”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9 - 19 การประชุมสำคัญ (2) โดย fixcblue @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ผจญภัย,ดราม่า,แอคชั่น,สงคราม,แก้แค้น,แอคชั่น,ปีศาจ,จอมเวท,เกิดใหม่ ,นักดาบ,ดราม่า,เวทมนตร์,#BL,แฟนตาซี,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ผจญภัย,ดราม่า,แอคชั่น,สงคราม

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แก้แค้น,แอคชั่น,ปีศาจ,จอมเวท,เกิดใหม่ ,นักดาบ,ดราม่า,เวทมนตร์,#BL,แฟนตาซี,ต่างโลก

รายละเอียด

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9 โดย fixcblue @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?

ผู้แต่ง

fixcblue

เรื่องย่อ


 

ต่อให้มีนักอ่านแค่คนเดียว ก็จะไม่ทอดทิ้งโลกที่ฉันสร้างขึ้นมา


 

"ราเชล ฮาร์ท" อดีต 1 ใน 7 นักรบ ที่เคยสร้างชื่อในสงครามมาอย่างนับไม่ถ้วน นักดาบเวท เลเวล 9 อัฉริยะของจักรวรรดิ มีน้องชายที่รักมาก "ลูเซียส ฮาร์ท" ที่ต่อสู้เคียงข้างกันมาตลอด ครั้งหนึ่งลูเซียสสูญเสียพลังเวททั้งหมดไปจากการต่อสู้กับราชาปีศาจ แต่เขาก็ฝึกฝนดาบจนได้เป็น ซอร์ตมาสเตอร์


วันหนึ่งสองพี่น้องได้เข้าไปสอดแนมในปราสาทของราชาปีศาจ ราเชลปกป้องน้องจนพลาดท่า ลูเซียสถูกประนามที่อ่อนแอจนทำให้กำลังสำคัญอย่างราเชลต้องตาย แต่แล้วเขาก็เกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา "ดีลักซ์" ครั้งนี้ราเชลต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เพื่อจะเป็นนักดาบเวทอีกครั้ง เขาจะต้องแก้แค้นราชาปีศาจในครั้งนี้ให้ได้

#ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล9

สารบัญ

ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-บทนำ ข้ามาเกิดใหม่งั้นหรือ?,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-1 คุณชายแห่งนีไอโอเนีย,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-2 ไอ้เด็กเมื่อวานซืน,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-3 เจ้าเป็นข้ารับใช้ของใคร,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-4 มาเรียน่า,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-5 อดีตนักรบ,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-6 ลงทะเบียนเรียนชั้นปีที่ 2,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-7 จุดด่างพร้อยหนึ่งเดียว,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-8 มือสังหาร,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-9 การฆ่าครั้งแรก,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-10 น้ำกับไฟถ้าไกลกันได้ก็ดี,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-11 นาฬิกาเรือนเก่า,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-12 ผู้ใช้เวทห้วงเวลา,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-13 ผสานสามวงแหวนเวทมนตร์,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-14 แค่ฝึกซ้อม (1),ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-15 แค่ฝึกซ้อม (2),ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-16 คำสั่งขององค์จักรพรรดิ,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-17 ว่าด้วยเรื่อง ดาบเลือด,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-18 การประชุมสำคัญ (1),ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-19 การประชุมสำคัญ (2),ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-20 ดอม เพล แชมเปญ,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-21 องค์รัชทายาท,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-21.1 ‼️แจ้งวางขาย e-book และ แจ้งติดเหรียญ ‼️,ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9-22 สองรุมหนึ่ง

เนื้อหา

19 การประชุมสำคัญ (2)

เวลาผ่านไปไม่นาน การประชุมสำคัญก็ได้เริ่มขึ้น คนที่นั่งอยู่เหนือสุดขอบโต๊ะฟังเนื้อหาการประชุมแบบผ่านๆ พลางจิบเครื่องดื่มมึนเมาและของว่างบนโต๊ะไปด้วย 

ราเชลจะออกความเห็นเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

นั่นก็เพราะว่าเรื่องการเมืองการปกครองเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัวสำหรับคนที่มีหน้าที่เพียงควบคุมทหารและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่สนามรบเพื่อปราบปีศาจเท่านั้น 

แต่ด้วยตำแหน่งที่องค์จักรพรรดิมอบให้จึงมิอาจปฏิเสธการทำหน้าที่เข้าร่วมประชุมได้

“เอาล่ะ คราวนี้ก็มาถึงวาระสุดท้ายกันแล้ว” 

มาร์ควิสโวลวินอสพูดขึ้นพร้อมจับเอกสารใบสุดท้ายของปึกที่อยู่ตรงหน้ายื่นให้เจ้าของเรือนผมสีขาวสว่าง 

เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น

“เป็นเรื่องงบประมาณทางทหารและการลดจำนวนครั้งที่จะส่งเสบียงไปยังแนวหน้าครับ”

คนที่ยื่นฝ่ามือไปรับเอกสารเลิกคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ

“หื้ม?” 

ราเชลกลอกตาอ่านอย่างรวดเร็ว ช่องว่างระหว่างคิ้วทั้งสองขยับเข้าหากันจนเกิดรอยย่น นัยน์ตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคลือบแคลงใจ 

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันท่านมาร์ควิส”

เอกสารถูกโยนไปยังกึ่งกลางโต๊ะด้วยโทสะที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย

เขาจ้องมาร์ควิสโวลวินอสอย่างคาดโทษ

“จะลดเงินเดือนของนักดาบที่ระดับต่ำกว่าซอร์ดเอ็กซ์เปิร์ตขั้นกลาง กับนักเวทที่ระดับต่ำกว่าเลเวล 5 เนี่ยนะ แล้วยังจะเรื่องลดจำนวนการส่งเสบียงอีก ปกติก็ส่งแค่เดือนละสองครั้ง จะให้ลดเหลือครั้งเดียวงั้นเหรอ จะให้พวกข้ายัดห่x แต่ขนมปังกับเนื้อตากแห้งหรือไงตาแก่นี่!” 

ราเชลตะคอกเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์

“ผู้บัญชาการ!! ระวังคำพูดบ้าง!!” 

โวลวินอสตวาดกลับกับคำพูดของราเชลที่ไม่ให้เกียรติตำแหน่งของตน

“ข้าไม่ระวังแล้วจะทำไม! แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องแล้ว ข้าไม่ยอมหรอก!”

“แต่ทหารที่ด้อยฝีมือพวกนั้นก็ไม่ควรได้รับเงินเดือนมากถึงขนาดนั้นนี่ ทั้งที่ไปต่อสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นแค่ทหารใช้แรงงานที่ไร้ประโยชน์ในแนวหน้า แบบนั้นมันเปลืองภาษีประชาชนนะผู้บัญชาการ” 

ชายสูงอายุที่นั่งด้านข้างมาร์ควิสโวลวินอสพยายามอธิบายถึงเหตุผลด้วยท่าทางร้อนรน

“ส่วนเรื่อง…” 

ในขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ เสียงลากเก้าอี้ของผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ดังขึ้นขัดจังหวะ ทำให้เขาชะงักเล็กน้อย

“หยุดทำไมครับ พูดต่อสิ” 

ราเชลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางใช้แขนสองข้างค้ำยันกับโต๊ะ จ้องมองไปยังคนที่กำลังพูดอย่างไม่ละสายตา

ชายสูงวัยคนนั้นสูดหายใจเข้าลึกคล้ายว่ากำลังทำใจ ก่อนจะเอ่ยออกมา

“ส่วนเรื่องการส่งเสบียง จริงๆ ที่แนวหน้าก็สามารถล่าสัตว์เองได้แล้วจะให้ขนส่งเสบียงจากเมืองหลวงไปเพราะเหตุใดกัน ทั้งสิ้นเปลืองและเสียเวลา นอกเหนือจากนั้นยังเสี่ยงโดนรอบโจมตีระหว่างทางอีกด้วย สู้เอางบประมาณไปใช้ทำเรื่องอื่นๆ ไม่ดีกว่างั้นเหรอ…” 

มาร์ควิสลีเดนพูดร่ายยาวโดยที่หลบสายตากดดันของผู้บัญชาการสูงสุดไปด้วย

เจ้าของเรือนผมสีขาวกวาดสายตามองไปทั่วโต๊ะประชุมอย่างจงใจ “ทุกคนในที่นี้ก็เห็นด้วยสินะ?”

“เพราะเห็นต่างกันต่างหาก จึงได้นำมาเป็นวาระในการประชุมครั้งนี้ไงล่ะ” ดยุกพาเทนเซียตอบกลับในขณะที่นั่งกอดอกพลางสบตาคนตั้งคำถาม

ราเชลยักไหล่เบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“นั่นสินะ” 

ฝ่ามือที่ค้ำยันกับโต๊ะถูกเปลี่ยนตำแหน่งมาวางไว้ที่เอวสอบของตนเอง เขายืดตัวเต็มความสูงเบี่ยงสายตาไปทั่วโต๊ะอีกครั้ง 

“แล้วมีท่านใดในที่นี้เห็นด้วยบ้าง?”

พรึ่บ!

เมื่อได้ยินคำถาม เหล่าขุนนางมากกว่าครึ่งหนึ่งในที่ประชุมพากันยกมือจนสุดแขน 

ทุกคนล้วนเป็นคนที่ต่อต้าน ราเชล ฮาร์ท อย่างออกนอกหน้ามาโดยตลอด และที่สำคัญไปกว่านั้น…

ราเชลยกยิ้มมุมปากพลางส่ายหัวไปมา

“โอ้โห แต่ละคน ล้วนเป็นคนที่ไม่เคยไปประจำการที่แนวหน้าทั้งนั้นเลยนี่”

“นั่นมันไม่เกี่ยวซะหน่อย” หนึ่งในคนที่เห็นด้วยกับวาระการประชุมครั้งนี้รีบปฏิเสธสิ่งที่ราเชลตั้งใจจะสื่อ

“มันจะไม่เกี่ยวได้อย่างไรกันครับ~”

เจ้าของเรือนผมสีขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะขยับร่างกายอีกครั้ง 

เขาค่อยๆ ก้าวเดินไปยังตำแหน่งเก้าอี้ของคนที่ยกมือเมื่อครู่ทีละคนจนมาหยุดอยู่ที่ตัวตั้งตัวตียื่นวาระนี้ในที่ประชุม 

ฝ่ามือลูบไล้พนักพิงไปมา ก่อนจะเอนตัวลงไปข้างๆ ศีรษะของชายสูงอายุ จนเขารู้สึกขนลุกไปทั่วร่างกับการกระทำไม่น่าไว้วางใจของอีกคน

“เพราะว่าไม่เคยไปอยู่ที่นั่นเลยไม่รู้ว่ามันเป็นสถานที่เฮงซวยขนาดไหนไงล่ะ”

เจ้าของนัยน์ตาสีเลือดเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ดูตรงข้ามกับความกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกาย

“พูดจาให้เกียรติกันบ้างเถอะราเชล ถึงตำแหน่งจะสูงส่งแต่อายุยังน้อยกว่าพวกเรานัก” มาร์ควิสโวลวินอสสวนกลับคำพูดทันที

ราเชลยักไหล่ตอบกลับอย่างไม่ยี่หร่ะ

“เหอะๆ นั่นมันสำคัญหรือไงกัน ที่แนวหน้าเราเคารพกันที่ตำแหน่งและความแข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นข้าจะไม่เคารพใครในที่นี้ก็ยังได้เลยด้วยซ้ำ” 

หลังจากพูดจบผู้บัญชาการสูงสุดก้าวขาออกจากจุดเดิม เขาเดินอ้อมโต๊ะขนาดใหญ่ไปที่นั่งอีกฝั่งตรงข้ามกับกลุ่มคนที่ต่อต้านตนเอง

ราเชลยืนกอดอกอย่างมั่นใจ

คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าของเขาในตอนนี้ล้วนเป็นขุนนางที่เคยผ่านการประจำการที่แนวหน้ามาแล้วทั้งสิ้น และราเชลเองก็มั่นใจว่าสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้กลุ่มคนเหล่านี้ก็คงจะเป็นด้วยเป็นแน่

“ขอพูดอะไรหน่อยก็แล้วกัน ทั้งนักดาบและนักเวทระดับต่ำที่ไม่ได้เก่งกาจมากนักจำเป็นกับแนวหน้ามาก”

ในระหว่างที่เขากำลังพูดอยู่นั้น กลุ่มคนที่คัดค้านกับวาระนี้ก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ได้ยินเป็นระยะ

“เพราะถ้าขาดผู้คนเหล่านั้นไปใครจะทำอาหาร ทำงานใช้แรงงานจิปาถะ ตัดไม้ตัดฟืน วิ่งรายงานสถานการณ์ ควบคุมดูแลทหารจบใหม่ เฝ้ายามที่ผลัดเปลี่ยนกันตลอด 24 ชั่วโมง ไปลดเงินเดือนคนพวกนั้นแล้วถ้าขาดคนใครมันจะไปทำงานส่วนนั้นกัน”

ความจริงถูกเผยแพร่ออกไปจากปากของผู้บัญชาการสูงสุดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากกว่าครั้งที่ผ่านมา

แต่แล้วหนึ่งในคนที่คัดค้านก็หันขวับไปสบตากับคนที่เพิ่งพูดจบ

“เรื่องนั้นเงินเดือนมันก็ต้องเหมาะสมกับงานที่ทำสิ งานง่ายๆ เช่นนั้น คนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นทหารก็ทำได้เหมือนกัน”

“คนธรรมดาทำได้งั้นเหรอคะ คนงานที่สามารถป้องกันตัวเองจากสัตว์อสูรเมื่อต้องไปตัดฟืนในป่าลึก หรือระหว่างลาดตระเวนแล้วเจอพวกออร์คขึ้นมาคนธรรมดาจะไปทำอะไรได้ล่ะ!” 

หญิงวัยกลางคนที่ทนฟังคำแก้ต่างที่ไร้เหตุผลไม่ไหว ตอบกลับทันควันจนมาร์ควิสลีเดนหน้าถอดสี

 [โจจิน แวน วิลเลน มาสเตอร์ ฉายานักดาบเงาหมื่นบุปผา เจ้าตระกูลวิลเลน] 

ราเชลเหลือบมองไปยังเจ้าของเรือนผมสีชมพูที่นั่งอยู่ตรงหน้า

“ท่านเคาน์เตส…” เขาพึมพำเบาๆ นัยน์ตาฉายแววตกตะลึงเล็กน้อย

“ขออภัยค่ะผู้บัญชาการ ที่แทรกการสนทนาครั้งนี้” เธอหันไปมองสบตาคู่สนทนาที่ยืนอยู่ด้านหลังก่อนจะก้มหัวให้เล็กน้อย

เจ้าของเรือนผมสีขาวส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่เป็นไรครับ เชิญท่านพูดต่อได้เลย”

โจจินพยักหน้ารับ ก่อนจะหันกลับไปมองกลุ่มคนที่นั่งตรงข้าม

“ส่วนเรื่องเสบียงทหารออกล่ากันได้ก็จริง แต่แค่พวกเขาต่อสู้กับพวกปีศาจกันก็เหนื่อยล้า แล้วยังต้องล่าสัตว์เพื่อนำมาทำงานอาหารในแต่ละมื้ออีก พวกท่านคิดว่าทหารไม่ต้องหลับต้องนอนกันหรือไงคะ” 

กลุ่มขุนนางขั้วตรงข้ามอีกฝั่งพากันนิ่งเงียบไม่กล้าตอบกลับ ความเงียบครอบคลุมห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้

แต่แล้วท่อนแขนหนาก็ยกขึ้นสุดจนกลายเป็นจุดสนใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ต่างกัน

“ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับวาระนี้ครับ และไม่มีวันเห็นด้วยแน่นอน จากการที่ผมไปประจำที่แนวหน้าในฐานะหน่วยแพทย์มากกว่า 7 ปี แนวหน้าจะเสียผู้คนเหล่านั้นไปไม่ได้ครับ” 

แวนคลิโอพูดเสริมความเห็นที่ตรงข้ามกับความต้องการของฝั่งต่อต้าน

“แต่ว่างบประมาณปีนี้มัน!!” มาร์ควิสโวลวินอสแย้งขึ้น

ปั้ง!

ฝ่ามือหนาของคนที่เริ่มทนฟังไม่ไหว ตบลงที่โต๊ะไม้จนเกิดเสียงดัง หลายคนสะดุ้งตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

นัยน์ตาสีเลือดที่ดูน่ากลัวจ้องมองไปยังคนที่แย้งขึ้น

“นี่ตาแก่ ถ้ามันยุ่งยากนักก็เรียกเก็บภาษีเพิ่มซะสิ”

“ไม่ได้นะท่านราเชล!! นึกถึงประชาชน...” แวนคลิโอหันขวับไปหาคนที่ยื่นข้อเสนอทันที

“ใจเย็นครับ ท่านเอิร์ลดีลักซ์ ข้าหมายถึงเก็บภาษีจากพวกคนมีเงิน ไม่ใช่จากประชาชนตาดำๆ เรียกเก็บเพิ่มเท่าไหร่ดี สัก 20% เป็นอย่างไรล่ะ หรือว่ายิ่งรวยมากก็เก็บมากดี”

กลุ่มคนที่ต่อต้านเริ่มแสดงอาการไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่คนที่พูดไม่มีท่าทีจะลดละความตั้งใจ

“เช่นนั้นขุนนางในห้องนี้ทั้งหมดก็ต้องเสียภาษีเพิ่มน่ะสิ” เจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงเอ่ยถามกับคนที่เสนอความเห็นขึ้น

“ใช่ครับ” ราเชลตอบพลางพยักหน้า

“ข้าไม่มีปัญหานะ” อัสโตรพูดขึ้นก่อนจะหันไปมองฝ่ายตรงข้ามที่กำลังมีท่าทีร้อนใจ

“ไม่ได้!”

เป็นอีกครั้งที่มาร์ควิสโวลวินอสตวาดเสียงดังลั่น

“ให้ตายเถอะ ถ้าเช่นนั้นก็ตัดงบจากงานอื่นๆ มาเสียสิ พวกงานเทศกาล งานฉลองอะไรนั่น จัดใหญ่โตให้มันเปลืองงบไปเพื่ออะไร ไร้ประโยชน์ชะมัด” 

เจ้าของเรือนผมสีขาวสว่างชักมือจากโต๊ะกลับขึ้นมากอดอก สายตายังคงจ้องมองกดดันไปที่อีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ

“งานพวกนั้นมันถือเป็นหน้าเป็นตาของจักรวรรดิโดรเบตต้า จะมาจัดเล็กๆ ให้เสียชื่อได้อย่างไรกัน!” มาร์ควิสกลอสเตอร์ที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น

ราเชลถอนหายใจออกมายาวเหยียดราวกับคนเหนื่อยล้าทั้งกายใจ

“อันนู้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ จะตัดงบทางทหารให้ได้เลยงั้นเหรอ” 

ราเชลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย

เขาก้าวเดินกลับมานั่งทิ้งน้ำหนักที่ตำแหน่งของตนเองอีกครั้งเรียกความสนใจให้ทุกคนในห้องหันไปมองเป็นตาเดียว

เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานห้อง นัยน์ตาสีเลือดสงบนิ่งราวกับกำลังทบทวนเรื่องราว ทุกสายตาหันมามองคนที่นั่งเหนือสุดขอบโต๊ะอย่างใจจดใจจ่อ

ไม่นานนักราเชลก็หันกลับมาสบตาทุกคน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เผยขึ้นบนใบหน้าคมคาย

“ก็เอาสิ แต่ต้องรับผลที่ตามมาให้ได้แล้วกัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความนัยบางอย่าง

“หมายความว่าอย่างไร” มาร์ควิสโวลวินอสเอ่ยถาม

เจ้าของเรือนผมสีขาวไม่ตอบกลับ แต่เขากลับเอนหลังพิงพนัก เอียงศีรษะเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น

“มาร์ติน”

“ขอรับ” รองผู้บังคับบัญชาที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังขานรับในทันที

“ถ้าคนจากหน่วยที่ 1 ของเราบุกปล้นเมืองทรอยด์ที่มาร์ควิสโวลวินอสปกครองอยู่จะใช้เวลานานเท่าไหร่” 

เจ้าของเรือนผมสีขาวเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองไปยังชายสูงอายุที่กำลังแสดงอาการไม่พอใจด้วยสีหน้ายียวน

คำถามจากปากของผู้บัญชาการทหารสูงสุดเรียกเสียงฮือฮาให้คนทั้งห้องประชุม บางคนก็หลุดขำออกมาเบาๆ บางคนก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม และก็มีบางคนกำหมัดแน่นแสดงอาการไม่พอใจอย่างชัดเจน

“ผู้บัญชาการ!!” เสียงตวาดเสียงดังขึ้นอีกครั้งจากมาร์ควิสโวลวินอส 

แต่คนที่เอ่ยคำถามเมื่อครู่กลับเมินสิ่งที่ได้ยิน ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมาการองบนโต๊ะเอาเข้าปากอย่างสบายใจ

มาร์ตินใช้เวลาคำนวนชั่วครู่ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“ถ้าใช้คน 10 คน น่าจะใช้เวลาประมาณ 5 นาทีขอรับ” 

ราเชลกลืนขนมลงคอในทีเดียว เขาพยักหน้าเบาๆ

“ดีเลย จัดกลุ่ม 10 คน 5 กลุ่ม แล้วปล้นเมืองของขุนนางที่เห็นด้วยทั้งหมด”

“หยุดนะ!!” เสียงตะโกนจากบรรดาคนที่คัดค้านดังขึ้นอีกครั้ง

เจ้าของเรือนผมสีขาวยังคงเมินคำพูดบอกให้หยุดและออกคำสั่งต่อไปด้วยรอยยิ้ม

“ทยอยไปทีละเมืองล่ะ ภายในสองวันต้องเอาเงินในคลังมาให้หมด” 

เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทะเล้นก่อนจะเอื้อมฝ่ามือไปหยิบเครื่องดื่มมึนเมาขึ้นมาดื่มอย่างไม่ยี่หร่ะ

“ทำเรื่องบ้าอะไรน่ะ ห๊ะ!!!” 

ชายสูงอายุคนเดิมตะคอกเสียงดังอีกครั้ง ใบหน้าร้อนรนจนอยู่ไม่สุข ฝ่ามือกำแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น

ราเชลยกแก้วเครื่องดื่มกระดกจนหมดในคราวเดียว เขาวางแก้วลงบนโต๊ะ ก่อนจะหันมาหาคนที่พยายามโวยวายคัดค้านมาตั้งแต่เมื่อครู่

“จะอะไรซะอีกล่ะ ก็งบทหารไม่พอ ข้าก็เลยต้องดิ้นรนเพื่อปากท้องของทหารข้าอย่างไงล่ะ ไม่เช่นนั้นคงลาออกจากแนวหน้ากันหมดแน่” 

ฝ่ามือข้างขวายกขึ้นในระดับศีรษะปลายนิ้วขยับเล็กน้อยส่งสัญญาณให้มาร์ตินที่ยืนอยู่ด้านหลัง 

“ออกคำสั่งซะมาร์ติน” เจ้าของเรือนผมสีขาวเอ่ยเสียงหนักแน่น

“รับทราบขอรับ” คนที่ได้รับคำสั่งพยักหน้ารับ

เขาหยิบอาร์ตี้แฟคสื่อสารขึ้นมาก่อนจะกดปุ่มอัญมณีสีเขียวที่อยู่กึ่งกลาง 

ทว่าในจังหวะที่กำลังจะอ้าปากออกเสียงพูด ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“พอเสียที!!”

ฝ่ามือของราเชลที่เคยแบออกส่งสัญญาณ ตอนนี้เขากำหมัดแน่น ทำให้การกระทำของมาร์ตินหยุดชะงัก ปลายนิ้วที่ออกแรงกดปุ่มอัญมณีผ่อนแรงลง

“ข้าจะถอดวาระนี้ออกจากการประชุม จะไม่มีการตัดงบหรือยกเลิกการขนส่งเสบียงอะไรทั้งนั้น”

 มาร์ควิสโวลวินอสประกาศกร้าวเสียงดังอย่างหมดหนทาง เขากำหมัดแน่นกว่าเดิม ปลายเล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนเกิดรอยแดงชัด

 ราเชลยิ้มมุมปากอย่างคนได้รับชัยชนะ 

เสียงปรบมือของคนที่นั่งอยู่เหนือสุดของขอบโต๊ะดังนำขึ้น ก่อนที่หลายคนในโต๊ะประชุมจะทยอยกันปรบมือตาม

“ดีมากเลยครับท่านมาร์ควิส”

หลังจากเอ่ยชมได้ไม่ทันไรฝ่ามือขาวซีดของราเชลก็คว้าเอกสารวาระสุดท้ายของการประชุมที่เคยโยนลงไปกลางโต๊ะขึ้นมาฉีกมันจนขาดวิ่นต่อหน้าทุกคนในห้องประชุม

“ถ้าเช่นนั้นขอจบการประชุมไว้แต่เพียงเท่านี้ แยกย้ายได้ มาร์ตินยกเลิกคำสั่งไม่ต้องปล้นแล้ว”

“ขอรับท่านราเชล” มาร์ตินตอบกลับทันที

คำสั่งปิดการประชุมของผู้บัญชาการสูงสุดจบลง

เจ้าของเรือนผมสีขาวก็ลุกขึ้นยืนสะบัดผ้าคลุมสีดำสนิทเดินตรงดิ่งไปที่ประตูทางออกพร้อมเหยียดยิ้มกว้าง ใบหน้าระรื่นอย่างมีความสุข โดยไม่สนใจใยดีเหล่าขุนนางที่หัวเสียจากการโดนข่มขู่เลยแม้แต่น้อย

ปั้ง!!

ทันทีที่ ราเชล ฮาร์ท ก้าวเดินพ้นจากห้องประชุมออกไปเสียงของกำปั้นหนาทุบโต๊ะก็ดังขึ้นมาจากที่นั่งของมาร์ควิสโวลวินอส 

ความเกรี้ยวกราดผุดขึ้นมาบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด

“หนอย ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้เด็กเวร!” เขาสบถออกมาด้วยความโมโห

“ได้ใจแค่ครั้งนี้เท่านั้นแหละ” มาร์ควิสลีเดนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยร่องรอยของความอัดอั้น

เจ้าของเรือนผมสีแดงส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน

“จะทำเรื่องไร้สาระไปทำไมกัน มาร์ควิสโวลวินอส เจ้าก็รู้ว่าเด็กนั่นทำอะไรได้บ้าง” ดยุกพาเทนเซียพูดด้วยน้ำเสียงเอือมระอา

คนที่ถูกกล่าวถึงหันขวับไปมองคนพูด แววตาแอบแฝงไปด้วยความฉุนเฉียว

“ข้าไม่คิดเลยว่าท่านดยุกจะหวาดกลัวและโอนเอนไปตามคารมของเด็กนั่นด้วย” 

หางคิ้วของคนที่ได้ยินกระตุกเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์

“ข้าไม่เคยกลัวและหลงไปกับคารมของเด็กนั่น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แล้วเพราะเหตุใดถึงได้เข้าข้างมันกัน”

ดยุกพาเทนเซียหรี่ตามองอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่เหตุผลที่หลายคนพูดไปเพื่อไม่ให้ตัดงบทางทหารชัดเจนเสียขนาดนั้น แต่คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีของเรื่องกลับยังดื้อรั้น

“เจ้ายังต้องการฟังเหตุผลไปมากกว่านี้อีกหรือไง”

“เหอะ! ตั้งแต่มันขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดก็ทุกอย่างก็วุ่นวายไปหมด” มาร์ควิสกลอสเตอร์ที่ก่อนหน้ายังนิ่งเงียบเองก็สบถออกมาด้วยความไม่พอใจเช่นกัน

เจ้าของเรือนผมสีเทาหม่นที่นั่งอยู่ริมสุดของโต๊ะประชุมชะงักเล็กน้อย เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งได้ยินและกำลังพยายามจะเข้าร่วมวงสนทนาที่กำลังมาคุ

“ข้าว่าจะไปตัดงบทางทหารมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำอยู่แล้วนะครับ งบส่วนนั้นสำคัญ-” 

“หุบปากไปเถอะเอิร์ลดีลักซ์ เป็นแค่เจ้าเมืองเล็กๆ ในชนบทกล้าดีอย่างไรมาขัดคำพูดข้ากัน” คำพูดและน้ำเสียงเย้ยหยันถึงบ้านเมืองที่ปกครองทำให้แวนคลิโอหลบตาไม่กล้าสู้หน้า

คนที่พูดจ้องมองเขม็งเมื่อเห็นท่าทีของอีกคน

“เจ้าพูดจาเสียมารยาทมากไปแล้วนะ” 

ดยุกอเลนเดลที่กำลังเก็บสัมภาระของตนเตรียมพร้อมจะออกไปจากห้องประชุมพูดขึ้นพลางส่งสายตาห้ามปรามไปยังมาร์ควิสกลอสเตอร์

ทว่าคนที่ถูกเตือนกลับเบือนหน้าหนี

“เหอะ!”

“ถ้าจะบันดาลโทสะมากนัก ทำไมถึงมาลงที่คนอื่น ไม่ทำต่อหน้าเด็กนั่นเมื่อครู่เล่า” 

เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเดินจากที่นั่งของตนเองมายังที่นั่งของมาร์ควิสกลอสเตอร์ โดยที่ยังคงใช้คำพูดเหน็บแหนมขุนนางที่ทำพฤติกรรมไม่สมควร

“หรือว่าเก่งแต่ลับหลัง” 

ฝ่ามือหนาของเขาแตะเข้าที่บ่ากว้างของคนที่นั่งอยู่ ก่อนจะออกแรงบีบเค้นจนอีกคนส่งเสียงโอดครวญ

ออร่าสีฟ้าที่ทรงพลังอ่อนหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของดยุกอเลนเดล ความกดดันแผ่ซ่านไปทั่วห้องประชุมราวกับคลื่นยักษ์กำลังซัดใส่ชายฝั่ง

 “ก็คงจะเป็นเช่นนั้น เพราะเท่าที่เห็นนอกจากยอมจำนนพวกเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”

น้ำเสียงทุ้มต่ำแต่แฝงไปด้วยความเยือกเย็นจนที่ได้ยินหน้าซีด นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลฉายแววดุดันน่าเกรงขามพลางกวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่แสดงอาการไม่พอใจและโวยวายไม่หยุดตั้งแต่ผู้บัญชาการสูงสุดออกจากห้องไป

“พวกเจ้าก็เช่นกัน อย่ามาทำตัวต่ำทรามไร้มารยาทในห้องประชุมอันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้อีก แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

คำประกาศิตเด็ดขาดของดยุกอเลนเดลทำให้เหล่ามาร์ควิสที่ชักสีหน้ากันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ใบหน้าซีดเผือดเพราะความกดดันมหาศาลที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกาย

เดิมทีอำนาจก็ต่ำต้อยกว่าอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนเกรงกลัวคงจะเป็นตำแหน่งคนสนิทขององค์จักรพรรดิ อีกทั้งยังเป็นมหาจอมเวทน้ำที่แข็งแกร่งอีกหนึ่งคนของจักรวรรดิก็เป็นได้

 

to be continued.


ย้อนอดีตยาวมากกกกกกก แต่ยังไม่จบเท่านี้นะคะ เราจะพาทุกคนย้อนอดีตไปอีกค่ะ เรื่องราวที่ควรรู้ยังมีอีกนิดค่ะ

แล้วตอนประชุมก็คือแสบมาก อ่อ ไม่ยอมทำตามใช่มั้ยขู่ซะเลย 5555555555555