”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?
แฟนตาซี,ผจญภัย,ดราม่า,แอคชั่น,สงคราม,แก้แค้น,แอคชั่น,ปีศาจ,จอมเวท,เกิดใหม่ ,นักดาบ,ดราม่า,เวทมนตร์,#BL,แฟนตาซี,ต่างโลก,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล 9”ราเชล ฮาร์ท“ นักดาบเวท ที่ปกป้องน้องชายจนพลาดท่าโดนราชาปีศาจฆ่าตาย กลับมาเกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา “ดีลักซ์” เขาต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมดเพื่อที่จะไปแก้แค้นราชาปีศาจ ครั้งนี้เขาจะทำได้มั้ยนะ?
ต่อให้มีนักอ่านแค่คนเดียว ก็จะไม่ทอดทิ้งโลกที่ฉันสร้างขึ้นมา
"ราเชล ฮาร์ท" อดีต 1 ใน 7 นักรบ ที่เคยสร้างชื่อในสงครามมาอย่างนับไม่ถ้วน นักดาบเวท เลเวล 9 อัฉริยะของจักรวรรดิ มีน้องชายที่รักมาก "ลูเซียส ฮาร์ท" ที่ต่อสู้เคียงข้างกันมาตลอด ครั้งหนึ่งลูเซียสสูญเสียพลังเวททั้งหมดไปจากการต่อสู้กับราชาปีศาจ แต่เขาก็ฝึกฝนดาบจนได้เป็น ซอร์ตมาสเตอร์
วันหนึ่งสองพี่น้องได้เข้าไปสอดแนมในปราสาทของราชาปีศาจ ราเชลปกป้องน้องจนพลาดท่า ลูเซียสถูกประนามที่อ่อนแอจนทำให้กำลังสำคัญอย่างราเชลต้องตาย แต่แล้วเขาก็เกิดใหม่ในตระกูลนักเวทสายรักษา "ดีลักซ์" ครั้งนี้ราเชลต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เพื่อจะเป็นนักดาบเวทอีกครั้ง เขาจะต้องแก้แค้นราชาปีศาจในครั้งนี้ให้ได้
#ข้าเคยเป็นนักดาบเวทเลเวล9
ในโรงฝึกที่สามารถใช้งานได้เพียงแค่ผู้มีสายเลือดของราชวงศ์และทหารองครักษ์ที่ได้รับอนุญาตเพียงเท่านั้น
ณ กึ่งกลางของลานกว้างวงกลม มีเด็กหนุ่มนัยน์ตาและเรือนผมสีเขียวมรกต ลักษณะเป็นเส้นตรงสลวยยาวประบ่า ใบหน้าจิ้มลิ้มงดงาม ผิวขาวเนียนราวไม่ต่างกับเด็กสาว
เขากำลังเพ่งสมาธิไปที่ก้อนพลังเวทในมือทั้งสองข้าง ดวงตากระจ่างใสราวกับดวงดาวยามค่ำคืนจับจ้องอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ต่อหน้าอาจารย์ผู้สอนที่ยืนประกบอยู่ไม่ห่าง
โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่เพ่งมองการกระทำเหล่านั้นด้วยความภาคภูมิใจ
รอยยิ้มเล็ก ๆ เผยขึ้นบนใบหน้าดุดันผิวขาวซีด
“กระหม่อมสอนไปแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ว่าถ้าหากถ่ายโอนมานาโดยไร้ซึ่งประสบการณ์ในการควบคุมเวทมนตร์มันจะอันตรายมากเพียงใด”
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นจากประตูทางเข้าทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังร่ำเรียนเวทมนตร์ต้องละสายตาจากกลุ่มก้อนพลังบนฝ่ามือ หันขวับอย่างไวไปที่ต้นกำเนิดเสียง
ชายหนุ่มผู้ที่มีเรือนผมสีขาวสว่างดุจหิมะเป็นเอกลักษณ์ เสื้อคลุมสีดำยาวลากพื้นที่เห็นเพียงเสี้ยววินาทีก็จำได้ว่าเจ้าของที่สวมใส่นั้นคือผู้ใด
เขากำลังยืนกอดอกพิงขอบประตู เผยรอยยิ้มที่เห็นเขี้ยวเล็ก ๆ
“ราเชล!!”
เมื่อรับรู้ได้ว่าคือผู้ใดที่เอ่ยคำพูดขัดจังหวะระหว่างที่กำลังตั้งสมาธิ เด็กน้อยก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดยืนเว้นระยะประมาณหนึ่ง
[ไคอุส ฟลอเรียส โดรเบตต้า องค์รัชทายาท อายุ 12 ปี]
“ถวายบังคมองค์รัชทายาท”
เจ้าของเรือนผมสีขาวเอ่ยขึ้นพร้อมนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้าของเด็กน้อย
“ลุกขึ้น”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ราเชลลุกขึ้นยืนเต็มความสูงตามคำสั่งของเด็กน้อยอย่างว่าง่าย
แต่ทันทีที่ยืนขึ้นร่างขององค์รัชทายาทก็โผเข้ากอดหมับที่เอวหนาพอดิบพอดี
พฤติกรรมที่ยังเด็กและน่าเอ็นดูทำให้ผู้บัญชาการสูงสุดถึงกับอมยิ้มเล็ก ๆ
ก่อนจะส่งสัญญาณมือให้อาจารย์สอนเวทมนตร์คนก่อนหน้าที่ยังยืนอยู่กลางลานฝึกออกไปได้
ฝ่ามือขาวซีดยกขึ้นลูบศีรษะที่อยู่ในระดับต่ำกว่าอกของเขาเพียงเล็กน้อยอย่างเบามือ
“เรากำลังคิดว่าจะไปรับเจ้าที่หน้าห้องประชุมอยู่เลย”
องค์รัชทายาทเอ่ยขึ้นเสียงอู้อี้โดยที่ใบหน้ายังซุกอยู่ที่เอวของคนโตกว่า
“อย่าทรงทำถึงขั้นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่ามือหนาทั้งสองข้างแตะเข้าที่บ่าของเด็กน้อยก่อนจะออกแรงเบา ๆ เป็นเชิงให้ขยับร่างกายออกห่าง
ไคอุสก็ทำตามอย่างว่าง่าย เขาเงยหน้ามองคนสูงกว่า ก่อนจะเอ่ยคำถามออกไป
“เดือนที่แล้วราเชลไม่ว่างเหรอ เราไม่เห็นมาประชุมเลย”
นัยน์ตาสีเขียวมรกตที่ฉายแววใสซื่อ ทำให้เจ้าของเรือนผมสีขาวสว่างแอบใจเต้นระรัว
ในใจนึกถึงภาพของน้องชายเมื่ออายุยังน้อย
“กระหม่อมไปทำภารกิจที่ประเทศอื่นพ่ะย่ะค่ะ” เขาตอบกลับเสียงอ่อน
“งั้นหรอกเหรอ แล้วครั้งนี้เจ้ามาอยู่เมืองหลวงกี่วันล่ะ”
“สองวันพ่ะย่ะค่ะ” ราเชลตอบกลับพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมสีเขียวอ่อนอย่างเบามือ
“แค่สองวันเองเหรอเนี่ย” ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเบะออกมาอย่างไม่พอใจ
เขารับรู้ได้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าคิดเช่นไร เจ้าของเรือนผมสีขาวพยายามอธิบายถึงความจริง
“ที่แนวหน้าขาดกระหม่อมไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ราเชลตอบกลับพร้อมเผยรอยยิ้มจนตาปิด
“อะไรกัน ลูเซียสก็อยู่นี่ เจ้าไม่อยู่สักคนก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
ท่าทางที่ไม่เข้าและใสซื่อของเด็กน้อย ทำให้คนที่เห็นแอบหัวเราะในใจ
“เป็นกระหม่อมเองที่อยู่ห่างน้องชายนานมากนักไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของคนฟังเหยเกขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินประโยคน่าขนลุกจากผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ฆ่าปีศาจได้อย่างเลือดเย็นแต่กลับติดน้องชายคนเดียวแจเสียจนอยู่ห่างกันไม่ได้
“ทรงอย่าทำพระพักตร์เช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ ท่านไคอุส กำลังเรียนเวทมนตร์อยู่ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ราเชลพยายามเปลี่ยนเรื่องไม่ให้ไคอุสอารมณ์เสียไปมากกว่าเดิม
“ใช่แล้ว”
“กระหม่อมจะสอนต่อเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้เลย”
ไคอุสคว้าฝ่ามือของอาจารย์ผู้สอนก่อนจะพาเดินมายังกึ่งกลางลานกว้างของโรงฝึก
การเล่าเรียนดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ตลอดสองวันที่ราเชลได้พำนักอยู่ที่เมืองหลวงของจักรวรรดิ
ไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์พื้นฐานหรือทักษะวิชาดาบของเด็กที่ควรจะรู้ก่อนเข้าเรียนในสถาบันทหาร
“ทรงทำอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ราเชลที่กำลังนั่งพักดื่มน้ำอยู่บนเก้าอี้ไม้เอ่ยทักองค์รัชทายาทที่กำลังใช้ดาบพยายามจะตัดเส้นผมของตัวเอง
“เราจะตัดผมน่ะสิ ตอนที่เรียนดาบเมื่อครู่เราว่ามันน่ารำคาญและบดบังการมองเห็น”
ฝ่ามือซ้ายรวบเส้นผมเอาไว้ด้านหลัง มือขวากระชับดาบเตรียมจะลงแรงเฉือน
แต่ยังไม่ทันที่คนตัวเล็กจะลงดาบ
ราเชลก็เดินเข้ามาคว้าข้อมือไว้ ก่อนจะถือวิสาสะขโมยดาบในมือมาแล้ววางมันลงที่แท่นวางอาวุธอย่างชำนาญ
“อย่าทรงทำเช่นนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยห้ามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ทำไมล่ะ” เด็กน้อยแสดงออกว่าไม่เข้าใจผ่านใบหน้าอย่างชัดเจน
“หากมันบดบังการมองเห็น…”
คนโตกว่าคลายข้อมือขององค์รัชทายาทที่ยังลังเลออกไป
ก่อนที่ฝ่ามือขาวซีดทั้งสองข้างของเขาจะค่อย ๆ รวบเส้นผมทั้งศีรษะไว้ที่ด้านหลังอย่างแผ่วเบา
“ก็ทรงมัดรวบขึ้นเช่นนี้ก็ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มือขวาหยิบเชือกผูกผมในเสื้อคลุมด้านในของตัวเองขึ้นมามัดอย่างระมัดระวัง
เมื่อมัดเสร็จเรียบร้อย ปลายนิ้วเรียวยาวก็ลูบไล้ปอยผมหางม้าสั้น ๆ ไปมาอย่างเบามือ
นัยน์ตาสีเลือดส่องประกายแวววาวราวกับสิ่งที่อยู่ในมือนั้นเป็นสิ่งของที่ล้ำค่า
“พระเกศาสีเขียวอ่อนที่เมื่ออยู่ใต้แสงแดดก็จะส่องประกายราวกับมรกตที่ไร้ตำหนิ ช่างงดงามเช่นนี้อย่าทรงตัดมันเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็มันน่ารำคาญนี่ ทำไมเราถึงต้องปล่อยผมยาวด้วยนะ ไม่ใช่เลดี้เสียหน่อย”
สองแขนยกขึ้นกอดอก ใบหน้าบูดบึ้งคล้ายจะไม่พอใจ
“เชื้อพระวงศ์โดรเบตต้าทุกรุ่นมักจะไว้พระเกศายาวสลวยเสมอ มันเป็นเอกลักษณ์ไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยย้ำเตือน
สองมือขยับลงมาแตะบ่าทั้งสองข้างก่อนจะออกแรงขยับร่างกายของเด็กน้อยที่ยังไม่พอใจในเรือนผมของตัวเองให้หันหน้ามาสบตา พร้อมโน้มร่างกายลงไปเล็กน้อย
“เท่านี้ก็บ่นเรื่องเส้นผมบดบังการมองเห็นไม่ได้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
อาจเป็นเพราะว่าท่าทีที่อ่อนโยนและรอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้งของผู้บัญชาการสูงสุดที่มีต่อองค์รัชทายาท
จึงทำให้เหล่าทหารองครักษ์ที่ยืนเฝ้าอารักขาอยู่ไม่ไกลพากันแปลกใจ พวกเขาตาลุกวาวกับสิ่งที่ได้เห็น
เพราะทุกคนในที่นี้ต่างเคยประสบพบเจอแรงกดดันและความอำมหิตเลือดเย็นของราเชลมาแล้วทั้งสิ้น
แต่คนที่ได้เงยหน้าสบตากับเจ้าของเรือนผมสีขาวดุจหิมะ แววตากลับเป็นประกายราวกับแฝงความรู้สึกมากมายไว้ในนั้น
ขนตาที่เป็นแพยาวขยับขึ้นลงคล้ายจะดูให้แน่ชัดว่าด้านหน้าใช่อาจารย์ของตนหรือไม่
ใบหน้าของไคอุสกำลังขึ้นสีแดงระเรื่อเหมือนกับลูกพีชที่กำลังสุกงอม
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้องค์รัชทายาทเหม่อมองค้างไปชั่วขณะหนึ่ง
อาจจะเป็นเพราะความอ่อนโยนที่ได้รับจากคนที่ขึ้นชื่อว่าทั้งรักทั้งหลงน้องชายอย่าง ราเชล ฮาร์ท ก็เป็นได้
และตัวเขาก็คงจะอยู่ในฐานะน้องชายเช่นกัน…
เวลาล่วงเลยเนิ่นนานหลายปี องค์รัชทายาทเติบโตขึ้นจนกลายเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้างดงามราวกับหญิงสาวที่โตเต็มวัย เรือนผมสีเขียวมรกตยาวสลวยขึ้นแตกต่างจากเมื่อครั้งที่ยังเยาว์วัย
“ราเชล” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
เมื่อผู้บัญชาการทหารสูงสุดเปิดประตูเดินออกมาจากห้องทำงานขององค์จักรพรรดิ เด็กหนุ่มในวัยก่อนจะเข้าเรียนที่สถาบันทหารก็วิ่งตรงเข้ามาหา
ใบหน้าหล่อคมขาวซีด ที่แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวลมองลูกศิษย์ที่วิ่งอย่างรีบร้อนเข้ามาหา ก่อนจะนั่งคำนับลงกับพื้น
“ถวายบังคมองค์รัชทายาท”
[ไคอุส ฟลอเรียส โดรเบตต้า องค์รัชทายาท อายุ 16 ปี]
“ลุกขึ้น”
คำสั่งหนักแน่นออกจากปากของไคอุสพร้อมฝ่ามือดึงรั้งแขนอีกคนให้ลุกขึ้นยืน
“เจ้าไม่มาที่เมืองหลวงหลายเดือนแล้ว เกิดอะไรขึ้น”
สีหน้าจริงจังจนอีกคนรู้สึกได้ แววตาดุดันจ้องมองลึกลงไปในนัยน์ตาสีเลือดหมายจะเค้นคำตอบ
ในตอนนี้ส่วนสูงขององค์รัชทายาทเกือบจะเทียบเท่าผู้เป็นอาจารย์ ระดับสายตาที่มองตรงเข้าหากันโดยไม่จำเป็นเป็นต้องก้มหน้าลงเพื่อพูดคุยกันเหมือนแต่ก่อน
ราเชลชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหันไปหาลูกน้องคนสนิทที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“มาร์ติน เจ้าไปเตรียมม้ารอข้า” เขาเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง พลางยกมือขึ้นส่งสัญญาณ
“ขอรับท่านราเชล”
คนที่ได้รับคำสั่งก้มหัวทำความเคารพให้กับองค์รัชทายาทก่อนจะเดินออกไปจากทั้งสองคนทันที
เจ้าของเรือนผมสีขาวหันกลับมาหาคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเหนื่อยล้าหลุบมองลงต่ำคล้ายคนรู้สึกผิดในใจ
“กระหม่อมกำลังเตรียมทำศึกครั้งใหญ่อยู่พ่ะย่ะค่ะ ต้องขอประทานอภัยที่ไม่ได้แจ้งองค์รัชทายาทด้วยตัวกระหม่อมเองนะพ่ะย่ะค่ะ”
คนสูงกว่าก้มหน้าลงอีกเล็กน้อย
ไคอุสส่ายหน้าเบา ๆ
“เรื่องนั้นช่างมัน แต่นี่อะไรเจ้าเพิ่งมาก็จะไปเสียแล้วหรือ” เขาเปรยตามองตามคนที่ถูกสั่งให้ออกไปด้านนอกเมื่อครู่
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ศึกครั้งนี้มันจะจบเมื่อไหร่กัน”
ระหว่างคิ้วของเจ้าของเรือนผมสีเขียวเริ่มขมวดเป็นปม ความกดดันแผ่ออกมาจากร่างกายจนอีกคนรู้สึกได้
แต่ในความกดดันนั้นยังแฝงไปด้วยความรู้สึกเป็นห่วง
“กระหม่อมไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้พ่ะย่ะค่ะ” ราเชลตอบพลางส่ายหน้า
“เราไม่อยากให้ราเชลไปเลย ไม่ต้องเป็นคนนำทัพเองไม่ได้เหรอ”
เจ้าของเรือนผมสีเขียวมรกตเพิ่มแรงบีบที่ท่อนแขนของราเชลขึ้นเล็กน้อย
นัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความพะวงค่อย ๆ ชำเลืองมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าก่อนจะกลับมาจ้องมองดวงตาสีเลือดเช่นเดิม
ความเหนื่อยล้าที่มองเห็นได้ผ่านสายตาและร่างกายของคนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะซูบผอมลงไปมาก
คงเป็นเพราะในตอนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์คับขันที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ความเป็นห่วงที่อยู่ภายในใจมันเอ่อล้นออกมาผ่านการกระทำ
ไคอุสเลื่อนฝ่ามือจากท่อนแขนของผู้เป็นอาจารย์มายังฝ่ามือหนา ก่อนจะออกแรงบีบมันเล็กน้อย ปลายนิ้วหัวแม่มือลูบไล้หลังมือไปมา
ราเชลไม่ใช่เพียงแค่อาจารย์ที่เคารพรักเท่านั้น แต่เปรียบเสมือนพี่ชายคนสำคัญที่จะสูญเสียไปไม่ได้ แม้ความรู้สึกก้นบึ้งภายในใจขององค์รัชทายาทจะแอบคิดสิ่งที่ไม่ควร
และคนตรงหน้าเขาเองก็คงไม่มีวันคิดอะไรเช่นนั้นเหมือนกัน
ผู้บัญชาการสูงสุดเห็นแววตาและท่าทีเช่นนั้น ฝ่ามือที่ว่างอีกข้างแตะเบาๆ ที่หลังมือ ก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ลูกศิษย์ของตนไม่อยากได้ยิน
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ หากทหารขาดผู้บังคับบัญชาอย่างกระหม่อมไปจะทำการศึกกันได้อย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ว่า…”
สิ่งที่ได้ยินล้วนเป็นความจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้
เพราะราเชลนั้นเป็นดั่งกระดูกงูที่คอยยึดเหนี่ยวทุกส่วนประกอบของเรือเอาไว้
นั่นก็คือเมื่อขาดผู้บัญชาการทหาร ที่มีสมญานามเป็นถึง ‘วีรบุรุษแห่งสนามรบ’ ไป การรบก็คงไม่สมบูรณ์เป็นแน่
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อได้ยินว่าต้องทำศึกใหญ่ครั้งนี้
ภายในใจของเด็กหนุ่มก็เกิดอาการสั่นไหวคล้ายว่าครานี้มันจะรุนแรงกว่าที่ผ่านมาเสียจนกลัวว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดและการสูญเสียที่ยากจะยอมรับ
ความคิดและความรู้สึกขององค์รัชทายาทที่ตีกันไปมา จนแสดงออกมาผ่านร่างกาย หัวคิ้วที่เริ่มขมวดเป็นปม ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนไม่อาจสงบนิ่งได้
ราเชลสังเกตเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเข้าใจในสิ่งที่อีกคนกังวลเพราะก่อนหน้านี้ที่เพิ่งถวายรายงานกับองค์จักรพรรดิเขาก็ได้เห็นสีหน้าที่ไม่ต่างกันมาก่อนแล้ว
ฝ่ามือเอื้อมไปหยิบของสิ่งหนึ่งที่มักจะเหน็บไว้ที่แผ่นหลังเสมอออกมายื่นให้
“ท่านไคอุส ทรงช่วยรับสิ่งนี้ไว้ได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“นี่มัน…”
เปลือกตาของเด็กหนุ่มเปิดกว้าง จ้องมองไปที่สิ่งของในมือของอาจารย์ที่เคารพรัก
มันคือมีดสั้นที่ถูกเก็บไว้ในปลอกหนังอย่างดี อาวุธประจำตัวอีกหนึ่งชิ้นของผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ราเชลใช้สองมือกอบกุมไว้แล้วยื่นให้คนตรงหน้า สายตามองตรงเข้าไปในนัยน์ตาสีเขียวมรกต
เขาต้องการทำให้เด็กหนุ่มคนนี้มั่นใจและคลายความกังวลไปได้สักเล็กน้อยก็ยังดี
“มีดสั้นของกระหม่อมเอง…ได้โปรดฝึกใช้มันในระหว่างที่กระหม่อมไม่อยู่ด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
ไคอุสเหลือบมองมีดสั้นในมือสลับกับดวงตาเฉี่ยวสีเลือดของผู้เป็นอาจารย์
เขาส่ายหน้ารัว ๆ
“เรารับไว้ไม่ได้หรอก หากครั้งนี้เป็นศึกที่สำคัญจริง มันก็จำเป็นสำหรับเจ้านะ” เขาดันฝ่ามือที่ถือมีดสั้นไว้กลับคืนไปให้เจ้าของ
ราเชลถอนหายใจเบา ๆ พร้อมรอยยิ้ม ปฏิกิริยาที่ได้เห็นจากองค์รัชทายาทเป็นสิ่งที่ตัวเขาคาดการณ์ไว้ก่อนอยู่แล้ว จึงไม่ได้แปลกใจมากสักเท่าไร
และเขาคงต้องงัดวิธีการสุดท้ายออกมา
เจ้าของเรือนผมสีขาวตัดสินใจนั่งคุกเข่าหนึ่งข้างลงกับพื้น สองมือประคองมีดสั้นขึ้นเหนือศีรษะ
“มีดสั้นเล่มนี้ถือเป็นสิ่งของแทนคำมั่นสัญญาพ่ะย่ะค่ะ ท่านไคอุส”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังที่แฝงไปด้วยความนัยอันลึกซึ้ง ในขณะที่เงยหน้าช้อนมองคนที่อยู่สูงกว่าช้า ๆ
“กระหม่อมจะกลับมาก่อนที่ท่านไคอุสจะฝึกใช้มีดสั้นได้คล่องนะพ่ะย่ะค่ะ”
ประโยคคำมั่นสัญญาสิ้นสุด ปรากฏรอยยิ้มที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีสั่นไหวราวกับดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้าและอบอุ่น
ออร่าของราเชลช่างเปล่งประกายจนทำให้ความกังวลภายในใจขององค์รัชทายาทคล้ายจะหายวับไปชั่วขณะ
ฝ่ามือหนายื่นไปรับของแทนคำสัญญามากอบกุมไว้ที่กลางอก ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มสดใสจนทำให้คนที่นั่งคุกเข่ากับพื้นโล่งใจ
“อื้ม ไว้เจอกันนะ ราเชล”
การที่ได้รับสิ่งของแทนคำมั่นสัญญาจากคนที่กำลังไปเสี่ยงอันตราย แท้จริงแล้วมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจไปได้เลยสักนิดเดียว
แต่เขาก็ไม่อาจฝืนฉุดรั้งราเชลไว้อย่างคนเห็นแก่ตัวได้
อย่างไรก็ดี สู้เสี่ยงเดิมพันจากความเชื่อใจและเชื่อมั่นในตัวของผู้ที่กล้าพูดคำปลอบโยนที่แฝงความนัยเสียยังดีกว่า
องค์รัชทายาททอดมองลงไปยังทางออกของวังหลวง ราเชลกำลังควบม้าคู่ใจไปพร้อมกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างเร่งรีบ
ในขณะเดียวกันเขาก็กอบกุมมีดสั้นที่เพิ่งได้รับมาไว้แน่น ภายในใจก็พร่ำภาวนาให้ศึกครั้งนี้จบลงโดยไร้ซึ่งการสูญเสีย
และขอให้คนที่เขาเป็นห่วงนักหนารักษาคำมั่นสัญญาได้ในเร็ววัน…
เป็นเวลากว่าหลายเดือนนับตั้งแต่ที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ก่อนจะไปทำศึกครั้งใหญ่ที่จะตัดสินชะตาของมนุษย์และปีศาจ
ความมุ่งมั่นที่จะปิดฉากสงครามยาวนานนับพันปีถูกส่งต่อให้ผู้คนทั่วจักรวรรดิ รวมถึงองค์รัชทายาทด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่วันนั้นเด็กหนุ่มก็ได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ช่วยเหลืองานด้านเอกสารและร่วมตัดสินใจเรื่องสำคัญสำหรับสงครามไปพร้อมกับองค์จักรพรรดิ
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ในฐานะองค์รัชทายาทที่จะได้ขึ้นรับตำแหน่งและสวมมงกุฎเป็นคนต่อไป
ในห้องทำงานขององค์จักรพรรดิตอนนี้เต็มไปด้วยเอกสารมากมายที่ต้องเร่งอนุมัติ
ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณในสงคราม คำร้องขออพยพ รายการอาร์ตี้แฟกต์ที่จำเป็น สถานที่รองรับเหล่าทหารจากทั่วทุกทวีป
หรือแม้จะกระทั่ง… รายชื่อทหารที่เสียชีวิต
“กุสตาฟ เจ้าเร่งส่งจดหมายไปขอตัวนักเวท เลเวล 6 ขึ้นไปจากราชอาณาจักรอโลนิก้ามาเพิ่มอีก”
น้ำเสียงจริงจังของผู้มีอำนาจสูงสุดของจักรวรรดิเอ่ยขึ้นพลางส่งเอกสารในมือให้กับผู้ช่วยเรือนผมสีน้ำเงิน
กุสตาฟรับมาไว้ในมือและรีบเขียนสิ่งที่ได้รับสั่งมาลงในจดหมายเวทมนตร์ทันที
เมื่อปลายปากกาถูกยกขึ้น นั่นหมายถึงได้บรรจงเขียนทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการไปจนเสร็จสิ้น
จดหมายเวทมนตร์ที่เขียนด้วยน้ำหมึกชนิดพิเศษที่แฝงไปด้วยพลังเวท ก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ปรากฏแสงสีทองสว่างวาบออกมาจากแผ่นกระดาษ
ก่อนจะหายวับไปจากสายตาของทุกคนที่อยู่ภายในห้อง
แต่ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงปีกของนกตัวเล็กกระทบกับสายลม ทำให้เด็กหนุ่มหน้าหวานที่นั่งทำงานอื่น ๆ อยู่บนโซฟากลางห้องเหลือบไปมองหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับลมไว้อยู่ตลอด
นกพิราบสีขาว หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า พิราบขาว อุปกรณ์เวทมนตร์ที่สร้างขึ้นมาจากการผสานเวทมนตร์กับวิศวกรรมที่ใช้สำหรับส่งข่าวจากแนวหน้ามายังเมืองหลวง
“เสด็จพ่อ นกพิราบนั่น!!”
เสียงตะโกนขององค์รัชทายาทดังขึ้นเรียกความสนใจของคนทั้งห้องให้หันไปมอง
และคนที่ตื่นตกใจกับสิ่งที่มาเยือนอย่างไคอุสก็รับวิ่งไปยื่นแขนรอให้นกพิราบขาวเข้ามายึดเกาะไว้
ก่อนจะใช้ฝ่ามือที่ปลดปล่อยพลังเวทบาง ๆ ไว้ลูบไล้ที่บริเวณหลังคอของสิ่งที่คล้ายสิ่งมีชีวิตตัวเล็กอย่างแผ่วเบา
ทันใดนั้น ร่างกายของมันค่อย ๆ ลอยขึ้นกลางอากาศพร้อมกับแสงสีทองอร่ามสว่างวาบเสียจนตาพร่า ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นตัวอักษรที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
‘ผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้สิ้นชีพลงเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา เนื่องจากปะทะเข้ากับราชาปีศาจและองครักษ์ระหว่างที่เข้าไปสอดแนมในปราสาทกับผู้บัญชาการทหารหน่วยที่ 7’
“มะ ไม่จริง…”
น้ำเสียงสั่นเครือของเด็กหนุ่มพึมพำดังขึ้นทันทีที่กวาดสายตาอ่านข้อความจนจบ
ร่างขององค์รัชทายาททรุดลงไปกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ภายในหัวเคว้างคว้างและว่างเปล่า
สองมือกอบกุมศีรษะพลางจิกเข้าไปในกลุ่มผมแน่น หยดน้ำสีใสเอ่อล้นออกมาจากขอบดวงตาไหลย้อยลงสู่พื้น
คำมั่นสัญญาที่ว่าจะกลับมาก่อนจะฝึกใช้มีดสั้นได้คล่อง
ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหนก็คงไม่มีวันเป็นจริงได้อีกแล้ว
อาจารย์คนสำคัญได้จากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน สิ่งที่เคยกังวลในวันนั้นเป็นจริงทั้งที่ไม่ทันได้เตรียมใจ
ไม่ต่างจากโลกทั้งใบล่มสลายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่ทันได้เตรียมตัว
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะไม่มีบุคคลที่ชื่อ ราเชล ฮาร์ท อยู่ในโลกนี้อีกแล้วงั้นเหรอ…?
To be continued
นั่นแหละค่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างราเชลและเชื้อพระวงศ์ ซึ่งรวมทั้งองค์จักรพรรดิ และองค์รัชทายาท ทั้งสองคือชอบราเชลกันมาก และราเชลก็จงรักภักดีมากๆ เลยค่ะ
ก็คือไม่วายเลยยยยย แค่เอ็นดูกันเจ๋ยๆ
จริงๆ แล้วเขาไม่ได้รักกันในเชิงชู้สาว ราเชลเห็นองค์รัชทายาทเป็นน้องเหมือนกัน แต่ไคอุส (องค์รัชทายาท) แอบปลื้มมากๆ ตอนเด็กเป็นแค่ความรักบริสุทธิ์ไม่เป็นเชิงนั้น พอโตขึ้นก็แอบคิด แต่ฐานะทางสังคมและยุคสมัยนั้นทำให้ไม่เกินเลยไปมากกว่านั้นและหยุดความรู้สึกตัวเองไว้ค่ะเป็นรักที่บริสุทธิ์อยู่ฝ่ายเดียว