ดอม สตรีมเมอหนุ่ม หลุดเข้าไปอยู่ในเกมจีบหนุ่มสยองขวัญ แต่ช่วงเวลาที่เขาหลุดเข้าไป ดันเป็นเหตุการณ์ก่อนทุกคนจะกลายเป็นวิญญาณ 1 ปี เขาจะต้องหาทางยับยั้งไม่ให้ทุกคนต้องตายให้ได้

เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?) - บทที่ 4.2 เรย์ โดย L'Amour Sangria @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ตะวันตก,แฟนตาซี,ลึกลับ,ย้อนยุค,18+,วิญญาณ,เวทมนตร์,เกมจีบหนุ่ม,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,ต่างโลก,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ตะวันตก,แฟนตาซี,ลึกลับ,ย้อนยุค

แท็คที่เกี่ยวข้อง

18+,วิญญาณ,เวทมนตร์,เกมจีบหนุ่ม,แฟนตาซี,ทะลุมิติ,นิยายวาย,ต่างโลก,#BL

รายละเอียด

ดอม สตรีมเมอหนุ่ม หลุดเข้าไปอยู่ในเกมจีบหนุ่มสยองขวัญ แต่ช่วงเวลาที่เขาหลุดเข้าไป ดันเป็นเหตุการณ์ก่อนทุกคนจะกลายเป็นวิญญาณ 1 ปี เขาจะต้องหาทางยับยั้งไม่ให้ทุกคนต้องตายให้ได้

ผู้แต่ง

L'Amour Sangria

เรื่องย่อ

         "นี่มันอะไรกันวะ"

          ดอมเข่าอ่อนทรุดตัวลงไปนั่งลงบนเก้าอี้ตรงระเบียงที่เขาวิ่งออกมาเจอ เขานั่งมองท้องฟ้าสลับกับเมืองยุโรปโบราณด้านล่างอยู่นานสองนานจนหมดแรง ดอมนั่งสำรวจตั้งแต่นิ้วมือไปจนถึงร่างกาย สองขาของตัวเอง แม้เขาจะไม่ต้องใส่แว่นก็มองได้อย่างชัดเจน ก็เพราะนี่ไม่ใช่ร่างกายของเขายังไงล่ะ





สารบัญ

เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)-บทที่ 1 ดอมดม,เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)-บทที่ 2 โดมินิค,เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)-บทที่ 3.1 ธีโอดอล,เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)-บทที่ 3.2 ธีโอดอล,เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)-บทที่ 4.1 เรย์,เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)-บทที่ 4.2 เรย์,เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)-บทที่ 5 แอรอน,เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)-บทที่ 6 อาเคเซีย,เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)-บทที่ 7.1 Bloody Mary ,เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)-บทที่ 7.2 Bloody Mary (NC18+) Theodore + Aron,เป็นรัชทายาทตัวร้าย จะยากแค่ไหนกันเชียว (How hard is the boss fight?)-บทที่ 8 คำสัตย์ปฏิญาณ

เนื้อหา

บทที่ 4.2 เรย์


ช่วงเช้ามืดในขณะที่พระอาทิตย์ยังไม่พ้นเส้นขอบฟ้า ดอมตื่นแต่เช้าเพื่อทำสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้ นั้นก็คือการออกกำลังร่างกายเรียกเรี่ยวแรงที่หายไปกลับคืนมา ดอมพยายามเลือกชุดลำลองที่ใส่แล้วเคลื่อนไหวได้ง่ายที่สุดจากในตู้เสื้อผ้าของโดมินิค ซึ่งก็หาได้ยากพอสมควรเนื่องจากเขาเป็นถึงเจ้าชายหนึ่งเดี่ยวในอาณาจักร จะให้มีชุดธรรมดาบ้านๆ ก็เห็นว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่ในที่สุดเขาก็หาจนเจอ เสื้อผ้าฝ้ายคอกลมแขนยาวสีขาว กับกางเกงขี่ม้ารัดรูปสีดำ ซึ่งเป็นชุดที่ดูหรูหราน้อยที่สุด ดอมรีบเปลี่ยนมันก่อนจะออกจากห้อง 

ที่ด้านหน้าของห้องมีสาวใช้คนหนึ่งกำลังนั่งหลับอยู่ ข้ารับใช้จะถูกผลัดเปลี่ยนเวรกันทุกหกชั่วโมงเพื่อมาเฝ้าที่หน้าห้องบรรทมของรัชทายาท คอยรับใช้หากมีการเรียกหาได้ทุกเมื่อ ซึ่งช่วงเช้ามืดไม่ใช่เวลาตื่นปกติของโดมินิค เหล่าข้ารับใช้จึงใช้ช่องโหว่ช่วงนี้เพื่อแอบงีบหลับพักผ่อน เอื่อให้ดอมแอบออกจากห้องไปได้อย่างไม่วุ่นวาย เพราะถ้าเหล่าบ่าวรับใช้ยังตื่นอยู่คงถามซอกแซกและติดตามเขาไปด้วยเป็นพรวนแน่ 

เป็นครั้งแรกตั้งแต่สวมอยู่ในร่างนี้ที่ดอมได้มาเดินสำรวจภายในปราสาทคนเดียว ที่นี่กว้างมากกว่าจากมุมมองที่เห็นได้ในเกม เวลาเล่นเกมตัวละครที่เขาบังคับจะถูกจำกัดพื้นที่ๆ สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งเป็นเพราะทรัพยากรทางด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่จำกัด แตกต่างจากความเป็นจริงในตอนนี้ที่เขาสามารถเดินเข้าไปได้ทุกที่และทุกห้อง หยิบจับสิ่งของได้ทุกชิ้น ยิ่งทำให้ดอมตระหนักได้ว่าเขาได้เข้ามาอยู่ในที่ๆไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว

ดอมเดินออกมาด้านนอกปราสาทจากประตูใหญ่ด้านหน้า ทหารยามสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูถึงกับผงะ ดอมยิ้มเจื่อนให้ทั้งคู่ รีบออกคำสั่งตัดหน้าพวกทหาร ไม่ให้ถามอะไรซอกแซก

"เราจะไปเดินเล่นรอบๆ ปราสาท อยู่ในเขตของเรานี้แหละไม่ได้ไปไหนไกล ไม่ต้องตามมาล่ะ"ดอมสั่ง

แต่ถึงจะสั่งไปแบบนั้นยังไง บริเวณปราสาทเองก็มีเหล่าทหารองค์รักษ์ประจำและคอยเดินตรวจตราอยู่ทุกจุดอยู่แล้ว ยังไงก็หนีไม่พ้นสายตาของพวกทหารอยู่ดี

"อึก... รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมแค่จะเตือนว่า ช่วงนี้มีหมาป่าหลงฝูง หลุดออกมาจากภูเขาด้านหลังพระราชวัง ถึงจะห่างไกลจากที่นี่มาก แต่ก็ขอให้พระองค์ทรงระวังตัวด้วยพ่ะย่ะค่ะ" 

ทหารเฝ้าประตูนายหนึ่งแจ้งเหตุให้ดอมด้วยท่าทีหวาดกลัว อาจจะเป็นเพราะโดมินิครัชทายาทคนก่อนหน้า เหมือนจะมีปมชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า เหล่าข้ารับใช้รู้กันดี ต่อให้ไม่พูดอะไรผิดก็สามารถโดนลงโทษได้

"อย่างนั้นหรอ ขอบใจเจ้ามาก เราจะระวัง"

ดอมตอบรับ เขาตบบ่าทหารไปหนึ่งทีเบาๆ ก่อนเดินจากไป สร้างความงงงวยให้กับทหารเฝ้ายามที่ทีแรกคิดว่าจะโดนพูดไม่ดีใส่หรือลงโทษอะไรสักอีก

พื้นที่ของวังหลวงแห่งอาณาจักรไรออนเทียนั้นกว้างใหญ่มากอ้างอิงจากในเกมที่ดอมเคยเล่น ทั้งมีปราสาทหลายหลัง อาคารย่อยสำหรับการทำงานของข้าหลวง แต่ปราสาทที่ใหญ่ไล่เลี่ยกันจะมีสามแห่งประกอบด้วย วังของราชินี วังของรัชทายาท และที่ใหญ่ที่สุดก็เป็นปราสาทหลักของเกม ปราสาทโอบีรอน ที่เป็นที่พำนักของพระราชานั้นเอง ซึ่งรอบๆพื้นที่วังหลวงล้อมรอบด้วยกำแพงปราสาท แต่จะมีพื้นที่ส่วนหนึ่งของวังที่ไม่มีกำแพงเพราะส่วนนั้นติดอยู่กำภูเขาซึ่งอยู่ด้านหลังของปราสาทหลักพอดี ถือว่าเป็นปราการชั้นดีในการป้องกันข้าสึกไม่ให้เข้าจากทางด้านหลัง 

ดอมเริ่มจากการยืดเส้นยืดสายคล้ายกล้ามเนื้อ เขายืดเหยียดหน้าขาสองข้าง เหยียดสะโพกด้านหน้าและจบด้วยท่ายืดเหยียดน่อง ก่อนจะเริ่มวิ่ง ในขณะที่เขาวิ่งก็รู้สึกได้เลยว่า ร่างกายของโดมินิคไม่ธรรมดา ถ้าออกกำลังกายดีๆอาจจะออกมากำยำเหมือนกับแอรอนเลยก็เป็นได้ เพราะขนาดร่างกายโดมินิคที่ไม่สมบูรณ์ดีจากการเสพติดยาและสุราเป็นเวลานาน ดอมยังรู้สึกว่าอึดและทนทานกว่าร่างจริงของตัวเองที่เป็นเกมเมอเสียอีก หรือว่าจะเป็นเพราะพลังแห่งสายเลือดราชวงศ์ที่ทำให้รู้สึกแตกต่างจากคนทั่วไป 

จุดแรกที่ดอมไปเจอด้านข้างปราสาท เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ที่มีไว้ให้รัชทายาทพักผ่อนหย่อนใจ เขาพึ่งเคยเห็นมันเป็นครั้งแรกเพราะในเกมเข้ามาไม่ถึงในส่วนนี้ ภายในสวนมีดอกไม้นานาพันธ์ตามฤดูกาลถูกปลูกไว้ประชันความงาม ตรงกลางมีสระน้ำที่ถูกขุดไว้ ไม่รู้ลึกเท่าไหร่ แต่ที่ริมของสระน้ำมีเรือนนั่งเล่นเป็นโดมสูงหลังคาสีฟ้าตั้งอยู่ ด้านข้างมีต้นไม้ใหญ่ ที่ถ้าสังเกตดีๆ เรือนที่ว่าจะตั้งอยู่ติดกับกำแพงปราสาทพอดี ถ้ามองเหนือขึ้นไปจะเจอหน้าต่างบานใหญ่ตรงนั้น คงจะเป็นห้องสักห้องในตัวปราสาท ดอมคิดเล่นๆว่า ถ้าเขาอยากจะหนีออกจากปราสาทยามค่ำคืนไม่ให้ใครจับได้ เขาสามารถต่อเชือกลงมายังต้นไม้ใหญ่ จากนั่นปีนลงจากต้นไม้ไปที่หลังคาเรือนนั่งเล่น ทีนี้เขาก็จะสามารถหนีออกนอกปราสาทผ่านรั้วได้ทันที ไม่มีใครจับได้แน่

ดอมหยุดความคิดฟุ้งซ่านก่อนวิ่งต่อไป เป้าหมายเขาอยากจะไปให้ถึงเรือนแยก ซึ่งเป็นที่พักและทำงานของ ลูเซียน แพทย์หลวงฝึกหัดที่ตอนนี้ดอมแต่งตั้งให้มาเป็นแพทย์ประจำตัวของเขา วันก่อนดอมได้รับข่าวผ่านทางธีโอดอลว่า การผ่าตัดและรักษา เรย์ เฟริกซ์ ทาสหนุ่มที่เขาช่วยเอาไว้ ผ่านไปด้วยดี ดอมตั้งใจว่าถ้าเรย์ฟื้นจากการผ่าตัดแล้วเมื่อไหร่ เขาจะเข้าเยี่ยมทันที

ดอมเป็นห่วงเรย์มาก เพราะจากที่ได้ฟังมา การรักษาเพื่อให้เรย์หายดีนั้นยากลำบาก ขาขวาที่ถูกโซ่เหล็กตรึงไว้เป็นเวลานาน มันกัดกินเนื้อส่วนนั้นจนเป็นแผลใหญ่ ยิ่งแผลถูกทิ้งไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษา เนื้อส่วนข้อเท้าที่บาดเจ็บเพราะถูกเหล็กสนิมเสียดสี ก็เกิดแผลเน่าและในที่สุดก็กลายเป็นเนื้อตาย ส่งผลให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นพิษเข้าสู่ร่างกาย อาการหนักเสียจนรักษาให้เป็นอย่างเดิมไม่ได้ ทางเลือกที่เหลือเพียงทางเดียวคือต้องตัดส่วนข้อเท้าของเรย์ออกไป ก่อนเชื้อตายจะแพร่กระจายเข้าสู่ร่างมากกว่านี้ 

ครั้งแรกที่ดอมรู้ข่าวว่าต้องรักษาด้วยการตัดขา ดอมรู้สึกใจหายเหมือนในอกมันโหวงๆ ถึงเรย์ในตอนนี้จะไม่เคยพูดคุยกับเขามาก่อน แต่ไม่ใช่สำหรับดอม เขารู้จักเรย์เป็นอย่างดีผ่านเกมที่เล่น เรย์ในเกมจีบหนุ่มเป็นคนน่ารัก ช่างคุย ขี้เล่นเป็นกันเอง แม้จะดูซุกซนไปบ้างแบบฉบับคาแรกเตอร์ปีศาจน้อย แต่เนื้อในก็เป็นคนดีมากคนหนึ่ง และเรย์ยังใจเย็นที่สุดในบรรดาหนุ่มๆ ที่จีบได้ มากเสียยิ่งกว่าธีโอดอลหรือแอรอนที่ภายในดูเป็นคนเงียบๆ ดอมรู้ดีว่าสองคนนั้นแท้จริงใจร้อนและมุทะลุกว่าที่เห็นมาก ฉะนั้นพอได้รู้ว่าเรย์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสภาพร่างกายไม่เหมือนเดิม ดอมจึงรู้สึกสงสารจับใจ แต่ดอมคิดวิธีแก้ไขสถานการณ์นี้ไว้อยู่แล้ว ดอมมีหนทางจะทำให้เรย์กลับมาเดินเป็นปกติได้อยู่ แต่วิธีการเขาคงไม่กล้าบอกใครแน่

ดอมวิ่งออกจากสวนมาสักพักจนมาถึงพื้นที่สำหรับตากผ้าของปราสาท ซึ่งถัดจากส่วนนี้ไปก็จะเป็นอาคารเรือนแยกที่เป็นที่พักของลูเซียน ดอมตั้งใจว่าให้ตรงนี้เป็นจุดเส้นชัยเพื่อจะวิ่งกลับทางเดิม แต่ระหว่างนั้นเองสายตาดอมก็เหลือบไปเห็น ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ด้านข้างของเรือนแยก มีเก้าอี้ยาวสีขาวถูกตั้งไว้ และมีใครบางคนบนเก้าอี้กำลังนั่งรอดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าอยู่

ดวงตาสีฟ้าคามขุ่นมัวเหม่อมองท้องฟ้ามืดมิด ที่ค่อยๆ เผยแสงที่เส้นขอบฟ้า ไม่นานแสงอาทิตย์แรกยามเช้าก็ฉายขึ้นให้เห็น แสงจากพระอาทิตย์ดวงกลมสะท้อนเข้านัยตาหม่นหมองให้กลับมามีประกายสดใสขึ้นในพริบตา สายลมอ่อนทำให้เส้นผมสีฟ้าที่ต้องแสงแดดจนออกเป็นอมเขียวปลิวไสวไปตามแรงลม ร่างกายผอมแห้งยกแขนขึ้นจับกระชักเสื้อคลุมให้แน่นเพื่อป้องกันลมที่พัดผ่าน ทันทีที่คนๆ นั้นขยับ ก็ทำให้ดอมพึ่งรู้สึกตัวว่า สิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่รูปปั้นเทพธิดาอย่างที่เขาคิด ดอมค่อยเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะเอ่ยทักเสียงเรียบ

"ไง เรย์ เป็นยังไงบ้าง" ดอมเดินมาหยุดที่ด้านข้างของเก้าอี้ยาว

ใบหน้าเล็กค่อยๆ หันมามองก่อนจะเบิกตากว้าง มือลนลานรีบควานหาไม้ค้ำยึดจับเพื่อจะยืนทำความเคารพผู้ที่พึ่งก้าวเข้ามา 

"ฝ่าบาท! ขออภัยพ่ะย..."

"ไม่ต้องลุกนะ เจ้านั่งไปเถอะ"

ดอมรีบร้องห้ามก่อนจะเดินเข้าไปจับแขนไม่ให้ คนตรงหน้าลุกขึ้นยืน ผอมมาก เหมือนจับเจอแต่กระดูก ดอมคิด เขามองเรย์ไม่วางตาเหมือนกำลังต้องมนต์สะกด

"ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" 

เรย์ยิ้มน้อยๆ สีหน้าของเขาดูอิดโรยมาก บ่งบอกว่ากำลังอยู่ระหว่างการพักฟื้นจากการผ่าตัด

"ขอโทษที่ทำให้ตกใจ เราขอนั่งด้วยได้มั้ย" 

ดอมเอ่ยเสียงอ่อน 

"ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท" เรย์ตอบ  

ก่อนดอมจะค่อยๆ หยอนตัวนั่งลงด้านข้างที่ว่างอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว

เรย์แอบลอบมองใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้าง ใบหน้าเดียวกันกับที่เห็นในคืนนั้นไม่ผิดแน่ ถึงในวันนั้น ตอนที่เรย์ถูกช่วยออกมาจะมีสติเลือนรางมากก็ตามที แต่ก็ไม่มีทางที่เรย์จะจำหน้าของผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไม่ได้ เขาแอบยิ้มน้อยๆ ก่อนหันกลับไปชมพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นจากขอบฟ้า

"ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหม ขาดเหลืออะไรบอกเราหรือลูเซียนได้เลยนะ เจ้ายังดูไม่หายดีเลยแท้ๆ ออกมาตากลมทำไม" 

ดอมแสดงสีหน้าเป็นกังวล แม้สีหน้าของเรย์จะดูเหนื่อยไร้เรี้ยวแรง แต่ก็ยังคงยิ้มออกมาได้อย่างอ่อนโยน

"ลูเซียนดูแลกระหม่อมอย่างดี จนแข็งแรงมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่อยากออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าเสียหน่อย ฝ่าบาททรงอย่าได้กังวล" 

เรย์ยิ้มจนตาปิด สื่อให้เห็นว่าเขากำลังดีใจที่ได้มาสัมผัสแสงอาทิตย์ยามเช้าด้วยตัวเอง หลังจากที่ถูกขังอยู่ในห้องอับชื้นมาเนิ่นนาน น้ำเสียงของเรย์ที่ตอนนี้แม้จะแหบพร่า แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกอบอุ่น เรย์หันมาทางดอมเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปดูพระอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆ ขึ้นจากขอบฟ้า ภาพของเรย์ตอนนี้ทั้งดูนุ่มนวลและล่องลอยเหมือนภาพวาดสีน้ำไม่มีผิด

ตรงข้ามกับดอมตอนนี้โดยสิ้นเชิง ความรู้สึกผิดกับสิ่งที่เขาไม่ได้ก่อกำลังถาโถมเข้ามาเต็มแผ่นหลังจนหนักอื้ง แม้อาการบาดเจ็บของร่างกายจะค่อยๆ ถูกรักษาจนหาย แต่ใครจะรู้ได้ สำหรับอาการบาดเจ็บภายใจจิตใจ ยิ่งมาเห็นตัวจริงก็ยิ่งรู้สึกกลัว ดอมกลัวเหลือเกินว่าร่างเล็กที่อยู่ข้างเขาตอนนี้จิตใจจะแตกสลาย เขาจะรู้ได้ยังไงว่าเรย์ไม่ได้กำลังฝืนตัวเอง เขาเคยอ่านเจอตามบทความ ว่าเหยื่อของอาชญากรรมความรุนแรง จะต้องทนเจ็บปวดกับความรู้สึกหดหู่ไปอีกทั้งชีวิต ดอมจะทำอะไรให้เรย์ได้บ้าง ถึงจะสามารถบรรเทาความเจ็บปวดในจิตใจเขาได้

ดอมเบิกตาเหมือนตื่นรู้ เขานึกขึ้นได้ว่าแม้ตัวตนจริงๆ ของดอมจะเป็นแค่คนนอกผู้รับรู้เหตุการณ์ แต่ร่างที่เขาสวมอยู่ไม่ใช่ โดมินิคผู้นี้เป็นถึงลูกชายของผู้ก่อเหตุ ถึงจะไม่ใช่การขออภัยจากตัวกระผู้ทำผิดโดยตรง แต่ถ้าได้รับการขอโทษจากญาติใกล้ชิดอย่างลูกแท้ๆ เรย์จะรู้สึกคลายความโกรธแค้นลงได้บ้างมั่ยนะ

ดอมไม่อยากหยุดเพียงแค่ตั้งคำถาม เขารีบลงจากเก้าอี้ ก่อนจะตั้งท่าคุกกับพื้น หันหน้าไปยังคนผมฟ้าที่นั่งอยู่ ก้มหัวลงพร้อมเอ่ยสิ่งที่ดอมคิดว่าเป็นคำปลอบประโลมที่ดีที่สุดเท่าที่เขาคิดได้ออกมา 

"เราขอโทษ ในสิ่งที่พ่อผู้โง่เขลาของเรากระทำลงไป เจ้าไม่จำเป็นต้องยกโทษ แต่โปรดเชื่อเรา เราจะดำเนินการเอาผิดทุกคนที่เกี่ยวข้องให้ได้ หลังจากนี้เราจะดูแล ชดเชยทุกสิ่งที่เจ้าควรได้รับ เจ้าต้องได้กลับบ้านโดยปลอดภัย เรื่องบาดแผลเจ้าไม่ต้องกังวล เจ้าต้องกลับมาเป็นปกติแน่นอน เราขอสัญญา" 

ดอมเงยหน้าขึ้นมอง เป็นจังหวะเดียวกับที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นจากเส้นขอบฟ้าจนเต็มดวง แสงจ้าที่สาดเข้าดวงตาฉายอยู่ด้านหลังของดอม แม้จะเกิดเงากับผู้ที่มองย้อนแสง แต่ก็ไม่สามารถกลบนัยตาแกร่งที่จ้องมองมาที่เรย์ได้

เรย์ถึงกับเบิกตากว้าง ตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า ทั้งที่เรย์ก็รู้ดี ว่าคนๆ นี้ไม่จำเป็นต้องลดเกียรติของตัวเองเพื่อก้มหัวให้ผู้อื่นเลย แต่เขาก็เลือกที่จะทำเพื่อรักษาความรู้สึกของตน เรย์เอื้อมไปคว้ามือของคนตรงหน้าเพื่อหวังจะให้ลุกขึ้น

"นั้นไม่ใช่ความผิดของท่าน ไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย ข้าต่างหากต้องขอบคุณ ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้า ยิ่งรู้ว่ามีสิ่งที่ท่านกำลังจะทำเพื่อข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะต้องตอบแทนท่านยังไงดี อย่าคุกเข่าให้ข้าเลยพ่ะย่ะค่ะ" 

เรย์พูดทุกอย่างออกมาจากใจจริง เขาไม่คิดว่านี้เป็นความผิดของดอมเลยแม้แต่น้อย ถึงจะยังไมเข้าใจทั้งหมด แต่เขาก็รู้ดีว่าดอมไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำอันชั่วช้าพวกนี้

แต่ดอมกลับงงงวยกับคำตอบที่ได้ยิน นึกตามนิสัยเดิมแล้วเรย์ที่ถึงภายนอกนุ่มนิ่ม แต่ภายในของเขานั้นแสนเจ้าเล่ห์ ดอมไม่เข้าใจว่าทำไมเรย์ถึงได้สำนึกบุญคุณลูกชายของคนที่กักขังและทำร้ายร่างกายตัวเอง หรือตอนนี้สภาพจิตใจของเรย์ผิดเพี้ยนไปแล้วจริงๆ ดอมคิด ถ้าเขายอมให้เรย์หลอกลวงปั่นหัวเล่นบ้าง บางทีอาจจะช่วยบรรเทาความโกรธแค้นให้อาการดีขึ้นได้มั้ยนะ แต่ในระหว่างที่กำลังนึกอยู่นั้นเอง เรย์ก็เอ่ยต่อก่อนที่ดอมจะคิดไปไกลมากกว่านี้

"ถ้าท่านให้สัญญาว่าจะไม่ทำให้เรื่องที่ข้าได้เผชิญมาไปเกิดขึ้นกับผู้อื่นอีก ข้าก็ยินดีที่จะช่วยเหลือท่านทุกอย่าง แม้ต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อท่าน ข้าก็จะทำพ่ะย่ะค่ะ" 

เรย์เอ่ยพร้อมส่งน้ำเสียงและสีหน้าจริงจังอย่างที่ดอมไม่เคยเห็น ความหวังของเรย์คือการได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เข้มแข็งพอจะคุ้มครองไม่ให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นอีก ทำเอาดอมอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาเกิดเป้าหมายใหม่ขึ้นในใจ ด้วยอำนาจที่เขามี เส้นทางที่เขารู้ ดอมรู้แล้วว่าควรทำสิ่งใดเมื่ออยู่ที่นี่ และรู้อีกว่าคงไม่สำเร็จแน่ถ้าเขาต้องทำมันคนเดียว 

"ได้ เราให้สัญญา เราจะเปลี่ยนแปลงสังคมที่เน่าเฟะนี้ให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง แต่เจ้าก็ต้องให้สัญญาเช่นกัน ว่าจะไม่เอาชีวิตมาเสี่ยงเพื่อเรา เราอยากให้เจ้ารอดปลอดภัย ได้โปรดดูแลตัวเองอย่างดี" 

ดอมยิ้มตอบกลับไปเป็นการให้สัญญา เขารู้สึกขอบคุณเรย์จริงๆ ที่ทำให้เขารู้สึกตัว ว่าตัวเองทำอะไรได้และควรทำอะไร ดอมกุมมือเรย์ที่ยังจับอยู่ไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยต่อไปอีกว่า

"ขอบคุณที่เจ้าอดทนมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่นะเรย์" 

ดอมพูดคำพูดเรียบง่ายออกมาตามที่ใจนึกคิด แต่มันกลับส่งผลรุนแรงไปถึงตัวผู้ฟังอย่างน่าประหลาด อยู่ๆ ความรู้สึกที่เรย์เก็บงำไว้ในใจมาเนิ่นนานมันก็เริ่มไหลทะลักออกมา ความรู้สึกทุกข์ทรมารที่เคยได้สัมผัส ในห้องแคบๆ ไร้ทางออกนั่นผุดขึ้นมาในหัว ตอนนั้นมองไปทางไหนก็ไร้หนทางที่จะมีชีวิตต่อ มันสิ้นหวังและท้อแท้ เจ็บไปทั้งร่างจนแทบหายใจไม่ออก คิดได้แต่ว่าไม่มีวันรอดออกไปได้ ไม่เคยแม้แต่จะฝันว่าจะได้รับอิสระออกมายังโลกภายนอก ได้มาดูพระอาทิตย์ขึ้นและตก ไม่เจ็บปวด ไม่หิวโหย แม้กระทั้งตอนนี้ยังคงคิดว่าตัวเองได้ตายไปแล้วแทนที่จะเป็นความฝัน

น้ำตาที่เก็บกลั้นเอาไว้เนิ่นนานไหลทะลักออกมาไม่หยุด เรย์ไม่เคยนึกเลยว่าความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ของเขาได้รับการตอบรับและร่วมยินดี มันจะมีความหมายกับเขามากขนาดนี้ การที่มีใครสักคนยังดีใจที่เขามีชีวิตอยู่ คอยช่วยเหลือและเคียงข้างเขามันจะวิเศษมาก

เรย์ยกมือขึ้นปิดหน้าปล่อยโฮออกมา จนในอกเจ็บปวดไปหมดเพราะน้ำตา ดอมที่อยู่ตรงนั้นเข้าใจเป็นอย่างดี รีบดึงคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้แนบแน่นกับแผงอก ไร้คำพูด ไร้คำปลอบใดๆ แค่ประคองไม่ให้เรย์ต้องร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว

เรย์ร้องไห้หนักจนหลับไป ดอมจึงอุ้มเขาขึ้นด้วยแรงสองแขนในท่าอุ้มเจ้าหญิง ก่อนจะพาเรย์ไปยังเรือนแยกที่ลูเซียนดูแลอยู่ เหมือนรู้งาน ลูเซียนเปิดประตูออกมาตอนรับ เขาทำท่าจะรับตัวเรย์เพื่อช่วยอุ้มต่อเข้าไปข้างใน แต่ดอมปฎิเสธก่อนจะขอให้ลูเซียนนำไปยังเตียงพักฟื้นแทน

ทางเข้าของเรือนแยกแม้จะเต็มไปด้วยหนังสือแผ่นกระดาษ สมุนไพรและขวดยาวางระเกะระกะ แต่เมื่อเข้าไปถึงยังห้องพักฟื้นด้านใน กลับสะอาดสะอ้าน ปลอดโปร่งอากาศถ่ายเทเหมาะกับเป็นที่พักผู้ป่วยกว่าที่คิด ดอมพาเรย์อุ้มไปวางบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนจะหมผ้าให้เพื่อให้ผู้ป่วยเพื่อได้นอนพักต่อ

"เขาแข็งแกร่งมากขอรับ เขาไม่เคยบ่นว่าเจ็บหรือร้องไห้เลย จนข้านึกว่าจิตใจของเขาคงไม่สมบูรณ์ไปแล้ว ขอบคุณท่านมากนะขอรับที่มาเยี่ยมเขา" 

ลูเซียนในชุดคลุมสีขาว ใบหน้าคมคายภายใต้กรอบแว่นดูอิดโรยไม่แพ้ผู้ป่วยเช่นกัน นั้นเป็นเพราะเขากำลังพยายามอย่างสุดความสามารถในการค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อการรักษาผู้ป่วยนั้นเอง

"ขอบคุณเจ้าอีกครั้ง ลูเซียน เราไว้ใจคนไม่ผิดเลยจริงๆ ขาดตกตรงไหนโปรดบอกเราหรือไม่ก็ธีโอดอลอย่าได้เกรงใจ เรย์แข็งแรงขึ้นกว่าที่เราคิดไว้มาก เป็นเพราะลูเซียนเลยนะ"

ดอมพูดทั้งที่ยังนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย

"ไม่เลยขอรับ ทั้งหมดเป็นเพราะความกรุณาของท่าน ที่เขาหายเร็วกว่าปกติอาจจะเป็นเพราะ น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้มาจากโบสของนิกายอามิทิสซ์ก็เป็นได้ขอรับ ข้าเองก็พึ่งนำมาใช้เป็นครั้งแรก มันช่วยทำให้บาดแผลภายนอกหายไวมากแต่ไม่สามารถรักษาเนื้อที่ตายแล้วได้ ข้าว่าจะนำมาศึกษาดูอีกหน่อยขอรับ เผื่อจะนำมาใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้" ลูเซียนอธิบาย

ดอมนึกสงสัยกับสิ่งที่ลูเซียนพูดให้ฟังเกี่ยวกับเรื่อง น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะในเกมที่เขาเคยเล่นมันมีไอเท็มชนิดนี้อยู่จริง เป็นน้ำยาที่ใช้สำหรับการเพิ่มหลอดพลังชีวิต ที่ถ้าพลังชีวิตลดจนหมดเกมจะโอเว่อทันที ถ้าให้พูดภาษาเกมก็คือไอเท็มเพิ่มเลือดนั้นเอง แต่ดอมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า น้ำมนต์นี้ถูกผลิตจากนิกายอามิทิสซ์ นิกายสุดฉาวโฉ่จากในเกม เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ ก็มีชื่อนิกายนี้มาเกี่ยวข้องแทบทั้งสิ้น ดอมรู้สึกไม่ไว้วางใจแปลกๆ จึงหันไปสั่งกับลูเซียนไว้ว่า

"ลูเซียน ช่วงนี้ช่วยหยุดการใช้น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ไปก่อนได้ไหม ใช้สมุนไพรอื่นๆแทนไป เราได้ยินข่าวแปลกๆ จากนิกายนี้มา หากเราแน่ใจถึงความปลอดภัยแล้ว เดี๋ยวเราจะยืนยันอีกที" 

ดอมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หันไปมองหน้าลูเซียนจนเผลอได้สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง

"ได้ขอรับ แต่ข้าขอทำการศึกษาต่อได้หรือไม่ อาจจะช่วยให้คำตอบในสิ่งที่ท่านสงสัยอยู่ก็เป็นได้" 

ลูเซียนเองก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกัน ตอนที่ได้น้ำมนต์จากผู้ช่วยมาทีแรก ถึงเขาจะลองใช้กับตัวเองแล้วไม่เกิดอันตรายก็จริง แต่ก็ยังไม่รู้ในส่วนผสมที่แน่ชัด เขาจึงมีความกังวลเล็กน้อยที่จะใช้มัน ส่วนในเรื่องความน่าสงสัยของนิกาย เขาเองก็พึ่งรู้จากที่ดอมเล่าเช่นกัน

"ได้สิ ว่าแต่ลูเซียน นัยตาของเจ้าเป็นสีเขียวแต่แรกงั้นหรอ โทษทีไม่ต้องตอบก็ได้ เราอาจจะจำผิดไปเอง" 

ดอมพลั้งปากพูดออกไปโดยไม่คิด แต่จริงๆ ตอนที่เขาเล่นเกม เขาว่าสีตาที่เคยเห็นของลูเซียน มันไม่ใช่สีเขียวเหมือนตอนนี้ แต่จำไม่ได้แล้วว่าสีอะไร ไม่ทันจะได้นึกต่อก็มีเสียงๆ หนึ่งร้องเรียกเขาขึ้นมาจากทางด้านหลัง

"ฝ่าบาท ได้เวลาอาหารเช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ" 

เสียงเรียกทำเอาดอมสะดุ้งโหย่ง เมื่อหันไปมองก็พบกับธีโอดอลในชุดทำงานเต็มยศ ซึ่งคาดว่าเขาน่าจะมายืนรออยู่ได้พักหนึ่งแล้วเอ่ยเรียก

"อรุณสวัสดิ์ ธีโอ มาเร็วจัง เราขอตัวก่อนนะพี่หมอ พอดีช่วงเช้าเรามีประชุม มีอะไรติดต่อมานะ" ดอมยิ้มร้าก่อนจะเดินตามธีโอดอลออกไป

ทิ้งไว้ให้ลูเซียนที่โดนทักเรื่องสีตายืนนิ่งไปพักหนึ่ง ในใจเกิดตั้งคำถาม ดอมรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้มีนัยตาสีเขียว

______________________________________

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ ฝากคอมเมนต์ กดหัวใจให้กำลังใจด้วย เราตั้งใจกับเรื่องนี้มากๆเลยค่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ☺️☺️☺️