เมื่อสิ่งที่ตามองเห็นไม่เป็นอย่างที่สมองคิด ความเป็นจริงจึงอยู่เหนือการคาดเดา
ลึกลับ,ระทึกขวัญ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
กระจกเงาห้องตรงข้าม (รวมเรื่องสั้นระทึกขวัญ...หักมุมตอนจบ)เมื่อสิ่งที่ตามองเห็นไม่เป็นอย่างที่สมองคิด ความเป็นจริงจึงอยู่เหนือการคาดเดา
รวมเรื่องสั้นระทึกขวัญ...หักมุมตอนจบหลายรูปแบบ เช่น ฆาตกรรมซ่อนเงื่อน ผีและวิญญาณ โลกต่างมิติ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด หลอกหลอน...ซ่อนผวาจนขนหัวลุก
ชายหนุ่มจากโลกอนาคตยืนมองญาดาอย่างชั่งใจ เหมือนกำลังหยั่งลึกเข้าไปในสมองของเธอว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้อีกหรือ
“ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่า แล้วตอนนี้กวีคนที่อยู่กับฉันก่อนหน้านี้ เขาไปอยู่ที่ไหนล่ะ อย่าบอกนะว่าเขาตายไปแล้ว ไม่นะ!!!” หญิงสาวเริ่มโวยวายในสิ่งที่เกิดขึ้น มองไปที่ร่างของกวีที่อ้างว่ามาจากอนาคตอย่างกังขา
“ไม่หรอกญาดา ถ้าผมตายมันก็จะไม่มีผมคนนี้อยู่ในอนาคตอีก 7 วัน น่ะสิ และนี่ผมมาจากอนาคตไง แสดงว่ายังผมยังไม่ตาย คุณต้องหาตัวผมในโลกปัจจุบันให้ได้”
“แล้วคุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ พ่อคนที่มาจากโลกอนาคต ฮึ…” ญาดาเริ่มแดกดันร่างของกวีที่จะมีตัวตนในอีก 7 วัน ข้างหน้า ถ้ากวีคนปัจจุบันกลับมา กวีคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ต้องกลับไปที่โลกอนาคตสินะ เพราะจะมีกวี 2 คน อยู่ในเวลาเดียวกันไม่ได้
“ผมจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แค่ว่า ตอนที่นั่งกินข้าวกับคุณอยู่ที่ร้านอาหาร แล้วกำลังจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ผมก็เหมือนเดินผ่านเข้าไปในหลุมหรืออุโมงค์อะไรสักอย่าง มันดูดให้ผมมาโผล่อยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้น คุณจะต้องไปหากวีที่อยู่ในป่าโน่นกลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม แล้วผมก็จะได้กลับไปที่โลกของผมเหมือนกัน”
ถ้าการย้อนเวลาของกวีมาหาญาดาเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ แสดงว่าเวลาได้ลบความทรงจำตอนที่เขาอยู่กับผู้ชายคนนั้นออกไปจนครบ 7 วัน เขาถึงจำอะไรไม่ได้เลยนับตั้งแต่ทั้งคู่หายเข้าไปในป่าข้างทางนั่น แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ในเมื่อเขาบอกว่าตัวเองมาจากอนาคตที่มีเธออยู่ด้วย แสดงว่าเขาต้องรอดชีวิตและกลับมาหาเธออยู่แล้ว แล้วจะต้องออกไปตามหาทำไมให้เสียเวลาอีก หรือมันมีอะไรที่เขายังไม่ได้บอกเธอ…
………………………………………………………………………………………..
ชายชราในสภาพศีรษะขาวโพลนไปด้วยเส้นผมที่ผ่านกาลเวลามายาวนาน บ่งบอกว่าแกอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดจนใกล้จะจากโลกนี้ไปเต็มทีแล้ว ดวงตากร้านโลกคู่นั้นเพ่งมองมายังญาดาอย่างพินิจพิเคราะห์ ราวกับว่าจะเข้าไปสิงอยู่ในตัวเธอก็คงไม่ผิด เธอเหมือนคนทำผิดกฎหมาย หรือเป็นผู้ร้ายฆ่าคนแล้วหลบหนีการจับกุมของตำรวจอย่างนั้นหรือ
“จะทำยังไงล่ะทีนี้นังหนูเอ๊ย! แล้วจะผ่านไปแถวนั้นทำไมดึกๆ ดื่นๆ ไม่มีใครเขาไปยุ่มย่ามกับมันตอนกลางคืนหรอกนะ ชาวบ้านแถวนี้เลี่ยงไปใช้อีกทางที่อ้อมไปไกลกว่า อย่าว่าแต่กลางคืนเลย กลางวันก็น้อยคนนักที่จะผ่านแถวนั้น ถึงจะมีถนนลาดยางให้รถวิ่งแล้วก็ตามเถอะ เคยมีคนต่างถิ่นที่รถเสียเอาดื้อๆ ขณะขับผ่านออกบ่อยไป” ชายชราเอ่ยกับญาดาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าแต่ดุดัน
“หนูไม่รู้นี่คะลุง เพิ่งย้ายมาอยู่ในหมู่บ้านนี้กับแฟนสองคนตรงท้ายหมู่บ้านโน่นน่ะค่ะ เมื่อวานเป็นวันนัดส่งของให้ลูกค้าทุกต้นเดือน พอขับรถไปถึงตรงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แฟนหนูก็จอดรถลงไปฉี่ข้างทาง ถ้าไม่มีแสงสว่างจากดวงจันทร์ส่องลงมาพอให้เห็นทางอยู่บ้าง แถวนั้นก็คงจะมืดมากใช่มั้ยคะ ขนาดมีแสงช่วยยังรู้สึกวังเวงเลยค่ะลุง” ญาดาแสดงอาการขนลุกขนพองเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากชายชรา
“เอาแล้วมั้ยล่ะ แค่รถเสียปกติยังว่าซวยแล้วนะแม่หนู นี่ดันลงไปทำอะไรแบบนั้น” ชายชราถอนหายใจยาว เหมือนว่างานเข้าแกอีกแล้วคราวนี้
“หนูนั่งรออยู่ในรถตั้งนาน แต่เขาก็ไม่กลับมาสักที เลยเดินไปดูแถวนั้นก็ไม่เจอใครเลยค่ะ เหมือนเขาเดินเข้าป่าแล้วหายไปไม่กลับมาอีกเลย ลุงรู้มั้ยคะว่ามีอะไรเกิดขึ้น มีผู้ร้ายปล้นชิงทรัพย์ หรือพวกเด็กวัยรุ่นที่คอยเอาก้อนหินปาใส่หน้ารถคนเดินทางหรือเปล่า แล้วเราจะตามหาแฟนหนูเจอมั้ยคะ” หญิงสาวละล่ำละลักเอ่ยปากคอสั่น น้ำเสียงเป็นเชิงขอร้องอยู่ในตัว
“ใจเย็นๆ นะหนู เดี๋ยวนิมนต์พระมาทำพิธีเปิดป่าขอทางก่อน ถ้าไม่โชคร้ายเกินไปคงจะหาเจอแหละ” ชายชราพูดเป็นเชิงปลอบหญิงสาว เพราะหลายครั้งคนที่เดินเข้าไปในป่านั่นก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย หรือออกมาในสภาพที่เป็นศพ โชคดีหน่อยก็รอดชีวิตมาบ้างเหมือนกัน แต่สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอาแต่ขวัญหนีดีฝ่อเหมือนคนเสียจริต
“หมายความว่ายังไงคะลุง ถ้าโชคดี… แสดงว่าส่วนมากโชคร้ายเกือบหมดงั้นเหรอ” ญาดาถามไปยังงั้นแหละ เพราะเธอเองก็รู้ว่ากวีเป็นหนึ่งในคนที่โชคดีส่วนน้อยนั้น และคงไม่ถึงขั้นเป็นบ้าเสียสติแบบที่แกว่าแน่ กวีที่มาจากโลกอนาคตในอีก 7 วันข้างหน้ายืนยันกับเธอแบบนั้น
“งั้นเดี๋ยวลุงเล่าให้ฟังเลยก็แล้วกัน ป่าข้างทางนั่นน่ะ มันอยู่คู่หมู่บ้านนี้มาช้านานแล้วล่ะหนู ชาวบ้านไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งในป่านั่นแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว มีแต่คนต่างถิ่นและก็ลูกหลานชาวบ้านที่ดื้อด้านไม่ยอมฟัง ซุกซนจนได้เรื่องทุกทีไป มันเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานสืบต่อมาจากบรรพบุรุษรุ่นแล้วรุ่นเล่า ใครที่หลงเข้าไปในนั้นจะหาทางออกไม่เจอ เหมือนมีอำนาจจากสิ่งที่มองไม่เห็นบังตาไว้ น้อยคนนักที่จะออกมาได้หลังจากพระสงฆ์มาทำพิธีเปิดป่าแล้ว แต่จะออกมาในสภาพไหนก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของแต่ละคน มันเลยถูกเรียกว่า…ป่าสูบวิญญาณ..ไงล่ะ” ชายชราเล่าขานเรื่องราวที่ตัวเองคุ้นเคยมานาน และแทบจะเป็นกิจวัตรหน้าที่ของแกอย่างหนึ่งไปแล้วที่ต้องจัดการเรื่องเหล่านี้มานักต่อนัก
เหล่าชาวบ้านชายฉกรรจ์ที่ถูกเกณฑ์มานับสิบคน กรูกันเข้าไปตรงต้นไม้ใหญ่ที่ญาดาบอกว่าเห็นเขาหายไป จัดการแผ้วถางต้นไม้ใบหญ้ารกที่ขึ้นบริเวณนั้นให้โล่งเตียนเข้าไปเป็นทางยาว ชายชราบอกว่ามันเป็นพิธีนำร่องของการเปิดป่าสูบวิญญาณที่ทำกันมาจากรุ่นสู่รุ่นและก็ได้ผลดีทีเดียว
ท้องฟ้าเบื้องบนมืดครึ้มราวกับกลุ่มเมฆฝนกำลังก่อตัว แต่กลับไม่มีเสียงฟ้าร้องหรือฟ้าแลบให้เป็นสัญญาณเตือนว่าจะมีฝนห่าใหญ่ตกลงมาในอีกไม่นานนี้ ทั้งที่ตอนอยู่ในหมู่บ้านเมื่อครู่ แสงแดดเจิดจ้าราวกับจะเผาต้นหญ้าแห้งให้ติดไฟลุกพรึ่บในทันที ชายชราบอกว่ามันจะเป็นเฉพาะป่าแถวนี้ และนั่นมันไม่ใช่เมฆฝน แต่เป็นเงาแห่งความชั่วร้ายที่สิงสถิตอยู่เพื่อสะกดทุกสิ่งในป่าไม่ให้ออกไปไหนได้
“แต่หนูก็ต้องทำใจไว้ก่อนนะ ก็อย่างที่บอกแต่แรก เรารับประกันไม่ได้ว่าเขาจะออกมาในสภาพไหน…” ชายชราเน้นย้ำสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเกิดไอ้หนุ่มนั่นออกมาแบบป้ำๆ เป๋อๆ ไม่เป็นผู้เป็นคน เกรงว่าเมียรักจะชิ่งหนีไปหาผู้ชายอื่นอย่างว่องไว
“หนูมั่นใจว่ากวีไม่เป็นอะไรแน่นอนอยู่แล้วค่ะ อย่างมากก็คงแค่นอนหมดแรงจากการอยู่ในป่ามืดๆ หนึ่งคืนเต็มๆ” ญาดากล่าวกับชายชราอย่างมั่นใจมากกว่าการรอลุ้นหวยงวดต่อไปเป็นร้อยเท่า
พระสงฆ์รูปนั้นขมุบขมิบปากท่องบทสวดด้วยถ้อยคำที่ญาดาฟังแล้วไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว คงจะเป็นคาถาเปิดป่าของผู้มีอาคมแก่กล้า เพราะชายชราบอกว่าท่านเคยเป็นพรานป่ามาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น สืบทอดเจตนารมณ์ของพรานพ่อที่จากโลกนี้ไปนานแล้ว
สิ้นคำสวดมนต์หรือจะเป็นอาถาอาคมที่ได้กล่าวกับผืนป่าเบื้องหน้า เมฆดำทะมึนที่ก่อตัวเมื่อครู่กลับค่อยๆ สลายหายไปทีละนิดๆ จนเหลือแค่แสงแดดเจิดจ้าจากดวงตะวันร้อนแรง เหมือนฟ้าหลังฝนที่แจ่มใสหลังเกิดพายุโหมกระหน่ำ
พระคุณเจ้าเดินนำหน้าเหล่าชายฉกรรจ์เข้าไปตามทางที่แผ้วถางรอไว้แล้ว ญาดากับชายชราชะเง้อมองตามหลังไปอยู่ข้างทางเข้าป่า เพื่อรอเวลาที่พวกเขาจะนำตัวกวีออกมาจากป่า ในสภาพที่ทุกคนก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาจะมีอาการอย่างไร หรือเหลือแต่ซากศพที่ไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว
ครู่ต่อมา พระสงฆ์ก็เดินนำหน้ากลับออกมา ร่างของกวีถูกหิ้วปีกออกมาในสภาพที่อ่อนระโหยโรยแรง เหมือนนักเที่ยวกลางคืนสยบกับให้ฤทธิ์สุราในค่ำคืนสุดหรรษา
“กวีคะ ดาอยู่ทางนี้ค่ะ คิดแล้วว่าคุณต้องรอด ถือว่าฟาดเคราะห์ไปก็แล้วกัน” ญาดารีบวิ่งโผเข้ากอดร่างสามีในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก็อตสีแดง กางเกงยีนส์สีน้ำตาลและรองเท้าผ้าใบสีดำ
“ใจเย็นๆ แม่หนู รีบพาเขากลับไปที่บ้านเถอะ หาข้าวหาน้ำให้กินแล้วค่อยไถ่ถามเรื่องราว” ชายชราปรามหญิงสาว ก่อนที่จะเดินสำรวจร่างกายของเขาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
(จบตอนที่ 2)