เมื่อเดือนวิศวะสุดฮอตเจอสาวตรงสเปค แต่ดันโดนปฏิเสธด้วยประโยคสุดเจ็บว่า "โทษที พี่ไม่ชอบเด็ก"

โทษที พี่ไม่ชอบเด็ก - 03 สตอล์คเกอร์(2) โดย แม่หมอเห็ด @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-หญิง,ไทย,ต่างวัย,อีโรติก,20+,18+,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โทษที พี่ไม่ชอบเด็ก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ตลก,ชาย-หญิง,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ต่างวัย,อีโรติก,20+,18+

รายละเอียด

เมื่อเดือนวิศวะสุดฮอตเจอสาวตรงสเปค แต่ดันโดนปฏิเสธด้วยประโยคสุดเจ็บว่า "โทษที พี่ไม่ชอบเด็ก"

ผู้แต่ง

แม่หมอเห็ด

เรื่องย่อ

สารบัญ

โทษที พี่ไม่ชอบเด็ก-01 PROLOGUE,โทษที พี่ไม่ชอบเด็ก-02 สตอล์คเกอร์,โทษที พี่ไม่ชอบเด็ก-03 สตอล์คเกอร์(2),โทษที พี่ไม่ชอบเด็ก-04 สตอล์คเกอร์(3),โทษที พี่ไม่ชอบเด็ก-05 คนใจอ่อน

เนื้อหา

03 สตอล์คเกอร์(2)

ตอนที่ 3
“สตอล์คเกอร์(2)”

หลายวันต่อมา
“เอาไป” คิวส่งรูปภาพหน้าจอให้เพื่อน เซนเปิดโทรศัพท์ของตัวเองดูบัญชีโซเชียลของคนที่ตนเพิ่งขอไปด้วยความตื่นเต้นแต่เก็บอาการ

“ฉลาดจังวะ”

“กูไม่ใช่หมา” คิวสวนกลับ พร้อมกับเปิดน้ำอัดลมกระป๋องดื่ม “พอใจแล้วก็โอนเงินมาได้ละ”

“เออ…เดี๋ยวโอน” เซนตอบขณะเลื่อนดูบัญชีโซเชียลของปันด้วยความสนอกสนใจ

“ไอ่เวร” คิวสบถออกมาเพราะรู้ว่ายังไงเขาก็คงไม่ได้เงินจากเพื่อนขี้เหนียวคนนี้แน่นอน เขารู้จักเซนดี ทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมต้น แม้ว่าตอนนั้นทั้งสองจะต่อยกันในวันแรกที่เปิดเรียนก็ตาม

เซนกดติดตามบัญชีโซเชียลของหญิงสาวทันที เธอมีคนติดตามเยอะพอสมควร ทุกรูปที่เธอลงไม่ขาดคนมาแสดงความคิดเห็นเลย แม้จะไม่ใช่บุคคลสาธารณะแต่ดูเหมือนเธอจะเป็นที่สนใจสำหรับคนรอบข้างมากเลยทีเดียว

ปัน ปัณฑารีย์ สาวโสดอายุยี่สิบเจ็ดปี ทำงานที่บริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่ง เธอเป็นคนมีความสามารถและสถานการณ์รอบตัวทำให้เธอต้องแข็งแกร่งอยู่เสมอ หนึ่งวันของหญิงสาวหมดไปกับการทำงานเป็นส่วนใหญ่ เมื่อกลับบ้านก็ต้องดูแลยายที่กำลังป่วยด้วยโรคหัวใจแถมยังต้องส่งเสียน้องชายอีกสองคนที่อยู่ในวัยกำลังโต แต่โชคดีที่น้องชายของเธอไม่เกเร ดูแลตัวเองได้และดูแลยายกับบ้านแทนเธอได้

ครอบครัว งานและเงิน จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเธอ

เธอจึงไม่ได้สนใจใคร นั่นทำให้เซนที่ทั้งส่งข้อความ ทั้งแสดงความคิดเห็น ทั้งกดถูกใจรูปของปัน ไม่เคยได้รับการตอบกลับเลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอคิดว่าข้อความของเขาคือสแปมเสียด้วยซ้ำเพราะรูปโปรไฟล์ของเซนไม่เห็นหน้า




ในตอนเย็นวันนั้น

บ้านของกิตอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ทำให้ทั้งสามคน เซน น็อตและกิต เลือกหลังบ้านของกิตเป็นสถานที่เพาะพันธุ์ต้นไม้ของพวกเขา ส่วนใหญ่จะมีพวกต้นไม้ที่หายาก ไม้อวบน้ำและบอนไซ โดยมีน็อต นักศึกษาสาขาชีวะเป็นตัวหลักเรื่องร้านต้นไม้ร้านนี้ และมี กิต นักศึกษาการเกษตรและเซน นักศึกษาวิศวะไฟฟ้าที่ชื่นชอบการปลูกต้นไม้ เป็นหุ้นส่วนกันในการขายต้นไม้มาตลอดสามปี

อาจจะดูเหมือนทั้งสามคนไม่น่าจะมาเจอกันได้เลยสักนิด
แต่เพราะตอนปีหนึ่งที่งานเกษตรแฟร์ทั้งสามคนเดินไปดูต้นบอนไซต้นเดียวกัน จุดนั้นแหละที่ทำให้ทั้งสามคนได้รู้จักกันและร่วมกันก่อตั้งร้านต้นไม้ขึ้นมา ทีแรกพวกเขาไม่ได้ตั้งใจว่าจะจริงจังมากขนาดนี้ด้วยซ้ำ

วันนี้ทั้งสามก็มาช่วยกันดูแลต้นไม้เหมือนเคย แต่ดูเหมือนจะมีคนนึงที่ผิดปกติไป

“มึงจะจ้องโทรศัพท์ไปถึงไหนวะ เดี๋ยวก็ค่ำก่อนหรอก มันจะไม่เสร็จนะเว่ย” น็อตบ่นอุบขณะกำลังช่วยทั้งสองคนดูแลต้นไม้ ปกติแล้วน็อตมักจะทำในส่วนของการตลาดและบัญชีซะมากกว่าและปล่อยให้หน้าที่การดูแลและเพาะพันธุ์เป็นของเซนกับกิต

“เออ ๆ บ่นอยู่ได้” เซนตอบกลับด้วยความหงุดหงิดปนรำคาญแล้วตัดแต่งกิ่งไม้ต่อ

“มีแฟนเหรอวะ” กิตถาม

“เปล่า”

“แต่อาการมึงออกนะ” น็อตพูด

“เหรอ” ใบหน้าคมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ชัดเลย” กิตยืนยัน

“ใครวะ” น็อตถาม ทั้งสองมองไปที่เซนด้วยสายตาคาดคั้นคำตอบ

“ไม่มีอะไร แค่คุยธุระกับที่บ้าน” เซนตอบปัด น็อตส่ายหน้าไม่เชื่อพร้อมกับกับถอนหายใจ

“จ้า ใครเชื่อก็โง่ละ” น็อตพูดพร้อมกับรดน้ำต้นไม้ต่อ เซนมองตามโทรศัพท์ที่ไร้แจ้งเตือนใดใดจากหญิงสาวด้วยสีหน้าสลด สุดท้ายก็ต้องตัดใจและหันมาจดจ่อกับต้นไม้ที่พร้อมส่งพรุ่งนี้



เซนมีเพื่อนคนหนึ่ง ที่ชอบโผล่มาหน้าประตูคอนโดของเขาแบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเสมอ นั่นก็คือคิว เพื่อนสนิทคนเดียวของเขานั่นเอง แต่ถึงกระนั้นเซนก็ไม่เคยให้รหัสประตูกับเพื่อนสนิทคนนี้สักทีและคิวเองก็ไม่เคยเดาถูกสักครั้งเหมือนกัน หลายครั้งที่คิวชอบแอบมากดรหัสห้องของเขามั่วจนต้องไปเรียกนิติมาแก้ให้หลายรอบ เซนไม่ต้องเดาเหตุผลว่าทำไม คิวคงจะหนีจากเด็กในสต็อคที่ชอบมาวนเวียนแถวคอนโดตัวเองอีกแล้ว

“กว่าจะออกมาได้” คิวถอดสูทดำตัวนอกออกแล้วพาดไว้ที่โซฟากลางห้อง ก่อนจะนั่งพิงหลังด้วยความเหนื่อยล้าพร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนเงียบไปก็ลืมตาขึ้นมองเซนที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่กับโทรศัพท์ที่โซฟาฝั่งตรงข้าม ขายาวนั่งไขว่ห้างเงียบพร้อมใบหน้านิ่ง “ทำไรวะ”

“เปล่า” คำตอบของเซนยิ่งทำให้คิวขมวดคิ้วเข้าหากัน ปกติเซนไม่ใช่คนติดโทรศัพท์สักหน่อย

“เปล่าเหี้ยไร มึงไม่พูดไรเลยตั้งแต่กูมา” ปกติเซนต้องเดินไปหยิบไวน์ที่พี่สาวส่งให้มาเปิดแล้วนั่งคุยกับเขาแล้ว แต่นี่เซนไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาด้วยซ้ำ

“มีไร”

“ถามมาได้ กูต้องมีธุระเท่านั้นรึไงถึงจะคุยกับมึงได้อะ”

“งี่เง่า ไอ้เหี้ย”

“เอ้า ไอ้สัส” คิวเอียงคอด่ากลับ “คุยกับใครวะ พี่สาวคนนั้นเหรอ”

คิวยื่นมือจะไปหยิบโทรศัพท์จากมือเซนมาดู แต่เซนชักมือกลับทันและโดนสายตาพิฆาตของเซนซ้ำอีกต่างหาก

“ไม่รู้ก็ได้วะ” คิวชักมือกลับ

“สรุปมึงมาทำไม” เซนถาม แต่มองหน้าจอแทนการมองหน้าเพื่อน

“มานอนห้องมึง”

“ห้องมึงมี ทำไมไม่นอนวะ”

“รำคาญคน” คิวพูดแล้วหยิบรีโมทมาเปิดทีวี ก่อนจะนั่งดูด้วยท่าทางราวกับเป็นห้องของตัวเอง

จิ๊

เสียงจิปากจากเพื่อนสนิทหน้าหยิ่ง ทำให้คิวหันไปมองด้วยความสงสัยอีกรอบ พอคิดไปคิดมา ล่าสุดที่เซนเป็นแบบนี้ก็ห้าปีก่อน ตอนที่เซนแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งในโรงเรียน

“ไหนกูดูดิ้” คิวเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของเซนด้วยความเร็วเป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้เซนดึงกลับไม่ทัน พอเห็นสิ่งที่อยู่ในมือถือของเซน เขาก็หัวเราะออกมาทันที

“ขำเหี้ยไรของมึง” เซนมองหน้าเพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์

“ขำคนไม่มีค่าในสายตาเขา” คิวพูดก่อนจะโยนโทรศัพท์คืนเซน เซนรับโทรศัพท์มาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “พยายามเข้านะเพื่อน สักวันคงเป็นวันของมึงแหละ” คิวพูดก่อนจะนั่งไขว่ห้างแล้วหยิบรีโมทมาเลือกช่องทีวี

“กูทำไงดีวะ” เซนพูดพร้อมถอนหายใจ

“ถ้าชอบเขาขนาดนั้นก็รุกเลยดิ” คิวพูดอย่างไม่ใส่ใจ แค่ตอบออกมาจากความคิดแรกในหัวของเขาเท่านั้น

“นี่กูก็แทบจะเหมือนพวกโรคจิตจะตายห่าอยู่ละ”

“เออ งั้นก็ไปทำตัวขี้แพ้ไกล ๆ กูหน่อย”

“นี่ห้องกูไอ้เหี้ย มึงอะ อยู่ห้องตัวเองบ้างเหอะ”

“ไม่อะ” เซนปรายตามองเพื่อนสนิทที่ทำตัวดื้อด้านด้วยความหงุดหงิด

“เอางี้ดิ” คิวหันไปพูดกับเพื่อนด้วยแววตาชั่วร้าย เซนรู้ดีว่าต้องเป็นเรื่องเหี้ย ๆ แน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังฟังแผนการของคิวจนจบ

“นี่มึงบอกให้กูเป็นสตอล์คเกอร์เนี่ยนะ?”