ชาย-ชาย,ครอบครัว,ไทย,รัก,ตลก,ตลก,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
"ม๊าหิวแล้ว" ผมบ่นทันทีที่ตีนแตะพื้นและก้าวลงจากบันไดบ้าน บ้านของผมเป็นตึกแถวเก่า ๆ สองชั้น ชั้นบนไว้พักอยู่อาศัย และชั้นช่างก็เป็นห้องแถวเก่า ๆ โทรม ๆ ที่ม๊าใช้ทำมาหากิน แบบห้องแถวทั่วไปที่สร้างมาก่อนที่ผมจะเกิด ซึ่งม๊าไม่ยอมคิดจะทาสีให้มันดูใหม่เอี่ยมสักที
"หิวก็ไปตักโจ๊กแดกสิ" ม๊าพูดอย่างอ่อนหวาน และทำหน้ายุ่ง แต่ถึงอย่างนั้นม๊าก็จะตักโจ๊กใส่ชามใบโต ใส่ไข่ให้หนึ่งฟอง และเครื่องเคราอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมูเด้ง ตับหมู และกระเพาะหมู โรยขิงซอย และต้นหอมซอยเสร็จสรรพ จบท้ายด้วยพริกไทยจำนวนเล็กน้อย ซึ่งจะกินให้อร่อยมันก็ต้องใส่พริกไทยเยอะ ๆ สิ
"โอ๊ยม๊า ใส่ขิงอีกแล้ว ก็รู้อยู่ว่าไม่ชอบกินขิงอ่ะ" ผมบ่นและทำหน้างอ พร้อมกับยื่นแขนสั้น ๆ ไปหยิบขวดซีอิ๊วขาวกลิ่นหอมฉุยเหยาะไม่ยั้งชนิดไม่กลัวไตวาย และแอบตักกระเพาะหมูที่ต้มอย่างดีและหั่นเป็นชิ้นยาว ๆ ใส่เพิ่มในชามโจ๊กของผมเพิ่มอีกสักหน่อย ส่วนม๊าก็ทำตาเขียวบ่นงุบงิบที่เอาของขายไปกินเล่น
"กูลืม แล้วอย่าตักกระเพาะเยอะ แดกข้าวเยอะ ๆ สิไอ้เปรตนี่" ม๊าว่าแล้วก็เอามือตีเผียะไปที่ต้นแขนของผมเสียแรง ม๊าล่ะขี้งกนัก ขอนิดขอหน่อยก็ไม่ได้ ผมค้อนให้ม๊างาม ๆ หนึ่งวง แล้วก็เดินถือชามโจ๊กไปนั่งกินตรงมุมประจำซึ่งมันมีตู้ใส่ของตั้งไว้เพื่อบังตัวผมจากสายตาของคนข้างนอก ปกติเราก็จะใช้ตรงนี้กินข้าวเย็นด้วยกัน ไอ้ตู้ที่ว่าจริง ๆ เมื่อก่อนมันก็ใช้ใส่พวกของชำขายนั่นแหละ แต่เดี๋ยวนี้เอาดี ๆ ใครจะมาซื้อของที่ร้านขายของชำกันเล่า เขาก็ไปเข้าร้านสะดวกซื้อกันหมด เพราะแอร์ก็เย็น แถมมีโปรโมชั่นต่าง ๆ อีก ผมจะซื้อของยังเข้าร้านสะดวกซื้อที่ว่าเลย แต่ถึงอย่างนั้นไอ้ของชำในร้านของม๊าก็ยังมีลูกค้ามาซื้อหาอยู่เหมือนกัน แม้จะน้อยหน่อยก็เถอะ
ร้านของม๊าแต่ก่อนก็เป็นร้านขายของชำธรรมดา ๆ นี่ล่ะ ถ้าเทียบกับร้านสะดวกซื้อ ร้านของม๊าก็คือร้านไม่สะดวกซื้อ กล่าวคือ ซื้ออะไรแต่ละที มันยากเย็นเพราะของที่สุมไว้มากมายหายากหาเย็นเหลือเกิน เวลาลูกค้าจะซื้อของ ถ้าเป็นมือเก่า เจ้าประจำที่ซื้อหากันจนรู้ใจแม่ค้า ก็จะเดินไปบอกสิ่งที่ตนเองต้องการ แล้วม๊าก็จะเดินหน้ายุ่ง ๆ ไปหยิบของที่ว่าให้ตามประสงค์ สมัยผมเด็ก ๆ ร้านชำของม๊าก็เหมือนซูเปอร์มาร์เก็ตดี ๆ นี่แหละ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว
ร้านของม๊าอยู่ตรงข้ามตลาดอ่อนนุช ซึ่งจะว่าเก่ามันก็เก่าจะว่าใหม่มันก็เป็นถิ่นใหม่เพราะชะโงกหน้าออกไปก็เจอกับรางรถไฟฟ้า ขนาดฝั่งตรงข้ามมีห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ มาตั้งประจันหน้า ตลาดอ่อนนุชก็ยังขายดิบขายดี ไม่ได้กลัวห้างอะไรพวกนี้แม้แต่น้อย
ไอ้ครั้นจะขายของชำอย่างเดียวม๊าผู้ซึ่งเล็งการไกลก็เห็นว่าม๊าและลูกรักก็คงอดตาย ช่วงเช้า ๆ ม๊าก็เลยขายโจ๊กมันซะเลย ตื่นตั้งแต่เช้ามืดมาเคี่ยวข้าวจนเปื่อยนุ่ม ทำไปแกก็เปิดเพลงฟังไป ล่อเพลงของนักร้อยยุคแปดศูนย์เก้าศูนย์ ก็พวกตู่นันทิดา แหวนฐิติมา (ซึ่งตอนนี้ลาขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ผมชอบเพลงเจ็บกระดองใจเพราะจังหวะมันสนุกดี) ศรัณยา (ซึ่งเสียงหวานใส ต่อมาภายหลังมาร้องเพลงเก่า ๆ อย่างพวกสุนทราภรณ์ ถูกใจม๊ายิ่งขึ้นไปอีก) คริสติน่า อากีล่า (กับเพลงนินจาที่ถ้าม๊าฟังจะโยกสะโพกเล้กน้อยไปด้วย แล้วก็ชอบร้องท่อนฮุกเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่) และดูเหมือนจะมีนักร้องอีกสี่ห้ารายถ้าอารมณ์ดี ม๊าก็จะร้องเพลงด้วยยิ่งเป็นในวันที่หวยออก ม๊าก็จะเสียงใสเป็นพิเศษ แต่วันถัดมาเสียงร้องเพลงของม๊าก็จะเงียบไปเพราะโดนหวยแดก อันเป็นเรื่องปกติของคนไทยทั่วไป ม๊าก็ไม่เว้นเช่นกัน
ของชำที่เคยขาย แต่ก่อนผมจำได้ว่ามันมีมากมายเต็มสุมไปทั้งร้าน แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังพอจะมีขายนิด ๆ หน่อย ๆ พอไม่ให้เก้อ เพราะมีตู้ที่วางของ หลัก ๆ ตอนนี้ก็จะเป็นพวกขนมแห้ง ๆ และเครื่องปรุงรสที่ม๊าไม่รู้ไปเอามาจากไหนมาขาย เพราะมันไม่ได้มีวางขายทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านสะดวกซื้อแน่ ๆ อย่างพวกเต้าหู้ยี้สารพัดสารพันแบบ ถั่วสารพัดสีแห้ง ๆ ตั้งแต่ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง ซึ่งขายเป็นกิโล ๆ แต่ถ้าขี้เกียจรอม๊าก็ตักใส่ถุงไว้มีทั้งแบบครึ่งโล โลนึง ให้เลือกกันไป แต่จะตรงตามน้ำหนักหรือเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจ ถ้าขาดเหลือก็คงจะไม่กี่มากน้อย ถัดมาก็พวกเครื่องปรุงรส น้ำปลา ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำยี่ห้อแปลก ๆ แต่รสอร่อยล้ำ และผมก็ชอบกินนัก อย่างบ๊ะจ่างเจ้าอร่อยที่อาม่าคนหนึ่งจะหอบใส่ตะกร้าสานเอามาขายในทุก ๆ เช้าวันเสาร์ และอาทิตย์ ม๊าก็จะซื้อไว้ทีละสองลูก ให้ผมกินเสียลูกครึ่ง และม๊าก็จะกินแค่ครึ่งเดียวตรงไส้ ส่วนตรงข้าวเหนียวก็ให้ผมกิน ซึ่งถ้าเหยาะซีอิ๊วหวานล่ะก็มันก็อร่อยจนผมกินได้หมดนั่นแหละ เพราะม๊าสอนให้ผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย...แต่ห้ามมักง่ายนะ ไม่อย่างนั้นม๊าด่าจนปวดหู หรือไม่ก็ตบกบาลเอาเลยถ้าไม่ทันใจ
"เหยาะซีอิ๊วหวานสิไอ้ตี๋ จะได้อร่อย ๆ" ม๊าเคยสอน และผมก็ติดจะกินแบบนี้ ซีอิ๊วหวานกลิ่นหอมแปลก ๆ รสหวานปะแล่ม ๆ แต่มันยิ่งทำให้บ๊ะจ่างเจ้าเก่าแก่อร่อยขึ้นอีกตั้งเท่าตัว แต่พอตอนนี้อาม่าที่เคยหอบบ๊ะจ่างมาขายก็ได้เลิกขายไปแล้ว ผมไม่เห็นแกมาหลายปี ท่าทางจะหนีไปขายที่สวรรค์ให้เง็กเซียนฮ่องเต้ได้กิน แต่พูดกันตรง ๆ ว่าไม่เคยกินบ๊ะจ่างที่ไหนอร่อยเท่าของอาม่าคนนั้นเลย แม้ว่ามันจะดูเหมือนบ๊ะจ่างทั่ว ๆ ไปนี่แหละ ไม่ได้วิเศษวิโสหรือดูสะอาดสะอ้านกว่าของคนอื่น และถึงจะซื้อกินของเจ้าอื่น ๆ ก็ทำให้นึกบ๊ะจ่างของอาม่าคนนั้นเสียทุกที
โจ๊กของม๊าแสนอร่อย และน่าแปลกที่ผมก็สามารถแดกมันได้ทุกวัน ๆ ไม่เคยจะรู้สึกเบื่อเลยสักนิด เรียกว่าตั้งแต่ม๊าทำโจ๊กขาย ผมก็มีไอ้โจ๊กพวกนี้เป็นอาหารเช้ามานับตั้งแต่นั้น อาจเพราะผมเป็นคนกินง่ายไม่เรื่องมาก เพราะม๊าสอนมาแบบนี้ก็ได้ หรือเพราะขี้เกียจเดิน แม้ว่าตลาดอ่อนนุชตรงข้ามบ้าน จะมีอาหารขายตั้งแต่เช้าก็เถอะ
"มีอะไรก็แดก ๆ ไป บ้านมึงรวยนักหรือไงไอ้ตี๋ ไอ้ชิบหาย" ม๊าจะด่าถ้าผมเรื่องมาก ร้องอยากแดกนั่นโน่นนี่ ซึ่งมันก็มีบ้างตอนเด็ก ๆ แต่มันก็เป็นอะไรทั่ว ๆ ไปที่เด็ก ๆ อยากกินนั่นแหละ ไม่ได้อยากจะกินหนวดเต่าเขากระต่ายเสียที่ไหน แต่ถึงม๊าจะด่าไปอย่างนั้น ไม่เกินวันไม่เกินอาทิตย์ ไอ้ของกินที่ผมอยากแดกก็จะมีมาจนได้ แม้ว่าความอยากของผมจะหายไปแล้วก็ตาม
แต่ตอนนี้ผมโตจนทำงานได้แล้ว มีเงินเดือน ซึ่งส่วนหนึ่งก็จะต้องแบ่งให้ม๊า และไอ้ส่วนที่เหลือ ก็เอาไว้ซื้อของกินของใช้ ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะซื้ออะไรนักหรอก เพราะผมก็อาจจะติดโรคขี้งกเหมือนม๊านั่นแหละ ก็โดนเลี้ยงมาอย่างนี้ จะมีนิสัยผิดไปก็เห็นทีจะโดนม๊าเอาขี้เถ้ายัดปากแน่ ๆ คงจะเข้าทำนอง ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
กินโจ๊กเสร็จก็ต้องเอาชามไปล้างเอง เพื่อจะได้ไม่ต้องรำคาญกับการถูกม๊าบ่น หรือด่าถ้าโดนหวยแดกม๊าก็จะพาลหงุดหงิดกับทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ถ้ารีบจริง ๆ เพราะเดี๋ยวจะไปทำงานไม่ทัน ผมก็จะรีบตะโกนบอกม๊าว่าวันนี้รีบ และม๊าก็จะบ่นสี่บ่นแปด แต่ผมก็รีบโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์คู่บุญ และรีบขี่มันออกไปให้ไวที่สุด บ่นได้ก็บ่นไป ผมออกมาจากบ้านแล้ว ปล่อยให้ม๊าบ่นให้ตี่จูเอี้ยฟังก็แล้วกัน
จริง ๆ ที่ทำงานของผมก็อยู่ไม่ไกลจากบ้าน แต่มันเข้าซอยลึกสักหน่อย บ้านของผมอยู่อ่อนนุช แต่ที่ทำงานของผมอยู่ซอยปรีดี ตรงพระโขนง ย่านของย่านาก ซึ่งม๊าขึ้นนัก โดยเฉพาะก่อนวันหวยออกล่ะก็ม๊ามักไปเยี่ยมย่านากทุกทีสงสัยจะเคยอุปถัมภ์ค้ำชูกัน ไอ้ซอยปรีดีนี่มันก็ยาวแสนยาว และมีซอยย่อยเยอะแยะ ตอนทำงานใหม่ ๆ ผมก็ต้องลากสังขารเดินข้ามคลองแล้วก็ไปยืนรอรถกะป๊อที่ปากซอยพระโขนง เพื่อจะนั่งมันต่อเข้าไปในซอย จังหวะนี้ต้องกะจังหวะให้ดี ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะเลยป้าย ทำให้วุ่นวายแก่การขึ้นลง แถมไอ้รถกะป๊อนี่อย่าได้ดูถูกว่ามันเป็นรถเล็ก ๆ เชียวนะ เกิดคนขึ้นเต็ม ๆ ก็ได้เป็นสิบคนทีเดียว ซึ่งก็ต้องลุ้นอีกว่าคนขับจะดีหรือเหี้ย
ถ้าขับดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอคนขับสันดานเหี้ย ก็ต้องนโมตัสสภควโต เกิดพ่อเจอคู่ปรับ ก็อยากจะสวมวิญญาณนักแข่งรถเสียอย่างนั้น หรือเกิดวันดีคืนดี เกิดเขม่นกับรถเมล์ซึ่งตีนผีพอ ๆ กัน แม่งก็ปาดหน้าปาดหลัง ไม่ได้ห่วงชีวิตผู้โดยสารตัวน้อย ๆ อย่างพวกกูเล๊ย
อดทนทำงานอยู่ปีกว่า ๆ ก็เลยเก็บเงินดาวน์มอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน ยิ่งตอนหน้าฝนด้วยล่ะคุณเอ๊ย เกิดไอ้คนขับรถกะป๊อมันปิดพลาสติกใสกันน้ำฝนไม่ทัน ไอ้พวกเราตาดำ ๆ ก็เปียกกันมะล่อกมะแล่ก แต่ถ้าปิดทันแล้วด้วยธรรมชาติของเมืองกรุง รถแม่งก็เสือกติด ทั้ง ๆ ที่ระยะทางไม่กี่กิโลเมตรนี่แหละ ในรถคันเล็กกระจิริดที่มีคนหายใจร่วมกันเกือบสิบคน ร้อนอบอ้าวจนน่าจะมีใครสักคนเป็นลม กว่ารถจะเคลื่อนที่ได้ แล้วถ้าเกิดฝนตกหนัก ๆ น้ำแม่งก็ท่วมอีก โอ๊ยอยากจะบ้าตาย
พอมีมอเตอร์ไซค์ ชีวิตของไอ้ตี๋สุดหล่ออย่างผมก็ดีขึ้น ไม่ต้องไปเบียดกับใครอีกแล้ว และลัดเลาะซอยเล็กซอยน้อยเพื่อจะได้ไปทำงานได้ตรงเวลา เพราะบริษัทสุดโหด ไอ้ฝ่ายบุคคลแม่งก็เหมือนจะนอนแม่งอยู่ที่บริษัท เพราะผมมาทีไรก็เห็นยายป้าหน้าดุ อารมณ์คล้าย ๆ ครูใหญ่โรงเรียนเทศบาล ไม่เคยยิ้มหัวกับใครทั้งนั้น และเคร่งครัดเรื่องกฎระเบียบและเวลาเป็นอย่างยิ่ง จริง ๆ มาทำงานสายนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอก แต่อย่าเสือกสายเกินสามครั้งก็แล้วกัน แม่หักเงินเดือนจริง ๆ ด้วยเอาสิ
ผมซึ่งก็เป็นพนักงานต๊อกต๋อย เมื่อตอกบัตรแล้วก็รีบเข้าห้องไปรอรับงาน แต่เดี๋ยวนี้ทันสมัยหน่อย ไม่ต้องตอกให้ยุ่งยาก ใช้สแกนบัตรเอา แต่เราก็ยังติดจะเรียกมันว่าตอกบัตร และต้นปีนี้ ก็ยิ่งไฮเทคขึ้นถึงขั้นเปลี่ยนเป็นสแกนนิ้วมือ เอากับแม่สิ แต่ถึงจะไฮเทคขึ้นก็อย่าได้หวังนะว่าเงินเดือนจะขึ้นตาม แม่งก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินแม่งอยู่อย่างนี้แหละ อาศัยบ้านไม่ต้องเช่าหรอกนะ ไม่อย่างนั้นกูลาออกไปนานแล้ว
งานของผมคือพนักงานส่งเอกสาร เพราะเหตุนี้ผมจึงยอมกัดฟันซื้อมอเตอร์ไซค์ส่วนตัว แรก ๆ ก็ใช้ของบริษัทนั่นแหละ แต่มันก็เก่าแสนเก่า แถมเสียงดัง ไม่รู้ซื้อมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่สองหรือเปล่า แล้วอีแก่นี่ก็เสียบ่อย พี่ ๆ ที่เป็นพนักงานขับรถให้นายก็เลยกระซิบว่าต้องมีของติดสินบนให้แม่ย่านาง
"บร๊ะ ต้องติดสินบนผีกันเชียวเหรอ?" ผมบ่นอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
"มึงอย่าประมาทไปไอ้ตี๋ อีแก่คันนี้น่ะมันปราบเซียนเลยนะมึง" พี่คนขับรถว่าและตบเข่าฉาด
"ต้องบนด้วยอะไรละพี่?" ผมถามไว้ก่อนกันเหนียว
"ก็อะไรง่าย ๆ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง นี่เป็นพื้นแต่ถ้างอแงจริง ๆ มึงต้องบนด้วยไข่ต้ม" แกว่าอย่างคนอยู่มานาน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทุกเช้าผมต้องซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งมาเซ่นแม่ย่านาง จริง ๆ ก็ซื้อมาแดกเองด้วยแหละเพราะโจ๊กของม๊าน่ะมันไม่ค่อยอยู่ท้องเท่าไร ถ้าไม่มีข้าวเหนียวหมูปิ้งสาย ๆ ก็หิวแล้ว แต่ถ้าจะถามว่าสาเหตุที่ออกมอเตอร์ไซค์ของตัวเองเพราะอะไร ผมก็ตอบได้เลยว่า ตัดสินใจซื้อตอนไข่ขึ้นราคา
อีกสาเหตุที่ผมยอมควักเงินหลายหมื่นซื้อมอเตอร์ไซค์ก็เพราะเห็นว่ามันใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินได้ด้วย งานของผมมันงานออฟฟิศ เข้างานแปดโมง เลิกงานก็สี่โมงห้าโมงโน่น อันนี้อยู่ที่ว่ารถติดหรือเปล่า และเมื่อเลิกงาน ผมก็จะสวมเสื้อวิน และรับจ๊อบพี่วินไปในตัวด้วยเลย ซึ่งผมชอบงานนี้นะมันอิสระดี แล้วก็ได้เงินไว แป๊บ ๆ ก็ได้แล้วสิบบาทยี่สิบบาท อย่าดูถูกกันเชียวขับรถแปป ๆ ก็ได้เงินหลักร้อยเสียแล้ว ยิ่งแถว ๆ อ่อนนุช เป็นย่านคนเยอะ วินมอเตอร์ไซค์อย่างผมไม่เคยเพียงพอเลยเถอะ ยิ่งปากซอยที่ผมมักจะไปวิ่งเป็นประจำ ตอนเลิกงาน คนก็รอเข้าซอยจนคิวยาวเหยียดเลยทีเดียว
ผมชอบนะที่จะขับเข้าซอยใกล้ ๆ ไม่ต้องไกลมาก เพราะมันคุ้นชินและอุ่นใจ แต่บางครั้งผู้โดยสารอยากจะไปไกล ๆ หน่อยอย่างอุดมสุข หรือไกลกว่านั้น ผมก็รู้สึกเหมือนได้ผจญภัย แต่ผมน่ะลูกม๊า ทำอะไรม๊าก็สอนว่าให้เตรียมตัวให้ดี และไอ้ที่เป็นข้อดีของผมก็คือ เงินทอน ซึ่งมีแม่งตั้งแต่แบงก์ร้อย แบงก์ยี่สิบ และเหรียญห้าเหรียญสิบ แต่ถ้าเจอคนหน้ามึนจริง ๆ ไอ้ประเภทนั่งรถเข้าซอยสิบบาทแล้วแม่งมีแบงก์พัน ผมก็ยินดีจะรับพร้อมเพย์ แต่แม่งต้องคอยดูดี ๆ นะ ไอ้พวกที่ว่าโอนแล้ว ๆ เนี่ย บางทีแม่งขึ้นชื่อผู้รับแต่แม่งไม่กดยืนยัน ไอ้พวกคนที่โกงเงินทีละสิบบาทยี่สิบบาทนี่ชาตินี้ไม่มีวันเจริญ
มื้อเที่ยงนั้นผมก็ซื้ออะไรแดกง่าย ๆ แถว ๆ ออฟฟิศหรือถ้าติดพักเที่ยงสถานที่ที่ผมเอาเอกสารไปส่งก็หาแดกมันแถว ๆ นั้นนั่นแหละ ส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นข้าวราดแกง หรือก๋วยเตี๋ยว ซึ่งผมก็มักจะมีเจ้าประจำ ชีวิตคนปากกัดตีนถีบอย่างเราก็ต้องหาแหล่งที่ได้กินอิ่ม และราคาถูกเป็นธรรมดา ไอ้ประเภทแดกสลัด แดกอะไรหรู ๆ หรา ๆ หรือเดาะไปนั่งแดกอาหารขยะในห้างนั่น ผมไม่เคยคิด แล้วก็ไม่เคยทำด้วย นานน๊านทีที่มีใครออกปากเลี้ยงนั่นแหละ ผมถึงจะยอมไป แต่ถ้าให้เลือก ผมไม่ไปดีกว่า เสียดายเวลาขับวิน
ราว ๆ สองทุ่มผมก็จะกลับมาถึงบ้าน ม๊าจะนั่งทำหน้าเซ็ง ๆ ดูละครน้ำเน่า สุดแต่ว่าเน่ามากเน่าน้อย ก็ทีวีไทยมันก็มีอะไรให้ดูอยู่แค่นี้ ม๊าจะรอผมกินข้าวเย็นด้วยกัน ซึ่งก็มักจะเป็นกับข้าวง่าย ๆ ผมน่ะกินข้าวสวย แต่ม๊ามักจะกินข้าวต้ม กินข้าวเสร็จ หรือบางทีผมผ่านไปแถว ๆ ร้านที่มีของอร่อย ๆ ก็ซื้อติดมือมากินกับม๊าบ้างในบางที ถ้าอากาศมันร้อนอบอ้าวนักผมก็ขออาบน้ำให้สบายตัวหน่อย แล้วก็ออกไปขับวินต่อจนดึก ผมชอบขับตอนดึก ๆ อีกเหมือนกันเพราะมันเย็นดีและไม่ต้องแย่งกับใครมาก แถมบรรดาผู้โดยสารที่รอก็ไม่กดดัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกพนักงานออฟฟิศนี่แหละ ซึ่งผมก็จำขึ้นใจได้หมดแล้วว่าไอ้คอนโดนชื่อแปลก ๆ ชื่อซ้ำ ๆ มันอยู่ตรงไหนบ้าง โดยอาจจะถามย้ำว่าซอยนั้นซอยนี้แน่หรือเปล่า เกิดไปผิด เพราะฟังไม่ค่อยชัด ก็จะโดนผู้โดยสารด่าเอาได้
อย่างครั้งหนึ่งที่ผมเช็ดจนตาย ผมกำลังใจลอย ลูกค้าบอกจะไปสุขุมวิท 97/1 แต่ไอ้หูของผมเสือกได้ยินแต่เลขซอย และหัวใจของผมก็ลอยไปถึง ซอยอ่อนนุช 37/1 ขับไปได้ครึ่งทาง ลูกค้าที่เป็นผู้หญิงวัยคุณน้า ก็ตีหลังผมเสียชอกช้ำ
ผมต้องขอโทษขอโพยเสียแทบแย่ และบอกแกว่าผมไม่เอาค่าโดยสารรอบนั้นก็แล้วกัน ก็พลาดท่าไปเสียแล้ว และผู้โดยสารก็มักจะหน้าเดิม ๆ ซึ่งแกก็ใจดี ไม่ได้ติดใจอะไร แถมยังแซวเสียด้วย เมื่อขึ้นซ้อนท้าย ก็ไม่วายจะว่าไปสุขุมวิทนะไม่ได้จะไปอ่อนนุช
ส่วนราคาค่าโดยสารน่ะ ตรงวินที่ผมสังกัด เจ้าของวินก็ทำป้ายไวนิลชัดเจน ที่ไหนราคาเท่าไร และเข้มงวดนักว่าห้ามเก็บเกินราคา ไม่ว่าจะฝนตกฟ้าร้อง ถ้ากลัวเปียกฝน แกก็ไล่ให้กลับบ้านไปนอนกินนม แน่ะ ประชดเสียด้วย
ราว ๆ ห้าทุ่มเที่ยงคืน ไม่มีใครจะโดยสารแล้ว และผมก็อาจจะเริ่มง่วง ทีนี้ก็กลับบ้านนอนกันล่ะ ม๊าปิดบ้านนอนไปตั้งแต่หลังกินข้าวโน่นล่ะ ผมเอามอเตอร์ไซค์ไปจอดหลังร้าน แล้วก็ค่อย ๆ ย่องไปอาบน้ำแล้วก็ก่อนจะเข้านอน ก็ขอดูสัตว์เลี้ยงให้สบายใจ คนเรามันก็ต้องมีอะไรให้คลายเครียดกันบ้าง
ผมเลี้ยงปลากัดใส่ขวดโหลอยู่สิบกว่าตัว เป็นปลากัดจีนสารพัดสี เพราะผมว่ามันสวยดี แถมอึด ไม่ต้องให้ออกซิเจน อะไรให้ยุ่งยาก ใส่พลูด่างเข้าเสียหน่อยให้สร้างบรรยากาศ และถ้าอยากเห็นมันสวยเต็มที่ก็ต้องเอากระดาษที่กั้นระหว่างขวดโหลให้มันเห็นหน้ากัน อีทีนี้แหละ มันก็จะพองหางแล้วก็พองครีบ กันเต็มที่ ดูจนพอใจผมก็จะเอากระดาษกั้นไว้ที่เดิม แล้วก็หยอดอาหารปลาแบบเม็ดลงไป ไม่ต้องหยอดเยอะ เดี๋ยวพอแดกไม่หมดน้ำเสียอีก และปลากัดมันก็เป็นปลาที่อดทน แต่ผมไม่เคยคิดหาเมียให้พวกมันหรอกนะ เพราะถ้ามันมีลูกก็ต้องไปหาลูกไร วุ่นวายไปอีก ให้มึงอยู่กันเป็นโสดไปอย่างนี้นี่แหละ ขนาดจะเลี้ยงลูกปลายังยุ่งขนาดนี้ แล้วไอ้ที่ร๊าบานอยากให้คนไทยมีลูกมาก ๆ เพราะกลัวว่าอนาคตจะเป็นสังคมผู้สูงอายุ มึงก็ช่วยควบคุมค่าน้ำค่าไฟ ค่าแก๊สให้มันถูกลงก่อน ขนาดผมเป็นโสด ยังขยาดเลย หาแฟนมาอยู่ด้วยแล้วเสือกมีลูกเต้ายั้วเยี๊ยะ ใครจะไปมีลูกให้มึงกันเล่าไม่ได้รวยแบบมึงนี่หว่า เห็นว่าเงินเดือนเป็นแสน ๆ ทำงานเดือนนึงไม่กี่วัน
แต่วันนี้แปลก ม๊าที่ปกติมักจะหลับไปแล้ว วันนี้ไม่รู้นึกโรแมนติกยังไง เปิดเพลงโปรดของคุณย่าสวลีเสียงดังเล็ดลอดออกมาจากในห้อง ผมล่ะฟังจนหลอน เพราะฟังมันทุกวัน ๆ ตั้งแต่เด็ก ก็เช้ามืดขึ้นมา ม๊าก็เปิดเพลงไปทำงานไป ผมเคยแกล้งแซวว่าทำไมม๊าไม่ฟังเพลงจีน หรือเพลงที่มันทันสมัยไปเลย แต่ม๊าก็จะด่ากลับว่าผมเสือกก็แค่นั้น เพลงสวลีอาจจะมีความหมายสำหรับม๊าล่ะมั้งผมคิดเดาเอาในใจ แต่ไม่กล้าถามเพราะถ้าถามอะไรมาก ๆ ม๊าชอบด่า และดูม๊าจะด่าได้เรื่อย ๆ ไม่เหนื่อยไม่พัก รู้อย่างนี้แล้วจะไปถามให้เสียรังวัดกันทำไม
อาบน้ำจนสบายตัว ทาแป้งเย็น ๆ เพราะอากาศข้างนอกก็ร้อนอบอ้าวเต็มที ไอ้เรื่องจะติดแอร์นั้นอย่าได้หวัง ม๊าไม่มีทางยอมติดแน่ ๆ เพราะเปลืองไฟ แต่หน้าร้อนสาหัส ม๊าก็จะยอมให้ผมเปิดพัดลมสองตัวได้ แต่ก็ไม่วายจะกำชับให้มันส่ายไปส่ายมา
"อย่าเสือกเปิดตรงใส่หน้าล่ะเดี๋ยวเป็นหวัด" ม๊าด่าอย่างอ่อนหวานอันเป็นสไตล์ ไม่มีเสียหรอกไอ้ที่จะพูดหวาน ๆ กับลูกชายสุดหล่อน่ะ
แต่ก่อนจะนอน เมื่อก่อน ก็ไม่เคยคิดจะบำรุงหน้าบำรุงตาอะไรให้มันยุ่งยาก แต่หนัก ๆ เข้าเริ่มมีกระ เริ่มมีขี้แมงวันขึ้นที่หน้าที่คอ ไอ้ผมก็ลูกคนจีน แม้ว่าจะโชคดีที่โดนแดดหนัก ๆ ผิวของผมก็ยังขาวซีดอยู่ แต่ทุกเช้าผมก็ต้องทาครีมกันแดด แถมตอนเที่ยงก็ต้องเติมอีกรอบ ส่วนตอนกลางคืนก็ขอทาครีมซอง ๆ ที่เขาว่ามันช่วยบำรุงผิวเติมน้ำในผิวให้ใสเด้ง จะจริงไม่จริง ก็ไม่รู้ แต่ทากันเหนียวไว้ก็ดี ผมมองหน้าตัวเองในกระจก ไอ้ตาตี่ ๆ นี่ผมล่ะเบื่อนักเพราะชอบมีคนล้อเสียจริง แถมมันยังเป็นตัวบอกชื่อของผมได้อย่างดีเสียด้วย
"เอาอะไรไอ้ตี๋" ตั้งแต่เด็ก ๆ ที่ถูกม๊าใช้ให้ไปซื้อของ ไม่ว่าร้านไหน ๆ แม่งก็ทักผมแบบนี้ ม๊าก็ไม่คิดจะตั้งชื่อเล่นให้ผมเพราะๆ อย่างบอล บอย เอิร์ธ อะไรอย่างนี้เลย ผมก็เลยเป็นไอ้ตี๋ของใคร ๆ ฟังแล้วก็อ่อนใจ แต่ผมก็ไม่ใช่คนจะมาคิดเล็กคิดน้อยอะไรขนาดนั้น ตี๋ก็ตี๋วะ ดีแค่ไหนที่ม๊าไม่ได้มีเชื้อจีนจากฮ่องกง แต่เชื้อสายของอาเหล่ากงเหล่าม่าน่ะมาจากซัวเถาโน่น เกิดม๊าอุตริตั้งชื่อให้ผมว่าเอ็ดดี้ หรือ โรเบิร์ต ผมว่าผมน่าจะอายชื่อตัวเองมากกว่านี้ คิดถึงอย่างนี้ก็คิดถึงเพลงของคุณลำไย น้องกิ๊บ เชอรี่น้องวาย มีตั้งมากมายไม่ยอมเรียกกัน...
มองนาฬิกาซึ่งมันก็บอกเวลาว่าเลยเที่ยงคืนมาหน่อยนึงละ ถ้าเป็นเวลานี้ นางซินคงต้องรีบหนีออกจากงานเลี้ยงของเจ้าชาย เพราะเสื้อผ้าก็จะกลับมาเป็นชุดผ้าขี้ริ้ว และรถม้าก็กลับมาเป็นฟักทอง พร้อมด้วยบรรดานกหนูเป็ดไก่ที่ถูกเนรมิตก็จะกลับคืนสู่ร่างเดิม
ส่วนร่างของผมตอนนี้ก็ทิ้งตัวลงบนเตียงเล็ก ๆ แสนสบาย ปิดไฟที่หัวนอนและควานหาน้องเน่า ที่เป็นตุ๊กตาหมาหน้าโง่ ๆ ที่ผมนอนกอดมันจนเปื่อยไปทั้งตัว ผมชอบเล่นตรงหูของมัน บีบ ๆ บี้ ๆ ไม่กี่ที ไอ้ตี๋ก็ขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ พร้อมกับเสียงกรน ......Z Z Zหวัง