”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?
แฟนตาซี,ผจญภัย,ดราม่า,แอคชั่น,สงคราม,แก้แค้น,แอคชั่น,ปีศาจ,จอมเวท,เกิดใหม่ ,นักดาบ,ดราม่า,เวทมนตร์,#BL,แฟนตาซี,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?
ต่อให้มีนักอ่านแค่คนเดียว ก็จะไม่ทอดทิ้งโลกที่ฉันสร้างขึ้นมา
"ราเชล ฮาร์ท" อดีต 1 ใน 7 นักรบ ที่เคยสร้างชื่อในสงครามมาอย่างนับไม่ถ้วน นักดาบเวท เลเวล 9 อัฉริยะของจักรวรรดิ มีน้องชายที่รักมาก "ลูเซียส ฮาร์ท" ที่ต่อสู้เคียงข้างกันมาตลอด ครั้งหนึ่งลูเซียสสูญเสียพลังเวททั้งหมดไปจากการต่อสู้กับราชาปีศาจ แต่เขาก็ฝึกฝนดาบจนได้เป็น ซอร์ตมาสเตอร์
วันหนึ่งสองพี่น้องได้เข้าไปสอดแนมในปราสาทของราชาปีศาจ ราเชลปกป้องน้องจนพลาดท่า ลูเซียสถูกประนามที่อ่อนแอจนทำให้กำลังสำคัญอย่างราเชลต้องตาย แต่แล้วเขาก็เกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา "ดีลักซ์" ครั้งนี้ราเชลต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เพื่อจะเป็นนักดาบเวทอีกครั้ง เขาจะต้องแก้แค้นราชาปีศาจในครั้งนี้ให้ได้
#ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล9
ครืดดดดด
ประตูบานเลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นห้องเรียนที่กว้างขวาง เวทีด้านหน้าเป็นพื้นไม้ขัดเงาสูงจากพื้นห้องประมาณหนึ่งคืบซึ่งเป็นที่สำหรับอาจารย์ผู้สอน ฝั่งตรงข้ามเวทีเป็นที่นั่งของนักเรียนที่ถูกจัดวางเป็นชั้นๆ อย่างเป็นระเบียบ ไล่ระดับความสูงขึ้นไปด้านหลัง เพื่อให้นักเรียนทุกคนมองเห็นอาจารย์บนเวทีได้อย่างชัดเจน
เรย์เวนและเดรคก้าวผ่านประตูเข้ามา สายตาสองคู่ทอดมองไปยังฝั่งที่นั่งเพื่อหาเก้าอี้ว่างที่พอจะนั่งใกล้กันได้ 2 คน
เจ้าของเรือนผมสีขาวไล่สายตามองดูทั่วห้อง เขาสังเกตเห็นเข็มกลัดที่ติดอยู่กึ่งกลางของปกเสื้อ นักเรียนติดเข็มกลัดสีแดงกันมากเป็นพิเศษ
ซึ่งหมายความว่าในชั้นเรียนนี้ส่วนใหญ่เลือกสายอาชีพ นักเวท
แต่แล้วหัวคิ้วของเขาก็เริ่มขมวดเข้าหากัน เมื่อพบว่ามีนักเรียนที่เลือกเรียนสายนักดาบเวทมากกว่าที่คิด
ในช่วงที่ราเชลเข้าเรียนในสถาบันเมื่อชีวิตก่อน นักดาบเวท ยังไม่เป็นที่นิยมในจักรวรรดิมากนัก
เพราะมันทั้งยากและซับซ้อน จะต้องสร้างวิถีดาบด้วยตัวเอง จนอยู่ในระดับซอร์ตเอ็กซ์เปิร์ตขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ อีกทั้งยังต้องมีวิสัยทัศน์เวทมนตร์ 2 อย่างขึ้นไปอีกด้วย
ในตอนนั้นมีเพียงราเชลและครูซเพียง 2 คนเท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์
หวังว่าในปีนี้จะสามารถเรียนจนจบอย่างที่คิดไว้แล้วกันนะ…
เรย์เวนคิดในใจ
“ไปนั่งตรงนั้นกัน”
เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินพูดขึ้นพลางชี้นิ้วเรียวยาวไปยังที่ว่างพอดีสำหรับสองคน ก่อนจะเดินนำขึ้นไป
หลังจากที่ทั้งสองคนได้นั่งโต๊ะและเตรียมความพร้อมก่อนเริ่มเรียนได้ไม่นาน เสียงเปิดประตูเลื่อนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใครบางคนกำลังเดินตรงไปที่แท่นยืนบรรยายหน้าชั้นเรียน
เรย์เวนสังเกตเขาคนนั้นตั้งแต่วินาทีที่ก้าวผ่านประตูเข้ามา
ดูจากมานาที่หัวใจแล้วผู้ชายคนนี้คงไม่เกินเลเวล 6 แน่ๆ แต่น่าแปลก ทำไมข้าไม่คุ้นหน้าเลย
อาจารย์คนใหม่งั้นหรือ?
ในตอนนั้นเองสายตาของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาก็หันมาทางเขาพอดี
สายตาสองคู่มองกันและกันอย่างพิจารณา
ฝ่ามือหนาที่เท้าคางอยู่กับโต๊ะ เรียวนิ้วกระดิกไปมาที่ข้างแก้ม เรย์เวนจ้องกลับอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัว
ในใจเขาคิดว่าอาจารย์คนนี้ก็คงสัมผัสได้ถึงมานาในตัวของเขาที่เทียบเท่ากับผู้ที่เป็นอาจารย์ได้เลย
แต่คนที่นั่งอยู่ที่ปลายสายตาของเขา มีถึงสองคน
“น่าจะเลเวล 6 นะ”
เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงิน ที่กำลังมองอาจารย์คนใหม่เช่นกันพูดขึ้นลอยๆ แต่กลับสร้างความแปลกใจให้คนที่ได้ยิน
เรย์เวนในตอนนี้ฝึกฝนพลังเวทของตัวเองจนสามารถบรรลุเลเวล 5 ได้แล้ว เขาจึงมองมานาในตัวของอาจารย์ออกได้ทะลุปรุโปร่ง แต่เดรคที่ยังอยู่แค่เลเวล 4 กลับมองออกเช่นกัน
รอยยิ้มเล็กๆ ที่แสดงถึงความภาคภูมิใจในตัวเพื่อนสนิทเผยขึ้น ก่อนจะเอ่ยถาม
“เจ้ารู้จักหรือไม่ ข้าไม่เห็นคุ้นหน้า” เรย์เวนหันไปถามคนที่นั่งด้านข้าง ที่สายตาของเขายังไม่ละจากอาจารย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่
“เหมือนจะชื่อ…” คำตอบถูกเว้นช่วงระยะหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดต่อ คนที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“สวัสดีนักเรียนทุกคน” เขาพูดพลางสอดส่องสายตาไปมาทั่วห้องเรียน
“อาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตาอาจารย์สักเท่าไหร่ นี่เป็นการสอนครั้งแรกน่ะ อาจารย์ชื่อ…”
“เฟทาน่า/เฟทาน่า” ทั้งสองคนเอ่ยชื่อขึ้นพร้อมกัน
“ข้าเห็นประกาศที่หน้าห้องก่อนเข้ามาน่ะ” เดรคพูดเสริมเบาๆ
หลังจากที่แนะนำตัวไปเสร็จเรียบร้อย อาจารย์คนใหม่ก็สั่งให้เปิดหนังสือในทันที
วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ เป็นวิชาพื้นฐานของนักเวท และนักดาบเวททุกคน
ซึ่งจะเรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นมานานกว่าพันปีในอดีตกาล รวมถึงเล่าเรื่องของมหาจอมเวทในสมัยก่อนว่าเคยมีวีรกรรม ผลงานอะไรที่ตกทอดมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานบ้าง
เสียงบรรยายนุ่มนวลพลางยกตัวอย่างของอาจารย์หนุ่มดังขึ้นเรื่อยๆ มีนักเรียนบางคนที่สงสัยในคำบอกเล่าก็ยกมือขึ้นถามอย่างสุภาพ บางคนก็เปิดหนังสือตามอย่างตั้งใจ
แต่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่พยายามฝืนเปลือกตาไม่ให้ปิดสนิทอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้ว่าภายในใจจะใกล้ไปเฝ้าพระอินทร์แล้วก็ตาม
ขอนอนสักงีบ…
กึด!
ไม่ทันไรความเจ็บปวดก็แล่นแปลบจากท่อนแขนขึ้นมายังสมอง ดวงตาเบิกโพลง มือหนารีบลูบแขนตัวเองปอยๆ ก่อนจะมองหน้าคนที่เป็นต้นตอของความเจ็บปวด
ให้ตายเถอะ…
“นี่เจ้าหยิกข้าทำไมกัน” เรย์เวนถามเสียงเบา แต่สีหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“อย่าหลับ อาจารย์มองมาทางเจ้าหลายครั้งแล้วนะ” เดรคเอ่ยเตือนพลางชี้ไปด้านหน้าห้อง
เรย์เวนที่มองตามจุดหมายของปลายนิ้วก็พบว่า คนที่พูดถึงกำลังมองเขาอยู่จริงๆ
เขาจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเปิดหนังสือเรียนเล่มหนาไล่ดูเรื่อยๆ โดยไม่สนใจคำบรรยายของคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเลยแม้แต่น้อย
เนื้อหาภายในหนังสือล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเขารู้มาหมดแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนักเวทที่บรรลุเลเวล 9 จนได้เป็นจ้าวแห่งเวทเมื่อหลายร้อยปีก่อน หรือคนล่าสุดก่อนที่ตัวเขาจะโด่งดังจนมีชื่อเสียงขึ้นมา
หื้อ!?
รูม่านตาของเรย์เวนเบิกกว้างเมื่อพบภาพวาดและชื่อของคนที่ไม่คาดคิด
‘ราเชล ฮาร์ท นักดาบเวทเลเวล 9’
อะไรกัน มีข้าด้วยงั้นหรือ? ใครใส่ข้าลงไปในหลักสูตรกัน แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่?
คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ไม่นานมันกลับกลายเป็นความเขินอายแทน
ให้ตายเถอะ แบบนี้ข้าก็เขินแย่สิ ให้มานั่งเรียนเรื่องของตัวเองเนี่ยนะ
เนื้อหาภายในหน้ากระดาษนั้น มีประวัติตั้งแต่เกิด เข้าเรียน ช่วงอายุที่บรรลุแต่ละขั้น การเข้าร่วมสงคราม ผลงานตอนทำภารกิจ จวบจนไปถึงประวัติครอบครัวอย่างละเอียด
“นักเรียนรู้หรือไม่ ว่าจุดด่างพร้อยในชีวิตของท่าน ราเชล ฮาร์ท คืออะไร?” อาจารย์เฟทาน่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทำให้เขาละสายตาจากกระดาษเงยหน้าขึ้นมองไปยังด้านหน้า
คำถามที่ดูไร้สาระสำหรับเรย์เวน แต่กลับสร้างความประหลาดใจให้เหล่านักเรียนในห้องอย่างเหลือเชื่อ
นักเรียนหลายคนพากันยกมือตอบ แต่กลับไม่มีใครตอบถูกเลยแม้แต่คนเดียว
อาจารย์หนุ่มส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“น้องชายที่ชื่อลูเซียส ฮาร์ทต่างหาก คือจุดด่างพร้อยที่แท้จริง”
หลังจากได้ยินคำตอบ ความเงียบสงัดก็ปกคลุมไปทั่วห้องเรียน
แต่เก้าอี้แถวบนสุดตรงกึ่งกลางของห้องเรียน เริ่มมีบรรยากาศขมุกขมัวก่อขึ้น
เด็กหนุ่มคนหนึ่งก้มหน้าจนปอยผมหน้าม้าบดบังการมองเห็น ฝ่ามือขวาที่จับกระดาษพลิกไปมาก่อนหน้าในตอนนี้กำแน่นจนใบกระดาษนั้นยับยู่ยี่ เส้นเอ็นปูดขึ้นที่หลังมือ
เขาขบกัดฟันกรามจนได้ยินเสียงดัง ‘กึด’ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับจะมีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมา
“หากในคืนนั้น ลูเซียสไม่ดึงดันที่จะตามท่านราเชลเข้าไปในปราสาท ไม่อ่อนแอจนเป็นจุดอ่อนทำให้พี่ชายต้องเสียสละตัวเอง วันนี้ก็จะยังมีนักดาบเวทเลเวล 9 ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์อยู่ในจักรวรรดิของเรา”
คำอธิบายเพิ่มเติมจากคนที่ยืนอยู่หน้าห้องยืดยาว คำพูดเหล่านั้นแทงลึกเข้าไปในใจของคนฟังจนแทบทนไม่ไหว
“รู้ได้อย่างไรครับ!”
เรย์เวนพูดโพล่งออกไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่สบอารมณ์ ใบหน้ายังคงก้มลงเล็กน้อยจนไม่อาจเห็นแววตาที่กักเก็บอารมณ์ของเขาในตอนนี้ได้
คนข้างกายที่รู้สึกถึงความไม่พอใจตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เริ่มรู้สึกกังวลใจ
“นักเรียน! หากมีคำถามต้องยกมือขึ้นก่อนแล้วรออาจา-” เฟทาน่าตำหนิด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่ยังพูดไม่จบก็ถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน
เด็กหนุ่มยกแขนซ้ายขึ้นฉับพลัน ก่อนจะถามอีกครั้งอย่างเค้นคำตอบ
“ผมถามว่าอาจารย์รู้ได้อย่างไรครับว่าลูเซียสฮาร์ทอ่อนแอ” เรย์เวนถามย้ำพลางเอนหลังพิงพนักอย่างท้าทาย
คนที่ถูกถามถอนหายใจเบาๆ ใบหน้าแสดงออกถึงความไม่พอใจในตัวเด็กนักเรียน
“เรื่องนั้นใครๆ ต่างก็รู้ดี เขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ แล้วยังด้อยกว่าพี่ชา-” อาจารย์ตอบเสียงเรียบนิ่ง แต่ถูกขัดจังหวะอีกครั้ง
“นั่นแสดงว่าอาจารย์ไม่รู้เรื่องสงครามแย่งชิงดินแดนคืนจากพวกปีศาจที่นักรบทั้งเจ็ดนำทัพเลยใช่ไหมครับ”
เด็กหนุ่มเรือนผมสีขาวเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นแววตาหยั่งเชิงอย่างเห็นได้ชัด น้ำเสียงของเขาแสดงออกถึงความเย้ยหยัน
“นี่นักเรียนพูดขัดอาจารย์หลายครั้งแล้วน-” เฟทาน่าเริ่มตะคอกกลับเสียงดังขึ้น
แต่คนที่ถูกตำหนิพูดต่ออย่างไม่สนใจ
“ศึกนั้นนักรบเจ็ดคนแยกกันไปทำสงครามกับพวกหัวหน้าหมู่ปีศาจ แต่มีหนึ่งสนามรบที่ราชาเข้าร่วมสงครามด้วย…”
เขาเว้นจังหวะพูดไปชั่วขณะ ก่อนจะกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ลงคอ
“นั่นก็คือสนามรบที่ลูเซียสเป็นคนนำทัพ เขาสู้หนึ่งต่อหนึ่งแล้วยังรอดชีวิตกลับมาได้แม้จะสูญเสียเวทมนตร์ไปก็ตาม…”
เด็กหนุ่มจดจ้องไปที่อาจารย์อย่างคาดคั้น
“ถ้าเป็นอาจารย์จะกล้าเผชิญหน้ากับไอ้ราชาเวรนั่นหรือเปล่าครับ”
นักเรียนหลายคนเริ่มหันกลับไปมองหน้าของคนที่ยืนอยู่บนเวทีหน้าห้อง เพื่อรอฟังคำตอบเช่นกัน
บรรยากาศกดดันจากทั่วทุกมุมห้อง จนใบหน้าของอาจารย์ซีดเผือด
“ระ เรื่องนั้น” เขาพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก
เรย์เวนเห็นอย่างนั้นจึงเริ่มพูดต่อ
“หลังจากที่สูญเสียเวทมนตร์ไป ลูเซียสก็ผันตัวเป็นนักดาบจนได้เป็นซอร์ตมาสเตอร์ภายในสองปี ใครๆ ต่างก็ยอมรับในความสามารถ….ถ้าอาจารย์บอกว่าเขาอ่อนแอเพราะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ นักดาบทั้งจักรวรรดิก็คงจะอ่อนแอกันหมดเลยสิครับ”
“มะ ไม่ ใช่อย่างนั้นนะ”
เฟทาน่าพยายามแก้ตัว ขาก้าวถอยหลังเพราะถูกความกดดันทิ่มแทงจากรอบทิศทาง
“แล้วคืนนั้นที่ปราสาท อาจารย์รู้ดีแค่ไหนว่าลูเซียสเป็นสาเหตุทำให้ราเชลต้องตาย ทั้งสองคนบุกไปที่ปราสาทจนต้องเสี่ยงอันตรายและพบเจอปีศาจมากมายขนาดไหน แค่ลูเซียสรอดมาได้นั่นมันก็ปาฏิหาริย์แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
เด็กหนุ่มพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง มือข้างหนึ่งยังคงกำแน่นเพื่อควบคุมอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเอง
“นักเรียนจะไปรู้ดีแค่ไหนกัน ตอนนั้นเจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ!” เฟทาน่าที่ถูกกดดันหนักมากขึ้น เขาตะโกนออกมาเสียงดังลั่นราวกับกำลังข่มขวัญศัตรู
แต่นักเรียนหนุ่มไม่มีท่าทีหวั่นเกรง
“แล้วอาจารย์เข้าร่วมสงครามด้วยเหรอครับ ถึงได้รู้ดีเหลือเกิน”
เหมือนเส้นความอดทนขาดสะบั้น ผู้เป็นอาจารย์กระแทกหนังสือลงกับโต๊ะไม้ด้านหน้าจนเกิดเสียงดัง ‘ปั้ง’ ก่อนจะตามมาด้วยแผดเสียงตะโกนดังยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“นักเรียน!!”
แต่แล้วเสียงออดบ่งบอกเวลาหมดคาบเรียนก็ดังขึ้นขัดจังหวะพอดิบพอดี
“หมดเวลาเรียนแล้วล่ะครับอาจารย์ พวกผมคงต้องไปทานข้าวกันแล้ว”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าหวานอย่างชอบใจ เขาเอ่ยพลางปิดหนังสือเล่มหนากระแทกกระทั้นใส่
เมื่อเห็นสีหน้าทะเล้นของเด็กนักเรียนที่อยู่เหนือการควบคุม คนที่ถูกต้อนจนมุมก็แสดงท่าทีไม่พอใจพร้อมกับเก็บสัมภาระอย่างรีบร้อน ก้าวเท้าเดินออกจากห้องเรียนไปในทันที
ทว่าเด็กหนุ่มที่สะกดกลั้นอารมณ์อยู่นานก็ระเบิดความโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างรุนแรง ความกดดันแผ่ปกคลุมอยู่ทั่วห้อง จนเพื่อนนักเรียนทหารคนอื่นๆ ต่างรีบกุลีกุจอพากันเก็บข้าวของเดินออกจากห้องตามอาจารย์ไป
“รีบไปกันเถอะ พลังเวทน่ากลัวเป็นบ้า”
“ทำไมเรย์เวนถึงต้องไล่ต้อนอาจารย์ขนาดนี้ด้วยนะ”
“นี่เจ้าไม่รู้หรือไง เรย์เวนสนิทกับคุณลูเซียสจะตายไป คงโกรธแทนนั่นแหละ”
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นพลางมองมาที่ตัวต้นเหตุของบรรยากาศอึมครึมภายในห้อง
เรย์เวนเหลือบมองไปทางกลุ่มคนที่พูดคุยกัน สายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวยากจะระงับไว้ทำให้คนที่หันมามองสบตาต้องสะดุ้งเฮือก หลุบตามองต่ำอย่างหวาดกลัว
แต่ทันใดนั้น ฝ่ามือใหญ่ของใครบางคนก็ยกขึ้นมาบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้าของเจ้าของเรือนผมสีขาวไว้
“จะไปไหนก็ไปซะ มายืนพูดมากให้มันได้อะไรขึ้นมา”
น้ำเสียงทุ้มต่ำคุ้นเคยเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่งโดยที่ยังคงยกมือปิดตาเรย์เวนไว้อย่างนั้น
“นี่เดรค เจ้ายังนั่งอยู่ตรงนั้นได้อย่างไรกัน ไม่รู้สึกถึงจิตสังหารอันแรงกล้าของเพื่อนเจ้าหรอกหรือ” หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย
เรย์เวนยังคงไม่สามารถระงับความโกรธไว้ได้ และปลดปล่อยออร่าความกดดันออกมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายคนสงสัยว่าคนที่นั่งใกล้ที่สุดอย่างเดรคทนอยู่ได้อย่างไร
“เรื่องของข้า รีบไสหัวไปเสียที” น้ำเสียงเข้มเชิงตำหนิของเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงิน ทำให้คนที่ได้ยินรีบขยับร่างกายออกไปจากห้องในทันที
ในเวลาไม่นานภายในห้องก็ไม่หลงเหลือคนอื่นๆ อยู่อีกแล้ว มีเพียงเด็กหนุ่มสองคนที่นั่งข้างกันเท่านั้น
เรย์เวนจับฝ่ามือที่ยังคงยกค้างปิดบังดวงตาที่ฉายแววความอาฆาตไว้ ให้ลดระดับลงและวางมันลงบนหนังสือเล่มหนา
เขาหันไปสบกับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่แสนคุ้นเคย
“ทำไมเจ้าไม่ออกไปเสียล่ะ ข้าใช่ว่าจะควบคุมอารมณ์ได้ดีนักหรอกนะ” เรย์เวนเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสงสัย
เขารู้ตัวดีว่าตนเองเป็นคนใจร้อนแค่ไหน เมื่อมีคนพูดถึงน้องชายคนเดียวที่ทั้งรักและหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เขาจะไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น
และเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ลุกขึ้นไปฆ่าอาจารย์หนุ่มที่เอาแต่พูดพร่ำในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องจริงได้ นั่นก็เป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว
ถ้าหากเขาได้ยินสิ่งเหล่านั้นด้านนอกสถาบัน เฟทาน่าคงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วก็เป็นได้
นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลมองลึกลงไปในแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะของเพื่อนสนิท เขาเข้าใจความรู้สึกของเรย์เวนดีทุกอย่าง
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นอย่างไรเรย์เวน ข้าจะนั่งรออยู่ตรงนี้จนกว่าเจ้าจะใจเย็นลงแล้วกัน”
เวลาผ่านชั่วครู่อารมณ์ที่พลุ่งพล่านของเรย์เวนก็ค่อยๆ เย็นลง โดยที่มีเดรคนั่งอยู่ข้างกายไม่ห่าง ก่อนที่ทั้งสองคนจะพากันไปทานมื้อเที่ยงที่โรงอาหารและตรงมายังโถงกลางของสถาบัน
ศูนย์รวมของนักเรียนทหารอีกหนึ่งจุดที่อยู่ภายในอาคาร เพราะในห้องมีโต๊ะยาวกว่ายี่สิบเมตรถึงสามตัวขนานกับความยาวห้อง ด้านบนมีโคมไฟระย้าส่องแสงสีทองห้อยตกแต่งเรียงรายทั่วเพดานที่สูงเสียดฟ้า
บนผนังติดภาพผู้มีวีรกรรมมากมายของจักรวรรดิไว้จนสุดทาง อีกทั้งที่แห่งนี้ยังเป็นจุดกึ่งกลางของแต่ละห้องเรียน ทำให้นักเรียนทหารเกือบทุกชั้นปีมักจะมานั่งพักระหว่างรอเรียนวิชาต่อไป
ทั้งสองคนก็เช่นกัน…
เรย์เวนเดินมาหยุดอยู่ที่ที่นั่งประจำ ฝ่ามือลูบไล้สัมผัสลงบนโต๊ะไม้ กำลังจะหย่อนตัวลงบนเก้าอี้ยาว ทว่าเสียงของเดรคก็ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองก่อน
“เจ้านั่งอยู่นี่แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะไปดูของว่างเสียหน่อย”
เจ้าของเรือนผมสีขาวไม่ได้ตอบกลับอะไร มีเพียงการพยักหน้าเล็กน้อยให้อีกฝ่ายรับรู้
เดรคเดินตรงไปยังซุ้มร้านค้าเล็กๆ ที่หัวมุมของห้องโถงในทันที
หลังจากทานมื้อเที่ยงไปหมาดๆ หนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน เรย์เวนทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ ฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะอย่างไร้เรี่ยวแรง
เพื่อหลีกหนีเสียงพูดคุยที่ดังอึกทึกจากกลุ่มคนที่นั่งอยู่ทั่วห้องโถง เขาปิดเปลือกตาลงช้าๆ ราวกับกำลังจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา
แต่แล้วความสงบสุขนั้นกลับอยู่ได้เพียงไม่นาน คนที่กำลังนั่งพักสายตาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่สบายใจคืบคลานเข้ามาแทนที่
เสียงพูดคุยรอบข้างพลันเงียบหายไปราวกับถูกสั่งให้หยุดกะทันหัน ความเงียบผิดปกติปกคลุมทั่วบริเวณ
“นักเรียนเรย์เวน ดีลักซ์!”
เสียงที่เขาเพิ่งเคยได้ยินมาไม่นานดังขึ้นด้านหลัง
ร่างของชายสูงใหญ่สองคน และหนึ่งในนั้นคือ เฟทาน่าแน่นอนเขามั่นใจ ส่วนอีกคนเขาก็รับรู้ได้ว่าใคร แต่ความสงสัยก่อตัวอยู่ในความคิด
มันจะมาทำไม?
ชายหนุ่มถอนหายใจยาว พยายามลืมความเหนื่อยล้าไปชั่วขณะ เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันหลังมาหาคนที่เอ่ยเสียงเรียกชื่อ
เฟทาน่ายืนคู่อยู่กับอาจารย์ใหญ่ แสดงสีหน้าราวกับเป็นคนมีอำนาจเหนือกว่า
ภาพที่เห็นทำให้เขาคาดเดาได้ไม่ยากว่าคนที่สร้างความรำคาญและทำให้เขาเพิ่งระเบิดลงในห้องไปก่อนหน้านี้คงวิ่งแจ้นไปฟ้องอาจารย์ใหญ่อย่างแน่นอน
“เจ้าเจออาจารย์ใหญ่เช่นนี้แต่กลับไม่ทำความเคารพงั้นหรือ ไร้มารยาท!”
อยากจะทึ้งหัวมันชะมัดถ้าไม่ติดว่าที่นี่คือสถาบันนะ…
เขาพึมพำในใจก่อนจะลุกขึ้นยืน
ฝ่ามือข้างขวาถูกยกทาบที่อกซ้าย สองขายืนเหยียดตรงก้มหัวลงเล็กน้อย
“สวัสดีครับ อาจารย์ใหญ่” เรย์เวนเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงสุภาพแม้ภายในใจจะเริ่มหงุดหงิด
「 ไอ้งั่งราเชล 」
เสียงของครูซดังขึ้นในหัวของเรย์เวนผ่าน [เวทกระซิบ]
「 อะไร 」
「 ไปก่อเรื่องอะไรอีก นี่เพิ่งเปิดเทอมวันแรกเองนะ ยังไม่สร่างจากเมื่อคืนหรือไง 」
「 ข้าเปล่า 」
“นักเรียนคนนี้แหละครับอาจารย์ใหญ่ ที่พูดจาอวดดีไร้มารยาท แล้วก็ก่อกวนในห้องเรียนขณะที่ผมกำลังทำการสอน”
เฟทาน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวพลางชี้นิ้วตรงไปที่เรย์เวน ดวงตาฉายแววตำหนิอย่างเห็นได้ชัด
คนที่ทำหน้าที่อาจารย์ใหญ่ของสถาบันหันหน้าไปรับฟังคนในปกครองของตัวเองก่อนจะหันกลับมามองนักเรียนที่ถูกกล่าวโทษ
“เจ้าทำจริงหรือเปล่าเรย์เวน”
“ผมเพียงแค่พูดในสิ่งที่ถูกเท่านั้นครับ อาจารย์” เจ้าของเรือนผมสีขาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง สายตาจ้องมองอาจารย์ใหญ่และครูผู้สอนอย่างไม่เกรงกลัว
“ยังจะเถียงไม่เลิก ช่างเป็นเด็กที่หัวรั้นนัก!” เฟทาน่าตำหนิเสียงดัง
เรย์เวนโค้งตัวให้เล็กน้อย
“ถ้าอาจารย์คิดเช่นนั้น ผมขออภัยด้วยครับสำหรับเรื่องในห้องเรียน” เขาเลือกที่จะขอโทษเพื่อยุติเรื่องราวที่กำลังจะบานปลายจนสร้างความรำคาญ
เพราะเขาเริ่มรู้สึกถึงสายตานับสิบคู่ที่มองตรงมา พร้อมเสียงซุบซิบนินทาดังฮือขึ้น
“นี่! คิดว่าแค่ขอโทษแล้วก็จบงั้นหรือ!?” ครูผู้สอนตะคอกเสียงแข็ง ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธราวกับไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
หางคิ้วของเด็กหนุ่มก็เริ่มกระตุกเพราะความหงุดหงิดทวีคูณ มือขวากำหมัดแน่น
แต่แล้วก็มีฝ่ามือคู่หนึ่งมาดึงรั้งข้อมือขวาของเรย์เวนจนร่างกายเอนตามไป ก่อนจะใช้ร่างกายที่สูงใหญ่กว่าบดบังร่างกายของเพื่อนสนิท
เดรคที่เอ่ยปากขอตัวไปร้านค้ากลับมาได้จังหวะพอดิบพอดี
“แล้วไม่ทราบว่าอาจารย์ต้องการอะไรจากเรย์เวนอีกเหรอครับ” เดรคเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น สายตาของเขาจ้องมองอาจารย์อย่างตรงไปตรงมา
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า” เฟทาน่ารีบแย้งกลับทันควัน
“ผมเป็นคนที่อยู่ทุกเหตุการณ์ตั้งแต่ในห้องเรียน การกระทำที่เสียมารยาทของเรย์เวน ตัวเขานั้นได้ขอโทษไปแล้ว ทุกคนในที่นี้ก็ได้ยิน”
เจ้าของดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลพูดพลางทอดสายตามองไปยังนักเรียนหลายคนที่ยืนมุงดูอยู่ไม่ไกลทั่วห้องโถง
เขาหันกลับไปสบตากับคนที่กำลังแสดงอาการไม่พอใจอย่างต้องการเค้นหาคำตอบ
“ความผิดมันใหญ่หลวงขนาดไหนกันครับ คำขอโทษมันถึงไม่เพียงพอ”
เฟทาน่าขบปากแน่น
“นะ นั่นมัน…” น้ำเสียงตะกุกตะกักของอาจารย์หนุ่มทำให้เสียงนินทารอบข้างดังขึ้นอีกครั้ง
「บอกข้ามาก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นในห้องเรียน 」
「 ไอ้เวรนั่นมันพูดไม่ดีถึงลูเซียส 」
เรย์เวนตอบกลับครูซผ่าน [เวทกระซิบ] ที่ดังอยู่ในหัว
เมื่อได้ยินสาเหตุเช่นนั้นสีหน้าของครูซก็เปลี่ยนไป เขาหันกลับไปหาอาจารย์ในความปกครองที่ยืนอยู่ข้างกาย
“ข้าว่าก็จบกันแต่เพียงเท่านี้ดีกว่านะครับอาจารย์เฟทาน่า"
คนที่ถูกถามเงยหน้ามองอาจารย์ใหญ่ด้วยสายตาเลิ่กลั่ก
“หรือว่าอาจารย์อยากให้ข้าทำอะไรครับถึงเร่งรัดไปตามตัวข้ามาเช่นนี้” ครูซถามย้ำ
“อะ เอ่อ…ครับ อาจารย์ใหญ่” เฟทาน่าตอบสั้นๆ อย่างจำใจ
“ดีครับ” ครูซเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหันกลับมามองหน้าเด็กนักเรียนสองคน
เรย์เวนชะโงกหัวผ่านไหล่ข้างซ้ายของเดรค เขาเห็นสีหน้าที่ดูเจ็บใจของอาจารย์หนุ่มที่พยายามจะสร้างเรื่องอีกรอบ ทำให้เขารู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เผยอขึ้นที่มุมปากอยู่ด้านหลังของเดรค ก่อนจะออกแรงดันแผ่นหลังของเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินที่ออกตัวปกป้องเขา ให้เดินผ่ากลางฝูงชนออกจากจุดรวมสายตาของคนทั้งห้องโถง
ในขณะที่เด็กหนุ่มสองคนหันหลังให้ผู้เป็นอาจารย์ที่มีอำนาจเหนือกว่า มีจังหวะหนึ่งเรย์เวนหันกลับไปสบตากับครูซโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น แค่เพียงชั่วครู่พวกเขาก็พูดคุยผ่าน [เวทกระซิบ] พร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย
「 ไว้หาเวลาว่างมาเล่าให้ข้าฟังด้วย 」
「 ได้ แต่ข้าคงไม่สบอารมณ์นัก ฝากเตือนหมอนั่นด้วยถ้ามีครั้งหน้า ข้า ฆ่า มัน แน่ 」
เฟทาน่ายืนนิ่งอยู่กับที่ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บใจแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ฝ่ามือกำแน่นราวกับกำลังกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้ จนเด็กหนุ่มเดินไปสุดสายตา บรรยากาศตึงเครียดคลายลงในห้องโถงกลางก็เหลือเพียงความเงียบสงบที่แฝงไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ
ในป่าอะโคไนต์ที่อยู่ในความดูแลของตระกูลดีลักซ์ บรรยากาศยามเย็นที่แสงแดดส่องผ่านกลุ่มใบไม้พาดผ่านลงมาสู่พื้นดิน
ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นภายในนั้น
ตู้มมมมม!!
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมเศษชิ้นเนื้อของร่างกายของใครบางคนร่วงหล่นลงสู่พื้น
ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งในชุดแม่บ้านตะโกนออกมาจนสุดเสียง
“นายน้อยยยยยยยย!!”
ใบหน้าและแววตาของเธอซีดเผือดลงในทันทีเมื่อมองไม่เห็นร่างของผู้เป็นนาย มีเพียงเศษซากเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นกองอยู่กับพื้นเท่านั้น
To be continued
ใดๆ คือใครก็ตามห้ามแตะน้องชายสุดที่รักเป็นอันขาด ห้ามด่า ห้ามว่า ห้ามติ เพราะตัวเองยังว่าน้องไม่ได้เลยคนอื่นแกมีสิทธิ์ไรเอ่ย จริงๆ แล้วเฟทาน่าเป็นแฟนคลับราเชลที่รับไม่ได้กับการตายของวีรบุรุษค่ะก็เลยโยนความผิดไปให้ลูเซียส และคนที่เพิ่มราเชลเข้าไปในหนังสือเรียนก็คือนางนั่นแหละจ้าาาาา
ปล. ขออนุญาตหวีดโมเม้นต์เดรคเรย์เวน บ๊ะ!!! แกมาได้ทันเวลาพอดีอย่างกับรู้ใจ ดึงไปแอบข้างหลังเพราะลูกเราตัวน้อยกลัวโดนรุมอะดิ โถ่ๆๆๆ