เด็กเเฝดดวงตาสีเทาผมสีดำนั้นเป็นการเตือนถึงสิ่งชั่วร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น สองเเฝดเกิดมาก็มีดวงชะตาที่ยากลำบากถูกขายให้เป็นทาสเเต่ทว่าโชคยังเข้าข้างสองเเฝดจนได้เป็นลูกบุญธรรมของตระกูลดยุก
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,ตะวันตก,แอคชั่น,เเก้เเค้น,เลือด,ราชวงศ์,ละอองหมึก,ขุนนาง,ปีศาจ,เเฝด,พีเรียดตะวันตก,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
“จะว่าไปการค้าอัญมณีกับตระกูลออทิสลี่เป็นอย่างไรบ้างเพคะ ถ้าต้องการความช่วยเหลือจากตระกูล ดยุกบอกหม่อมฉันได้เลยนะเพคะ”
ไอริสแฝดพี่ถามด้วยความฉงนสงสัยจักรพรรดินียิ้มตอบ
“การค้านั้นถือว่าเป็นไปได้ด้วยดีทางเราไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลดยุกค่ะ”
คำพูดของทั้งสองสื่อความหมายโดยนัยอย่างชัดเจน แต่ถึงทั้งสอง ห้ำหั่นด้วยฝีปากและคำพูดแต่ทว่าพวกเธอนั้นกลับทำใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บรรยากาศในโต๊ะน้ำชาตอนนี้นั้น แม้ว่าภายนอกนั้นดูสดใสแต่ภายในกลับดูอึมครึม โรสแฝดผู้น้องเห็นดังนั้นจึงรีบตัดบททั้งสองคนโดยทันที
“จะว่าไปองค์หญิงทรงสง่าเเละงดงามมากเลยนะเพคะ”
“แน่นอนอยู่แล้วสิคะ! เลโอเนียร์น่ะต้องสง่าอยู่แล้วเพราะว่าจะได้เป็นจักรพรรดินีปกครองจักรวรรดิต่อจากจักรพรรดิเลยนะคะ แล้วหวังว่าภายภาคหน้าตระกูลในยุคโอเรียนจะสนับสนุนลูกของฉันด้วยนะคะ”
จักรพรรดินีตัดบทโรสเธอยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ พันหัวเราะเล็กน้อยด้วยความหยิ่งผยอง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วงานเลี้ยงน้ำชาที่ดูหรานั้นได้จบลง นั่นก็หมายถึงการสิ้นสุดในการปะทะฝีปากของจักรพรรดินีและไอริสแฝดพี่เช่นกัน ทั้งสองยิ้มด้วยความสดใสแต่ตัดภาพไปใบหน้าขององค์หญิงและโรสเเฝดน้อง กับสีหน้าที่ฝืนยิ้มและดูเหน็ดเหนื่อย
“นี่ก็ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องขอตัวก่อนเพคะจักรพรรดินีเเละองค์หญิง”
ทั้งสองแฝดโค้งเล็กน้อยก่อนเดินออกจากเรือนกระจกนั้น สองแฝดก้าวเดินไปยังหน้าพระราชวังที่มีรถม้าของตระกูลในดยุกนั้นจอดรออยู่ พวกเธอทั้งสองค่อยๆ ก้าวขึ้นรถมาอย่างระมัดระวัง เมื่อคืนไปยังรถม้าแฝนผู้น้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเหน็ดเหนื่อย
“งานเลี้ยงน้ำชาไปปะทะฝีปากกับจักรพรรดินีแบบนั้นได้ไง รู้ไหมน้องเเละองค์หญิงทำสีหน้ายังไง”
“ขอโทษทีแต่พี่สงสัยนี่นา”
ไอริสผู้พี่ทำหน้ารู้สึกผิดพลอยขอโทษหรอกเรื่องความจริงใจ โรสทำหน้าคุ้นคิดเล็กน้อยและถามหนูด้วยความสงสัย
“พี่คิดเห็นว่ายังไงเรื่องที่จักรพรรดินีจะ..”
สีหน้าไอริสผู้พี่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นสีหน้าที่ดูจริงจัง
“กบฏ.. เรื่องนี้พี่ยังไม่เชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังไงซะแล้วก็ต้องสืบกันเอง โรสฟังพี่ไว้นะพวกเราไม่ยอมเป็นหมากให้ใครแน่นอน”
ไอริสพี่สาวพูดจบพลันกุมมือน้องสาวไว้แน่น โรสพยักหน้าตอบรับโดยทันที แต่ทว่าความสงบกับต้องกลายเป็นความรู้สึกที่อึดอัด
ดยุกลูอันก้าวเท้าเข้ามายังรถม้า แฝดผู้น้องที่นั่งตรงข้ามผู้พี่รีบลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ ผู้เป็นพี่สาวโดยทันที สองแฝดทำหน้ามุ่ยพร้อมกันหันหน้าไปคนละทิศคนละทาง
“ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะโกหกเธอ..แต่—”
ก่อนดยุกจะพูดจบ ไอริสก็รีบพูดแทรกขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ
“ไม่ได้ตั้งใจ?! แต่เหมือนพวกเราเป็นหมากของจักรพรรดิเลยนะคะคุณพ่อเลี้ยง”
“ไอริสฟังพ่อก่อนได้ไหม”
ไอริสจ้องมองดูดยุกลูอันด้วยสายตาที่จริงจังและเย็นชาถ้ารีบตอบกลับคำพูดของนายอยู่อย่างรวดเร็ว
“พ่อเลี้ยง”
“ก็ได้..คือว่าฉันขอโทษไอริส โรส ฉันไม่ได้ตั้งใจและสิ่งที่เกิดขึ้นฉันควบคุมไม่ได้จริงๆ การลอบสังหารที่เกิดขึ้นและการลักพาตัวนั้นเหมือนมีใครบางคนนอกจากฉันและจักรพรรดิเกี่ยวข้องด้วยจึงอาจทำให้เธอบาดเจ็บตอนนั้น...”
คำพูดของดยุกทำให้ทั้งสองสายตาเบิกกว้าง พวกเธอนั้นหันมาสนใจโดยทันที
“คุณหมายความว่ายังไง ฉันคิดว่าที่บาดเจ็บตอนนั้นเป็นเพราะว่าคุณต้องการซะอีก ไหนจะเลือกกดพลังด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ตอนไปตั้งชื่อที่วิหาร”
โรสแฝดพวกเราพูดได้ทั้งเสียงที่ตัวห่างเหินและเย็นชา
แต่ยกก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด เขาทำหน้าตาที่เศร้าสร้อย เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาและสั่นเครือ
“เรื่องในวิหารศักดิ์สิทธิ์ฉันไม่รู้จริงๆ ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นฝีมือของจักรพรรดิแต่ทว่าฉันมารู้ภายหลังว่าไม่ใช่ก็เลยรู้สึกผิดแต่เธอทุกวันนี้..”
ท่าทีละคำพูดของใช้วัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามทำให้สองแฝดนั้นหันหน้ามองกันด้วยความลังเลใจ พวกเธอนั้นรู้สึกสงสารแต่ทว่าพวกเธอก็ไม่อยากจะใจอ่อนอีกครั้ง เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเธอเจ็บปวดมามาก
“ฉันจะรับคำขอโทษของคุณ ดยุก แต่มีเรื่องหนึ่งที่ควรควรจะจำไว้ก็คือพวกเราสองพี่น้องไว้ใจคุณแล้วแต่คนนั้นพังมันด้วยมือของคุณเองพ่อเลี้ยง”
คำพูดของไอริสแฝดผู้พี่การทำให้รู้สึกเหมือนมีดทิ่มแทงกลางหัวใจของดยุก ดยุกพยักหน้าตอบรับในใจของเขารู้สึกผิดก็จริงแต่ถ้าว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสองแฝดได้พังทลายลงด้วยน้ำมือของตัวเอง
เวลาผ่านไปสักพักรถม้าก็ได้หยุดลงที่หน้าคฤหาสน์ของตระกูลโอเรียน สองแฝดก้าวลงจากรถมาด้วยท่าทีที่ไม่สบอารมณ์
เมื่อปลายเท้าสัมผัสกับพื้นดิน สองแฝดรีบเดินอย่างไม่รีรอใครเข้าไปในคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว สองเท้าจ้ำอ้าวตรงไปที่ห้องของตนอย่างรวดเร็ว
ปัง!! เสียงปิดประตูบานใหญ่ดังขึ้น
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูจากแอนที่วิ่งตามทั้งสองแฝดมา เธอรีบถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนูทั้งสองเป็นอะไรไปคะ”
แฝดผู้พี่ตอบแอนระดับเสียงที่แข็งกระด้าง
“ไม่มีอะไร จากนี้พวกเราอยากอยู่แค่สองคนเธอไม่ต้องเข้ามา รวมถึงเหล่าสาวใช้ด้วยไม่ต้องเข้ามา”
สิ้นสุดคำสั่งของไอริสในห้องเต็มไปด้วยความเงียบสงัด สองพี่น้องฝาแฝดมองหน้ากันและสีหน้าที่เศร้าหมอง
“พี่...”
เสียงผู้เป็นน้องเลี้ยงผู้เป็นพี่สาว ให้เขามาใกล้ๆ เธอ แฝดผู้พี่ค่อยๆ เดินมาเข้าใกล้แฝดผู้น้องที่สวมกอดผู้เป็นพี่สาวอย่างรวดเร็ว
ฮือๆ เสียงร้องไห้สะอื้นดังขึ้นในห้อง บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและผิดหวัง
“น้องคิดว่าดยุกนั้นน่าไว้ใจ ตอนนั้นพวกเรายอมรับในเขาแล้ว แต่ตอนนี้กับต้องผิดหวัง”
คำพูดของโรสแฝดผู้น้องทำให้ผู้เป็นพี่สาวเจ็บปวดอยู่ภายในใจ เธอไม่พูดอะไรออกมาพลันกอดน้องสาวแน่น
ทั้งสองเผลอหลับไป จนเช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดสีทองสาดส่องลงมาที่หน้าต่างให้ความอบอุ่นในยามฤดูหนาว แอนสาวใช้ที่ค่อยๆ แง้มประตูเข้ามาด้วยความเบามือ สายตาเธอจ้องมองมาที่สองเเฝดได้ไหมหน้าที่ทุกข์ระทม ในใจมีแต่ความสงสารทั้งสองแฝดที่ต้องเจอเรื่องอะไรต่อมิอะไร
ในขณะที่เธอกำลังจ้องมองส่องแสงด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อยอย่างเหม่อลอยนั้น เเฝดผู้น้องก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา
“แอน? พี่ฉันบอกแล้วนี่ไม่ให้ใครเข้ามา”
“ขอโทษค่ะคุณหนูดิฉันแค่เอาอาหารเช้ามาให้ เพราะรู้ว่าคุณหนูจะไม่ลงไปทานที่ห้องอาหารเพราะไม่อยากเจอหน้าท่านดยุก”
“ขอบใจมาก ออกไปได้แล้วเราอยากอยู่กันแค่สองคนและก็ห้ามให้ใครเข้ามาด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเเฝดน้อง สีหน้าของแอนบ่งบอกถึงความไม่สบายใจแต่ทว่าเธอก็ต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ค่ะคุณหนู”
เเฝดผู้น้องพยักหน้าตอบรับ เธอนั้นค่อยๆ เขย่าไอริสผู้เป็นพี่สาว เพื่อปลุกให้ตื่น
“พี่เช้าแล้ว”
ไอริสผู้เป็นพี่สาวตื่นขึ้นมาสายตาจ้องมองไปที่น้องสาวของตน เธอถามด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย
“โรสน้องไม่เป็นไรใช่ไหม ดีขึ้นแล้วหรอ”
แฝดผู้น้องพยักหน้า เธอยิ้มและตอบผู้เป็นพี่สาวด้วยท่าทีที่สดใส
“น้องไม่เป็นไร”
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก เสียงชายวัยกลางคนที่ดูคุ้นเคยดังขึ้นด้านหลังประตูบานใหญ่
“คุณหนูทั้งสองครับ ท่านใดอยู่ให้มาตามไปทานข้าวครับ”
ชายวัยกลางคนนั้นพูดอยู่ข้างหลังของประตูเสียงนั้นคือเสียงนั้นคือผู้ช่วยของดยุก
“ไม่ไป”
เเฝดผู้พี่ตอบกลับด้วยความเย็นชา แต่ทว่าชายผู้นั้นก็ไม่หยุดที่จะพูดต่อ
“แต่ว่าเหมือนท่านดยุกจะบอกว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับการลอบสังหารว่ามีใครมาเกี่ยวข้องนะครับ”..