”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?
แฟนตาซี,ผจญภัย,ดราม่า,แอคชั่น,สงคราม,แก้แค้น,แอคชั่น,ปีศาจ,จอมเวท,เกิดใหม่ ,นักดาบ,ดราม่า,เวทมนตร์,#BL,แฟนตาซี,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?
ต่อให้มีนักอ่านแค่คนเดียว ก็จะไม่ทอดทิ้งโลกที่ฉันสร้างขึ้นมา
"ราเชล ฮาร์ท" อดีต 1 ใน 7 นักรบ ที่เคยสร้างชื่อในสงครามมาอย่างนับไม่ถ้วน นักดาบเวท เลเวล 9 อัฉริยะของจักรวรรดิ มีน้องชายที่รักมาก "ลูเซียส ฮาร์ท" ที่ต่อสู้เคียงข้างกันมาตลอด ครั้งหนึ่งลูเซียสสูญเสียพลังเวททั้งหมดไปจากการต่อสู้กับราชาปีศาจ แต่เขาก็ฝึกฝนดาบจนได้เป็น ซอร์ตมาสเตอร์
วันหนึ่งสองพี่น้องได้เข้าไปสอดแนมในปราสาทของราชาปีศาจ ราเชลปกป้องน้องจนพลาดท่า ลูเซียสถูกประนามที่อ่อนแอจนทำให้กำลังสำคัญอย่างราเชลต้องตาย แต่แล้วเขาก็เกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา "ดีลักซ์" ครั้งนี้ราเชลต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เพื่อจะเป็นนักดาบเวทอีกครั้ง เขาจะต้องแก้แค้นราชาปีศาจในครั้งนี้ให้ได้
#ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล9
เวลาผ่านไปไม่นาน การประชุมสำคัญก็ได้เริ่มขึ้น คนที่นั่งอยู่เหนือสุดขอบโต๊ะฟังเนื้อหาการประชุมแบบผ่านๆ พลางจิบเครื่องดื่มมึนเมาและของว่างบนโต๊ะไปด้วย
ราเชลจะออกความเห็นเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
นั่นก็เพราะว่าเรื่องการเมืองการปกครองเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัวสำหรับคนที่มีหน้าที่เพียงควบคุมทหารและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่สนามรบเพื่อปราบปีศาจเท่านั้น
แต่ด้วยตำแหน่งที่องค์จักรพรรดิมอบให้จึงมิอาจปฏิเสธการทำหน้าที่เข้าร่วมประชุมได้
“เอาล่ะ คราวนี้ก็มาถึงวาระสุดท้ายกันแล้ว”
มาร์ควิสโวลวินอสพูดขึ้นพร้อมจับเอกสารใบสุดท้ายของปึกที่อยู่ตรงหน้ายื่นให้เจ้าของเรือนผมสีขาวสว่าง
เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น
“เป็นเรื่องงบประมาณทางทหารและการลดจำนวนครั้งที่จะส่งเสบียงไปยังแนวหน้าครับ”
คนที่ยื่นฝ่ามือไปรับเอกสารเลิกคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ
“หื้ม?”
ราเชลกลอกตาอ่านอย่างรวดเร็ว ช่องว่างระหว่างคิ้วทั้งสองขยับเข้าหากันจนเกิดรอยย่น นัยน์ตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคลือบแคลงใจ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันท่านมาร์ควิส”
เอกสารถูกโยนไปยังกึ่งกลางโต๊ะด้วยโทสะที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
เขาจ้องมาร์ควิสโวลวินอสอย่างคาดโทษ
“จะลดเงินเดือนของนักดาบที่ระดับต่ำกว่าซอร์ดเอ็กซ์เปิร์ตขั้นกลาง กับนักเวทที่ระดับต่ำกว่าเลเวล 5 เนี่ยนะ แล้วยังจะเรื่องลดจำนวนการส่งเสบียงอีก ปกติก็ส่งแค่เดือนละสองครั้ง จะให้ลดเหลือครั้งเดียวงั้นเหรอ จะให้พวกข้ายัดห่x แต่ขนมปังกับเนื้อตากแห้งหรือไงตาแก่นี่!”
ราเชลตะคอกเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์
“ผู้บัญชาการ!! ระวังคำพูดบ้าง!!”
โวลวินอสตวาดกลับกับคำพูดของราเชลที่ไม่ให้เกียรติตำแหน่งของตน
“ข้าไม่ระวังแล้วจะทำไม! แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องแล้ว ข้าไม่ยอมหรอก!”
“แต่ทหารที่ด้อยฝีมือพวกนั้นก็ไม่ควรได้รับเงินเดือนมากถึงขนาดนั้นนี่ ทั้งที่ไปต่อสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นแค่ทหารใช้แรงงานที่ไร้ประโยชน์ในแนวหน้า แบบนั้นมันเปลืองภาษีประชาชนนะผู้บัญชาการ”
ชายสูงอายุที่นั่งด้านข้างมาร์ควิสโวลวินอสพยายามอธิบายถึงเหตุผลด้วยท่าทางร้อนรน
“ส่วนเรื่อง…”
ในขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ เสียงลากเก้าอี้ของผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ทำให้เขาชะงักเล็กน้อย
“หยุดทำไมครับ พูดต่อสิ”
ราเชลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางใช้แขนสองข้างค้ำยันกับโต๊ะ จ้องมองไปยังคนที่กำลังพูดอย่างไม่ละสายตา
ชายสูงวัยคนนั้นสูดหายใจเข้าลึกคล้ายว่ากำลังทำใจ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ส่วนเรื่องการส่งเสบียง จริงๆ ที่แนวหน้าก็สามารถล่าสัตว์เองได้แล้วจะให้ขนส่งเสบียงจากเมืองหลวงไปเพราะเหตุใดกัน ทั้งสิ้นเปลืองและเสียเวลา นอกเหนือจากนั้นยังเสี่ยงโดนรอบโจมตีระหว่างทางอีกด้วย สู้เอางบประมาณไปใช้ทำเรื่องอื่นๆ ไม่ดีกว่างั้นเหรอ…”
มาร์ควิสลีเดนพูดร่ายยาวโดยที่หลบสายตากดดันของผู้บัญชาการสูงสุดไปด้วย
เจ้าของเรือนผมสีขาวกวาดสายตามองไปทั่วโต๊ะประชุมอย่างจงใจ “ทุกคนในที่นี้ก็เห็นด้วยสินะ?”
“เพราะเห็นต่างกันต่างหาก จึงได้นำมาเป็นวาระในการประชุมครั้งนี้ไงล่ะ” ดยุกพาเทนเซียตอบกลับในขณะที่นั่งกอดอกพลางสบตาคนตั้งคำถาม
ราเชลยักไหล่เบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“นั่นสินะ”
ฝ่ามือที่ค้ำยันกับโต๊ะถูกเปลี่ยนตำแหน่งมาวางไว้ที่เอวสอบของตนเอง เขายืดตัวเต็มความสูงเบี่ยงสายตาไปทั่วโต๊ะอีกครั้ง
“แล้วมีท่านใดในที่นี้เห็นด้วยบ้าง?”
พรึ่บ!
เมื่อได้ยินคำถาม เหล่าขุนนางมากกว่าครึ่งหนึ่งในที่ประชุมพากันยกมือจนสุดแขน
ทุกคนล้วนเป็นคนที่ต่อต้าน ราเชล ฮาร์ท อย่างออกนอกหน้ามาโดยตลอด และที่สำคัญไปกว่านั้น…
ราเชลยกยิ้มมุมปากพลางส่ายหัวไปมา
“โอ้โห แต่ละคน ล้วนเป็นคนที่ไม่เคยไปประจำการที่แนวหน้าทั้งนั้นเลยนี่”
“นั่นมันไม่เกี่ยวซะหน่อย” หนึ่งในคนที่เห็นด้วยกับวาระการประชุมครั้งนี้รีบปฏิเสธสิ่งที่ราเชลตั้งใจจะสื่อ
“มันจะไม่เกี่ยวได้อย่างไรกันครับ~”
เจ้าของเรือนผมสีขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะขยับร่างกายอีกครั้ง
เขาค่อยๆ ก้าวเดินไปยังตำแหน่งเก้าอี้ของคนที่ยกมือเมื่อครู่ทีละคนจนมาหยุดอยู่ที่ตัวตั้งตัวตียื่นวาระนี้ในที่ประชุม
ฝ่ามือลูบไล้พนักพิงไปมา ก่อนจะเอนตัวลงไปข้างๆ ศีรษะของชายสูงอายุ จนเขารู้สึกขนลุกไปทั่วร่างกับการกระทำไม่น่าไว้วางใจของอีกคน
“เพราะว่าไม่เคยไปอยู่ที่นั่นเลยไม่รู้ว่ามันเป็นสถานที่เฮงซวยขนาดไหนไงล่ะ”
เจ้าของนัยน์ตาสีเลือดเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ดูตรงข้ามกับความกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกาย
“พูดจาให้เกียรติกันบ้างเถอะราเชล ถึงตำแหน่งจะสูงส่งแต่อายุยังน้อยกว่าพวกเรานัก” มาร์ควิสโวลวินอสสวนกลับคำพูดทันที
ราเชลยักไหล่ตอบกลับอย่างไม่ยี่หร่ะ
“เหอะๆ นั่นมันสำคัญหรือไงกัน ที่แนวหน้าเราเคารพกันที่ตำแหน่งและความแข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นข้าจะไม่เคารพใครในที่นี้ก็ยังได้เลยด้วยซ้ำ”
หลังจากพูดจบผู้บัญชาการสูงสุดก้าวขาออกจากจุดเดิม เขาเดินอ้อมโต๊ะขนาดใหญ่ไปที่นั่งอีกฝั่งตรงข้ามกับกลุ่มคนที่ต่อต้านตนเอง
ราเชลยืนกอดอกอย่างมั่นใจ
คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าของเขาในตอนนี้ล้วนเป็นขุนนางที่เคยผ่านการประจำการที่แนวหน้ามาแล้วทั้งสิ้น และราเชลเองก็มั่นใจว่าสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้กลุ่มคนเหล่านี้ก็คงจะเป็นด้วยเป็นแน่
“ขอพูดอะไรหน่อยก็แล้วกัน ทั้งนักดาบและนักเวทระดับต่ำที่ไม่ได้เก่งกาจมากนักจำเป็นกับแนวหน้ามาก”
ในระหว่างที่เขากำลังพูดอยู่นั้น กลุ่มคนที่คัดค้านกับวาระนี้ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ยินเป็นระยะ
“เพราะถ้าขาดผู้คนเหล่านั้นไปใครจะทำอาหาร ทำงานใช้แรงงานจิปาถะ ตัดไม้ตัดฟืน วิ่งรายงานสถานการณ์ ควบคุมดูแลทหารจบใหม่ เฝ้ายามที่ผลัดเปลี่ยนกันตลอด 24 ชั่วโมง ไปลดเงินเดือนคนพวกนั้นแล้วถ้าขาดคนใครมันจะไปทำงานส่วนนั้นกัน”
ความจริงถูกเผยแพร่ออกไปจากปากของผู้บัญชาการสูงสุดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากกว่าครั้งที่ผ่านมา
แต่แล้วหนึ่งในคนที่คัดค้านก็หันขวับไปสบตากับคนที่เพิ่งพูดจบ
“เรื่องนั้นเงินเดือนมันก็ต้องเหมาะสมกับงานที่ทำสิ งานง่ายๆ เช่นนั้น คนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นทหารก็ทำได้เหมือนกัน”
“คนธรรมดาทำได้งั้นเหรอคะ คนงานที่สามารถป้องกันตัวเองจากสัตว์อสูรเมื่อต้องไปตัดฟืนในป่าลึก หรือระหว่างลาดตระเวนแล้วเจอพวกออร์คขึ้นมาคนธรรมดาจะไปทำอะไรได้ล่ะ!”
หญิงวัยกลางคนที่ทนฟังคำแก้ต่างที่ไร้เหตุผลไม่ไหว ตอบกลับทันควันจนมาร์ควิสลีเดนหน้าถอดสี
[โจจิน แวน วิลเลน มาสเตอร์ ฉายานักดาบเงาหมื่นบุปผา เจ้าตระกูลวิลเลน]
ราเชลเหลือบมองไปยังเจ้าของเรือนผมสีชมพูที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“ท่านเคาน์เตส…” เขาพึมพำเบาๆ นัยน์ตาฉายแววตกตะลึงเล็กน้อย
“ขออภัยค่ะผู้บัญชาการ ที่แทรกการสนทนาครั้งนี้” เธอหันไปมองสบตาคู่สนทนาที่ยืนอยู่ด้านหลังก่อนจะก้มหัวให้เล็กน้อย
เจ้าของเรือนผมสีขาวส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เป็นไรครับ เชิญท่านพูดต่อได้เลย”
โจจินพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับไปมองกลุ่มคนที่นั่งตรงข้าม
“ส่วนเรื่องเสบียงทหารออกล่ากันได้ก็จริง แต่แค่พวกเขาต่อสู้กับพวกปีศาจกันก็เหนื่อยล้า แล้วยังต้องล่าสัตว์เพื่อนำมาทำงานอาหารในแต่ละมื้ออีก พวกท่านคิดว่าทหารไม่ต้องหลับต้องนอนกันหรือไงคะ”
กลุ่มขุนนางขั้วตรงข้ามอีกฝั่งพากันนิ่งเงียบไม่กล้าตอบกลับ ความเงียบครอบคลุมห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้
แต่แล้วท่อนแขนหนาก็ยกขึ้นสุดจนกลายเป็นจุดสนใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ต่างกัน
“ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับวาระนี้ครับ และไม่มีวันเห็นด้วยแน่นอน จากการที่ผมไปประจำที่แนวหน้าในฐานะหน่วยแพทย์มากกว่า 7 ปี แนวหน้าจะเสียผู้คนเหล่านั้นไปไม่ได้ครับ”
แวนคลิโอพูดเสริมความเห็นที่ตรงข้ามกับความต้องการของฝั่งต่อต้าน
“แต่ว่างบประมาณปีนี้มัน!!” มาร์ควิสโวลวินอสแย้งขึ้น
ปั้ง!
ฝ่ามือหนาของคนที่เริ่มทนฟังไม่ไหว ตบลงที่โต๊ะไม้จนเกิดเสียงดัง หลายคนสะดุ้งตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
นัยน์ตาสีเลือดที่ดูน่ากลัวจ้องมองไปยังคนที่แย้งขึ้น
“นี่ตาแก่ ถ้ามันยุ่งยากนักก็เรียกเก็บภาษีเพิ่มซะสิ”
“ไม่ได้นะท่านราเชล!! นึกถึงประชาชน...” แวนคลิโอหันขวับไปหาคนที่ยื่นข้อเสนอทันที
“ใจเย็นครับ ท่านเอิร์ลดีลักซ์ ข้าหมายถึงเก็บภาษีจากพวกคนมีเงิน ไม่ใช่จากประชาชนตาดำๆ เรียกเก็บเพิ่มเท่าไหร่ดี สัก 20% เป็นอย่างไรล่ะ หรือว่ายิ่งรวยมากก็เก็บมากดี”
กลุ่มคนที่ต่อต้านเริ่มแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่คนที่พูดไม่มีท่าทีจะลดละความตั้งใจ
“เช่นนั้นขุนนางในห้องนี้ทั้งหมดก็ต้องเสียภาษีเพิ่มน่ะสิ” เจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงเอ่ยถามกับคนที่เสนอความเห็นขึ้น
“ใช่ครับ” ราเชลตอบพลางพยักหน้า
“ข้าไม่มีปัญหานะ” อัสโตรพูดขึ้นก่อนจะหันไปมองฝ่ายตรงข้ามที่กำลังมีท่าทีร้อนใจ
“ไม่ได้!”
เป็นอีกครั้งที่มาร์ควิสโวลวินอสตวาดเสียงดังลั่น
“ให้ตายเถอะ ถ้าเช่นนั้นก็ตัดงบจากงานอื่นๆ มาเสียสิ พวกงานเทศกาล งานฉลองอะไรนั่น จัดใหญ่โตให้มันเปลืองงบไปเพื่ออะไร ไร้ประโยชน์ชะมัด”
เจ้าของเรือนผมสีขาวสว่างชักมือจากโต๊ะกลับขึ้นมากอดอก สายตายังคงจ้องมองกดดันไปที่อีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ
“งานพวกนั้นมันถือเป็นหน้าเป็นตาของจักรวรรดิโดรเบตต้า จะมาจัดเล็กๆ ให้เสียชื่อได้อย่างไรกัน!” มาร์ควิสกลอสเตอร์ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น
ราเชลถอนหายใจออกมายาวเหยียดราวกับคนเหนื่อยล้าทั้งกายใจ
“อันนู้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ จะตัดงบทางทหารให้ได้เลยงั้นเหรอ”
ราเชลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย
เขาก้าวเดินกลับมานั่งทิ้งน้ำหนักที่ตำแหน่งของตนเองอีกครั้งเรียกความสนใจให้ทุกคนในห้องหันไปมองเป็นตาเดียว
เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้อง นัยน์ตาสีเลือดสงบนิ่งราวกับกำลังทบทวนเรื่องราว ทุกสายตาหันมามองคนที่นั่งเหนือสุดขอบโต๊ะอย่างใจจดใจจ่อ
ไม่นานนักราเชลก็หันกลับมาสบตาทุกคน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เผยขึ้นบนใบหน้าคมคาย
“ก็เอาสิ แต่ต้องรับผลที่ตามมาให้ได้แล้วกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความนัยบางอย่าง
“หมายความว่าอย่างไร” มาร์ควิสโวลวินอสเอ่ยถาม
เจ้าของเรือนผมสีขาวไม่ตอบกลับ แต่เขากลับเอนหลังพิงพนัก เอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น
“มาร์ติน”
“ขอรับ” รองผู้บังคับบัญชาที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังขานรับในทันที
“ถ้าคนจากหน่วยที่ 1 ของเราบุกปล้นเมืองทรอยด์ที่มาร์ควิสโวลวินอสปกครองอยู่จะใช้เวลานานเท่าไหร่”
เจ้าของเรือนผมสีขาวเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองไปยังชายสูงอายุที่กำลังแสดงอาการไม่พอใจด้วยสีหน้ายียวน
คำถามจากปากของผู้บัญชาการทหารสูงสุดเรียกเสียงฮือฮาให้คนทั้งห้องประชุม บางคนก็หลุดขำออกมาเบาๆ บางคนก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม และก็มีบางคนกำหมัดแน่นแสดงอาการไม่พอใจอย่างชัดเจน
“ผู้บัญชาการ!!” เสียงตวาดเสียงดังขึ้นอีกครั้งจากมาร์ควิสโวลวินอส
แต่คนที่เอ่ยคำถามเมื่อครู่กลับเมินสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมาการองบนโต๊ะเอาเข้าปากอย่างสบายใจ
มาร์ตินใช้เวลาคำนวนชั่วครู่ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ถ้าใช้คน 10 คน น่าจะใช้เวลาประมาณ 5 นาทีขอรับ”
ราเชลกลืนขนมลงคอในทีเดียว เขาพยักหน้าเบาๆ
“ดีเลย จัดกลุ่ม 10 คน 5 กลุ่ม แล้วปล้นเมืองของขุนนางที่เห็นด้วยทั้งหมด”
“หยุดนะ!!” เสียงตะโกนจากบรรดาคนที่คัดค้านดังขึ้นอีกครั้ง
เจ้าของเรือนผมสีขาวยังคงเมินคำพูดบอกให้หยุดและออกคำสั่งต่อไปด้วยรอยยิ้ม
“ทยอยไปทีละเมืองล่ะ ภายในสองวันต้องเอาเงินในคลังมาให้หมด”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะเอื้อมฝ่ามือไปหยิบเครื่องดื่มมึนเมาขึ้นมาดื่มอย่างไม่ยี่หร่ะ
“ทำเรื่องบ้าอะไรน่ะ ห๊ะ!!!”
ชายสูงอายุคนเดิมตะคอกเสียงดังอีกครั้ง ใบหน้าร้อนรนจนอยู่ไม่สุข ฝ่ามือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น
ราเชลยกแก้วเครื่องดื่มกระดกจนหมดในคราวเดียว เขาวางแก้วลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันมาหาคนที่พยายามโวยวายคัดค้านมาตั้งแต่เมื่อครู่
“จะอะไรซะอีกล่ะ ก็งบทหารไม่พอ ข้าก็เลยต้องดิ้นรนเพื่อปากท้องของทหารข้าอย่างไงล่ะ ไม่เช่นนั้นคงลาออกจากแนวหน้ากันหมดแน่”
ฝ่ามือข้างขวายกขึ้นในระดับศีรษะปลายนิ้วขยับเล็กน้อยส่งสัญญาณให้มาร์ตินที่ยืนอยู่ด้านหลัง
“ออกคำสั่งซะมาร์ติน” เจ้าของเรือนผมสีขาวเอ่ยเสียงหนักแน่น
“รับทราบขอรับ” คนที่ได้รับคำสั่งพยักหน้ารับ
เขาหยิบอาร์ตี้แฟคสื่อสารขึ้นมาก่อนจะกดปุ่มอัญมณีสีเขียวที่อยู่กึ่งกลาง
ทว่าในจังหวะที่กำลังจะอ้าปากออกเสียงพูด ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“พอเสียที!!”
ฝ่ามือของราเชลที่เคยแบออกส่งสัญญาณ ตอนนี้เขากำหมัดแน่น ทำให้การกระทำของมาร์ตินหยุดชะงัก ปลายนิ้วที่ออกแรงกดปุ่มอัญมณีผ่อนแรงลง
“ข้าจะถอดวาระนี้ออกจากการประชุม จะไม่มีการตัดงบหรือยกเลิกการขนส่งเสบียงอะไรทั้งนั้น”
มาร์ควิสโวลวินอสประกาศกร้าวเสียงดังอย่างหมดหนทาง เขากำหมัดแน่นกว่าเดิม ปลายเล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนเกิดรอยแดงชัด
ราเชลยิ้มมุมปากอย่างคนได้รับชัยชนะ
เสียงปรบมือของคนที่นั่งอยู่เหนือสุดของขอบโต๊ะดังนำขึ้น ก่อนที่หลายคนในโต๊ะประชุมจะทยอยกันปรบมือตาม
“ดีมากเลยครับท่านมาร์ควิส”
หลังจากเอ่ยชมได้ไม่ทันไรฝ่ามือขาวซีดของราเชลก็คว้าเอกสารวาระสุดท้ายของการประชุมที่เคยโยนลงไปกลางโต๊ะขึ้นมาฉีกมันจนขาดวิ่นต่อหน้าทุกคนในห้องประชุม
“ถ้าเช่นนั้นขอจบการประชุมไว้แต่เพียงเท่านี้ แยกย้ายได้ มาร์ตินยกเลิกคำสั่งไม่ต้องปล้นแล้ว”
“ขอรับท่านราเชล” มาร์ตินตอบกลับทันที
คำสั่งปิดการประชุมของผู้บัญชาการสูงสุดจบลง
เจ้าของเรือนผมสีขาวก็ลุกขึ้นยืนสะบัดผ้าคลุมสีดำสนิทเดินตรงดิ่งไปที่ประตูทางออกพร้อมเหยียดยิ้มกว้าง ใบหน้าระรื่นอย่างมีความสุข โดยไม่สนใจใยดีเหล่าขุนนางที่หัวเสียจากการโดนข่มขู่เลยแม้แต่น้อย
ปั้ง!!
ทันทีที่ ราเชล ฮาร์ท ก้าวเดินพ้นจากห้องประชุมออกไปเสียงของกำปั้นหนาทุบโต๊ะก็ดังขึ้นมาจากที่นั่งของมาร์ควิสโวลวินอส
ความเกรี้ยวกราดผุดขึ้นมาบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
“หนอย ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้เด็กเวร!” เขาสบถออกมาด้วยความโมโห
“ได้ใจแค่ครั้งนี้เท่านั้นแหละ” มาร์ควิสลีเดนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยร่องรอยของความอัดอั้น
เจ้าของเรือนผมสีแดงส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“จะทำเรื่องไร้สาระไปทำไมกัน มาร์ควิสโวลวินอส เจ้าก็รู้ว่าเด็กนั่นทำอะไรได้บ้าง” ดยุกพาเทนเซียพูดด้วยน้ำเสียงเอือมระอา
คนที่ถูกกล่าวถึงหันขวับไปมองคนพูด แววตาแอบแฝงไปด้วยความฉุนเฉียว
“ข้าไม่คิดเลยว่าท่านดยุกจะหวาดกลัวและโอนเอนไปตามคารมของเด็กนั่นด้วย”
หางคิ้วของคนที่ได้ยินกระตุกเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าไม่เคยกลัวและหลงไปกับคารมของเด็กนั่น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วเพราะเหตุใดถึงได้เข้าข้างมันกัน”
ดยุกพาเทนเซียหรี่ตามองอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่เหตุผลที่หลายคนพูดไปเพื่อไม่ให้ตัดงบทางทหารชัดเจนเสียขนาดนั้น แต่คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีของเรื่องกลับยังดื้อรั้น
“เจ้ายังต้องการฟังเหตุผลไปมากกว่านี้อีกหรือไง”
“เหอะ! ตั้งแต่มันขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดก็ทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด” มาร์ควิสกลอสเตอร์ที่ก่อนหน้ายังนิ่งเงียบเองก็สบถออกมาด้วยความไม่พอใจเช่นกัน
เจ้าของเรือนผมสีเทาหม่นที่นั่งอยู่ริมสุดของโต๊ะประชุมชะงักเล็กน้อย เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งได้ยินและกำลังพยายามจะเข้าร่วมวงสนทนาที่กำลังมาคุ
“ข้าว่าจะไปตัดงบทางทหารมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำอยู่แล้วนะครับ งบส่วนนั้นสำคัญ-”
“หุบปากไปเถอะเอิร์ลดีลักซ์ เป็นแค่เจ้าเมืองเล็กๆ ในชนบทกล้าดีอย่างไรมาขัดคำพูดข้ากัน” คำพูดและน้ำเสียงเย้ยหยันถึงบ้านเมืองที่ปกครองทำให้แวนคลิโอหลบตาไม่กล้าสู้หน้า
คนที่พูดจ้องมองเขม็งเมื่อเห็นท่าทีของอีกคน
“เจ้าพูดจาเสียมารยาทมากไปแล้วนะ”
ดยุกอเลนเดลที่กำลังเก็บสัมภาระของตนเตรียมพร้อมจะออกไปจากห้องประชุมพูดขึ้นพลางส่งสายตาห้ามปรามไปยังมาร์ควิสกลอสเตอร์
ทว่าคนที่ถูกเตือนกลับเบือนหน้าหนี
“เหอะ!”
“ถ้าจะบันดาลโทสะมากนัก ทำไมถึงมาลงที่คนอื่น ไม่ทำต่อหน้าเด็กนั่นเมื่อครู่เล่า”
เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเดินจากที่นั่งของตนเองมายังที่นั่งของมาร์ควิสกลอสเตอร์ โดยที่ยังคงใช้คำพูดเหน็บแหนมขุนนางที่ทำพฤติกรรมไม่สมควร
“หรือว่าเก่งแต่ลับหลัง”
ฝ่ามือหนาของเขาแตะเข้าที่บ่ากว้างของคนที่นั่งอยู่ ก่อนจะออกแรงบีบเค้นจนอีกคนส่งเสียงโอดครวญ
ออร่าสีฟ้าที่ทรงพลังอ่อนหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของดยุกอเลนเดล ความกดดันแผ่ซ่านไปทั่วห้องประชุมราวกับคลื่นยักษ์กำลังซัดใส่ชายฝั่ง
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะเท่าที่เห็นนอกจากยอมจำนนพวกเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็นจนที่ได้ยินหน้าซีด นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลฉายแววดุดันน่าเกรงขามพลางกวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่แสดงอาการไม่พอใจและโวยวายไม่หยุดตั้งแต่ผู้บัญชาการสูงสุดออกจากห้องไป
“พวกเจ้าก็เช่นกัน อย่ามาทำตัวต่ำทรามไร้มารยาทในห้องประชุมอันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้อีก แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
คำประกาศิตเด็ดขาดของดยุกอเลนเดลทำให้เหล่ามาร์ควิสที่ชักสีหน้ากันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ใบหน้าซีดเผือดเพราะความกดดันมหาศาลที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกาย
เดิมทีอำนาจก็ต่ำต้อยกว่าอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนเกรงกลัวคงจะเป็นตำแหน่งคนสนิทขององค์จักรพรรดิ อีกทั้งยังเป็นมหาจอมเวทน้ำที่แข็งแกร่งอีกหนึ่งคนของจักรวรรดิก็เป็นได้
to be continued.
ย้อนอดีตยาวมากกกกกกก แต่ยังไม่จบเท่านี้นะคะ เราจะพาทุกคนย้อนอดีตไปอีกค่ะ เรื่องราวที่ควรรู้ยังมีอีกนิดค่ะ
แล้วตอนประชุมก็คือแสบมาก อ่อ ไม่ยอมทำตามใช่มั้ยขู่ซะเลย 5555555555555