”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9 - 7 จุดด่างพร้อยหนึ่งเดียว โดย fixcblue @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ดราม่า,แอคชั่น,สงคราม,แก้แค้น,แอคชั่น,ปีศาจ,จอมเวท,เกิดใหม่ ,นักดาบ,ดราม่า,เวทมนตร์,#BL,แฟนตาซี,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ดราม่า,แอคชั่น,สงคราม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แก้แค้น,แอคชั่น,ปีศาจ,จอมเวท,เกิดใหม่ ,นักดาบ,ดราม่า,เวทมนตร์,#BL,แฟนตาซี,ต่างโลก

รายละเอียด

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9 โดย fixcblue @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?

ผู้แต่ง

fixcblue

เรื่องย่อ


 

ต่อให้มีนักอ่านแค่คนเดียว ก็จะไม่ทอดทิ้งโลกที่ฉันสร้างขึ้นมา


 

"ราเชล ฮาร์ท" อดีต 1 ใน 7 นักรบ ที่เคยสร้างชื่อในสงครามมาอย่างนับไม่ถ้วน นักดาบเวท เลเวล 9 อัฉริยะของจักรวรรดิ มีน้องชายที่รักมาก "ลูเซียส ฮาร์ท" ที่ต่อสู้เคียงข้างกันมาตลอด ครั้งหนึ่งลูเซียสสูญเสียพลังเวททั้งหมดไปจากการต่อสู้กับราชาปีศาจ แต่เขาก็ฝึกฝนดาบจนได้เป็น ซอร์ตมาสเตอร์


วันหนึ่งสองพี่น้องได้เข้าไปสอดแนมในปราสาทของราชาปีศาจ ราเชลปกป้องน้องจนพลาดท่า ลูเซียสถูกประนามที่อ่อนแอจนทำให้กำลังสำคัญอย่างราเชลต้องตาย แต่แล้วเขาก็เกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา "ดีลักซ์" ครั้งนี้ราเชลต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เพื่อจะเป็นนักดาบเวทอีกครั้ง เขาจะต้องแก้แค้นราชาปีศาจในครั้งนี้ให้ได้

#ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล9

สารบัญ

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-บทนำ ข้ามาเกิดใหม่งั้นหรือ?,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-1 คุณชายแห่งนีไอโอเนีย,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-2 ไอ้เด็กเมื่อวานซืน,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-3 เจ้าเป็นข้ารับใช้ของใคร,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-4 มาเรียน่า,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-5 อดีตนักรบ,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-6 ลงทะเบียนเรียนชั้นปีที่ 2,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-7 จุดด่างพร้อยหนึ่งเดียว,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-8 มือสังหาร,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-9 การฆ่าครั้งแรก,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-10 น้ำกับไฟถ้าไกลกันได้ก็ดี,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-11 นาฬิกาเรือนเก่า,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-12 ผู้ใช้เวทห้วงเวลา,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-13 ผสานสามวงแหวนเวทมนตร์,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-14 แค่ฝึกซ้อม (1),ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-15 แค่ฝึกซ้อม (2),ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-16 คำสั่งขององค์จักรพรรดิ

เนื้อหา

7 จุดด่างพร้อยหนึ่งเดียว

ครืดดดดด

ประตูบานเลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นห้องเรียนที่กว้างขวาง เวทีด้านหน้าเป็นพื้นไม้ขัดเงาสูงจากพื้นห้องประมาณหนึ่งคืบซึ่งเป็นที่สำหรับอาจารย์ผู้สอน ฝั่งตรงข้ามเวทีเป็นที่นั่งของนักเรียนที่ถูกจัดวางเป็นชั้นๆ อย่างเป็นระเบียบ ไล่ระดับความสูงขึ้นไปด้านหลัง เพื่อให้นักเรียนทุกคนมองเห็นอาจารย์บนเวทีได้อย่างชัดเจน

เรย์เวนและเดรคก้าวผ่านประตูเข้ามา สายตาสองคู่ทอดมองไปยังฝั่งที่นั่งเพื่อหาเก้าอี้ว่างที่พอจะนั่งใกล้กันได้ 2 คน 

เจ้าของเรือนผมสีขาวไล่สายตามองดูทั่วห้อง เขาสังเกตเห็นเข็มกลัดที่ติดอยู่กึ่งกลางของปกเสื้อ นักเรียนติดเข็มกลัดสีแดงกันมากเป็นพิเศษ 

ซึ่งหมายความว่าในชั้นเรียนนี้ส่วนใหญ่เลือกสายอาชีพ นักเวท

แต่แล้วหัวคิ้วของเขาก็เริ่มขมวดเข้าหากัน เมื่อพบว่ามีนักเรียนที่เลือกเรียนสายนักดาบเวทมากกว่าที่คิด

ในช่วงที่ราเชลเข้าเรียนในสถาบันเมื่อชีวิตก่อน นักดาบเวท ยังไม่เป็นที่นิยมในจักรวรรดิมากนัก 

เพราะมันทั้งยากและซับซ้อน จะต้องสร้างวิถีดาบด้วยตัวเอง จนอยู่ในระดับซอร์ตเอ็กซ์เปิร์ตขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ อีกทั้งยังต้องมีวิสัยทัศน์เวทมนตร์ 2 อย่างขึ้นไปอีกด้วย

ในตอนนั้นมีเพียงราเชลและครูซเพียง 2 คนเท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์

หวังว่าในปีนี้จะสามารถเรียนจนจบอย่างที่คิดไว้แล้วกันนะ…

เรย์เวนคิดในใจ

“ไปนั่งตรงนั้นกัน” 

เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินพูดขึ้นพลางชี้นิ้วเรียวยาวไปยังที่ว่างพอดีสำหรับสองคน ก่อนจะเดินนำขึ้นไป

หลังจากที่ทั้งสองคนได้นั่งโต๊ะและเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มเรียนได้ไม่นาน เสียงเปิดประตูเลื่อนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใครบางคนกำลังเดินตรงไปที่แท่นยืนบรรยายหน้าชั้นเรียน

เรย์เวนสังเกตเขาคนนั้นตั้งแต่วินาทีที่ก้าวผ่านประตูเข้ามา

ดูจากมานาที่หัวใจแล้วผู้ชายคนนี้คงไม่เกินเลเวล 6 แน่ๆ แต่น่าแปลก ทำไมข้าไม่คุ้นหน้าเลย

อาจารย์คนใหม่งั้นหรือ?

ในตอนนั้นเองสายตาของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาก็หันมาทางเขาพอดี

สายตาสองคู่มองกันและกันอย่างพิจารณา

ฝ่ามือหนาที่เท้าคางอยู่กับโต๊ะ เรียวนิ้วกระดิกไปมาที่ข้างแก้ม เรย์เวนจ้องกลับอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัว

ในใจเขาคิดว่าอาจารย์คนนี้ก็คงสัมผัสได้ถึงมานาในตัวของเขาที่เทียบเท่ากับผู้ที่เป็นอาจารย์ได้เลย

แต่คนที่นั่งอยู่ที่ปลายสายตาของเขา มีถึงสองคน

“น่าจะเลเวล 6 นะ” 

เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงิน ที่กำลังมองอาจารย์คนใหม่เช่นกันพูดขึ้นลอยๆ แต่กลับสร้างความแปลกใจให้คนที่ได้ยิน

เรย์เวนในตอนนี้ฝึกฝนพลังเวทของตัวเองจนสามารถบรรลุเลเวล 5 ได้แล้ว เขาจึงมองมานาในตัวของอาจารย์ออกได้ทะลุปรุโปร่ง แต่เดรคที่ยังอยู่แค่เลเวล 4 กลับมองออกเช่นกัน

รอยยิ้มเล็กๆ ที่แสดงถึงความภาคภูมิใจในตัวเพื่อนสนิทเผยขึ้น ก่อนจะเอ่ยถาม

“เจ้ารู้จักหรือไม่ ข้าไม่เห็นคุ้นหน้า” เรย์เวนหันไปถามคนที่นั่งด้านข้าง ที่สายตาของเขายังไม่ละจากอาจารย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่

“เหมือนจะชื่อ…” คำตอบถูกเว้นช่วงระยะหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดต่อ คนที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

“สวัสดีนักเรียนทุกคน” เขาพูดพลางสอดส่องสายตาไปมาทั่วห้องเรียน

“อาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตาอาจารย์สักเท่าไหร่ นี่เป็นการสอนครั้งแรกน่ะ อาจารย์ชื่อ…” 

“เฟทาน่า/เฟทาน่า” ทั้งสองคนเอ่ยชื่อขึ้นพร้อมกัน

“ข้าเห็นประกาศที่หน้าห้องก่อนเข้ามาน่ะ” เดรคพูดเสริมเบาๆ

หลังจากที่แนะนำตัวไปเสร็จเรียบร้อย อาจารย์คนใหม่ก็สั่งให้เปิดหนังสือในทันที 

วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ เป็นวิชาพื้นฐานของนักเวท และนักดาบเวททุกคน 

ซึ่งจะเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นมานานกว่าพันปีในอดีตกาล รวมถึงเล่าเรื่องของมหาจอมเวทในสมัยก่อนว่าเคยมีวีรกรรม ผลงานอะไรที่ตกทอดมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานบ้าง

เสียงบรรยายนุ่มนวลพลางยกตัวอย่างของอาจารย์หนุ่มดังขึ้นเรื่อยๆ มีนักเรียนบางคนที่สงสัยในคำบอกเล่าก็ยกมือขึ้นถามอย่างสุภาพ บางคนก็เปิดหนังสือตามอย่างตั้งใจ 

แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พยายามฝืนเปลือกตาไม่ให้ปิดสนิทอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้ว่าภายในใจจะใกล้ไปเฝ้าพระอินทร์แล้วก็ตาม

ขอนอนสักงีบ…

กึด!

ไม่ทันไรความเจ็บปวดก็แล่นแปลบจากท่อนแขนขึ้นมายังสมอง ดวงตาเบิกโพลง มือหนารีบลูบแขนตัวเองปอยๆ ก่อนจะมองหน้าคนที่เป็นต้นตอของความเจ็บปวด

ให้ตายเถอะ…

“นี่เจ้าหยิกข้าทำไมกัน” เรย์เวนถามเสียงเบา แต่สีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“อย่าหลับ อาจารย์มองมาทางเจ้าหลายครั้งแล้วนะ” เดรคเอ่ยเตือนพลางชี้ไปด้านหน้าห้อง

เรย์เวนที่มองตามจุดหมายของปลายนิ้วก็พบว่า คนที่พูดถึงกำลังมองเขาอยู่จริงๆ

เขาจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเปิดหนังสือเรียนเล่มหนาไล่ดูเรื่อยๆ โดยไม่สนใจคำบรรยายของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเลยแม้แต่น้อย

เนื้อหาภายในหนังสือล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเขารู้มาหมดแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนักเวทที่บรรลุเลเวล 9 จนได้เป็นจ้าวแห่งเวทเมื่อหลายร้อยปีก่อน หรือคนล่าสุดก่อนที่ตัวเขาจะโด่งดังจนมีชื่อเสียงขึ้นมา

หื้อ!?

รูม่านตาของเรย์เวนเบิกกว้างเมื่อพบภาพวาดและชื่อของคนที่ไม่คาดคิด

 ‘ราเชล ฮาร์ท นักดาบเวทเลเวล 9’ 

อะไรกัน มีข้าด้วยงั้นหรือ? ใครใส่ข้าลงไปในหลักสูตรกัน แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่?

คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ไม่นานมันกลับกลายเป็นความเขินอายแทน

ให้ตายเถอะ แบบนี้ข้าก็เขินแย่สิ ให้มานั่งเรียนเรื่องของตัวเองเนี่ยนะ

เนื้อหาภายในหน้ากระดาษนั้น มีประวัติตั้งแต่เกิด เข้าเรียน ช่วงอายุที่บรรลุแต่ละขั้น การเข้าร่วมสงคราม ผลงานตอนทำภารกิจ จวบจนไปถึงประวัติครอบครัวอย่างละเอียด

“นักเรียนรู้หรือไม่ ว่าจุดด่างพร้อยในชีวิตของท่าน ราเชล ฮาร์ท คืออะไร?” อาจารย์เฟทาน่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทำให้เขาละสายตาจากกระดาษเงยหน้าขึ้นมองไปยังด้านหน้า

คำถามที่ดูไร้สาระสำหรับเรย์เวน แต่กลับสร้างความประหลาดใจให้เหล่านักเรียนในห้องอย่างเหลือเชื่อ

นักเรียนหลายคนพากันยกมือตอบ แต่กลับไม่มีใครตอบถูกเลยแม้แต่คนเดียว

อาจารย์หนุ่มส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“น้องชายที่ชื่อลูเซียส ฮาร์ทต่างหาก คือจุดด่างพร้อยที่แท้จริง” 

หลังจากได้ยินคำตอบ ความเงียบสงัดก็ปกคลุมไปทั่วห้องเรียน

แต่เก้าอี้แถวบนสุดตรงกึ่งกลางของห้องเรียน เริ่มมีบรรยากาศขมุกขมัวก่อขึ้น 

เด็กหนุ่มคนหนึ่งก้มหน้าจนปอยผมหน้าม้าบดบังการมองเห็น ฝ่ามือขวาที่จับกระดาษพลิกไปมาก่อนหน้าในตอนนี้กำแน่นจนใบกระดาษนั้นยับยู่ยี่ เส้นเอ็นปูดขึ้นที่หลังมือ 

เขาขบกัดฟันกรามจนได้ยินเสียงดัง ‘กึด’ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับจะมีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมา

“หากในคืนนั้น ลูเซียสไม่ดึงดันที่จะตามท่านราเชลเข้าไปในปราสาท ไม่อ่อนแอจนเป็นจุดอ่อนทำให้พี่ชายต้องเสียสละตัวเอง วันนี้ก็จะยังมีนักดาบเวทเลเวล 9 ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์อยู่ในจักรวรรดิของเรา” 

คำอธิบายเพิ่มเติมจากคนที่ยืนอยู่หน้าห้องยืดยาว คำพูดเหล่านั้นแทงลึกเข้าไปในใจของคนฟังจนแทบทนไม่ไหว

“รู้ได้อย่างไรครับ!” 

เรย์เวนพูดโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้ายังคงก้มลงเล็กน้อยจนไม่อาจเห็นแววตาที่กักเก็บอารมณ์ของเขาในตอนนี้ได้

คนข้างกายที่รู้สึกถึงความไม่พอใจตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เริ่มรู้สึกกังวลใจ

 “นักเรียน! หากมีคำถามต้องยกมือขึ้นก่อนแล้วรออาจา-” เฟทาน่าตำหนิด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ยังพูดไม่จบก็ถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน

เด็กหนุ่มยกแขนซ้ายขึ้นฉับพลัน ก่อนจะถามอีกครั้งอย่างเค้นคำตอบ

“ผมถามว่าอาจารย์รู้ได้อย่างไรครับว่าลูเซียสฮาร์ทอ่อนแอ” เรย์เวนถามย้ำพลางเอนหลังพิงพนักอย่างท้าทาย

คนที่ถูกถามถอนหายใจเบาๆ ใบหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจในตัวเด็กนักเรียน

“เรื่องนั้นใครๆ ต่างก็รู้ดี เขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ แล้วยังด้อยกว่าพี่ชา-” อาจารย์ตอบเสียงเรียบนิ่ง แต่ถูกขัดจังหวะอีกครั้ง

 “นั่นแสดงว่าอาจารย์ไม่รู้เรื่องสงครามแย่งชิงดินแดนคืนจากพวกปีศาจที่นักรบทั้งเจ็ดนำทัพเลยใช่ไหมครับ” 

เด็กหนุ่มเรือนผมสีขาวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นแววตาหยั่งเชิงอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความเย้ยหยัน

“นี่นักเรียนพูดขัดอาจารย์หลายครั้งแล้วน-” เฟทาน่าเริ่มตะคอกกลับเสียงดังขึ้น 

แต่คนที่ถูกตำหนิพูดต่ออย่างไม่สนใจ

“ศึกนั้นนักรบเจ็ดคนแยกกันไปทำสงครามกับพวกหัวหน้าหมู่ปีศาจ แต่มีหนึ่งสนามรบที่ราชาเข้าร่วมสงครามด้วย…” 

เขาเว้นจังหวะพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอ 

“นั่นก็คือสนามรบที่ลูเซียสเป็นคนนำทัพ เขาสู้หนึ่งต่อหนึ่งแล้วยังรอดชีวิตกลับมาได้แม้จะสูญเสียเวทมนตร์ไปก็ตาม…” 

เด็กหนุ่มจดจ้องไปที่อาจารย์อย่างคาดคั้น

“ถ้าเป็นอาจารย์จะกล้าเผชิญหน้ากับไอ้ราชาเวรนั่นหรือเปล่าครับ” 

นักเรียนหลายคนเริ่มหันกลับไปมองหน้าของคนที่ยืนอยู่บนเวทีหน้าห้อง เพื่อรอฟังคำตอบเช่นกัน

บรรยากาศกดดันจากทั่วทุกมุมห้อง จนใบหน้าของอาจารย์ซีดเผือด

“ระ เรื่องนั้น” เขาพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก

เรย์เวนเห็นอย่างนั้นจึงเริ่มพูดต่อ

 “หลังจากที่สูญเสียเวทมนตร์ไป ลูเซียสก็ผันตัวเป็นนักดาบจนได้เป็นซอร์ตมาสเตอร์ภายในสองปี ใครๆ ต่างก็ยอมรับในความสามารถ….ถ้าอาจารย์บอกว่าเขาอ่อนแอเพราะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ นักดาบทั้งจักรวรรดิก็คงจะอ่อนแอกันหมดเลยสิครับ” 

“มะ ไม่ ใช่อย่างนั้นนะ” 

เฟทาน่าพยายามแก้ตัว ขาก้าวถอยหลังเพราะถูกความกดดันทิ่มแทงจากรอบทิศทาง

“แล้วคืนนั้นที่ปราสาท อาจารย์รู้ดีแค่ไหนว่าลูเซียสเป็นสาเหตุทำให้ราเชลต้องตาย ทั้งสองคนบุกไปที่ปราสาทจนต้องเสี่ยงอันตรายและพบเจอปีศาจมากมายขนาดไหน แค่ลูเซียสรอดมาได้นั่นมันก็ปาฏิหาริย์แล้วไม่ใช่เหรอครับ” 

เด็กหนุ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง มือข้างหนึ่งยังคงกำแน่นเพื่อควบคุมอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง

“นักเรียนจะไปรู้ดีแค่ไหนกัน ตอนนั้นเจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ!” เฟทาน่าที่ถูกกดดันหนักมากขึ้น เขาตะโกนออกมาเสียงดังลั่นราวกับกำลังข่มขวัญศัตรู

แต่นักเรียนหนุ่มไม่มีท่าทีหวั่นเกรง

“แล้วอาจารย์เข้าร่วมสงครามด้วยเหรอครับ ถึงได้รู้ดีเหลือเกิน” 

เหมือนเส้นความอดทนขาดสะบั้น ผู้เป็นอาจารย์กระแทกหนังสือลงกับโต๊ะไม้ด้านหน้าจนเกิดเสียงดัง ‘ปั้ง’ ก่อนจะตามมาด้วยแผดเสียงตะโกนดังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ

“นักเรียน!!” 

แต่แล้วเสียงออดบ่งบอกเวลาหมดคาบเรียนก็ดังขึ้นขัดจังหวะพอดิบพอดี

“หมดเวลาเรียนแล้วล่ะครับอาจารย์ พวกผมคงต้องไปทานข้าวกันแล้ว” 

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าหวานอย่างชอบใจ เขาเอ่ยพลางปิดหนังสือเล่มหนากระแทกกระทั้นใส่

เมื่อเห็นสีหน้าทะเล้นของเด็กนักเรียนที่อยู่เหนือการควบคุม คนที่ถูกต้อนจนมุมก็แสดงท่าทีไม่พอใจพร้อมกับเก็บสัมภาระอย่างรีบร้อน ก้าวเท้าเดินออกจากห้องเรียนไปในทันที

ทว่าเด็กหนุ่มที่สะกดกลั้นอารมณ์อยู่นานก็ระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างรุนแรง ความกดดันแผ่ปกคลุมอยู่ทั่วห้อง จนเพื่อนนักเรียนทหารคนอื่นๆ ต่างรีบกุลีกุจอพากันเก็บข้าวของเดินออกจากห้องตามอาจารย์ไป

“รีบไปกันเถอะ พลังเวทน่ากลัวเป็นบ้า” 

“ทำไมเรย์เวนถึงต้องไล่ต้อนอาจารย์ขนาดนี้ด้วยนะ” 

“นี่เจ้าไม่รู้หรือไง เรย์เวนสนิทกับคุณลูเซียสจะตายไป คงโกรธแทนนั่นแหละ” 

เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นพลางมองมาที่ตัวต้นเหตุของบรรยากาศอึมครึมภายในห้อง

เรย์เวนเหลือบมองไปทางกลุ่มคนที่พูดคุยกัน สายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวยากจะระงับไว้ทำให้คนที่หันมามองสบตาต้องสะดุ้งเฮือก หลุบตามองต่ำอย่างหวาดกลัว

แต่ทันใดนั้น ฝ่ามือใหญ่ของใครบางคนก็ยกขึ้นมาบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้าของเจ้าของเรือนผมสีขาวไว้

“จะไปไหนก็ไปซะ มายืนพูดมากให้มันได้อะไรขึ้นมา” 

น้ำเสียงทุ้มต่ำคุ้นเคยเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่งโดยที่ยังคงยกมือปิดตาเรย์เวนไว้อย่างนั้น

“นี่เดรค เจ้ายังนั่งอยู่ตรงนั้นได้อย่างไรกัน ไม่รู้สึกถึงจิตสังหารอันแรงกล้าของเพื่อนเจ้าหรอกหรือ” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย

เรย์เวนยังคงไม่สามารถระงับความโกรธไว้ได้ และปลดปล่อยออร่าความกดดันออกมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายคนสงสัยว่าคนที่นั่งใกล้ที่สุดอย่างเดรคทนอยู่ได้อย่างไร 

“เรื่องของข้า รีบไสหัวไปเสียที” น้ำเสียงเข้มเชิงตำหนิของเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงิน ทำให้คนที่ได้ยินรีบขยับร่างกายออกไปจากห้องในทันที

ในเวลาไม่นานภายในห้องก็ไม่หลงเหลือคนอื่นๆ อยู่อีกแล้ว มีเพียงเด็กหนุ่มสองคนที่นั่งข้างกันเท่านั้น 

เรย์เวนจับฝ่ามือที่ยังคงยกค้างปิดบังดวงตาที่ฉายแววความอาฆาตไว้ ให้ลดระดับลงและวางมันลงบนหนังสือเล่มหนา 

เขาหันไปสบกับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่แสนคุ้นเคย

“ทำไมเจ้าไม่ออกไปเสียล่ะ ข้าใช่ว่าจะควบคุมอารมณ์ได้ดีนักหรอกนะ” เรย์เวนเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสงสัย

เขารู้ตัวดีว่าตนเองเป็นคนใจร้อนแค่ไหน เมื่อมีคนพูดถึงน้องชายคนเดียวที่ทั้งรักและหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เขาจะไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น

และเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ลุกขึ้นไปฆ่าอาจารย์หนุ่มที่เอาแต่พูดพร่ำในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องจริงได้ นั่นก็เป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว 

ถ้าหากเขาได้ยินสิ่งเหล่านั้นด้านนอกสถาบัน เฟทาน่าคงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วก็เป็นได้

 นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลมองลึกลงไปในแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะของเพื่อนสนิท เขาเข้าใจความรู้สึกของเรย์เวนดีทุกอย่าง 

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นอย่างไรเรย์เวน ข้าจะนั่งรออยู่ตรงนี้จนกว่าเจ้าจะใจเย็นลงแล้วกัน” 

เวลาผ่านชั่วครู่อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเรย์เวนก็ค่อยๆ เย็นลง โดยที่มีเดรคนั่งอยู่ข้างกายไม่ห่าง ก่อนที่ทั้งสองคนจะพากันไปทานมื้อเที่ยงที่โรงอาหารและตรงมายังโถงกลางของสถาบัน

ศูนย์รวมของนักเรียนทหารอีกหนึ่งจุดที่อยู่ภายในอาคาร เพราะในห้องมีโต๊ะยาวกว่ายี่สิบเมตรถึงสามตัวขนานกับความยาวห้อง ด้านบนมีโคมไฟระย้าส่องแสงสีทองห้อยตกแต่งเรียงรายทั่วเพดานที่สูงเสียดฟ้า 

บนผนังติดภาพผู้มีวีรกรรมมากมายของจักรวรรดิไว้จนสุดทาง อีกทั้งที่แห่งนี้ยังเป็นจุดกึ่งกลางของแต่ละห้องเรียน ทำให้นักเรียนทหารเกือบทุกชั้นปีมักจะมานั่งพักระหว่างรอเรียนวิชาต่อไป

ทั้งสองคนก็เช่นกัน…

เรย์เวนเดินมาหยุดอยู่ที่ที่นั่งประจำ ฝ่ามือลูบไล้สัมผัสลงบนโต๊ะไม้ กำลังจะหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ยาว ทว่าเสียงของเดรคก็ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองก่อน

 “เจ้านั่งอยู่นี่แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะไปดูของว่างเสียหน่อย” 

เจ้าของเรือนผมสีขาวไม่ได้ตอบกลับอะไร มีเพียงการพยักหน้าเล็กน้อยให้อีกฝ่ายรับรู้ 

เดรคเดินตรงไปยังซุ้มร้านค้าเล็กๆ ที่หัวมุมของห้องโถงในทันที

หลังจากทานมื้อเที่ยงไปหมาดๆ หนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน เรย์เวนทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ ฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะอย่างไร้เรี่ยวแรง

เพื่อหลีกหนีเสียงพูดคุยที่ดังอึกทึกจากกลุ่มคนที่นั่งอยู่ทั่วห้องโถง เขาปิดเปลือกตาลงช้าๆ ราวกับกำลังจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา

แต่แล้วความสงบสุขนั้นกลับอยู่ได้เพียงไม่นาน คนที่กำลังนั่งพักสายตาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่สบายใจคืบคลานเข้ามาแทนที่ 

เสียงพูดคุยรอบข้างพลันเงียบหายไปราวกับถูกสั่งให้หยุดกะทันหัน ความเงียบผิดปกติปกคลุมทั่วบริเวณ

 “นักเรียนเรย์เวน ดีลักซ์!” 

เสียงที่เขาเพิ่งเคยได้ยินมาไม่นานดังขึ้นด้านหลัง 

ร่างของชายสูงใหญ่สองคน และหนึ่งในนั้นคือ เฟทาน่าแน่นอนเขามั่นใจ ส่วนอีกคนเขาก็รับรู้ได้ว่าใคร แต่ความสงสัยก่อตัวอยู่ในความคิด

มันจะมาทำไม?

ชายหนุ่มถอนหายใจยาว พยายามลืมความเหนื่อยล้าไปชั่วขณะ เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันหลังมาหาคนที่เอ่ยเสียงเรียกชื่อ

เฟทาน่ายืนคู่อยู่กับอาจารย์ใหญ่ แสดงสีหน้าราวกับเป็นคนมีอำนาจเหนือกว่า

ภาพที่เห็นทำให้เขาคาดเดาได้ไม่ยากว่าคนที่สร้างความรำคาญและทำให้เขาเพิ่งระเบิดลงในห้องไปก่อนหน้านี้คงวิ่งแจ้นไปฟ้องอาจารย์ใหญ่อย่างแน่นอน 

 “เจ้าเจออาจารย์ใหญ่เช่นนี้แต่กลับไม่ทำความเคารพงั้นหรือ ไร้มารยาท!” 

อยากจะทึ้งหัวมันชะมัดถ้าไม่ติดว่าที่นี่คือสถาบันนะ…

เขาพึมพำในใจก่อนจะลุกขึ้นยืน

ฝ่ามือข้างขวาถูกยกทาบที่อกซ้าย สองขายืนเหยียดตรงก้มหัวลงเล็กน้อย

“สวัสดีครับ อาจารย์ใหญ่” เรย์เวนเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพแม้ภายในใจจะเริ่มหงุดหงิด

「 ไอ้งั่งราเชล 」

เสียงของครูซดังขึ้นในหัวของเรย์เวนผ่าน [เวทกระซิบ] 

「 อะไร 」

「 ไปก่อเรื่องอะไรอีก นี่เพิ่งเปิดเทอมวันแรกเองนะ ยังไม่สร่างจากเมื่อคืนหรือไง 」

「 ข้าเปล่า 」

 “นักเรียนคนนี้แหละครับอาจารย์ใหญ่ ที่พูดจาอวดดีไร้มารยาท แล้วก็ก่อกวนในห้องเรียนขณะที่ผมกำลังทำการสอน” 

เฟทาน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวพลางชี้นิ้วตรงไปที่เรย์เวน ดวงตาฉายแววตำหนิอย่างเห็นได้ชัด

คนที่ทำหน้าที่อาจารย์ใหญ่ของสถาบันหันหน้าไปรับฟังคนในปกครองของตัวเองก่อนจะหันกลับมามองนักเรียนที่ถูกกล่าวโทษ

 “เจ้าทำจริงหรือเปล่าเรย์เวน” 

 “ผมเพียงแค่พูดในสิ่งที่ถูกเท่านั้นครับ อาจารย์” เจ้าของเรือนผมสีขาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สายตาจ้องมองอาจารย์ใหญ่และครูผู้สอนอย่างไม่เกรงกลัว

“ยังจะเถียงไม่เลิก ช่างเป็นเด็กที่หัวรั้นนัก!” เฟทาน่าตำหนิเสียงดัง

เรย์เวนโค้งตัวให้เล็กน้อย

 “ถ้าอาจารย์คิดเช่นนั้น ผมขออภัยด้วยครับสำหรับเรื่องในห้องเรียน” เขาเลือกที่จะขอโทษเพื่อยุติเรื่องราวที่กำลังจะบานปลายจนสร้างความรำคาญ

เพราะเขาเริ่มรู้สึกถึงสายตานับสิบคู่ที่มองตรงมา พร้อมเสียงซุบซิบนินทาดังฮือขึ้น

 “นี่! คิดว่าแค่ขอโทษแล้วก็จบงั้นหรือ!?” ครูผู้สอนตะคอกเสียงแข็ง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธราวกับไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

หางคิ้วของเด็กหนุ่มก็เริ่มกระตุกเพราะความหงุดหงิดทวีคูณ มือขวากำหมัดแน่น

แต่แล้วก็มีฝ่ามือคู่หนึ่งมาดึงรั้งข้อมือขวาของเรย์เวนจนร่างกายเอนตามไป ก่อนจะใช้ร่างกายที่สูงใหญ่กว่าบดบังร่างกายของเพื่อนสนิท 

เดรคที่เอ่ยปากขอตัวไปร้านค้ากลับมาได้จังหวะพอดิบพอดี

 “แล้วไม่ทราบว่าอาจารย์ต้องการอะไรจากเรย์เวนอีกเหรอครับ” เดรคเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น สายตาของเขาจ้องมองอาจารย์อย่างตรงไปตรงมา

 “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า” เฟทาน่ารีบแย้งกลับทันควัน

 “ผมเป็นคนที่อยู่ทุกเหตุการณ์ตั้งแต่ในห้องเรียน การกระทำที่เสียมารยาทของเรย์เวน ตัวเขานั้นได้ขอโทษไปแล้ว ทุกคนในที่นี้ก็ได้ยิน” 

เจ้าของดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลพูดพลางทอดสายตามองไปยังนักเรียนหลายคนที่ยืนมุงดูอยู่ไม่ไกลทั่วห้องโถง

เขาหันกลับไปสบตากับคนที่กำลังแสดงอาการไม่พอใจอย่างต้องการเค้นหาคำตอบ

 “ความผิดมันใหญ่หลวงขนาดไหนกันครับ คำขอโทษมันถึงไม่เพียงพอ” 

เฟทาน่าขบปากแน่น

 “นะ นั่นมัน…” น้ำเสียงตะกุกตะกักของอาจารย์หนุ่มทำให้เสียงนินทารอบข้างดังขึ้นอีกครั้ง

「บอกข้ามาก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นในห้องเรียน 」

「 ไอ้เวรนั่นมันพูดไม่ดีถึงลูเซียส 」

เรย์เวนตอบกลับครูซผ่าน [เวทกระซิบ] ที่ดังอยู่ในหัว 

เมื่อได้ยินสาเหตุเช่นนั้นสีหน้าของครูซก็เปลี่ยนไป เขาหันกลับไปหาอาจารย์ในความปกครองที่ยืนอยู่ข้างกาย

 “ข้าว่าก็จบกันแต่เพียงเท่านี้ดีกว่านะครับอาจารย์เฟทาน่า" 

คนที่ถูกถามเงยหน้ามองอาจารย์ใหญ่ด้วยสายตาเลิ่กลั่ก 

 “หรือว่าอาจารย์อยากให้ข้าทำอะไรครับถึงเร่งรัดไปตามตัวข้ามาเช่นนี้” ครูซถามย้ำ

 “อะ เอ่อ…ครับ อาจารย์ใหญ่” เฟทาน่าตอบสั้นๆ อย่างจำใจ 

 “ดีครับ” ครูซเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหันกลับมามองหน้าเด็กนักเรียนสองคน

เรย์เวนชะโงกหัวผ่านไหล่ข้างซ้ายของเดรค เขาเห็นสีหน้าที่ดูเจ็บใจของอาจารย์หนุ่มที่พยายามจะสร้างเรื่องอีกรอบ ทำให้เขารู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เผยอขึ้นที่มุมปากอยู่ด้านหลังของเดรค ก่อนจะออกแรงดันแผ่นหลังของเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินที่ออกตัวปกป้องเขา ให้เดินผ่ากลางฝูงชนออกจากจุดรวมสายตาของคนทั้งห้องโถง

ในขณะที่เด็กหนุ่มสองคนหันหลังให้ผู้เป็นอาจารย์ที่มีอำนาจเหนือกว่า มีจังหวะหนึ่งเรย์เวนหันกลับไปสบตากับครูซโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น แค่เพียงชั่วครู่พวกเขาก็พูดคุยผ่าน [เวทกระซิบ] พร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย

「 ไว้หาเวลาว่างมาเล่าให้ข้าฟังด้วย 」

「 ได้ แต่ข้าคงไม่สบอารมณ์นัก ฝากเตือนหมอนั่นด้วยถ้ามีครั้งหน้า ข้า ฆ่า มัน แน่

 เฟทาน่ายืนนิ่งอยู่กับที่ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บใจแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ฝ่ามือกำแน่นราวกับกำลังกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้ จนเด็กหนุ่มเดินไปสุดสายตา บรรยากาศตึงเครียดคลายลงในห้องโถงกลางก็เหลือเพียงความเงียบสงบที่แฝงไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ

 

 

ในป่าอะโคไนต์ที่อยู่ในความดูแลของตระกูลดีลักซ์ บรรยากาศยามเย็นที่แสงแดดส่องผ่านกลุ่มใบไม้พาดผ่านลงมาสู่พื้นดิน 

ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นภายในนั้น

ตู้มมมมม!!

เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมเศษชิ้นเนื้อของร่างกายของใครบางคนร่วงหล่นลงสู่พื้น 

ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งในชุดแม่บ้านตะโกนออกมาจนสุดเสียง

 “นายน้อยยยยยยยย!!” 

ใบหน้าและแววตาของเธอซีดเผือดลงในทันทีเมื่อมองไม่เห็นร่างของผู้เป็นนาย มีเพียงเศษซากเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นกองอยู่กับพื้นเท่านั้น 

 

To be continued


ใดๆ คือใครก็ตามห้ามแตะน้องชายสุดที่รักเป็นอันขาด ห้ามด่า ห้ามว่า ห้ามติ เพราะตัวเองยังว่าน้องไม่ได้เลยคนอื่นแกมีสิทธิ์ไรเอ่ย จริงๆ แล้วเฟทาน่าเป็นแฟนคลับราเชลที่รับไม่ได้กับการตายของวีรบุรุษค่ะก็เลยโยนความผิดไปให้ลูเซียส และคนที่เพิ่มราเชลเข้าไปในหนังสือเรียนก็คือนางนั่นแหละจ้าาาาา

ปล. ขออนุญาตหวีดโมเม้นต์เดรคเรย์เวน บ๊ะ!!! แกมาได้ทันเวลาพอดีอย่างกับรู้ใจ ดึงไปแอบข้างหลังเพราะลูกเราตัวน้อยกลัวโดนรุมอะดิ โถ่ๆๆๆ