อดีตที่ฝั่งใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต ที่สร้างบาดแผลให้แต่ละคน มักจะเป็นตัวกำหนดตัวตนของคนๆ นั้นเสมอ ทุกคนจึงมีที่มาเป็นของตัวเองเสมอ
เรื่องราวการผจญภัญของเด็กหนุ่มคนนึ่ง ที่ต้องพบพานกับการสูญเสีย การหักหลัง ความรัก และมิตรภาพ ร่วมลุ้นกับโชคชะตาที่แสนจะพลิกพลัน และการเติบโตไปพร้อมกับ ตัวละครที่จะพาคุณโลดแล่นสู้โลกของจินตการกัน
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,รัก,ผจญภัย,แอคชั่น,พระเอกเทพ,พระเอกอบอุ่น,ปีศาจ,เทพเซียน,แอคชั่น,รักโรแมนติด,แฟนตาซี,ดราม่า,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
การบ่งชี้ถึงข้อเท็จจริงของพิอุสทำให้โอโดลาสถึงกับนิ่งเงียบโดยมิสามารถโต้แย้งสิ่งใดได้เลย
ราฟาเอลโร่ตื่นขึ้นพร้อมกับสัมผัสบนเตียงที่คุ้นเคย แม้ดวงตาจะฝ้าเลือนไปชั่วขณะ แต่ก็กลับมาแจ่มชัดในเวลาอันสั้น กล้ามเนื้อทั่วร่างกายนั้นแข็งทื่อเพราะการอยู่นิ่งเป็นเวลานาน
ราฟาเอลโร่ลุกขึ้นนั่งบนเตียง พร้อมกับการสะดุ้งเฮือกของโนมที่กำลังเพ่งสมาธิไปกับการจัดดอกไม้อยู่ข้างๆเตียงเขา
"ท่านราฟาเอลโร่ตื่นแล้วหรือขอรับ รับน้ำไหมขอรับ"
"อิ่ม ข้านอนไปนานแค่ไหน แล้วศึกเป็นอย่างไรบ้าง"
หลังจากตอบรับเรื่องน้ำ คำถามก็ถูกปล่อยออกมาโดยแทบมิได้ยั้งคิด
"นี่น้ำขอรับ ท่านสลบไปครึ่งปักษ์ขอรับ ศัตรูเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ขอรับ ทางเราใช้เวลา 2-3 วันในการกำจัดศัตรู แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะจบลงด้วยดีขอรับ ให้เข้าไปแจ้งท่านเกรนเดลไหมขอรับ"
ราฟาเอลโร่สายศีรษะเพื่อเป็นการตอบคำถาม
"แต่งตัวให้ข้าที เดี๋ยวข้าไปเอง"
หนึ่งชีวิตถือกำเนิดจากความว่างเปล่า และร่วมล้นราวกับใบไม้ในสารทฤดู และกลับสู่ความว่างเปล่าเช่นเคย หากแต่ไม่ใช่ในเผ่าพันธุ์ของเอลฟ์ เผ่าพันธุ์ที่เคยเป็นที่รักของเหล่าทวยเทพ ดวงจิตนิรันดร์จะกลับมาเกิดใหม่ในเผ่าพันธุ์เดิม ถือกำเนิดกายเนื้อที่มีอายุขัยยืนยาว
ดังนั้นในพิธีมอบเกียรติยศของผู้วายชนม์ จึงเป็นการภาวนาต่อต้นไม้แห่งชีวิตและอัญมณีเลอค่าซิลเวอร์ซัน เพื่อเป็นการมอบหนทางในการกลับมาจุติใหม่อีกครั้ง ราฟเอลโร่ก็เป็นหนึ่งในผู้สวดภาวนา เขาเดินทางมาพร้อมกับเกรนเดล เพื่อสวดภาวนาให้กับ ออดูลัส โมดูลาส และเหล่าผู้อุทิศตนในศึกครั้งนี้
และเมื่อตะวันเคลื่อนคล้อยแทนที่ด้วยจันทราที่ลอยเด่นอยู่บนท้องนภา ในยามที่ความเงียบเข้าปกคลุม หากแต่ค่ำคืนนี้นั้นต่างออกไป เสียงดนตรีนั้นได้ถูกขับขานขึ้นทั่วทุกมุมเมืองของแอสโทรเฟีย ดวงไฟหลากสีถูกประดับประดาอยู่ทั่วทุกที่ รวมทั้งการละเล่นต่างๆ นักขับลำนำบอกเล่าเรื่องราว และรอยยิ้มของผู้คน การเฉลิมฉลองถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการสดุดีและฉลองให้แก่ชัยชนะเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ที่ยังอยู่
"เจ้าจะไม่ไปกับข้าจริงๆ หรือราฟาเอล"
"ไม่ดีกว่าขอรับ"
หลังจากส่งคอพิอุสและเกรนเดล เพื่อเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงแล้ว ราฟาเอลโร่เดินมานั่งลงที่โต๊ะใต้ต้นแอปเปิ้ลหน้าบ้านอยู่นาน ดวงตาจ้องมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน สัมผัสกับสายลมอ่อนๆที่ลูบไล้ผ่านใบหน้าของเขาไป
"วันนี้ดวงจันทร์สวยจริง"
เพื่อยลแสงของจันทราที่ส่อสว่างบนท้องนภา แต่แล้วก็เกิดลำแสงสีขาวทองพุ่งผ่านฟากฟ้าทะลุผ่านบาเรียของแอสโทรเฟียเข้าไปด้านในอย่างง่ายดาย
"นั่นอะไรน่ะ"
การมาเยือนของอีกหนึ่งอาคันตุกะ ที่ทุกคนต่างให้ความเคารพและชื่นชมในตัวเขา คอพิอุสยืนหน้าโต๊ะหินอ่อนตัวยาวที่ตั้งไว้เบื้องหน้าบัลลังก์ และทำความเคารพกษัตริย์ที่ทรงประทับอยู่ที่นั้นพร้อมครอบครัว
"นั่งตรงนี้เสียสิ"
คอโดลาสกล่าวพร้อมกับวางมือลงบนเก้าอี้ขวาข้างกายของพระองค์ที่เตรียมไว้เพื้อคอพิอุส ส่วนซ้ายมือของพระองค์คือราชินีผู้งดงาม รัศมีของราชินีผู้ทรงวัยวุฒิและคุณวุฒิเปล่งประกายในตัวของพระนางอย่างเห็นด้วยชัด พร้อมกับบุตรชายและบุตรสาวที่นั่งถัดไปซึ่งเปี่ยมไปด้วยสิโฉมที่งดงาม
และเหล่าขุนนางทั้งหลายที่ต่างแวะเวียนมาทักทายอย่างไม่ขาดสาย การแสดงต่างๆและอาหารเลิศรสทำให้ทุกคนต่างพากันเพลิดเพลินไปกับค่ำคืนที่ยังเยาว์นัก
ก่อนที่แสงสว่างสีทองทอประกายเจิดจ้าจนต้องเบือนหน้าหนี ร่วงลงสู่พื้นห้องโถง ความเงียบสงัดเข้าครอบงำทุกชีวิตในห้องโถงทันที ปีกสีขาวของผู้มาเยือนที่สยายออกและแสงสว่างจ้าที่ค่อยๆเลือนหายไป
"ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะนี้ด้วยพะยะคะฝ่าบาท"
เป็นเสียงที่ช่างอบอุ่นฟังสบาย และใบหน้าที่อ่อนโยน ทำให้คนปกติสามารถคล้อยตามได้โดยง่าย
"พูดสื่อสารแห่งทวยเทพได้มาเยือนและประทานพรถึงเพียงนี้ก็นับเป็นเกียรติยิ่งแล้ว"
คอโดลาสกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
"เพื่อเป็นการร่วมเฉลิมฉลองในชัยชนะของท่าน เราได้นำปราการแห่งนภามามอบให้ตามบัญชาของโอดินหวังว่ามันจะช่วยท่านและประชาชนได้อย่างที่ผ่านมา"
"เป็นเกียรติในความกรุณายิ่งนัก
หลังการตอบรับของคอโดลาสผู้สื่อสารก็แบมือออกปรากฏเป็นกล่องสีเขียวมรกตใจกลางมือนั้น เขาเปิดมันออกพร้อมกับออร่าที่แผ่ขยายออกจากกล่องในมือ 3 ครั้ง มันขยายตัวออกสมทบเข้ากับบาเรียของแอสโทรเฟีย ก่อนที่เขาจะปิดมันลง
"องค์ราชันย์แห่งทวยเทพคาดหวังความร่วมมือในทุกด้านจากท่านนะขอรับ และหากมีสิ่งใดที่ท่านอยากจะแจ้งให้องค์ราชันทรงทราบก็เชิญท่านกล่าวได้เลยขอรับ"
คอโดลาสแย้มรอยยิ้มอย่างเป็นมารยาทก่อนจะตอบบทสนทนา
"หากองค์ราชันย์ให้ความคาดหวังข้าถึงเพียงนี้ ข้าก็จะมิทำให้ต้องเสียพระทัย ขอฝากท่านแจ้งว่าข้าขอขอบพระทัยในพระกรุณาอย่างหาที่สุดไม่ได้ด้วย"
เมื่อได้ยินดังนั้นผู้สื่อสารก้มศีรษะให้คอโดลาสเล็กน้อยเพื่อเป็นการรับรู้ ก่อนที่ปีกสีขาวด้านหลังจะเปล่งแสงสว่างบาดตาออกมาอีกครา การกระพือปีกเป็นครั้งเดียวสามารถส่งตัวเขาพุ่งขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลำแสงสีขาวพาดผ่านท้องฟ้าเช่นเคย เพียงแต่ครานี้กลับพุ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม แม้จะเกิดลมกระโชกแรง แต่ก็มิได้สร้างความเสียหายเลยแม้แต่นิดเช่นเดียวกันกับเพดานห้องโถง
"คอพิอุส ข้ากับเจ้ามีเรื่องที่ต้องคุยกันเวลานี้"
บทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างคอโดลาสกับผู้สื่อสารแห่งทวยเทพเมื่อครู่ เป็นคล้ายกับบทสนทนาทั่วไปก็จริง แต่สำหรับคนที่รู้เส้นลึกหนาบางแล้ว มันกับแฝงไปด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ยากเกินจะหยั่งถึง คอพิอุสและคอโดลาสเดินหลบเหล่าฝูงชนเข้ามายังห้องว่างข้างเคียง
"คอพิอุสแลดูว่าเหล่าทวยเทพจะเริ่มได้กลิ่นแล้วนะ ต้องให้เจ้าเริ่มจัดการแล้วล่ะ"
"พะยะค่ะฝ่าบาท"
"แต่ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใด ข้าจะยังให้การสนับสนุนมากที่จะต้องการ เมื่อเพลามาถึง"
"ข้าซึ้งในน้ำพระทัยยิ่งนักพะยะคะ"
เมื่อกล่าวถึงอีกหนึ่งนครที่เลื่องลือไปทุกหนแห่ง ก็คงจะหนีไม่พ้นมหานครหลวง อคาด้า นครแห่งมวลมนุษย์ธรรมดาที่มีอายุยืนยาวแข็งแกร่ง ร่วมถึงวิวัฒนาการที่ไม่แพ้มหานครใด
การปกครองแบบระบอบขุนนางนำโดยดยุค 3 ตระกูลใหญ่นั่นคือ ฟรอสติก ตระกูลแห่งเหมันต์ อาร์ชิบัสตระกูลแห่งปฐพี เฟรมสตริงตระกูลแห่งอัคคี 3 ตระกูลใหญ่ที่กุมอำนาจเหลือล้น อีกทั้งยังความแข็งแกร่งนั้นยังนำพาความสงบสุขมาสู่อคาด้า
แต่หนึ่งในสามตระกูลตอนนี้กำลังอับจนซึ่งหนทางไม่ใช่เพราะสถานะทางด้านเศรษฐกิจหรือความมั่นคงทางการเมือง หากแต่ไร้ผู้สืบสันติวงศ์ เรื่องราวอันเลวร้ายเมื่อนานมาแล้วในศึกบุปผาทองคำทำให้เขาสูญเสียภรรยาสุดที่รัก และนั้นเป็นสาเหตุของอาการเป็นหมันถาวร จึงทำให้เขาไม่สามารถมีทายาทได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ค่ำคืนหนึ่งในยามวิกาล เมื่อในยุคอัลเบิร์ต ฟรอสทริก ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับงานเอกสารบนโต๊ะของตน เขาก็สัมผัสได้ถึงใครอีกคนนึงนอกจากตัวเองในห้องทำงาน อัลเบิร์ตหยุดทุกอย่างตรงหน้า
"เจ้าต้องการอะไร"
เขาเอ่ยถามร่างนึงที่หากต้องการทำร้าย คงไม่ยืนอย่างเงียบงันเป็นเวลานานและปล่อยให้เขารู้ตัว ร่างนั้นย่างกรายออกมาจากเงามืด ทั้งร่างถูกปกปิดไปด้วยผ้าคลุมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ
"ขออภัยที่รบกวนท่านดยุคเข้านำจดหมายและข้อความมาส่งให้ครับ"
ก่อนที่จดหมายจะถูกวางไว้บนโต๊ะทำงานของดยุคอัลเบิร์ต เขาไม่รีรอที่จะหยิบจดหมายนั้นขึ้นคลายผนึกออก หากแต่ใช้เวทย์ตรวจสอบการลงอาคมเวทย์เสียก่อน จะคลี่อ่านข้อความในจดหมาย
"ส่วนข้อความคือ ข้าผู้ชายที่ชุดท่านขึ้นจากเงามืด เป็นถ้อยคำของท่านเอง"
อัลเบิร์ตไงหน้าขึ้นจากกระดาษในมือทันที เมื่อได้ยินวลีนั้น แต่เขากลับพบเพียงความว่างเปล่าเบื้องหน้า