”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9 - 11 นาฬิกาเรือนเก่า โดย fixcblue @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ดราม่า,แอคชั่น,สงคราม,แก้แค้น,แอคชั่น,ปีศาจ,จอมเวท,เกิดใหม่ ,นักดาบ,ดราม่า,เวทมนตร์,#BL,แฟนตาซี,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ดราม่า,แอคชั่น,สงคราม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แก้แค้น,แอคชั่น,ปีศาจ,จอมเวท,เกิดใหม่ ,นักดาบ,ดราม่า,เวทมนตร์,#BL,แฟนตาซี,ต่างโลก

รายละเอียด

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9 โดย fixcblue @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?

ผู้แต่ง

fixcblue

เรื่องย่อ


 

ต่อให้มีนักอ่านแค่คนเดียว ก็จะไม่ทอดทิ้งโลกที่ฉันสร้างขึ้นมา


 

"ราเชล ฮาร์ท" อดีต 1 ใน 7 นักรบ ที่เคยสร้างชื่อในสงครามมาอย่างนับไม่ถ้วน นักดาบเวท เลเวล 9 อัฉริยะของจักรวรรดิ มีน้องชายที่รักมาก "ลูเซียส ฮาร์ท" ที่ต่อสู้เคียงข้างกันมาตลอด ครั้งหนึ่งลูเซียสสูญเสียพลังเวททั้งหมดไปจากการต่อสู้กับราชาปีศาจ แต่เขาก็ฝึกฝนดาบจนได้เป็น ซอร์ตมาสเตอร์


วันหนึ่งสองพี่น้องได้เข้าไปสอดแนมในปราสาทของราชาปีศาจ ราเชลปกป้องน้องจนพลาดท่า ลูเซียสถูกประนามที่อ่อนแอจนทำให้กำลังสำคัญอย่างราเชลต้องตาย แต่แล้วเขาก็เกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา "ดีลักซ์" ครั้งนี้ราเชลต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เพื่อจะเป็นนักดาบเวทอีกครั้ง เขาจะต้องแก้แค้นราชาปีศาจในครั้งนี้ให้ได้

#ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล9

สารบัญ

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-บทนำ ข้ามาเกิดใหม่งั้นหรือ?,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-1 คุณชายแห่งนีไอโอเนีย,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-2 ไอ้เด็กเมื่อวานซืน,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-3 เจ้าเป็นข้ารับใช้ของใคร,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-4 มาเรียน่า,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-5 อดีตนักรบ,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-6 ลงทะเบียนเรียนชั้นปีที่ 2,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-7 จุดด่างพร้อยหนึ่งเดียว,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-8 มือสังหาร,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-9 การฆ่าครั้งแรก,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-10 น้ำกับไฟถ้าไกลกันได้ก็ดี,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-11 นาฬิกาเรือนเก่า,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-12 ผู้ใช้เวทห้วงเวลา,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-13 ผสานสามวงแหวนเวทมนตร์,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-14 แค่ฝึกซ้อม (1),ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-15 แค่ฝึกซ้อม (2),ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-16 คำสั่งขององค์จักรพรรดิ

เนื้อหา

11 นาฬิกาเรือนเก่า

แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมาในตรอกแคบๆ ของเมืองหลวง กลิ่นอับชื้นปะปนกับกลิ่นเศษอาหารตามท่อระบายน้ำลอยฟุ้งไปทั่ว 

เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนทหาร เรือนผมสีขาวดุจหิมะ ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าๆ ท่าทางหงุดหงิดปรากฏชัดบนใบหน้าหวาน 

ฝ่ามือหนาค่อยๆ ตักพุดดิ้งเนื้อเนียนนุ่มเข้าปาก แต่ใบหน้ากลับบ่งบอกถึงความไม่พอใจ 

รสชาติหวานมันที่เคยชินกลับจืดชืดผิดปกติ จนความหงุดหงิดค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจ 

“พุดดิ้งนี่ทำไมมันไม่ค่อยหวานเลยนะ วันนี้ป้าเขาทำผิดสูตรหรืออย่างไร” 

เขาพึมพำเบาๆ พลางตักพุดดิ้งเข้าปากอีกหนึ่งคำ ทำให้ความหงุดหงิดเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น 

ความคิดของเด็กหนุ่มเริ่มฟุ้งซ่านจนอยากจะไปร้องเรียนเรื่องรสชาติว่ามันผิดเพี้ยนไปจากเดิมอยู่มากโข

เขากลั้นใจฝืนกลืนพุดดิ้งในปากเข้าไปจนหมดก่อนจะเบะปากออกมาอย่างไม่พอใจ 

ช่วงเวลาแห่งการกล้ำกลืนฝืนทนผ่านไปสักพัก เขาก็เริ่มคิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้มันเลยเวลาที่นัดกับสาวใช้คนสนิทมาได้สักพักแล้วแต่เธอก็ยังไม่ปรากฏตัว

แม้จะอยู่แถวนี้ก็ตาม…

ถ้ารู้ตัวว่าซ่อนไม่เนียนก็ควรจะออกมาได้แล้วไม่ใช่หรือไง ชอบเล่นอะไรเป็นเด็กอยู่ได้

โตจนแก่แล้วนะ

คำพูดที่เขาคิดในใจนั้น เต็มไปด้วยความรำคาญและความไม่เข้าใจไม่ต่างจากเด็กน้อยที่กำลังงอแงเพราะความคาดหวังที่ไม่ได้รับการตอบสนอง

ไม่นานความไม่พอใจเริ่มผสมกับความไม่สบอารมณ์ทวีความรุนแรงขึ้น

“ถ้าไม่ออกมา ข้ากลับ” 

คำขู่เบาๆ แต่แฝงไปด้วยความเด็ดเดี่ยวของเขาดังขึ้น ทว่าก่อนที่เด็กหนุ่มจะลุกขึ้นยืน เงาร่างเล็กๆ ก็กระโดดลงมาจากหลังคาอย่างรวดเร็ว 

มาเรียน่าในชุดแม่บ้านชุดเดิมที่เธอใส่เป็นประจำปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า

“ใจร้อนจังเลยนะคะนายน้อย หงุดหงิดที่พุดดิ้งไม่อร่อยเหรอคะ” 

เธอขยับร่างกายเข้ามาใกล้เจ้าของเรือนผมสีขาว ด้วยรอยยิ้มหวานๆ แต่แววตาของเธอกลับฉายแววซุกซน ฝ่ามือขาวเนียนคว้าช้อนในมือของเด็กหนุ่มไปตักพุดดิ้งชิมอย่างไม่เกรงใจ  

“ไม่ค่อยหวานจริงๆ ด้วยค่ะ สู้ของที่ฉันทำไม่ได้เลย” 

เรย์เวนขมวดคิ้ว นัยน์ตาสีน้ำเงินจ้องมองสาวใช้อย่างเอาเรื่อง

“เอาไปซะ ข้าไม่กินแล้ว” เขายัดถ้วยพุดดิ้งใส่มือเธออย่างไม่พอใจก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“โถ่ๆ นายน้อย งอนที่ฉันแย่งหรอคะ แค่ชิมเองนะคะ” มาเรียน่าทำหน้าเศร้าแต่แววตาของเธอยังคงเป็นประกาย นั่นยิ่งทำให้เห็นที่ภาพนั้นหมั่นไส้ขึ้นไปอีก

“เปล่า มันไม่อร่อย” เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนจะยกแขนสองข้างขึ้นกอดอก สีหน้าดูจริงจัง

“คราวนี้ก็รายงานมาสักที ข้ามาเพราะเรื่องนั้น” 

เจ้าของเรือนผมสองสีมองเห็นแววตาที่ดูจริงจังของผู้เป็นนาย เธอที่กำลังดื่มด่ำกับพุดดิ้งรสผลไม้ก็รีบยัดมันเข้าปากอย่างรวดเร็วหมดก่อนจะเริ่มรายงานภารกิจ

“ผู้ว่าจ้างเป็นพวกพี่น้องของโจรป่าที่ไม่ได้เข้าปล้นวันนั้นค่ะ มันน่าจะมาเห็นศพก่อนคนของนายท่านแวนคลิโอมาเจอ ก็เลยรวบรวมเงินไปจ้างมือสังหารให้ตามล่าคนที่ฆ่าพวกพ้องค่ะนายน้อย”

คำพูดของมาเรียน่าทำให้เด็กหนุ่มที่ได้ยินรับรู้ถึงความต่ำตมของมนุษย์

ใบหน้าของเรย์เวนเคร่งขรึมขึ้นมาทันตาราวกับกำลังสบถด่าอยู่ในใจ

พอพรรคพวกของตัวเองโดนบ้างก็คิดจะแก้แค้น แต่ถ้าหากไปทำร้ายผู้อื่นกลับไม่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั่นมันคือความผิด

ช่างเป็นสวะชั้นต่ำเสียจริง

เด็กหนุ่มหันกลับไปจ้องมองคู่สนทนา

“แล้วเจ้าจัดการหรือยัง” คำถามเรียบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์  แต่ดวงตากลมโตฉายแววความคาดหวังที่ยากจะปิดบัง

มาเรียน่าก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า 

“ค่ะ นายน้อย ฉันจัดการผู้ว่าจ้างและกวาดล้างครอบครัวพวกมันจนหมดสิ้นแล้วค่ะ” 

คำพูดที่ฟังดูแข็งกร้าวตรงข้ามกับนัยน์ตาสีเทาเข้มที่ฉายแววเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัดราวกับภาพความโหดร้ายที่ผ่านมา ยังคงฝังลึกอยู่ในใจ 

รอยยิ้มที่เคยสดใสบัดนี้จางหายไป จนเรย์เวนรู้สึกแปลกใจ

เขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในแววตาของสาวใช้คนสนิท  

คงจะไปเจอเหล่าผู้คนที่ไร้หนทางสู้มาสินะ

“มีเด็กและผู้หญิงด้วยใช่หรือไม่” เรย์เวนถามเสียงอ่อนที่แฝงไปด้วยความห่วงใย

“เอ้ะ นายน้อยรู้ด้วยหรือคะ” มาเรียน่าเบิกตากว้าง  ความประหลาดใจผสมกับความรู้สึกผิดปรากฏชัดบนใบหน้า  

เรย์เวนเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี ถึงมาเรียน่าจะเป็นดาบที่มีชีวิตสำหรับเขา ที่จะคอยทำตามคำสั่งทุกอย่างแม้มือจะเปื้อนเลือด 

แต่ลึกๆ แล้วเธอเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนและเปราะบาง การกระทำที่โหดร้ายเช่นนี้ย่อมทิ้งร่องรอยไว้ในใจอย่างแน่นอน

“มาใกล้ๆ ข้าที” เขาเอ่ยช้าๆ พลางกวักมือเรียกคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ 

ฝ่ามือหนาใหญ่ของเขาค่อยๆ วางลงบนเรือนผมสีขาวสลับดำ เขาลูบเบาๆ ด้วยความอ่อนโยนราวกับต้องการปลอบประโลมจิตใจที่บอบช้ำ

“ถึงแม้พวกเขาไม่ได้เป็นคนไปออกปล้น แต่การที่นิ่งเฉยและเสวยสุขกับข้าวของเงินทองของผู้อื่นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว นั่นก็เป็นความผิดเช่นกัน” 

เรย์เวนอธิบายอย่างใจเย็นพยายามชี้แจงเหตุผลเพื่อให้มาเรียน่าเข้าใจว่าสิ่งที่เธอทำไม่ได้ผิดแต่อย่างใด

ใบหน้าของคนที่กำลังถูกปลอบประโลมค่อยๆ ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แววตาที่เศร้าหมองเริ่มสว่างขึ้น

“เพราะเช่นนั้นสิ่งที่เจ้าทำมันถูกแล้ว อย่าได้รู้สึกผิดไปเลย”

“นายน้อย…”

“และการถอนรากถอนโคนพวกมันให้สิ้นก็จะลดปัญหาของการแก้แค้นไปมาซ้ำซากอีกด้วย” เขาอธิบายเพิ่มเติม 

มือค่อยๆ เลิกจากเรือนผม แต่สายตายังคงจ้องมองอย่างสังเกตอยู่ตลอด

ความรู้สึกผิดของมาเรียน่าลดลงอย่างเห็นได้ชัด  รอยยิ้มอ่อนหวานกลับมาปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง

“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” เธอส่งยิ้มสดใสให้คู่สนทนา แววตากลับมาเป็นประกายดังเดิม ความรู้สึกผิดหายไปแทนที่ด้วยความภักดีและความซื่อสัตย์

“เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว งั้นข้าไปก่อนล่ะ เจ้าก็กลับได้แล้ว” 

เด็กหนุ่มเอ่ยคำลาก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมที่ก้าวเดินออกจากสถานที่นัดพบ 

แต่แล้วน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไว้ด้วยความกังวลของมาเรียน่าก็ดังขึ้น ทำให้เขาต้องหยุดชะงัก

“เดี๋ยวก่อนค่ะนายน้อย”

เขาหันกลับไปมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม

“มีเรื่องอะไรอีกหรือ”

“ก่อนฉันจะมาหานายน้อย ฉันได้ยินมาว่าจะมีสงครามแย่งชิงดินแดนเกิดขึ้นอีกครั้งค่ะ และนีไอโอเนียก็คงตกเป็นเป้าหมาย เพราะคุณชายที่เก่งกาจและผู้นำตระกูลไม่อยู่ค่ะ” มาเรียน่าอธิบายร่ายยาวด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ให้ฉันกลับคุ้มครองนายหญิงดีหรือเปล่าคะ” เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีเทาฉายแววขอร้องความกังวลใจที่มีต่อนายหญิงของเขาปรากฏชัดเจน

เรย์เวนหรี่ตาลงเล็กน้อย ริมฝีปากเผยรอยยิ้มจางๆ

“นี่เจ้าคิดว่าท่านแม่ของข้า ไร้ฝีมือขนาดนั้นเลยหรือไง” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเซ้าเย้าแหย่แต่ก็แฝงไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวของท่านแม่

“มะ ไม่ ใช่อย่างนั้นนะคะ” เจ้าของเรือนผมสองสีรีบปฏิเสธ

ซาร่า คูเวต ดีลักซ์ ไม่ได้เป็นจอมเวทที่วางมือจากแนวหน้าแล้วจะอ่อนกำลังลงแต่อย่างใด เธอยังคงฝึกฝนพลังเวทอยู่ตลอด 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่บังคับขู่เข็ญให้ลูกชายเพียงคนเดียวที่ไม่สามารถใช้เวทรักษาเหมือนทุกคนในตระกูลดัลักซ์ได้ เธอจึงต้องบังคับให้เขารีดเค้นมานาเพื่อฝึกเวทลวงตาที่เป็นเวทมนตร์สืบต่อกันมาของตระกูลคูเวต

ช่วงเวลานั้นซาร่าดูโหดร้ายยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก 

และนั่นก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่วันหยุดสุดสัปดาห์เรย์เวนไม่เคยอยากกลับบ้านที่นีไอโอเนียเลย

เพราะกลัวว่าจะต้องฝึกฝนจนเสียสติก่อนเรียนจบเป็นแน่

แต่ถึงอย่างนั้น ซาร่าที่มีตำแหน่งเป็นถึง เคาน์เตสดีลักซ์ แห่งเมืองนีไอโอเนีย และเป็นคนที่คอยนำทัพต้านการโจมตีจากทหารของเมืองอื่นๆ มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน 

เพราะซาร่าคือจอมเวทภาพลวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิอีกทั้งยังมีสติปัญญาที่ล้ำเลิศ

“เจ้าจะไปก็ได้ เพราะช่วงนี้ข้าก็ไม่มีเรื่องอะไรจะเรียกเจ้ามากนักหรอก อย่างไงข้าก็อยู่แต่ในสถาบันอยู่แล้ว"

“นายน้อย…” มาเรียน่าเรียกเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล

“แต่ถ้าจบเรื่องแล้ว บอกให้ท่านแม่ทำพายแอปเปิ้ลมาให้ข้าที ข้าอยากกิน” เรย์เวนพูดพลางยกยิ้มบางๆ ทำให้มาเรียน่าผ่อนคลายความกังวลลงได้

“ได้ค่ะ นายน้อย ฉันจะรีบกลับมานะคะ” เธอตอบรับคำอย่างกระตือรือร้น

เด็กหนุ่มพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะก้าวขาเดินออกจากตรอกในทันที 

ในวันนี้ที่เรย์เวนออกมาจากสถาบันช่วงหลังเลิกเรียน ไม่ได้มีเพียงแค่มารับฟังรายงานภารกิจจากมาเรียน่าเท่านั้น แต่เขายังมีเป้าหมายที่ต้องไปอีกที่หนึ่ง

ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขามักจะไปวนเวียนอยู่เป็นประจำ

ร้านหนังสือของลูเซียสในย่านการค้า


 

แสงอาทิตย์ยามเย็นอ่อนแรงลงเรื่อยๆ เงาของอาคารบ้านเรือนยืดยาวบ่งบอกว่าเวลากำลังจะเปลี่ยนผ่านจากช่วงกลางวันสู่กลางคืน บรรยากาศเย็นสบายพัดโชยมาตามสายลม เป็นสัญญาณบอกว่าใกล้ถึงเวลาที่ร้านหนังสือจะปิดแล้ว

เรย์เวนก้าวเดินอย่างเร่งรีบ ในใจพร่ำคิดถึงอาหารจานโปรดจากฝีมือของน้องชายที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเขาเป็นใคร

ไม่นานรองเท้าหนังหุ้มข้อก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้ ก่อนจะออกแรงดันมันเข้าไปด้านในจนระฆังอันเล็กที่ห้อยอยู่ด้านบนส่งเสียง ‘กรุ๊งกริ๊ง’ ที่คุ้นเคย

แต่ความเงียบสงัดผิดปกติกลับต้อนรับเขาแทนที่จะเป็นเสียงทุ้มต่ำของลูเซียส

สายตาของเรย์เวนสอดส่องหาคนที่ต้องการพบเจอก่อนเป็นอย่างแรก และก็พบว่าคนๆ นั้นนั่งอยู่ด้านในเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด 

หื้ม? เกิดอะไรขึ้น

ดวงตาสีเลือดกำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนไม่ทันรับรู้ว่ามีเด็กหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ จนกระทั่งเขาเอ่ยถามอย่างใสซื่อ

“มันเสียเหรอครับ คุณลูเซียส” 

เสียงของเรย์เวนทำให้คนที่กำลังใจจดใจจ่อสะดุ้งโหยง ใบหน้าแสดงอาการตกใจออกมาเล็กน้อย

น่ารักเสียจริง ไม่รู้ตัวเลยสินะ

“อะ อ้าว เรย์เวน มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ลูเซียสที่ตั้งสติได้ก็เงยหน้าขึ้นถาม “วาร์ปมาหรือไง ทำไมข้าไม่รู้ตัวเลย”

เด็กหนุ่มยิ้มบางๆ

“วาร์ปอะไรครับ ผมก็เดินเปิดประตูเข้ามาปกติ คุณลูเซียสต่างหากที่ตั้งใจเสียจนไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง” 

“คงจะอย่างนั้น” เจ้าของร้านตอบกลับสั้นๆ ก่อนจะก้มลงไปสนใจสิ่งที่อยู่ในมือต่อ

“สรุปมันเสียหรือครับ นาฬิกานั่นน่ะ” เรย์เวนเอ่ยถามด้วยความสงสัย สายตามองไปที่นาฬิกาล็อคเก็ตที่ถูกถอดส่วนประกอบออกมากระจัดกระจาย

แท้จริงแล้ว นั่นคือนาฬิกาที่เขาเมื่อครั้งที่ยังเป็นราเชลได้สั่งทำให้ลูเซียสเป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 20 ปี 

เขาไม่คิดเลยว่าน้องชายคนนี้จะยังใช้งานมันอยู่ เพราะระยะเวลาที่ได้รับมันไปก็นานมากแล้ว จนตัวเขาเองยังคิดว่ามันคงจะพังไปตั้งนานแล้วเสียอีก

“อ่า ใช่ เข็มมันไม่เดิน ข้าเลยถอดส่วนประกอบมันออกมาดูเผื่อจะทำอะไรได้บ้าง” ลูเซียสตอบเสียงแผ่วเบา นัยน์ตาสีเลือดฉายแววเศร้าสร้อย

“เดี๋ยวผมดูให้” ทันทีที่พูดจบเรย์เวนก็เดินอ้อมไปด้านหลังเคาน์เตอร์ มือใหญ่เอื้อมไปดึงแขนลูเซียสเบาๆ เชื้อเชิญให้ลุกขึ้นก่อนจะนั่งลงแทนที่

“ดะ…เดี๋ยวสิ เจ้าทำเป็นหรือไงเรย์เวน” น้ำเสียงของลูเซียสแสดงถึงความกังวลและดูไม่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัด สองมือยกขึ้นห้ามปราม

เด็กหนุ่มคว้ามือสองข้างของลูเซียสไว้ ปลายนิ้วหัวแม่มือลูบหลังมือเบาๆ ให้อีกฝ่ายสบายใจ 

คนโตกว่าชักมือกลับโดยที่ยังแอบกลัวอยู่ลึกๆ 

“ขอผมลองดูก่อนนะ” เรย์เวนขยับท่าทางให้ตัวเองนั่งได้สบายขึ้น  แต่ยังไม่ทันได้ก้มลงตรวจสอบชิ้นส่วนคำพูดของลูเซียสก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ถ้าทำไม่เป็นอย่าฝืนล่ะ หากมันเสียไปมากกว่านี้ คงไม่ดีแน่” สีหน้ากังวลปะปนความไม่ไว้ใจของคนที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ทำให้เรย์เวนหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาสีน้ำเงินฉายแววสงสัย

“นาฬิกานี้มันสำคัญกับคุณมากเลยเหรอครับ” 

“สำคัญสิ พี่ชายข้าให้มาเป็นของขวัญ มีอยู่แค่เรือนเดียวด้วย” นัยน์ตาสีแดงเข้มที่ก่อนหน้านี้ฉายแววกังวลกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าสร้อย จนทำให้เรย์เวนไม่กล้าจะสบตาอีกต่อไป 

เขาทำได้แค่หันกลับมามองส่วนประกอบต่างๆ ตรงหน้าแทน

แต่ในใจของเขายังคงคิดถึงคำพูดของลูเซียสวนเวียนอยู่อย่างนั้น

ของสำคัญงั้นเหรอ เจ้าเองก็สำคัญกับข้าเช่นกันนะ

เขาพยายามสะบัดความคิดออกไปแล้วตั้งใจตรวจสอบสิ่งของที่อยู่ตรงหน้าแทน

“แต่ดูจากสภาพ มันเก่ามากแล้วนะครับ น่าจะซื้อเรือนใหม่ เดี๋ยวผมซื้อ-”

“ไม่เอาหรอก!” ยังไม่ทันได้พูดจนจบประโยค น้ำเสียงตวาดของคนโตกว่าก็ดังลั่น 

“ไม่ว่าจะซื้อเรือนใหม่ ก็ไม่มีเรือนไหนมาทดแทนได้!” ตาขาวของลูเซียสเริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อคล้ายคนกำลังจะเริ่มร้องไห้

เรย์เวนที่หันไปมองใบหน้าของคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็ทำให้เขาสะอึกเล็กน้อย 

“อ่า เข้าใจแล้วครับ” เด็กหนุ่มตอบเสียงเบา

เขารับรู้ได้ว่าน้องชายผูกมัดตัวเองไว้กับสิ่งของมากเกินไป

“ผมจะลองดูก่อนนะ”

“อืม”

เมื่อคำตอบรับสั้นๆ สองมือก็เริ่มหยิบส่วนประกอบของนาฬิกาแต่ละชิ้นขึ้นมาดู ว่ามีส่วนไหนเสียหายบ้าง 

ภายใต้หน้าปัดนาฬิกาก็พบกลไกทั้งหมด เขาไล่ดูทีละชิ้น 

เมนสปริง 

ล้อกระเดื่อง 

จักรกรอก 

จนมาถึง….

เรย์เวนค่อยๆ ใช้พลังเวทให้ชิ้นส่วนที่พบความผิดปกติลอยขึ้นกลางอากาศอย่างระมัดระวัง

ชิ้นส่วนนั้นมันเล็กมากเสียจนเขาไม่กล้าจับมันด้วยมือเปล่า เพราะถ้าหากออกแรงมากเกินไปอาจจะเสียหายหนักกว่าเดิมได้

“เหมือนว่าล้อเฟืองมันจะบิ่นนะครับ เข็มมันเลยไม่เดิน” ปลายนิ้วชี้จุดที่บิ่นให้อีกคนที่ชะเง้อเข้ามาใกล้ได้มองเห็นชัดเจน

“แล้วจะทำอย่างไรดี” ลูเซียสเอ่ยถามโดยที่ยังไม่ละสายตาจากชิ้นส่วนที่เสียหาย

“ผมว่าอาจจะต้องซื้อล้อเฟืองมาเปลี่ยน แต่นาฬิกานี้มันถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษ ผมไม่รู้เลยว่าจะหาอะไหล่มาได้หรือเปล่า แล้วช่างที่ทำก็ตายไปแล้วด้วย” เด็กหนุ่มอธิบายสิ่งที่คิดออกไปจนหมด ในขณะที่สองมือที่ห่อหุ้มไปด้วยพลังเวทยังคงประคองชิ้นส่วนนั้นอยู่

ล้อเฟืองที่ลอยคว้างกลางอากาศค่อยๆ ลดระดับลงมาจนกลับลงไปอยู่บนโต๊ะ 

“อืมมม จะทำอย่างไรดีนะ” เขาพึมพำพลางประกอบชิ้นส่วนที่ถอดออกมากลับเข้าไปอยู่ที่เดิม

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านาฬิกาเรือนนี้ถูกทำขึ้นมาเป็นพิเศษ” น้ำเสียงจริงจังที่เอ่ยถามของลูเซียสทำให้คนที่กำลังคิดหาทางแก้ปัญหาหยุดชะงัก ความเงียบปกคลุมไปทั่วร้านหนังสือ

ตายห่า นี่ข้าพูดมากไปหรือนี่

“อะ เอ่อ ก็คุณลูเซียสบอกว่าพี่ชายให้มา แล้วก็มีแค่เรือนเดียวไม่ใช่หรือครับ มันก็ชัดอยู่นะ” เรย์เวนพยายามอธิบายไปอย่างข้างๆ คูๆ โดยไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือ

ลูเซียสหรี่ตาลงเล็กน้อย 

“อ่า งั้นหรือ” น้ำเสียงของเขาฟังดูไม่ค่อยเชื่อถือคำอธิบายของเรย์เวนมากนัก

“แล้วรู้ด้วยหรือว่าช่างทำนาฬิกาตายไปแล้ว”

คำถามต่อมาของลูเซียสทำให้เรย์เวนถึงกับหน้าเสีย เขาพูดพล่อยๆ ออกไปโดยไม่ทันได้คิด 

เวรกรรม ซวยซ้ำซวยซ้อน

“ระ เรื่องนั้น” เขาเริ่มพูดติดๆ ขัดๆ ความตื่นตระหนกเริ่มปรากฏบนใบหน้าหวาน

เอาไงดีล่ะทีนี้

“ตอบมา”  ลูเซียสย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าจริงจัง ดวงตาสีเลือดแดงจ้องมองเรย์เวนอย่างเอาเรื่องจนคนที่ถูกคาดคั้นขนลุกซู่ไปทั่วทั้งตัว

“กะ ก็ ดูจาก…” 

โอ้ย คิดไม่ออกโว๊ย ลูเซียสเลิกกดดันข้าทีเถอะ 

“อะ…เอ่อ ดูจากสภาพไงครับ มันน่าจะนานมากแล้ว ช่างที่ทำคงไม่อยู่แล้วล่ะ แต่ผมเดาเอานะ ไม่รู้จริงๆ หรอก แหะๆ”

คำอธิบายที่ฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือของเรย์เวน แต่ก็ทำให้ลูเซียสผ่อนคลายความกดดันลงไปได้บ้าง แววตาที่พยายามเค้นความจริงเริ่มเจือจางลง

คนเด็กกว่าโล่งใจเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกผิดหวังในตัวเอง

เพราะทุกครั้งที่เขาเจอลูเซียสก็ต้องมีเรื่องให้โกหกอยู่เรื่อยจนความรู้สึกผิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจจนมันแทบจะทะลักออกมาทางหู

“อ่า งั้นก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วสินะ” ลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย สีหน้าแสดงถึงความผิดหวังอย่างชัดเจน

“เป็นอะไรหรือครับคุณลูเซียส ทำไมหน้าเศร้าขนาดนั้น”

ไม่เห็นจะต้องทำหน้าเหมือนคนจะร้องไห้เลยน้องพี่ ข้าสั่งทำให้ใหม่ก็ได้

“ข้าไม่เป็นอะไรหรอก แต่ก็ดีนะที่เจ้าดูให้ ทำให้ข้ารู้สาเหตุแล้ว ขอบใจมากนะเรย์เวน” ลูเซียสตอบพลางใช้ฝ่ามือแตะบ่าของคนที่นั่งอยู่เบาๆ 

แม้จะพยายามยิ้มให้แต่ก็ยังคงมองเห็นความเศร้าสร้อยอยู่ในดวงตาสีเลือด

ให้ตายสิ ไม่อยากให้เศร้าเช่นนี้ ข้าจะทำอะไรได้บ้างนะ

อ๊ะ! เดี๋ยวนะ ยังมีวิธีนั้นอยู่นี่หน่า

“ห้วงเวลาย้อนกลับ” เรย์เวนพูดโพล่งออกมาเหมือนจะมีหลอดไฟสว่างอยู่เหนือศีรษะ แววตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยความตื่นเต้น 

“หมายความว่าอย่างไร” หางคิ้วของลูเซียสกระตุกขึ้นเล็กน้อยอย่างสงสัยในท่าทางและคำพูดของคนเด็กกว่า

เด็กหนุ่มหันมาหาลูเซียสทันที

“ถ้าใช้การย้อนเวลาของไอ้ เอ่อ อาจารย์ใหญ่ครูซก็ได้นี่ครับ ของชิ้นแค่นี้ก็ไม่ได้เปลืองแรงอะไรมากมายด้วย" 

เรย์เวนอธิบายด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความดีใจ แต่สีหน้าของลูเซียสกลับแสดงความรู้สึกตรงข้ามออกมา

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นครับ ยังไม่สบายใจอีกเหรอครับ ถ้าย้อนเวลาก็รับรองว่าใช้ได้แน่นอน” เขาพยายามอธิบายเพิ่มเติม

“เปล่าหรอก ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น แต่ว่า..” มือขวาที่ก่อนหน้านี้มันแตะบ่าของคนที่นั่งอยู่ถูกยกขึ้นไปลูบคางตัวเองเบาๆ ใบหน้าครุ่นคิดคล้ายคนกำลังกังวลอะไรในใจ

“แต่ว่า..” เรย์เวนทวนซ้ำคำพูดของอีกคน

“ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยได้เจอกับรุ่นพี่ หากจะไปเจอแล้วขอความช่วยเหลือแบบนี้มันคงจะดูไม่ดีเท่าไหร่น่ะ”

โธ่เอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร เรื่องมันแค่นี้เอง น้องข้ายังขี้เกรงใจไม่เปลี่ยนเลยสินะ

น่าเอ็นดูเสียจริง

“ถ้าเกรงใจ ผมจะเป็นคนเอาไปให้ซ่อมเองครับ” คนเด็กกว่ารีบคว้านาฬิกาเก็บลงกระเป๋าเสื้อทันที 

“ไม่รู้ว่าคุณลูเซียสได้ยินข่าวลือในสถาบันบ้างหรือเปล่า แต่ผมสนิทกับอาจารย์ใหญ่นะ”เขาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ

“มันจะดูไม่ดี”

“อย่าคิดมากเลยครับ เดี๋ยวผมจัดการให้ ไว้ใจได้เลย” เรย์เวนยื่นมือไปแตะท่อนแขนของลูเซียสก่อนจะออกแรงบีบเบาๆ  พร้อมส่งรอยยิ้มหวานให้

“อ่า ขอบใจมากนะเรย์เวน” ใบหน้าของลูเซียสผ่อนคลายความเครียดลง รอยยิ้มอ่อนๆ ปรากฏขึ้น ความกังวลใจก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความโล่งใจ ราวกับได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก

เรย์เวนเห็นดังนั้น เขาจึงแกล้งแสดงท่าทางเหนื่อยล้า

“เปลี่ยนจากคำขอบใจเป็นทำอะไรให้ผมกินหน่อยสิครับ ผมยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลย” เขาลูบท้องเบาๆ พลางทำสีหน้าหมดเรี่ยวแรงเพื่อให้การแสดงดูสมจริง

ลูเซียสยิ้มบางๆ

“วันนี้ข้าทำกราแตงนะ จะกินหรือเปล่าล่ะ”

“โห กินครับ ขอสองเลยครับ ต้องอร่อยมากแน่ๆ” เด็กหนุ่มยุติการแสดงรีบตอบกลับอย่างกะตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายสดใสราวกับเด็กน้อยได้ของเล่นมาไว้ในครอบครอง

คนที่เห็นภาพนั้นก็รู้สึกเอ็นดูขึ้นมา 

“ปากดีเพื่อความอยู่รอดสินะเจ้าน่ะ” ลูเซียสหัวเราะเบาๆ พลางใช้ฝ่ามือมาละเลงกลุ่มผมของเรย์เวนจนยุ่งเหยิง

“อะไรกันครับ อาหารที่คุณลูเซียสทำมีอะไรไม่อร่อยบ้างล่ะ” 

เรย์เวนรีบเอ่ยชมในฝีมือของลูเซียสที่ตัวเขาเองเคยได้ลิ้มรสชาติมาตั้งแต่ชีวิตก่อน 

“เยอะแยะไป” คนที่ถูกชมยักไหล่ขึ้นนิดหน่อย

“ใครบอกแบบนั้น เดี๋ยวผมไปฆ่ามันเอง”

“หยุดเลย” มือที่ละเลงกลุ่มผมหยุดชะงักก่อนจะเลื่อนลงมาที่กลางหน้าผาก

เป๊าะ!

“โอ้ย!” เรย์เวนร้องออกมาเสียงหลง ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นเข้ามาในโสตประสาท ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากปอยๆ 

นี่ข้าเป็นพี่เจ้านะลูเซียส มาดีดหน้าผากข้าเช่นนี้ได้อย่างไรเนี่ย

“รอก่อนล่ะ ข้าจะไปยกมาให้” 

ลูเซียสพูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปด้านหลังร้านทันที ทิ้งให้เรย์เวนนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์หน้าร้านเพียงคนเดียว

โดยไม่รู้เลยว่าคนที่นั่งอยู่เผยรอยยิ้มเล็กๆ อยู่เบื้องหลัง 


 

To be continued


นานๆ ทีจะมีโมเม้นต์พี่น้อง นายราเชลมันเป็นบราค่อนค่ะ เดี๋ยวก็น่ารัก เดี๋ยวก็น่าเอ็นดู มันหลงน้องชายอะไรขนาดนั้นคะ คุณพี่

ส่วนตัวชอบความสัมพันธ์ของมาเรียน่ากับเรย์เวนมากๆ เป็นอะไรที่ฟีลกู๊ดแบบแปลกๆ ไม่ได้ตีกันจริงจังถึงแม้จะต่อปากต่อคำกันบ่อย เรย์เวนก็ห่วงความรู้สึกมาเรียน่ามากด้วย เพราะเป็นทุกอย่างให้จริงๆ พี่เลี้ยง แม่นม คนขับรถม้า มือสังหาร แม่บ้าน คนรับใช้ คนสนิท พี่สาว เป็นทุกอย่างเลย