งใจของตัวเอง
“แล้วถ้าสุดท้ายแคร์ก็ยังไม่ได้ชอบกริด กริดจะไม่เสียใจเหรอ”
คนตรงหน้ายิ้มพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง กริดไม่เสียใจหรอกเพราะได้ทำเต็มที่แล้ว”
“....”
นี่ก็ผ่านมาห้าปีแล้วนับตั้งแต่พวกเรารู้จักกันกริดเป็นคนอบอุ่น สุภาพ ขี้เล่นและเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับฉัน ฉันดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับเขานะแต่ถ้าจะพัฒนาไปมากกว่านี้ฉันนึกภาพไม่ออกว่ามันจะออกมาเป็นยังไง
แม้ฟ้าเริ่มมืดลงแล้วกริดก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับบ้านเสียที คงเพราะวันนี้เป็นวันหยุดของเขาซึ่งนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเลยที่มีคนมานั่งเฝ้าแบบนี้ จนลูกค้าที่รู้จักฉันหลายคนก็แอบกระซิบถามกันว่าเขาเป็นแฟนฉันหรือเปล่า ทำให้ฉันต้องคอยอธิบายและปัดปฏิเสธไปหลายรอบ
ผ่านไปครู่หนึ่งลูกค้าก็ออกจากร้านไปหมดเหลือเพียงแค่ฉันกับกริดที่ยังคงอยู่ในร้าน ฉันก็ได้รู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงมานั่งอยู่ที่นี่นานครึ่งวัน
“เลิกงานแล้ว ไปหาอะไรกินกันนะ” เขาเดินไปเก็บหนังสือเข้าชั้นพลางหันมาส่งยิ้มให้ฉัน
ใจจริงฉันก็อยากออกไปเดินเล่นสักพักแล้วกลับบ้านพักผ่อนนะ แต่อีกใจก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เพราะวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยลูกค้าเลยเยอะเป็นพิเศษ ยิ่งนักศึกษายิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าบอกว่าจะกลับบ้านเลย กริดคงจะต้องตามตื๊อไปส่งอีกเป็นแน่ ฉันจึงจะตัดปัญหานี้ด้วยการโกหกออกไป
“คงไม่ได้หรอก แคร์นัดเพื่อนไว้แล้ว”
“มิ้นเหรอ”
“เอ่อ..” เพื่อนที่ไหนกันล่ะวันหยุดแบบนี้เพื่อนทั้งสองคนของฉันก็ไม่ยอมออกมาเจอกันเลย อย่างมิ้นก็นอนอยู่บ้านด้วยเหตุผลเดิมวันเสาร์เธอต้องได้นอนแล้ววันอาทิตย์ค่อยว่ากัน ส่วนยัยส้มก็ติดผัวนานๆทีจะได้ออกมาเจอกัน
กริ๊ง
เสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้นทำให้เราสองคนต้องเปลี่ยนไปให้ความสนใจกับคนแปลกหน้าที่เข้ามาในร้านแทน เนื่องจากฉันยังไม่ได้พลิกป้ายว่าปิดร้านคงไม่แปลกที่จะยังมีคนเดินเข้ามาเพราะคิดว่าเปิดอยู่ เมื่อหันไปมองก็พบว่าไม่ใช่คนอื่นไกล
“แคท” ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ที่ฉันเผลอยิ้มออกมา รู้สึกดีใจเมื่อได้พบหน้าเธอ
กริดหันมามองหน้าฉันสลับกับหน้าผู้เยือนคนใหม่ที่เขาไม่คุ้น
“เพื่อนใหม่เหรอแคร์”
“อื้อ” ฉันใช้โอกาสนี้รีบพยักหน้าทันที
“ขอโทษนะคะ ร้านปิดหรือยังคะ พอดีเห็นป้ายว่ายังเปิ–”
“มาพอดีเลยแคท เนี่ยะ แคร์กำลังเก็บของอยู่ รอแป๊บนึงนะ” ฉันรีบพูดแทรกเพราะไม่อยากให้มันดูโป๊ะไปมากกว่านี้พลางขยิบตาส่งสัญญาณให้แคทโดยก็ไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจความหมายของมันไหม
“เอ่อ…ค่ะ”
ข้าวของทุกอย่างถูกยัดใส่กระเป๋าผ้าอย่างรวดเร็ว ฉันไม่อยากอยู่ในร้านนานไปมากกว่านี้เพราะกริดอาจจะเกิดคำถามมากมายซึ่งฉันก็ไม่ค่อยอยากจะตอบสักเท่าไหร่ กลัวจะโป๊ะน่ะสิ
“งั้นแคร์ไปก่อนนะกริด”
“อะ..อือ โชคดีนะแคท”
ฉับพลันสองขาของฉันมาหยุดอยู่ที่หน้าแคทจนเธอเองก็เกร็งอย่างเห็นได้ชัดพร้อมทำตาปริบๆด้วยความงุนงง ฉันไม่รอช้ารีบควงแขนของเธอเตรียมเดินออกไป
แคทที่เห็นแบบนั้นก็พยายามปัดแขนฉันออกแต่นั่นก็ไม่เป็นผลเพราะทำอย่างงึกงักไม่ได้ออกแรงเหมือนจะให้ความร่วมมือด้วยซ้ำ เพียงแต่มีคำถามเต็มหัวเท่านั้นเอง
“ช่วยฉันหน่อยนะคะ เดี๋ยวเลี้ยงข้าว” ฉันกระซิบเสียงให้เบาที่สุดข้างหูเธอ
สุดท้ายแคทแล้วก็ยอมช่วย รู้ตัวอีกทีพวกเราก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยวเสียแล้ว กลิ่นหอมที่พัดโชยออกมาทำเอาฉันน้ำลายสอ
“อยากกินเหรอคะ” แคทยืนมองหน้าฉันทำหน้าตาอยากอาหารแบบนั้นนานเท่าไหร่แล้วนะ และตอนนี้ฉันก็ยังไม่ปล่อยแขนของเธอเสียที พอนึกได้แล้วก็อายที่ตัวเองทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจบังคับให้คนอื่นมาช่วยทั้งๆที่เขาไม่สมัครใจ
“ขอโทษค่ะ” ฉันปล่อยแขนของแคทให้เป็นอิสระหลังจากผ่านมาครู่หนึ่ง
“ขอโทษเรื่องอะไร” เธอยังคงส่งยิ้มให้ฉันอย่างละมุนจนฉันเกือบลืมไปแล้วว่าเวลาเธอไม่แสดงสีหน้ามันดูดุแค่ไหน
“ก็เรื่องที่อยู่ๆฉันให้คุณมาช่วยคั่นกลางน่ะสิคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าได้ตอบแทนที่คุณช่วยฉัน”
“ขอบคุณนะคะ” ถึงเธอจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่ฉันก็ยังรู้สึกเขินกับการกระทำของตัวเองอยู่ จึงทำได้เพียงลูบท้ายทอยแก้เก้อ จนความรู้สึกที่เหมือนมีบางอย่างนุ่มๆมาโดนมือก็ทำให้ฉันหลุดจากความรู้สึกที่เป็นอยู่ หันมามองที่มือตัวเองก็พบว่าตอนนี้มือของเราทั้งสองกำลังกุมกันไว้อยู่
“ไปกันค่ะ” แคทเดินนำฉันเข้าร้าน
เมนูอาหารถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าของเราสองคนแคทดูจริงจังกับเมนูตรงหน้ามาก ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งของเธอรวมทั้งบุคลิกในการนั่งที่ดูสง่านั้นละสายตาไม่ได้เลยจริงๆ คนอะไรแค่นั่งเฉยๆยังมีเสน่ห์
“เลือกเมนูได้แล้วเหรอคะ” แคทพูดกับฉันระหว่างที่ยังกวาดสายตามองเมนูอยู่
“อะ..อ๋อ ได้แล้วค่ะ”
พี่พนักงานสาวยืนรอจดเมนูพลางหันมามองและยิ้มอ่อนให้ ฉันจึงเริ่มสั่งเมนูก่อนเป็นคนแรก “เอาเป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำสองชามเล็กค่ะ”
“ไม่ต้องใส่พริกนะคะ” จู่ๆแคทก็พูดขึ้น
“คะ?”
“ค่อยมาใส่ทีหลังดีกว่าค่ะ ยังไม่รู้ว่าร้านใส่พริกเผ็ดแค่ไหน เดี๋ยวคุณกินไม่ได้”
“คุณรู้ได้ไงคะว่าฉันไม่กินเผ็ด”
ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าแต่หลังจากฉันถาม แคทก็มีสีหน้าที่เลิ่กลั่กไม่น้อยเลย
“อ๋อ.. คุณไม่กินเผ็ด คือ..ฉันก็พูดเผื่อไว้เฉยๆน่ะ”
“อ๋อ”
“สรุปเอาก๋วยเตี๋ยวต้มยำนะคะ” พี่พนักงานเตรียมปากกาจดอีกครั้งหลังจากชะงักไปเมื่อครู่
“ค่ะ ไม่ใส่พริกค่ะ”
“ของฉันเอาต้มยำเหมือนกันค่ะ ชามใหญ่”
.
.
.
ผ่านไปครู่หนึ่งเมนูที่พวกเราสั่งไปก็มาเสิร์ฟ ทีนี้ก็ได้เวลาดื่มด่ำกับอาหารตรงหน้าเสียที นี่แหละที่เขาเรียกว่าความสุขเล็กๆน้อยๆ มันจะไปยากอะไรก็แค่หาของกินอร่อยๆตอบแทนตัวเองที่เหนื่อยมาทั้งวัน
“หึ้ย! ซี๊ดดด” ระหว่างที่กำลังลิ้มรสอาหารตรงหน้าเส้นก๋วยเตี๋ยวเจ้ากรรมก็สะบัดทำให้น้ำกระเด็นเข้าตาฉันจังๆ ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างทำให้ฉันเผลอขยี้ตาแทนที่จะเอาทิชชูมาเช็ดออก
“อยู่เฉยๆ อย่าขยี้ตา” แคทนำกระดาษทิชชูผสมน้ำในขวดที่ยังไม่ถูกเปิดมาเช็ดตาให้
“ก็มันเผลออะคุณ แสบอะ ฮือออ” พักหนึ่งความรู้สึกแสบที่ตาก็เหมือนจะหายไปเหลือเพียงคราบน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าฉัน
“ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย”
เอ๊ะ…คุณเขาพูดอะไรนะ อะไรเป็นห่วงๆ
“คุณพูดอะไรนะ” ฉันคงยังหลับตาปี๋เพราะกลัวว่าจะยังแสบอยู่ถ้าหากลืมตาเลยไม่เห็นสีหน้าของเธอว่าตอนนี้เธอรู้สึกอะไรอยู่
“โอเครึยัง ไหนลองลืมตาขึ้นหน่อย”
ฉันทำตามอย่างว่านอนสอนง่ายแม้อีกใจจะยังรู้สึกไม่กล้าเท่าไหร่ก็ตามที
“อื้อ ดีขึ้นแล้ว”
.
.
ความสงสัยที่ยังคงมีอยู่นั้นทำให้ฉันไม่อยากปล่อยผ่านมันไป
“เมื่อกี้นี้คุณบอกว่าเป็นห่วงฉันเหรอ” ฉันถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไป
“....” แคทไม่ได้ตอบอะไรเธอเพียงแค่นั่งมองฉัน นัยน์ตานั้นเดาอารมณ์ยากเหลือเกิน
“ที่ว่าทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย คุณพูดเหมือนเราเคยรู้จักกันมาก่อนเลย”
“....”
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอคะ”