“...... เช่นนั้นเจ้าก็รับพรไปเพียงข้อเดียวก็แล้วกัน ข้าจะถือว่าข้าใจดีกับเจ้ามากเกินไป จนเจ้าคิดเป็นเรื่องเล่นๆ ลาก่อนจางเยว่ฉี จงใช้ชีวิตให้ดีในอีกภพหนึ่งเถิด” ท่านเทพเซียนมุมปากกระตุกหยิกๆ ก่อนจะ...
รัก,ย้อนยุค,จีน,ครอบครัว,แฟนตาซี,ทำอาหาร,ทะลุมิติ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
(จบแล้ว) ทะลุมิติพลิกชะตายาจกน้อยจางจินเยว่“...... เช่นนั้นเจ้าก็รับพรไปเพียงข้อเดียวก็แล้วกัน ข้าจะถือว่าข้าใจดีกับเจ้ามากเกินไป จนเจ้าคิดเป็นเรื่องเล่นๆ ลาก่อนจางเยว่ฉี จงใช้ชีวิตให้ดีในอีกภพหนึ่งเถิด” ท่านเทพเซียนมุมปากกระตุกหยิกๆ ก่อนจะ...
“เจ้าจะได้ไปใช้ชีวิตในอีกร่างหนึ่ง และในอีกภพหนึ่ง โดยที่เจ้าจะมีพร 3 ข้อ ของข้าที่มอบให้เจ้าไปด้วยอย่างไรเล่าเด็กน้อย” ท่านเทพเซียนเอ่ยตอบอย่างใจดี ยกยิ้มจางๆ แผ่นป้ายหนึ่งปรากฏตรงหน้า มี พร 3 ข้อ ระบุไว้ว่า
เด็กน้อยทั้งสองคนเดินไปวิ่งไปจนสุดท้ายก็มาถึงหมู่บ้านชิวน่าทงแล้ว เดินไปต่อยังบ้านของท่านลุงฉิน เรียกนามเต็มว่า ฉินฮุ่ยเจียง เป็นนายพรานประจำหมู่บ้านชิวน่าทงแห่งนี้ รักชีวิตสันโดด ไม่ค่อยสุงสิงกับผู้คนเท่าไหร่นัก ข้อมูลเหล่านี้เป็นคำบอกเล่าจากปากน้องชายของจางจินเยว่เอง
หน้าประตูบ้านของฉินฮุ่ยเจียง
“ท่านลุงฉินขอรับ ท่านอยู่หรือไม่ขอรับ ท่านลุงฉิน” จางตงหยางรับอาสาเรียกเจ้าของบ้านเอง
“.............................”
“เอ้า ตงหยางหรอกรึ มีธุระอะไรกับฉินฮุ่ยเจียงหรือ เจ้านั่นมันไม่อยู่บ้านหรอก ขึ้นเขาไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเลยกระมัง พรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่ดีหรือไม่” หญิงชราบ้านข้างๆ โผล่พ้นประตูรั้วบ้านของตัวเองออกมาแทน
“ท่านป้าเฉิน ตงหยางไม่มีธุระอะไรมากขอรับ เพียงต้องการมาคาราวะท่านลุงฉินเพื่อขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกเราสองคนพี่น้องขอรับ” จางตงหยางเอ่ยตอบ ก่อนจะคาราวะท่านป้าเฉิน แล้วหันมามองพี่สาวให้ทำตามตน
“เอ้อ จินเยว่หายดีแล้วรึ เช่นนั้นก็ดียิ่ง หลายวันมานี้ข้าเอาแต่เป็นห่วงเจ้า ฉินฮุ่ยเจียงเล่าให้ข้าฟังว่าเจ้าโดนคนทำร้าย มาๆ เข้ามารอในบ้านข้าก่อน เดี๋ยวให้เป่าเอ๋อร์มาอยู่เล่นเป็นเพื่อนกับพวกเจ้า” ท่านป้าเฉินกวักมือให้สองคนเข้าไปรอในบ้าน
“เอ่อ เกรงใจเจ้าค่ะท่านป้า เช่นนั้นพวกเราค่อยมาใหม่ก็ได้เจ้าค่ะ” จางจินเยว่รีบปฏิเสธทันที เพราะยังไม่รู้จักพื้นเพของคนในหมู่บ้านดี
“เช่นนั้นรึ งั้นรอข้าตรงนี้ก่อนนะ” ท่านป้าเฉินบอกก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้าน ก่อนจะเดินถือห่อผ้าสีขาวออกมา
“นี่เป็น เซาปิ่ง [1] ถั่วเหลือง ข้าทำไว้มากมาย พวกเจ้าสองคนรับไปไว้กินแก้หิวนะ” ท่านป้าเฉินยื่นห่อผ้าสีขาวให้ ยิ้มให้อย่างเอ็นดู
“ขอบคุณท่านป้าเฉินมากขอรับ ตงหยางขอรับไว้ด้วยความยินดีขอรับ” เป็นจางตงหยางที่รีบรับห่อผ้าสีขาวนั้นมาทันที ก่อนมองดูด้วยความดีใจ
“ไม่เป็นไร ๆ มีอะไรให้ช่วยก็บอกข้าได้ ข้ายินดีช่วยพวกเจ้าเต็มที่” ท่านป้าเฉินยิ้มให้อย่างอบอุ่น ก่อนที่ทั้งสองพี่น้องจะขอตัวกลับก่อน
“เจ้านี่ไม่ค่อยเห็นแก่กินเลยนะ ตงหยาง” จางจินเยว่เอ่ยแซว
“แหม ท่านพี่ขอรับ ท่านป้าเฉินใจดีกับเราเสมอมาเลยนะขอรับ วันหนึ่งข้าจักตอบแทนบุญคุณท่านป้าแน่นอนขอรับ” จางตงหยางตอบทันที ก่อนจะตั้งปณิธานเอาไว้แน่วแน่
“เช่นนั้นเรากลับบ้านกันเถอะ” จางจินเยว่เอ่ยต่อ
“เอ๊ะ พวกเราไม่มีบ้านนะขอรับ ท่านพี่ลืมไปแล้วหรือขอรับ” จางตงหยางหันมามองด้วยความสงสัย
“เรานอนที่ไหน ที่นั่นก็เรียกว่าบ้านนั่นแหละ” จางจินเยว่ตอบแบบขอไปที
“อ่อ ท่านพี่หมายความว่าเช่นนั้นเองหรอกรึขอรับ เช่นนั้นเราก็กลับไปกระท่อมร้างตีนเขากันเถอะขอรับ เอ๊ะไม่ใช่สิ บ้านของพวกเราขอรับ” จางตงหยางเอ่ยอย่างเข้าอกเข้าใจ
“..........................” จางจินเยว่แหงนมองท้องฟ้า พลางขบคิดในใจว่า สวรรค์ เกิดใหม่เป็นยาจกยังไม่พอ ยังไม่มีบ้าน ไม่มีเงินอีก ทำไมชีวิตใหม่นี้แสนรันทดนักเล่าท่านเทพเซียน
บนสวรรค์ สถานที่พำนักของท่านเทพเซียน
“.....................ฮึ” ท่านเทพเซียนเบะปากหันหน้าหนี ใครใช้ให้นางมาคิดว่าตนเล่นตลกกันเล่า มอบพรให้หนึ่งข้อก็ถือว่าใจดีมากแล้วนะ สนุกกับการใช้ชีวิตให้ดีเล่าเด็กน้อย
กระท่อมร้างตีนเขาปรากฏขึ้นตรงหน้าจางจินเยว่ นี่แทบเรียกว่ากระท่อมไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นเพิงไม้ที่ถูกสร้างขึ้นไว้สำหรับหลบแดดหลบฝนมากกว่า มองเข้าไปมีเพียงผ้าห่มผืนเก่าๆ ขาดๆ กับหมอนเก่าๆ หนึ่งใบ ด้านข้างมีเพิงก่อไว้สำหรับทำอาหารได้ มีเตาดินแบบง่ายๆ มีหม้อดินหนึ่งใบ มีถ้วยบิ่นๆ สองสามใบ มีตะกร้าสานสะพายหลังหนึ่งอัน กับมีดพร้าสนิมเกรอะหนึ่งด้าม จางจินเยว่สำรวจโดยรอบ ด้วยใบหน้าจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ชีวิตหนอชีวิต... ท้ายที่สุดเย็นวันนั้น เด็กน้อยทั้งสองก็แบ่งเซาปิ่งคนละอัน กินรองท้องแล้วเข้านอนไป ล้มตัวลงนอนเพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงการหายใจที่สม่ำเสมอของน้องชาย จางจินเยว่ผุดลุกขึ้นมา ทอดมองไปยังเบื้องหน้าด้วยความว่างเปล่า
ก่อนอื่น ต้องหาวิธีหาเงินให้ได้ก่อน นางยังไม่รู้ว่าปิ่นหยกนี้ใช้งานยังไง นางต้องหาวิธีหาเงินมาซื้อบ้านให้ได้สักหลังก่อน อากาศตอนกลางคืนค่อนข้างเย็น หากไม่มีบ้านอยู่ดีดีสักหลัง คงได้หนาวตายในสักวันแน่ๆ เด็กน้อยอายุสิบเอ็ดปีอย่างนาง ต้องใช้ชีวิตอยู่กับน้องชายอายุแปดขวบ เป็นวัยที่กำลังกินกำลังนอนเชียวนะ ผอมแห้งแบบนี้จะเอาตัวรอดจนโตได้อย่างไรกันเล่า คิดได้ดังนั้นก็ล้มตัวลงนอนผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินมาตลอดทั้งวัน
เช้าวันรุ่งขึ้น จางจินเยว่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ลุกขึ้นจากที่นอน ก็คว้ามีดพร้ากับตะกร้าสะพายหลังออกไปที่ลำธารใกล้ๆ เนื่องจากเมื่อคืนช่วงที่ทุกอย่างเงียบสงัดนางได้ยินเสียงน้ำไหล นางจึงคิดว่าจะลองหาวิธีจับปลามาทำแกงปลาซดน้ำร้อนๆ กินยามเช้านี้ ว่าแล้วก็เดินไปเรื่อยๆ เห็นเถาวัลย์เล็กๆ เหนียวๆ ก็ใช้มีดพร้าตัดๆ ออกมา ก่อนจะถักๆ พันๆ กับกิ่งไม้ไผ่เล็กๆ ที่ขึ้นใกล้ๆ ลำธาร ทำเป็นกับดักปลาสองสามอัน แล้วเอาไปวางไว้ตรงริมลำธาร ใช้กิ่งไม้ กองหญ้าสุมๆ ไว้ ก่อนจะเดินมองหาหินสักก้อน มาขัดสนิมที่มีดออก จางจินเยว่ออกแรงขัดไปสักพักก็รู้สึกเริ่มเจ็บแปล๊บๆ ที่แผล จึงต้องหยุดมือลง เพราะกลัวว่าแผลจะปริแตกจนเลือดไหล ซึ่งนั่นอาจจะทำให้นางทำอะไรได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้น จึงค่อยเดินสำรวจบริเวณริมลำธาร หาเก็บผักป่านิดๆ หน่อยๆ พอให้ได้สักมื้อสองมื้อ มองไประยะไกลก็เห็นชาวบ้านเดินกันเป็นกลุ่มๆ คงจะมาหาเก็บผักป่าเหมือนกัน ก่อนจางจินเยว่จะมองเห็นพืชใบกลมๆ ใหญ่ๆ ขึ้นอยู่กระจุกหนึ่ง จึงเดินเข้าไปดู
“เอ๊ะ นี่มัน เผือกไม่ใช่หรอ ไหนดูกลางใบซิ.... เฮ้ย ใช่จริงๆ ด้วย ฮ่า ฮ่า ฮ่า” จางจินเยว่หัวเราะออกมาด้วยความดีใจ นางมีเผือกเอาไปต้มกินแล้ว ว่าแล้ว นางก็ใช้ปลายมีดพร้า ค่อยๆ ขุดดินขึ้นมา ก่อนจะเจอหัวเผือกอันใหญ่อยู่ตรงนั้น นางรีบใช้มีดตัดต้นออกแล้วจึงขุดเอาหัวเผือกขึ้นมาสามหัว ก่อนจะมองไปรอบๆ
“มีขึ้นอีกเพียบเลย หรือคนที่นี่เขาไม่กินเผือกกันหรือเปล่า ดีจริง ของอร่อยขนาดนี้จะพลาดได้ไง” จางจินเยว่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หยิบหัวเผือกใส่ตะกร้า ก่อนจะเดินกลับมายังจุดที่วางกับดักปลาไว้ ก่อนจะเก็บขึ้นมาทั้งสามอัน อันแรกได้ปลาขนาดเท่าฝ่ามือของนางมาสามตัว นางเก็บขึ้นมาทีแรกก็ทำท่าเสียใจแล้วคิดว่าคงได้เท่านี้จริงๆ ก่อนจะเก็บอันที่สองและสามกลับมา แต่ก็ต้องตกใจเพราะทั้งสองอันนั้นมีปลาตัวอ้วนใหญ่สองตัวอัดกันอยู่ทั้งสองอัน
“หูย....ปลาตัวอ้วนใหญ่น่ากินมากเลย ได้มาสี่ตัวใหญ่แบบนี้หากนำไปขายในหมู่บ้านคงได้ข้าวสารกับเกลือกลับมาบ้างแหละ” จางจินเยว่จับปลาใส่รวมไปในตะกร้า ก่อนจะหยิบกับดักปลาแล้วออกเดินทางกลับกระท่อมทันที
***[1] เซาปิ่ง เป็นขนมแป้งทอด มีทั้งแบบไม่มีไส้และยัดไส้ด้วยถั่วเหลืองหรือเผือก กดให้แบนและนำไปทอด