”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?
แฟนตาซี,ผจญภัย,ดราม่า,แอคชั่น,สงคราม,แก้แค้น,แอคชั่น,ปีศาจ,จอมเวท,เกิดใหม่ ,นักดาบ,ดราม่า,เวทมนตร์,#BL,แฟนตาซี,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?
แกร๊ก!
“ไอ้เบื๊อกนี่ ลำเอียงชะมัด ข้าเองก็บาดเจ็บจะตายแล้วทำไมถึงแบกไอ้หมาแดงนั่นไปห้องพยาบาลแต่ให้ข้ามารออยู่ที่นี่กันล่ะ ห๊ะ!!”
ทันทีที่เสียงลูกบิดประตูดัง คำกร่นด่าของคนที่ถูกสั่งให้มานั่งรออยู่ในห้องสาดเข้าใส่เจ้าของห้องราวกับคลื่นพายุ
อีกทั้งท่าทางนี่ก็ไม่ต่างจากลูกแมวที่กำลังขู่ใส่ทาสเวลากลับถึงบ้านช้า แต่แมวตัวนี้น่าจะพยศกว่าแมวทั่วไปอยู่มากเลยทีเดียว
ครูซที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาถอนหายใจยาวเหยียดราวกับเหนื่อยล้าทั้งกายใจ
เขาเหลือบมองเรย์เวนที่ขยับปากพูดไม่หยุดอย่างเอือมระอา
“แผลที่แขนนั่นเจ้าทำเองไม่ใช่หรือไง เพื่อจะใช้ดาบเลือดนั่นน่ะ”
ครูซยกมือขึ้นกุมขมับ อาการปวดหัวเพราะความเหนื่อยใจเกี่ยวกับเพื่อนสนิทที่เที่ยวก่อเรื่องไม่เว้นวันแล่นเข้ามาในโสตประสาท
“ไอ้เด็กนั่นมันทำข้าต่างหากเล่า!” เรย์เวนรีบแย้งขึ้นทันที
“ช่างเถอะ แผลแค่นั้นคงไม่ตายหรอกใช่ไหมล่ะ”
เจ้าของเรือนผมสีทองสว่างพูดขึ้นขณะก้าวเดินไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามกับคนที่กำลังโวยวาย
“แต่ก็เจ็บนะไอ้เบื๊อกนี่ หึ่ย!”
คนตัวเล็กถอนหายใจแรงก่อนจะนั่งลงอย่างไม่พอใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เขายกแขนสองข้างขึ้นกอดออก ใบหน้าบูดเบี้ยวเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์
“ข้าไม่ใช่คนเริ่มเรื่องแท้ๆ แต่เจ้าทำเหมือนข้าผิดซะได้ รู้อย่างนี้น่าจะฆ่าๆ ไอ้ลูกหมานั่นไปซะ กวนใจข้าเสียจริง”
เรย์เวนบ่นยืดยาวอย่างหัวเสีย แต่คู่สนทนาที่นั่งอยู่ตรงข้าม มองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง ยากที่จะคาดเดาความคิด
สายตาของเจ้าของเรือนผมสีขาวหลุกหลิกไปมา
“พะ พูดอะไรบ้างสิ ข้าชักอารมณ์ไม่ดีแล้วนะ” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดขัด
แม้จะถามย้ำไป แต่ครูซยังคงเงียบแทนคำตอบ
ความมั่นใจในตัวเองของเรย์เวนลดต่ำลง ก้มหน้างุดอย่างไม่รู้ตัว
ครูซปิดเปลือกตาลงชั่วครู่ พร้อมกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะลืมตาขึ้น
“ราเชล”
น้ำเสียงทุ้มต่ำแสดงถึงอาการจริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ ทำให้เจ้าของชื่อเงยหน้ามอง ก่อนจะตอบกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“อะ…อะไร”
“เจ้าคิดจะฆ่าปีเตอร์จริงๆ งั้นเหรอ” นัยน์ตาสีทองจ้องมองไปที่อีกคน แววตาดุดันหมายต้องการคำตอบที่ชัดเจน
“อะ…เอ่อ”
ทันใดนั้น บรรยากาศน่าอึดอัดก็ปกคลุมอยู่รอบตัวของอาจารย์ผู้มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า
คนที่ถูกเค้นคำตอบผ่านสายตาแสดงอาการลุกลี้ลุกลน มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเกาแก้มพลางหลบสายตา
“ราเชล…” เสียงเรียกชื่อเป็นการย้ำว่าคนที่ถามต้องการคำตอบ
“ปะ เปล่าเสียหน่อย”
คำตอบตะกุกตะกักของเจ้าของเรือนผมสีขาวเหมือนหิมะชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่
“ข้าก็แค่เล็งหูมัน หวังว่าจะตัดทิ้งสักข้างเป็นการสั่งสอนก็เท่านั้นแหละ”
เขาตอบพร้อมทำท่าทางเป็นตัวอย่างให้อีกฝ่ายเห็น
นิ้วชี้เรียวยาวชี้เข้าที่ใบหูของตนเอง
แต่เมื่อพูดออกไปจนจบประโยคคนที่กำลังถูกกดดันก็สำรวมกิริยาดูเรียบร้อยผิดหูผิดตา
“เห้อออ”
ครูซถอนหายใจยาวก่อนจะทิ้งน้ำหนักตัวจนหลังชิดโซฟาเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้อง
“เจ้าไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลยแท้ๆ แค่สั่งสอนพอประมาณปีเตอร์ก็น่าจะล่าถอยกลับไปได้”
“ทำได้ซะที่ไหน เจ้าไม่รู้สึกถึงจิตสังหารที่มันปล่อยออกมาหรือไง มันเองก็จะฆ่าข้าเชียวนะ”
เรย์เวนอธิบายด้วยอารมณ์ที่เริ่มฉุนเฉียว
“แต่เจ้าหลบได้อยู่แล้วนี่ การโจมตีแบบนั้น”
“มันก็จริง ว่าแต่นะ..ครูซ”
เสียงเรียกของเพื่อนสนิทในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีทำให้ครูซละสายตาจากเพดานลุกขึ้นนั่งสบตากับคู่สนทนา
เรย์เวนที่เริ่มหงอลง ขยับปากพูดเบาๆ
“โกรธข้าขนาดนั้นเลยหรือไง มันเป็นแค่การวิวาทธรรมดาของเด็กนักเรียนที่เกิดขึ้นได้บ่อยไป ตอนข้ากับเจ้าก็-”
“มันไม่เหมือนกัน!”
ประโยคเถียงของเรย์เวนที่เอ่ยขึ้นยังไม่ทันจบดี ครูซก็แย้งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเข้มเสียก่อน
“เจ้ากับข้าไม่ได้มีพ่อแม่เป็นขุนนางระดับสูงเหมือนเด็กนั่น หากเรื่องนี้ไปถึงหูท่านดยุกเจ้ามีปัญหาแน่ราเชล ท่านแวนคลิโอก็ช่วยเหลือไม่ได้หรอกนะ เจ้าก็รู้ดีนี่นิสัยของเจ้าตระกูลพาเทนเซียน่ะ”
คำอธิบายยืดยาวของอาจารย์ใหญ่ทำให้คนที่ก่อเรื่องฉุกคิดขึ้นได้
เขาไม่ควรลงไม้ลงมือกับลูกชายคนสุดท้องของดยุกพาเทนเซียไปขนาดนั้นจริงๆ
แต่เพราะความตื่นเต้นเมื่อได้ต่อสู้อย่างดุเดือดที่ไม่ได้มีมานานทำให้สติสัมปชัญญะขาดหายไปชั่วขณะ
เจ้าของเรือนผมสีขาวนั่งไหล่ห่อราวกับคนกำลังนั่งสำนึกผิด
“ตอนนี้ท่านพ่อข้าคงไม่เดือดร้อนเพราะข้าหรอกใช่หรือไม่”
แววตาอ้อยอิ่งที่แฝงไปด้วยความรู้สึกผิดฉายขึ้นในนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้ม
“ข้าจะลองปิดข่าวดู หวังว่าเรื่องจะไม่แดงขึ้นแล้วกัน”
“ขอบใจ”
หลังจากได้ยินคำพูดของอาจารย์ใหญ่เด็กหนุ่มก็แสดงท่าทีผ่อนคลายมากขึ้น
“คราวหลังก็อย่ารุนแรงนักล่ะ ปีเตอร์เป็นลูกศิษย์ข้าเอง”
ครูซพูดพลางทิ้งน้ำหนักตัวพิงโซฟาอีกครั้ง ท่อนขาเรียวยาวยกขึ้นนั่งไขว่ห้าง
บรรยากาศน่าอึดอัดที่เคยมีก่อนหน้านี้หายไปจนหมดสิ้น เพราะหัวข้อที่จะคุยต่อไปมันไม่ได้เคร่งเครียดมากนัก
“นั่นไง ถึงว่าวิถีดาบคุ้นชะมัด” เรย์เวนตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
ครูซยักไหล่ขึ้นเล็กน้อย
“เก่งใช้ได้เลยใช่หรือเปล่าล่ะ”
“ช้าอย่างกับเต่า” เด็กหนุ่มพูดพลางกลอกตามองบน
“ไอ้งั่งนี่!”
“แต่ก็หนักหน่วง ไหวพริบดี เคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไว พลังเวทก็ไม่ธรรมดา มีฝีมือเลยล่ะ”
มือข้างหนึ่งของเจ้าของเรือนผมสีขาวยกขึ้นลูบคางอย่างใช้ความคิด ในหัวก็นึกถึงสิ่งที่ได้เห็นจากลูกศิษย์ของเพื่อนพร้อมอธิบายออกไป
“ใช่ ปีเตอร์เป็นลำดับหนึ่งของนักเรียนทหารชั้นปีที่สี่” ครูซอธิบายเพิ่มเติม
“แล้วสิ่งที่เจ้าทำวันนี้คงทำให้เด็กนั่นขายหน้าไม่น้อย คงจะสติหลุดจนทำให้อยากฆ่าเจ้านั่นแหละ”
เจ้าของเรือนผมสีบลอนด์ทองพูดพลางเท้าแขนข้างหนึ่งบนพนักพิงของโซฟาตัวใหญ่ด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“ประสบการณ์มันต่างกัน”
คนที่คว้าชัยชนะในวันนี้ยักไหล่ขึ้นเชิงบอกว่าเขาไม่ใช่คนที่พลาดท่าง่ายๆ ให้กับเด็กที่ยังเรียนไม่จบจากสถาบันทหารแน่นอน
“แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องโดนหักคะแนนจิตพิสัยนะ” ปลายนิ้วชี้มาที่เรย์เวนอย่างเจาะจง
“เท่าไหร่”
เมื่อได้ยินบทลงโทษครั้งนี้ เด็กหนุ่มก็ทิ้งน้ำหนักตัวลงนอนราบไปกับโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรงต่อหน้าเจ้าของห้อง
คราบเลือดและคราบเขม่าควันไฟเปรอะเปื้อนโซฟาจนเจ้าของห้องที่มองตามการกระทำคิ้วกระตุกเล็กน้อย
“20 คะแนน”
“ไล่ข้าออกจากสถาบันเถอะ”
ท่อนแขนหน้าข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บถูกยกขึ้นมาปิดดวงตาทั้งสองข้าง ขาทั้งสองข้างเหยียดพาดไปกับที่วางแขน
“เรื่องมันไม่ได้ใหญ่โตเช่นนั้น” ครูซแย้งขึ้น
“ถ้าโดนหักคะแนนไปเรื่อยๆ ข้าก็เรียนไม่จบอยู่ดีนั่นแหละไอ้เวรเอ๊ย บัดซบชะมัด เรื่องนี้ข้าไม่ใช่คนเริ่มด้วยซ้ำ”
แม้ดวงตาจะปิดสนิทแต่ฝีปากของเขาไม่ได้สงบลงตามไปด้วย
“หลังจากนี้ก็อย่าก่อเรื่องอีกล่ะ ข้าตามเช็ดตามล้างให้เจ้าไม่ไหวหรอกนะไอ้งั่ง แค่นี้ข้าก็ปวดหัวจนจะบ้า”
ครูซลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเองเดินอ้อมโต๊ะกระจกที่คั่นกลางระหว่างโซฟาทั้งสองไปหาคนที่กำลังนอนอยู่
“แล้วเจ้าโดนหักคะแนนคนเดียวซะที่ไหน ปีเตอร์ก็โดนด้วยอยู่แล้ว”
ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ นั่งยองๆ ลงกับพื้นห้องบรรจงจับท่อนแขนที่มีแผลฉกรรจ์ของเด็กหนุ่มขึ้นมา สายตาทอดมองไปยังปากแผลที่เปิดออกเพราะความตั้งใจของเจ้าตัว
“เจ้าเองก็ไปห้องพยาบาลซะ แผลที่แขนนี่ไม่น่าจะหายง่ายๆ รอยไฟไหม้ตามร่างกายเจ้าก็ด้วย”
ฟรึ่บ!
เรย์เวนสะบัดท่อนแขนของตัวเองออกจากฝ่ามือของเพื่อนสนิทก่อนจะดึงกลับเข้าหาตัวเอง พลิกร่างกายนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาพนักพิง
“ไม่ไป!! ข้าได้ที่แล้วจะนอนที่นี่แหละ ถ้าไปห้องพยาบาลยายแก่แอดเน่ฟ้องท่านพ่อข้าแน่ ว่าข้าได้รับบาดเจ็บ”
“ถ้ากังวลเรื่องนั้นข้าจะคุยให้ว่าห้ามบอกท่านแวนคลิโอ”
เมื่อได้ยินประโยคที่น่าสนใจท่อนแขนที่ปิดบังดวงตาก็ขยับออก
เรย์เวนหรี่ตามองใบหน้าของเจ้าของห้องชั่วขณะแต่ก็หลับตาลงตามเดิม
“ไม่ไป”
เจ้าของเรือนผมสีขาวยืนยันคำตอบเดิมออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จนทำให้คนที่ฟังขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความหงุดหงิด
“ไอ้งั่งนี่!”
คำสบถที่มักจะใช้กับอีกคนเป็นประจำถูกพ่นออกมาพร้อมกับแรงหนาที่ฝ่ามือคว้าคอเสื้อคนที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
“อ๊ากก!! ไอ้เวรนี่ ข้าเจ็บอยู่นะเว้ย!”
คนที่เพิ่งถูกกระชากให้ลุกขึ้นนั่งโวยวายใส่เพื่อนสนิทที่อยู่ในตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ ใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ
“ถ้าเจ็บก็ไปห้องพยาบาลสิวะ” เจ้าของห้องเริ่มตะคอกเสียงดังใส่คนที่กำลังดื้อดึงแม้ร่างกายจะบาดเจ็บ
ครูซเริ่มมีอารมณ์โมโหเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“จะมานอนที่นี่ให้โซฟาข้าเลอะเทอะเพื่ออะไร! เดี๋ยวไอ้เด็กเดรคก็ออกตามหาเจ้าอีก ครั้งนี้ข้าไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรแล้วนะ!!”
“โอ๊ยยย เรื่องเยอะชะมัด”
ครั้งนี้เรย์เวนใช้แขนข้างขวาปัดมือของเพื่อนออกจากคอเสื้อและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไปแล้วๆ !!” เด็กหนุ่มตะคอกกลับเสียงแข็ง
สองขาก้าวเดินออกจากบริเวณที่นั่งรับแขกตรงไปที่ประตูทางออก
ฝ่ามือจับเข้าที่ลูกบิดประตู แต่ก่อนที่จะออกแรงบิดมัน เขาหันหน้ากลับมามองเพื่อนของตัวเองที่มองตามการกระทำไม่คาดสายตา
“ไอ้อาจารย์ใหญ่เฮงซวยเอ๊ย!”
ปัง!!!
การกระทำของเพื่อนรักในคราบของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ทำให้เจ้าของห้องต้องกุมขมับอย่างเหนื่อยใจอีกครั้ง
“ถ้ามีใครมาได้ยิน ข้าซวยแน่”
ครูซพึมพำกับตัวเองหลังจากที่รับรู้ได้ว่าเรย์เวนเดินออกไปไกลแล้ว เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานกึ่งกลางห้อง
นัยน์ตาสีเหลืองอำพันจ้องมองไปที่กระดาษและหมึกเวทมนตร์ ภายในใจกำลังครุ่นคิดว่าเขาจะเริ่มแก้ไขปัญหาที่เพื่อนรักเขาก่อไว้จากตรงไหนก่อนดี
แต่แล้วความเครียดก็เข้าปกคลุมโสตประสาท เขาเลือกที่จะฟุบใบหน้าลงกับโต๊ะ ก่อนจะปิดเปลือกตาให้สนิทราวกับกำลังหนีปัญหาด้วยการหลับใหล
เท่านี้ก็ไม่ต้องปวดหัวแล้ว
เวลาล่วงเลยมาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ เรย์เวนและปีเตอร์เข้ารับการรักษาที่ห้องพยายาบาลมาโดยตลอด
แท้จริงแล้วบาดแผลไฟไหม้ที่ลุกลามเกือบทั่วร่าง และบาดแผลฉกรรจ์จากคมดาบทำให้การรักษาตัวกินเวลานานหลายสัปดาห์
แต่ร่างกายของเรย์เวนที่มีสายเลือดของดีลักซ์ [1] ไหลเวียนอยู่ ทำให้การรักษาทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่นาน
ส่วนปีเตอร์ พาเทนเซีย ที่กระดูกทั่วร่างแตกร้าว อีกทั้งยังมีร่องรอยของคมดาบหลายแห่งก็ใช้เวลาพักฟื้นนานพอสมควร
ทำให้ทั้งสองคนได้นอนพักอยู่ในห้องพยาบาลด้วยกันตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้เดรคที่พยายามจะขอผู้ดูแลแอดเน่ มานอนเป็นเพื่อนเรย์เวน เพราะไม่อยากให้อยู่ลำพังกับคู่อริให้ตนเองไม่สบายใจ
แต่ก็ถูกปฏิเสธไปโดยให้เหตุผลว่าคนไม่ป่วยไม่ควรนอนที่ห้องพยาบาลตามใจชอบ นั่นทำให้เขาหัวเสียอยู่ไม่น้อยเลย
ทว่าเรื่องราวในช่วงระยะเวลาที่เรย์เวนและปีเตอร์ได้ใช้ร่วมกันขณะที่รักษาตัวก็เกิดขึ้นมากมาย
ตั้งแต่ปีเตอร์เอ่ยปากออกมาเองว่าตนเองพ่ายแพ้ให้กับรุ่นน้องที่เด็กกว่าถึงสองปี
โดยให้เหตุผลว่าเขาขาดสติและเอาชัยชนะมาเป็นที่ตั้งจนเลือกที่จะเข้าต่อสู้กับคนไม่มีอาวุธอย่างเรย์เวนและขอโทษออกมาอย่างเป็นทางการ
ทำให้คนเด็กกว่ารู้สึกสับสนอยู่บ้างในช่วงแรก
เพราะเขาคิดฝังใจไปแล้วว่าปีเตอร์ก็แค่หมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งเท่านั้น
และสิ่งที่ไม่คาดคิดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ปีเตอร์กล้าที่เอ่ยปากถอนคำพูด ที่ดูถูกเดรคไปก่อนที่จะเริ่มสู้กันด้วย
ถึงเดรคจะไม่อยากยอมรับเพราะอคติที่มีในใจ แต่ก็ขัดอะไรไม่ได้เพราะปีเตอร์ก็เปิดอกพูดออกมาด้วยความจริงใจ
เรย์เวนที่รับรู้ความรู้สึกนั้นได้ เขาเลยอยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของปีเตอร์มากกว่านี้
โดยการเอ่ยปากรับคำไปว่า จะเป็น เพื่อน กับรุ่นพี่เรือนผมสีแดงคนนี้
แม้เดรคจะพยายามห้ามแล้วก็ตาม
ทำให้บรรยายกาศหนึ่งสัปดาห์นั้นเต็มไปด้วยความสนุก เพราะอารมณ์ขันและพลังอันเหลือล้นของปีเตอร์ แม้บางครั้งที่เดรคเข้ามาเยี่ยมจะมีอาการจิกกัดกันอยู่บ้าง แต่ก็สร้างเสียงหัวเราะให้ห้องพยาบาลที่น่าเบื่อได้เป็นอย่างดี
ในกลางคืนคืนหนึ่ง เรย์เวนที่นึกสงสัยในความสัมพันธ์ของเดรคและปีเตอร์ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ทั้งสองคนดูไม่ถูกชะตากันมากเช่นนี้
‘นั่นมันความลับของข้ากับอเลนเดลเชียวนะ บอกไม่ได้หรอก’
ปีเตอร์ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงทะเล้นและยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่ชอบทำเป็นประจำ
แม้เรย์เวนจะเอ่ยถามซ้ำกี่ครั้งคำตอบก็ได้ออกมาเหมือนเดิม ทำให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะอยากรู้ไป
และเมื่อได้ออกจากห้องพยาบาลไม่นาน ปีเตอร์ที่ร่างกายหายดีก็ได้รับภารกิจใหม่ที่ต้องไปถึงอาณาจักรห่างไกลที่อันตรายอย่าง ‘อาณาจักรอดัวร์’
ส่วนเรย์เวนก็ได้กลับมาเข้าเรียนพร้อมเดรคตามปกติ
แต่แล้วสิ่งที่น่าปวดหัวก็รอต้อนรับเขาในทันที
ให้ตายเถอะ
“เรย์เวน ดีลักซ์ จงคุกเข่าแสดงความเคารพและน้อมรับคำสั่งขององค์จักรพรรดิ บัดเดี๋ยวนี้!!”
เสียงของทหารในชุดเครื่องแบบเต็มยศตะโกนดังราวกับเสียงฟ้าผ่าพร้อมกับสองมือที่ถือสาส์นที่ประทับตราขององค์จักรพรรดิไว้ด้านหน้า
บรรยากาศความกดดันครอบคลุมโถงกลางอันกว้างใหญ่จนตลบอบอวล
ความสงสัยก่อตัวอยู่ในอากาศแผ่กระจายออกไปทั่ว
และความตึงเครียดก็แล่นเข้าโสตประสาทของเด็กหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขานั่งลงคุกเข่าหนึ่งข้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ใบหน้าหวานของเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจปะปนความสับสน แววตาสั่นไหวเบาๆ แต่ก็แฝงไปด้วยความหงุดหงิด
เพราะอะไรทหารที่ขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิถึงได้บุกเข้ามาในสถาบันทหาร และตรงเข้ามาหานักเรียนอย่างเขากันแน่
ฝ่ามือหนาของทหารค่อยๆ คลายม้วนสาส์นออกจนปรากฏตัวหนังสือด้านใน
“เรย์เวน ดีลักซ์ บุตรชายของมหาจอมเวทแวนคลิโอ ดีลักซ์ ผู้ปกครองเมืองนีไอโอเนีย จงไปประจำการที่แนวรบหน้าและร่วมออกเดินทางไปพร้อมขบวนขนส่งเสบียงในอีกสองวัน”
ดวงตาของเด็กหนุ่มที่รับฟังสิ่งนั้นเบิกโพลงด้วยความตกใจ
ไอ้เวร นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นจากทั่วสารทิศ
คำสั่งเด็ดขาดจากองค์จักรพรรดิที่ไม่รู้สาเหตุ ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างพากันสงสัยไม่ต่างกัน
เรย์เวนที่ยังคงตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เขาค่อยๆ หันไปด้านข้าง เพื่อเหลือบมองเดรคที่นั่งอยู่บนโต๊ะไม้ใกล้ๆ พร้อมส่งสายตาขอความช่วยเหลือ
แต่คนที่ไร้อำนาจและยังเด็กอยู่อย่างเดรค ก็ไม่สามารถขัดต่อคำสั่งขององค์จักรพรรดิได้เช่นกัน
และถึงแม้จะขอความช่วยเหลือจากพ่อของเดรคที่เป็นถึงผู้ช่วยคนสำคัญขององค์จักรพรรดิ ผลลัพธ์นั้นก็คงไม่ต่างกันอยู่ดี
เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินส่ายหน้าเบาๆ กลับมาอย่างจำใจ
แต่แล้วเสียงคมเข้มของนายทหารรักษาพระองค์ก็ดังขึ้น ทำให้เรย์เวนต้องกลับมาสนใจคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของตนเอง
“เอ่ยปากน้อมรับคำสั่งเสียสิ เรย์เวน ดีลักซ์”
เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนทหารยังคงนั่งก้มหน้านิ่งเงียบไม่เอ่ยปากหรือแม้แต่ขยับเขยื้อนร่างกาย
จะให้ข้าไปประจำการที่นั่นในสภาพนี้เนี่ยนะ ฝ่าบาททรงคิดการใดอยู่กันแน่
นั่นไม่ต่างจากไปฆ่าตัวตายเลย อย่างน้อยๆ ก็ให้ข้าเข้าฝึกที่ห้องฝึกไร้ขอบเขตก่อนเสียสิ
เขาพึมพำในใจพลางกำหมัดแน่น
ความสับสน หงุดหงิด ไม่พอใจตีกันอยู่ในความคิด
ดาบก็ยังไม่มี แถมยังไม่บรรลุเลเวล 7 ด้วยซ้ำ
เรื่องนี้มันต้องมีสาเหตุแน่ๆ คิดสิคิด เรื่องมันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกันนะ
ในระหว่างที่เขากำลังใช้ความคิดในเวลากระชั้นชิด เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ความตึงเครียดในหัวสมองพลันหายวับไปในทันที
เรย์เวนเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาอย่างโล่งใจ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของสถาบันตะโกนขึ้นทันทีที่ก้าวเข้ามาในโถงกลาง นัยน์ตาสีอำพันจ้องไปที่ทหารอย่างไม่เกรงกลัว
“ท่านครูซ!”
นายทหารสองคนเอ่ยชื่อของคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างตื่นตระหนกพร้อมยกแขนข้างขวามากอบกุมที่อกข้างซ้ายแสดงความเคารพ
“บอกข้าทีว่าทหารรักษาพระองค์ขององค์จักรพรรดิมาทำอะไรกับนักเรียนของข้ากัน”
เขาเอ่ยถามเสียงแข็งอย่างเค้นคำตอบ
ปลายผ้าคลุมสีทองพลิ้วไสวตามแรงลม ก่อนจะสัมผัสเข้าที่ท่อนแขนของคนที่นั่งคุกเข่ากับพื้นอยู่ก่อนแล้ว
เขาหยุดนิ่งต่อหน้าทหารทั้งสองคนราวกับผู้มีอำนาจเหนือกว่า
นายทหารสองคนมองหน้ากันก่อนจะส่งสัญญาณให้ใครคนหนึ่งเป็นคนเอ่ยปากพูด
“มีคำสั่งจากองค์จักรพรรดิส่งถึงนักเรียนของท่านขอรับท่านครูซ”
ทหารคนหนึ่งตอบกลับพลางยกม้วนเอกสารขึ้นให้อาจารย์ใหญ่ของสถาบันดู
ครูซเลิกคิ้วอย่างสงสัย เขามองไปที่ม้วนสาส์นอย่างพิจารณา
“ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
มือข้างขวาของเจ้าของเรือนผมสีทองสว่างยื่นออกมาหมายจะรับม้วนคำสั่งนั่นมาอ่านด้วยตนเอง
เนื่องจากยศถาบรรดาศักดิ์ที่ต่ำต้อยกว่าจึงไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะนอกจากครูซจะเป็นอาจารย์ใหญ่ของสถาบันแล้วนั้น เขาก็ยังเป็นนักรบของจักรวรรดิด้วยเช่นกัน
ชายวัยกลางคนในชุดทหารเต็มยศจึงส่งให้อย่างเลี่ยงไม่ได้
เขารับมาอ่านในทันที
“องค์จักรพรรดิไม่มีทางออกคำสั่งเช่นนี้กับเด็กนักเรียนที่ยังเรียนไม่จบแน่นอน คงจะมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่”
เมื่อกลอกตาอ่านจบอย่างรวดเร็ว ครูซก็เอ่ยสิ่งที่คิดออกมา
“และข้าเองก็ไม่อาจส่งเด็กในปกครองไปแนวหน้าตามคำสั่งนี้ได้ด้วย”
เขาพูดเสียงหนักแน่นพลางมองไปที่ทหารทั้งสองคนอย่างไม่หวั่นไหว
ราวกับเรย์เวนได้ชัยชนะครั้งใหญ่มาไว้ในกำมือ เขาดีใจที่เพื่อนรักในคราบอาจารย์ใหญ่ออกตัวปกป้องจนเกือบเก็บอาการไม่อยู่
รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏบนใบหน้าหวาน
“แต่ถ้าทำเช่นนั้น แม้จะเป็นท่านครูซก็ไม่อาจเลี่ยงโทษที่ฝ่าฝืนคำสั่งขององค์จักรพรรดิได้นะขอรับ”
ชายวัยกลางในชุดทหารคนเอ่ยเตือนด้วยท่าทีร้อนรน
“ข้าจะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นพวกเจ้ากลับไปเสียเถอะ” ครูซย้ำในคำตอบ
แสงสีทองสว่างวาบขึ้นบนฝ่ามือทำให้ม้วนสาส์นอันตรธานหายไป เขาดึงรั้งแขนของเจ้าของเรือนผมสีขาวที่นั่งคุกเข่ากับพื้นให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันหลังกลับ
แกร๊ง!
แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเดินออกไปไหน ดาบสองเล่มก็ถูกชักออกมาจ่อเข้าที่ลำคอขาวของเด็กหนุ่มและผู้มีอำนาจสูงสุดในสถาบันทหาร
ทำให้ทั้งสองคนหยุดชะงัก
“ถึงจะเป็นท่านครูซ นักรบของจักรวรรดิก็ไม่อาจขัดคำสั่งได้ขอรับ รบกวนปล่อยตัวเรย์เวน ดีลักซ์ และคืนสาส์นนั่นให้พวกเราด้วยขอรับ”
นายทหารเอ่ยเสียงเข้มพลางกระชับดาบในมือแน่น
ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นก้มลงเล็กน้อยราวกับกำลังเก็บกดอารมณ์
คนที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างเรย์เวนรับรู้ถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ได้ในทันที
เขาพยายามจะแกะฝ่ามือของอาจารย์ใหญ่ออกเพื่อหลบหลีก แต่กลับไม่เป็นผล
ครูซเพิ่มแรงบีบมือมากขึ้น จนเด็กหนุ่มหน้านิ่วเล็กน้อย
เป็นเรื่องแล้วไง
เรย์เวนคิดในใจ
“นี่พวกเจ้ากล้าหันดาบใส่ใครกัน” น้ำเสียงกดลงต่ำพร้อมความรู้สึกเย็นวาบจนเสียวสันหลังแผ่ออกมาจากคนข้างกาย
แววตาสีทองฉายแววดุดันเพ่งเล็งไปยังเจ้าของดาบทั้งสองเล่ม
ความกดดันแผ่ซ่านกระจัดกระจายออกเป็นวงกว้าง วงแหวนเวทมนตร์สีทองอร่ามขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าครอบคลุมไปถึงเรย์เวนและรวมไปถึงนายทหารทั้งสองคนอีกด้วย
ไอ้ทหารพวกนี้ตายแน่
ใบหน้าของคนที่หันดาบใส่นักดาบเวทเลเวล 8 ซีดเผือด เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นทั่วใบหน้า
เหล่านักเรียนที่มุงดูอยู่ทั่วโถงกลางพากันถอยหลังกรูกับความน่าเกรงขามที่ไม่อาจต้านทานได้
คนที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้อย่างปกติ เหลือเพียงเรย์เวนคนเดียวเท่านั้น
“หากกล้าหยามข้าต่อหน้านักเรียนในสถาบันเช่นนี้ คงจะรับผลที่ตามมาได้สินะ!”
To be continued
ภาพจำของครูซก็คือ อาจารย์ใหญ่ที่คอยด่าราเชลว่าไอ้งั่ง แต่ๆๆๆ ลืมไปหรือเปล่าว่าก่อนที่ครูซจะมาเป็นอาจารย์ใหญ่ เขาเป็นนักรบที่สู้เคียงข้างราเชลมาก่อนนะจ้าาาา ไม่ใช่ไก่กาเด้อ ทั้งเก่งทั้งมีอำนาจ กล้าขัดคำสั่งขององค์จักรพรรดิด้วยธรรมดาที่ไหนกัน
เชิงอรรถ