”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?
แฟนตาซี,ผจญภัย,ดราม่า,แอคชั่น,สงคราม,แก้แค้น,แอคชั่น,ปีศาจ,จอมเวท,เกิดใหม่ ,นักดาบ,ดราม่า,เวทมนตร์,#BL,แฟนตาซี,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?
ต่อให้มีนักอ่านแค่คนเดียว ก็จะไม่ทอดทิ้งโลกที่ฉันสร้างขึ้นมา
"ราเชล ฮาร์ท" อดีต 1 ใน 7 นักรบ ที่เคยสร้างชื่อในสงครามมาอย่างนับไม่ถ้วน นักดาบเวท เลเวล 9 อัฉริยะของจักรวรรดิ มีน้องชายที่รักมาก "ลูเซียส ฮาร์ท" ที่ต่อสู้เคียงข้างกันมาตลอด ครั้งหนึ่งลูเซียสสูญเสียพลังเวททั้งหมดไปจากการต่อสู้กับราชาปีศาจ แต่เขาก็ฝึกฝนดาบจนได้เป็น ซอร์ตมาสเตอร์
วันหนึ่งสองพี่น้องได้เข้าไปสอดแนมในปราสาทของราชาปีศาจ ราเชลปกป้องน้องจนพลาดท่า ลูเซียสถูกประนามที่อ่อนแอจนทำให้กำลังสำคัญอย่างราเชลต้องตาย แต่แล้วเขาก็เกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา "ดีลักซ์" ครั้งนี้ราเชลต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เพื่อจะเป็นนักดาบเวทอีกครั้ง เขาจะต้องแก้แค้นราชาปีศาจในครั้งนี้ให้ได้
#ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล9
ครืดดดดด
เสียงประตูเลื่อนดังขึ้น เผยให้เห็นสภาพภายในห้องเรียน เวทีด้านหน้าที่สูงจากพื้นประมาณหนึ่งคืบเป็นที่สำหรับอาจารย์ผู้สอน ฝั่งตรงข้ามคือที่นั่งของนักเรียนที่จัดเรียงเป็นชั้นไว้เพื่อให้มองเห็นอาจารย์ได้อย่างชัดเจน มองดูผ่าน ๆ เหมือนจะบรรจุนักเรียนได้ประมาณ 60 คน
ข้ากับเดรคก้าวผ่านประตูเข้ามา สายตาทอดมองหาเก้าอี้ว่าง จากการไล่สายตาดูส่วนใหญ่ก็มีนักเวทที่ติดเข็มกลัดสีแดงค่อนข้างมากเป็นพิเศษซึ่งนั่นมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ที่น่าแปลกใจก็คือมีนักเรียนติดเข็มกลัดสีน้ำเงินมากกว่าที่คิดเสียอีก
สมัยก่อนนักดาบเวทไม่ได้รับความนิยมขนาดนั้น เพราะมันทั้งยากและซับซ้อน ต้องสร้างวิถีดาบของตัวเอง จนอยู่ในระดับซอร์ตเอ็กซ์เปิร์ตขั้นกลางเป็นอย่างต่ำแล้วยังต้องมีวิสัยทัศน์เวทมนตร์ 2 อย่างขึ้นไปอีกด้วย
ตอนที่ข้าเรียนมีเพียงข้ากับครูซเพียง 2 คนเท่านั้นที่ผ่านเกณฑ์
หวังว่าในปีนี้จะสามารถเรียนจนจบอย่างที่คิดไว้แล้วกันนะ…
“ไปนั่งตรงนั้นกัน” เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินพูดขึ้นพลางชี้เรียวนิ้วไปยังที่ว่างพอดีสำหรับสองคน ก่อนจะเดินนำขึ้นไป
หลังจากที่เราทั้งสองคนมานั่งได้ไม่นาน เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใครบางคนกำลังเดินตรงไปที่แท่นยืนบรรยายหน้าชั้นเรียน
ดูจากมานาที่หัวใจแล้วอาจารย์คนนี้คงไม่เกินเลเวล 6 แต่น่าแปลก ทำไมข้าไม่คุ้นหน้าเลย
อาจารย์คนใหม่งั้นหรือ?
หืม..?!
เหลือบมองมาทางนี้ด้วยแหะ รู้สึกถึงมานาที่เกือบจะเทียบเท่าตัวเองงั้นสิ
ว่าแต่ มองข้าหรือเดรคกันล่ะ?
"น่าจะเลเวล 6 นะ" คนข้างกายที่กำลังท้าวคางมองอาจารย์คนใหม่เอ่ยขึ้นลอยๆ ข้าพยักหน้าแทนคำตอบ
ในตอนนี้ตัวข้าอยู่ ฝึกฝนพลังเวทมาถึงเลเวล 5 แล้ว จะมองออกก็ไม่แปลก แต่เดรค…ก็มองออกเช่นกัน ไม่เบาแล้วเจ้าเด็กคนนี้
“เจ้ารู้จักหรือไม่ ข้าไม่เห็นคุ้นหน้า” ข้าหันไปถามคนด้านข้างที่ยังไม่ละสายตาจากอาจารย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่
“เหมือนจะชื่อ…” คำตอบถูกเว้นช่วงระยะหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดต่อ คนที่ยืนอยู่หน้าห้องก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“สวัสดีนักเรียนทุกคน” เขาพูดพลางสอดส่องสายตาไปมาทั่วห้องเรียน “อาจจะไม่คุ้นหน้าคุ้นตาอาจารย์สักเท่าไหร่ นี่เป็นการสอนครั้งแรกน่ะ อาจารย์ชื่อ…”
“เฟทาน่า/เฟทาน่า” ทั้งสองคนเอ่ยชื่อขึ้นพร้อมกัน
หลังจากที่แนะนำตัวไปเสร็จเรียบร้อย อาจารย์คนใหม่ก็สั่งให้เปิดหนังสือประวัติศาสตร์เวทมนตร์ขึ้นมาทันที วิชานี้ก็ไม่มีอะไรมากมาย นอกจากเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นมานานกว่าพันปีในอดีตกาลรวมถึงเล่าเรื่องของมหาจอมเวทสมัยก่อนว่าเคยมีวีรกรรม ผลงานอะไรที่ตกทอดมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานบ้าง
ข้านั่งฟังไปหาวไป เพราะทุกอย่างที่ได้ยินในตอนนี้ข้ารับรู้มาหมดทุกอย่างแล้วน่ะสิ แล้วเสียงอาจารย์ก็นุ่มจนง่วงเหลือเกิน
ขอนอนสักงีบ…
กึด!
ไม่ทันไรความเจ็บปวดก็แล่นแปลบจากท่อนแขนขึ้นมายังสมอง จะอ้าปากร้องโอดโอยก็ไม่ได้เพราะโดนสายตาคาดโทษจากเพื่อนสนิท
ให้ตายเถอะ…
“นี่เจ้าหยิกข้าทำไมกัน”
“อย่าหลับ อาจารย์มองมาทางเจ้าหลายครั้งแล้วนะ”
เราสองคนกระซิบคุยกันเบาๆ ก่อนจะเบนสายตาไปด้านหน้าห้อง…มองอยู่จริงๆ ด้วย
ชิ! ข้าทำท่าเปิดหนังสือไล่ดูไปเรื่อยๆ มันแทบจะไม่มีอะไรที่ข้าไม่รู้เลย ไม่ว่าจะเป็นนักเวทที่บรรลุ เลเวล 9 จนได้เป็นจ้าวแห่งเวทเมื่อหลายร้อยปีก่อน หรือคนล่าสุดก่อนที่จะมีข้า…
หื้อ!?
มีข้าด้วยงั้นหรือ? ใครใส่ข้าลงไปในหลักสูตรกัน แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่?
ให้ตาย แบบนี้ข้าก็เขินแย่สิ (///▽///) ให้มานั่งเรียนเรื่องของข้าเองเนี่ยนะ
เนื้อหามีประวัติตั้งแต่เกิด เข้าเรียน บรรลุแต่ละขั้น เข้าร่วมสงคราม ได้รับตำแหน่งต่างๆ ผลงานตอนทำภารกิจ รวมไปถึงประวัติครอบครัวด้วย ละเอียดเหมือนเกาะติดชีวิตข้าเหลือเกินนะ
“นักเรียนรู้หรือไม่ ว่าจุดด่างพร้อยในชีวิตของท่านราเชล ฮาร์ทคืออะไร?” คำถามบ้าบออะไรกันไร้สาระสิ้นดี คนอย่างข้าที่ได้รับสมญานามว่าเป็นอัฉริยะของจักรวรรดิเนี่ยนะจะมีอะไรแบบนั้น
นักเรียนหลายคนพากันยกมือตอบ แต่ยังไม่มีใครตอบถูกเลยแม้แต่คนเดียว
“น้องชายที่ชื่อลูเซียส ฮาร์ทต่างหาก คือจุดด่างพร้อยที่แท้จริง”
…
“หากในคืนนั้น ลูเซียสไม่ดึงดันที่จะตามท่านราเชลเข้าไปในปราสาท ไม่อ่อนแอจนเป็นจุดอ่อนทำให้พี่ชายต้องเสียสละตัวเอง วันนี้ก็จะยังมีนักดาบเวท เลเวล 9 ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์อยู่ในจักรวรรดิของเรา”
“รู้ได้ไง!” ข้าพูดโพล่งออกไปโดยไม่สนว่าเจ้าอาจารย์นั่นจะอธิบายอะไรต่อ
“นักเรียน! หากมีคำถามต้องยกมือขึ้นก่อนแล้วรออาจา-”
“ผมถามว่าอาจารย์รู้ได้อย่างไรครับว่าลูเซียสฮาร์ทอ่อนแอ” แค่ยกมือก็จบใช่มั้ย งั้นก็ตอบมาซะ ไอ้เฮงซวย!
“เรื่องนั้นใครๆ ต่างก็รู้ดี เขาไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ แล้วยังด้อยกว่าพี่ชา-” ด้อยกว่างั้นหรือ ช่างกล้าพูดเหลือเกิน
“นั่นแสดงว่าอาจารย์ไม่รู้เรื่องสงครามแย่งชิงดินแดนที่นักรบทั้งเจ็ดนำทัพเลยใช่หรือไม่ครับ”
“นี่นักเรียนพูดขัดอาจารย์หลายครั้งแล้วน-”
แล้วจะทำไมกันละวะไอ้เวร
“ศึกนั้นนักรบเจ็ดคนแยกกันไปทำสงครามกับพวกปีศาจระดับหัวหน้าหมู่ แต่มีหนึ่งสนามรบที่ราชาปีศาจเข้าร่วมสงครามด้วย…นั่นก็คือสนามรบที่ลูเซียสเป็นคนนำทัพ เขาสู้หนึ่งต่อหนึ่งแล้วยังรอดชีวิตกลับมาได้แม้จะสูญเสียเวทมนตร์ไปทั้งหมดก็ตาม ถ้าเป็นอาจารย์จะกล้าเผชิญหน้ากับไอ้ราชาเวรนั่นหรือไม่ครับ”
“ระ เรื่องนั้น”
พูดไม่ออกเลยล่ะสิ ข้าว่าถ้าเจ้าได้เจอกับไอ้ปีศาจคงจะตายเสียตั้งแต่ยังไม่ขยับตัวด้วยซ้ำ
"หลังจากที่สูญเสียเวทมนตร์ไป ลูเซียสก็ผันตัวเป็นนักดาบจนได้เป็นซอร์ตมาสเตอร์ภายในสองปี จนใครๆ ต่างก็ยอมรับในความสามารถ….ถ้าอาจารย์บอกว่าเขาอ่อนแอเพราะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ มิเช่นนั้นนักดาบทั้งจักรวรรดิก็คงจะอ่อนแอกันหมดเลยสิครับ"
"มะ ไม่ ใช่อย่างนั้นนะ"
แก้ตัวตอนนี้มันจะไปทันอะไร
"แล้วคืนนั้นที่ปราสาท อาจารย์รู้ดีแค่ไหนว่าลูเซียสเป็นสาเหตุทำให้ราเชลต้องตาย ทั้งสองคนบุกไปที่ปราสาท ต้องเจอปีศาจมากมายขนาดไหน แค่ลูเซียสรอดมาได้นั่นมันก็ปฏิหารย์แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“นักเรียนจะไปรู้ดีแค่ไหนกัน ตอนนั้นเจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ!”
พอเถียงไม่ออกก็อ้างเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีเลยสินะ ข้ารู้ดีอยู่แล้ว เพราะข้าคือราเชลอย่างไงล่ะ
“แล้วอาจารย์เข้าร่วมสงครามด้วยหรือครับ ถึงได้รู้ดีเหลือเกิน”
“นักเรียน!!”
ติ๊งหน่อง~
“หมดเวลาเรียนแล้วล่ะครับอาจารย์ พวกผมคงต้องไปทานข้าวกันแล้ว”
เมื่อเห็นสีหน้าทะเล้นของเด็กนักเรียนที่อยู่เหนือการควบคุมก็แสดงท่าทีไม่พอใจพร้อมกับเก็บสัมภาระแล้วรีบสาวเท้าก้าวเดินออกจากห้องเรียนไป
ข้าว่าเจ้านั่นคงจะรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย แต่ใครจะสน กล้าดีอย่างไรถึงมาพูดถึงน้องข้าเช่นนั้น ทำเป็นรู้ดีไปเสียหมดทั้งที่ไม่เคยรู้จักสนิทสนมกันแม้แต่น้อย
ข้าปลดปล่อยออร่าที่แฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยวปะปนความรู้สึกโมโหจนอยากจะบั่นคอไอ้อาจารย์เวรนั่นให้ตายมันเสียตอนนี้
เพื่อนนักเรียนคงจะรู้สึกได้เลยพากันรีบกุลีกุจอออกจากห้องไป
"รีบไปกันเถอะ พลังเวทน่ากลัวเป็นบ้า"
"ทำไมเรย์เวนถึงต้องทำขนาดนี้ด้วยนะ"
"นี่เจ้าไม่รู้หรือไง เรย์เวนสนิทกับคุณลูเซียสจะตายไป คงโกรธแทนนั่นแหละ"
คำซุบซิบน่ารำคาญทำให้ต้องเหลือบมองต้นตอของเสียง อาจเป็นเพราะสายตาที่แฝงไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวยากจะระงับไว้ทำให้คนที่หันมามองสบตาต้องสะดุ้งเฮือก หลุบตามองต่ำอย่างหวาดกลัว
แต่ยังไม่ทันไรก็มีฝ่ามือของใครบางคนขึ้นมาบดบังทัศนียภาพเบื้องหน้าไปเสียก่อน
“จะไปไหนก็ไปซะ มายืนพูดมากให้มันได้อะไรขึ้นมา” น้ำเสียงคุ้นเคยเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่งโดยที่ยังคงยกมือปิดตาข้าไว้อย่างนั้น
“นี่เดรค เจ้ายังนั่งอยู่ตรงนั้นได้อย่างไรกัน ไม่รู้สึกถึงจิตสังหารอันแรงกล้าของเพื่อนเจ้าหรอกหรือ”
ประโยคคำถามของใครก็ไม่รู้ที่ข้าเองก็ยังไม่เคยแม้แต่จะจำชื่อทำให้ฉุกคิดตามอย่างเลี่ยงไม่ได้
ข้าไม่ได้ผ่อนการปลดปล่อยพลังเวทลงแม้แต่น้อย แต่เดรคทำไมถึงยังทนได้อยู่กันนะ…
“เรื่องของข้า รีบไสหัวไปเสียที” คงเป็นเพราะคำพูดที่ค่อนข้างหยาบคายเมื่อคนที่พูดเป็นถึงลูกชายของดยุกและน้ำเสียงที่จริงจัง จึงทำให้คนที่ยังอยู่เฉยรีบขยับร่างกายออกไปจากห้องในทันที
เมื่อรู้สึกว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นแล้ว ข้าจับมือที่ยังคงยกค้างไว้ ลดระดับลงและวางบนหนังสือเล่มหนาที่เปิดค้างอยู่ หันไปสบกับดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลที่แสนคุ้นเคย
“ทำไมเจ้าไม่ออกไปเสียล่ะ ข้าใช่ว่าจะควบคุมอารมณ์ได้ดีนักหรอกนะ”
นั่นเป็นความจริง ข้อเสียอันดับหนึ่งของข้าคือ ความใจร้อนโดยเฉพาะตอนที่ถูกจี้จุดเรื่องน้องชายสุดที่รักแล้วด้วย ไม่ว่าใครหน้าไหนข้าก็ไม่สนทั้งนั้น แค่ตอนนี้ข้ายังข่มกลั้นอารมณ์ไว้อยู่ได้นั่นก็ยิ่งกว่าปฏิหารย์แล้ว หากได้ยินไอ้เวรนั่นพูดเช่นนั้นด้านนอก สภาพของมันตอนนี้คงนอนเป็นศพที่ร่างกายแต่ละส่วนถูกฉีกทึ้งไปคนละทิศละทาง
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นอย่างไรเรย์เวน ข้าจะนั่งรออยู่ตรงนี้จนกว่าเจ้าจะใจเย็นลงแล้วกัน”
โถงกลาง สถาบันทหาร
ใช้เวลาไม่นานนักอารมณ์ของข้าก็ค่อยๆ เย็นลง โดยที่มีเดรคนั่งอยู่ข้างกายไม่ห่าง ก่อนจะพากันไปทานมื้อเที่ยงที่โรงอาหารแล้วก็ตรงมายังโถงกลางของสถาบัน
ศูนย์รวมของนักเรียนทหารอีกหนึ่งจุดที่อยู่ภายในอาคาร เพราะในห้องมีโต๊ะยาวกว่ายี่สิบเมตรถึงสามตัวขนานกับความยาวห้อง ด้านบนมีโคมไฟระย้าส่องแสงสีทองห้อยตกแต่งเรียงรายทั่วเพดานที่สูงเสียดฟ้า ผนังติดภาพผู้มีวีรกรรมมากมายของจักรวรรดิไว้จนสุดทาง อีกทั้งที่แห่งนี้ยังเป็นจุดกึ่งกลางของแต่ละห้องเรียน ทำให้นักเรียนทหารเกือบทุกชั้นปีมักจะมานั่งพักระหว่างรอเรียนวิชาต่อไป
ข้าเองก็เช่นกัน…
“เจ้านั่งอยู่นี่แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะไปดูของว่างเสียหน่อย” ไม่มีคำตอบใดออกจากปาก มีเพียงการพยักหน้าเล็กน้อยให้อีกฝ่ายรับรู้ก่อนที่จะเดินตรงไปยังซุ้มร้านค้าเล็กๆ ที่หัวมุมของห้องโถง
เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน
ข้าฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะ พยายามปล่อยหัวให้โล่งเพื่อตัดเสียงรอบข้างที่คุยจอแจกันอยู่ไม่ไกล
แต่ความสงบกลับอยู่กับข้าได้เพียงไม่นานก็รู้สึกได้ถึงความน่ารำคาญคืบคลานเข้ามาเยือน เพราะเสียงที่พูดคุยรอบข้างพลันเงียบหายคล้ายจะมีคนสั่งให้มันหยุด
“นักเรียนเรย์เวน ดีลักซ์!”
เสียงที่เพิ่งเคยได้ยินมาไม่นานดังขึ้นด้านหลัง ตอนนี้รับรู้ได้ถึงร่างของผู้ชายสองคน ซึ่งคนหนึ่งคือไอ้เวรเฟทาน่าแน่นอน แต่อีกคนเนี่ยสิ
มันจะมาทำไม?
แต่เมื่อมาถึงขนาดนี้ก็คงจะต้องละทิ้งเวลาพักสายตาหันมาหาเสียหน่อย
ไม่ผิดไปจากที่คาดการณ์ ไอ้อาจารย์เวรมันคงวิ่งโร่ไปฟ้องถึงห้องอาจารย์ใหญ่ล่ะสิ ครูซมันถึงได้มายืนหน้าตึงอยู่ต่อหน้าข้าเช่นนี้
“เจ้าเจออาจารย์ใหญ่เช่นนี้แต่กลับไม่ทำความเคารพงั้นหรือ ไร้มารยาท!”
อยากจะทึ้งหัวมันชะมัดถ้าไม่ติดว่าที่นี่คือสถาบันนะ…
ฝ่ามือข้างขวาถูกยกทาบที่อกซ้าย สองขายืนเหยียดตรงก้มหัวลงเล็กน้อย
“สวัสดีครับ อาจารย์ใหญ่”
「 ไอ้งั่งราเชล 」
เสียงของครูซดังขึ้นในหัวผ่าน [เวทกระซิบ] ที่เรามักจะใช้กันเป็นประจำเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน
「 อะไร 」
「 ไปก่อเรื่องอะไรอีก นี่เพิ่งเปิดเทอมวันแรกเองนะ ยังไม่สร่างจากเมื่อคืนหรือไง 」
「 ข้าเปล่า 」
“นักเรียนคนนี้แหละครับอาจารย์ใหญ่ ที่พูดจาอวดดีไร้มารยาท แล้วก็ก่อกวนในห้องเรียนขณะที่ผมกำลังทำการสอน”
จะกล่าวอะไรก็ให้มันมีเค้าโครงเรื่องจริงหน่อยไม่ได้หรือไง
คนที่ทำหน้าที่อาจารย์ใหญ่ของสถาบันหันหน้าไปรับฟังคนในปกครองของตัวเองก่อนจะหันกลับมามองนักเรียนที่ถูกกล่าวโทษ
“เจ้าทำจริงหรือเปล่าเรย์เวน”
“ผมเพียงแค่พูดในสิ่งที่ถูกเท่านั้นครับ อาจารย์” ข้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งสายตาจดจ้องมองทั้งคู่อย่างไม่เกรงกลัว
ก็ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดนี่
“ยังจะเถียงไม่เลิก ช่างเป็นเด็กที่หัวรั้นนัก!”
“ถ้าอาจารย์คิดเช่นนั้น ผมขออภัยด้วยครับสำหรับเรื่องในห้องเรียน” ข้าอยากตัดความรำคาญจึงรีบกล่าวคำที่คิดว่ามันคงอยากฟังที่สุดไปพร้อมโค้งตัวให้เล็กน้อย
จริงๆ ก็เพราะเริ่มได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากนั่งเรียนหลายต่อหลายคนที่เฝ้ามองเหตุการณ์น่าสนใจนี้อยู่
“นี่! คิดว่าแค่ขอโทษแล้วก็จบงั้นหรือ!?”
ทันทีที่ไอ้เวรนั่นพูดจบประโยค หางคิ้วก็เริ่มกระตุกนิดหน่อยเพราะความหงุดหงิด มือขวากำหมัดแน่น
แต่ก่อนที่อารมณ์จะพลุ่งพล่านอีกครั้ง ก็รู้ได้ถึงแรงฉุดรั้งที่ข้อมือขวาให้ไปหลบอยู่ด้านหลังของเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินเข้มที่บอกจะไปร้านค้าแต่กลับมาได้ถูกจังหวะพอดิบพอดี
“แล้วไม่ทราบว่าอาจารย์ต้องการอะไรจากเรย์เวนอีกงั้นเหรอครับ” เดรคเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“ผมเป็นคนที่อยู่ทุกเหตุการณ์ตั้งแต่ในห้องเรียน การกระทำที่เสียมารยาทของเรย์เวน ตัวเขานั้นได้ขอโทษไปแล้ว ทุกคนในที่นี้ก็ได้ยิน” เจ้าของดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลพูดพลางทอดสายตามองไปยังนักเรียนที่ยืนมุงดูอยู่ไม่ไกล
“ความผิดมันใหญ่หลวงขนาดไหนกันครับ คำขอโทษมันถึงไม่เพียงพอ” นันย์ตาที่ต้องการเค้นหาคำตอบถูกส่งตรงไปยังตัวการ
เฟทาน่าขบปากแน่นแสดงออกชัดว่าไม่พอใจ
“นะ นั่นมัน…” น้ำเสียงตะกุกตะกักของเฟทาน่าทำให้เสียงนินทารอบข้างดังขึ้นอีกครั้ง
「 บอกข้ามาก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นในห้องเรียน 」
「 ไอ้เวรนั่นมันพูดไม่ดีถึงลูเซียส 」
ข้าตอบกลับผ่าน [เวทกระซิบ] ที่ดังอยู่ในหัว
อุตส่าห์ไม่อยากพูดถึงแล้วเชียว แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของครูซก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปหันกลับไปหาอาจารย์ในความปกครอง
“ผมว่าก็จบกันแต่เพียงเท่านี้ดีกว่านะครับอาจารย์เฟทาน่า" คนที่ถูกถามเงยหน้ามองอาจารย์ใหญ่ด้วยสายตาเลิ่กลั่ก
“หรือว่าอาจารย์อยากให้ผมทำอะไรครับถึงเร่งรัดไปตามตัวผมมาเช่นนี้”
“อะ เอ่อ…ครับ อาจารย์ใหญ่”
“ดีครับ”
ข้าชะโงกหัวผ่านไหล่ข้างซ้ายของเดรค สีหน้าของที่ดูเจ็บใจของมันทำให้ข้าสะใจไม่น้อยเลย
“ถ้าจบเรื่องแล้วพวกเราขอตัวนะครับ อา-จารย์-ใหญ่” ข้าใช้สองมือดันแผ่นหลังของคนที่ออกตัวปกป้องให้เดินผ่ากลางฝูงออกจากจุดรวมสายตาของคนทั้งห้องโถง
「 ไว้หาเวลาว่างมาเล่าให้ข้าฟังด้วย 」
「 ได้ แต่ข้าคงไม่สบอารมณ์นัก ฝากเตือนหมอนั่นด้วยถ้ามีครั้งหน้า ข้า ฆ่า มัน แน่ 」
การพูดคุยทิ้งท้ายผ่าน [เวทกระซิบ] และท่าทางของเราทั้งสองคนที่หันมาสบตาพร้อมกับพยักหน้ากันให้เล็กน้อย เป็นสัญญาณทางกายที่เข้าใจซึ่งกันและกัน ก่อนจะแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง
ป่าอะโคไนต์
ตู้มมมมม!!
แผละ
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมเศษชิ้นเนื้อของร่างกายร่วงหล่นลงสู่พื้น ทำให้มาเรียน่าที่ยังเผชิญหน้าอยู่กับนักดาบเพียงพหนึ่งคนเพราะอีกคนได้ทำการปลิดชีพไปแล้วหันมามองด้วยความตกใจ เมื่อสอดส่องสายตาจนทั่วกลับมองไม่เห็นร่างของผู้เป็นนาย และเศษเสื้อผ้าที่คุ้นเคยกองอยู่ที่พื้น ทำให้เธอฉุกคิดขึ้นได้
“นายน้อยยยยยยยย!!”
To be continue
ใดๆ คือใครก็ตามห้ามแตะน้องชายสุดที่รักเป็นอันขาด ห้ามด่า ห้ามว่า ห้ามติ เพราะตัวเองยังว่าน้องไม่ได้เลยคนอื่นแกมีสิทธิ์ไรเอ่ย จริงๆ แล้วเฟทาน่าเป็นแฟนคลับราเชลที่รับไม่ได้กับการตายของวีรบุรุษค่ะก็เลยโยนความผิดไปให้ลูเซียส และคนที่เพิ่มราเชลเข้าไปในหนังสือเรียนก็คือนางนั่นแหละจ้าาาาา
ปล. ขออนุญาตหวีดโมเม้นต์เดรคเรย์เวน บ๊ะ!!! แกมาได้ทันเวลาพอดีอย่างกับรู้ใจ ดึงไปแอบข้างหลังเพราะลูกเราตัวน้อยกลัวโดนรุมอะดิ โถ่ๆๆๆ