บางคนว่าผมเป็นหนูตกถังข้าวสาร บางคนว่าผมโชคดี แต่ผมว่าเพราะวาสนาของเรามากกว่า

วาสนาของตาตี่I - 2 ไอ้ตี๋ลูกม๊า โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ครอบครัว,ไทย,รัก,ตลก,ตลก,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

วาสนาของตาตี่I

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ครอบครัว,ไทย,รัก,ตลก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ตลก,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

วาสนาของตาตี่I โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

บางคนว่าผมเป็นหนูตกถังข้าวสาร บางคนว่าผมโชคดี แต่ผมว่าเพราะวาสนาของเรามากกว่า

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

สารบัญ

วาสนาของตาตี่I-1 ร้านขายโจ๊กกับไอ้วินตาตี่,วาสนาของตาตี่I-2 ไอ้ตี๋ลูกม๊า,วาสนาของตาตี่I-3 ของขวัญวันเกิดกับอินฟลูมือใหม่,วาสนาของตาตี่I-4 ไอ้ตี๋กับสัปดาห์ที่แสนน่าเบื่อ,วาสนาของตาตี่I-5 วันหยุดของไอ้ตี๋มนุษย์เงินเดือน,วาสนาของตาตี่I-6 รัก โลภ โกรธ หลง,วาสนาของตาตี่I-7 ไอ้ตี๋เกลียด,วาสนาของตาตี่I-8 คุณตี๋ผู้ชนะ,วาสนาของตาตี่I-9 โบ๊ะบ๊ะ,วาสนาของตาตี่I-10 ความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มก่อตัว,วาสนาของตาตี่I-11 อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดวะไอ้ตี๋,วาสนาของตาตี่I-12 โอกาสของตี๋,วาสนาของตาตี่I-13 ไอ้ตี๋สงบศึก,วาสนาของตาตี่I-14 ตี๋กลัวผี,วาสนาของตาตี่I-15 ตี๋ไม่รู้ตัว,วาสนาของตาตี่I-16 วันเกิดปีนี้ตี๋ไม่เหงา,วาสนาของตาตี่I-17 เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว เพื่อนเหี้ย,วาสนาของตาตี่I-18 วันหยุดขอตี๋กับไอ้ตัววุ่นวาย,วาสนาของตาตี่I-19 ตี๋ร้องไห้,วาสนาของตาตี่I-20 ตี๋จะอยู่ดูแล,วาสนาของตาตี่I-21 เวลาของการจากลา,วาสนาของตาตี่I-22 วุ่นวายเหมือนตายวันแรก,วาสนาของตาตี่I-23 โจผู้ไม่สมบูรณ์แบบ,วาสนาของตาตี่I-24 ความสุข =รอยยิ้ม+เสียงหัวเราะ,วาสนาของตาตี่I-25 ไม่แคล้วกัน,วาสนาของตาตี่I-26 โจไม่กลัวผี,วาสนาของตาตี่I-27 ถ้าฟ้าเสียตัว...ฟ้าต้องได้เป็นแอร์,วาสนาของตาตี่I-28 เครื่องรางกันผี,วาสนาของตาตี่I-29 Work ไร้ Balance ,วาสนาของตาตี่I-30 คนสำคัญ,วาสนาของตาตี่I-ตอนพิเศษ วาสนาของตี๋,วาสนาของตาตี่I-ตอนพิเศษ วาสนาของโจ,วาสนาของตาตี่I-ตอนพิเศษ วาสนาของเรา

เนื้อหา

2 ไอ้ตี๋ลูกม๊า

โดย  Chavaroj



"ม๊าเดี๋ยวเลิกงานแล้วตี๋รีบมารับนะ" ผมบอกกับม๊าก่อนที่จะขับรถออกไป

"เออ..ขับรถดี ๆ นะลูก" ม๊าพูดอย่างอารมณ์ดี และผมก็รีบสตาร์ทรถและขับออกมาให้ไวที่สุด ก็เพราะผมคงขนลุกและคงจะตายไปเลยถ้าเกิดม๊าวิ่งมาจุ๊บเหม่งของผมเหมือนตอนผมยังเด็ก ๆ จริง ๆ ก็จำไม่ได้แล้วว่าม๊าเลิกจุ๊บหน้าผาก หรือหอมแก้มไอ้ตี๋ของม๊าตั้งแต่เมื่อไร อาจจะตั้งแต่ผมเริ่มรู้ความ แต่ถ้าเป็นด่าล่ะก็ อันนี้ฟังแล้วผมกลับสบายใจมากกว่า ไอ้ตี๋ไอ้เหี้ย ไอ้หน้าส้นตีน ไอ้สัตว์กะหมา ไอ้เก๊าเจ๊ง อะไรอย่างนี้ แต่มาพูดเพราะ ๆ แบบนะลู๊กกก เสียงหวาน ๆ อย่างนี้ ผมขนลุกอย่างกะเจอผี ยอมโดนม๊าด่าดีกว่า

จริง ๆ สาเหตุที่ม๊าพูดเพราะกับผมน่ะมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า หนึ่งวันนี้เป็นวันที่ 15 พรุ่งนี้หวยออก และม๊าก็ต้องรักษาอุโบสถศีล ข้อหนึ่งซึ่งสำคัญมาก ๆ ก็คือ ปิสุนาวาจาเวรมณีสิขาประทังสมาทิยามิ คือ ไม่พูดคำส่อเสียด หยาบคาย ไม่พูดเพ้อเจ้อ โปรยประโยชน์ ไม่พูดยุยงให้เขาแตกร้าวกัน อย่าถามว่ารู้ได้ยังไง รู้ได้ก็เพราะฟังธรรมะยังไงล่ะ เห็นอย่างนี้ไอ้ตี๋ก็เคยฟังธรรมะกับเขาเหมือนกันนะ

ซึ่งผมก็ไม่ใช่จะเป็นคนดิบคนดีอย่างที่คุณ ๆ กำลังคิดหรอก ไอ้ปิสุนาวาจานี่จริง ๆ ผมกับม๊าก็ทำการละเมิดกันเป็นประจำ เรียกว่าทำเป็นชีวิตประจำวันเลยแหละ แต่ที่รู้นี่ก็เพราะไอ้โทรศัพท์สมัยพระเจ้าเหา โนเกียรุ่นกระดูกหมา ที่ม๊ายังใช้ได้อยู่ ซึ่งแน่ล่ะ ยุคนี้เขาก็ไม่ค่อยจะมีใครโทรหากันแล้วเพราะกลัวพวกแก๊งค์คอลเซนเตอร์ และม๊าก็ไม่มีกิจจะโทรหาใครเลย ยิ่งกับผมม๊ายิ่งตัดหางปล่อยวัด เพราะถือว่าโต ๆ กันแล้ว

ไอ้กระดูกหมาที่ว่าจะถูกเสียบสายหูฟัง แล้วก็เปิดคลื่นวิทยุธรรมะของวัดปากบ่อ ซึ่งกระจายเสียงทั้งวันทั้งคืน มีธรรมะจากพระอาจารย์องค์ต่าง ๆ ผลัดกันมาบรรยายธรรมทั้งวันทั้งคืน บางทีก็มีนิยายธรรมะ อะไรบ้าง ซึ่งผมว่าม๊าก็ไม่ได้อินหรือตั้งใจจะฟังอะไรหรอก แกเปิดเล่นแก้เหงา และบางที อารมณ์ก็ไม่ได้ดีขนาดที่จะฟังเพลงไง แล้วลูกค้าก็เยอะ มาเปิดฟังเพลงดัง ๆ ม๊าซึ่งหูก็คงจะไม่ค่อยดี ก็เลยเปลี่ยนเป็นเปิดวิทยุคลื่นธรรมะ ฟังเสียงพระเทศน์หึ่ง ๆ ให้สบายใจดีกว่า อีกอย่าง จะได้หน้าได้ตาว่าเป็นอุบาสิกาที่ดี ทั้ง ๆ ที่ปากร้ายอย่างกับอะไร

อ้อ เกือบลืมจะเล่าว่าทำไมวันนี้ผมกับม๊ามีนัดกันตอนผมเลิกงาน และสาเหตุอันนี้ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ม๊าอารมณ์ดีก็ได้ นั่นก็เป็นเพราะว่าเย็นนี้ม๊ามีนัดสำคัญ ไม่ใช่กับแฟนใหม่ หรือใครหรอก แต่เป็นนัดกับอาแปะ พี่ชายของม๊า เพราะมีกันอยู่แค่สองคน พี่น้องเท่านั้น

อาแปะกับม๊าน่ะเกิดเดือนเดียวกันแต่ต่างกันสี่ห้าปี อาแปะก็เลยรักน้องสาวมากเป็นพิเศษ เรียกว่าเป็นน้องสาวที่สนิทกันมาก ๆ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยวัย ด้วยกิจธุระต่างคนต่างก็ไม่ค่อยจะได้มีเวลาได้พูดคุย ได้พบปะ กันมากนัก แต่คนที่มาเจอม๊าบ่อย ๆ กลับเป็นไอ้เฮียปาล์ม ลูกพี่ลูกน้องของผม ซึ่งมันมีหน้าที่มาซื้อของสด ไปทำของขายด้วย แล้วมันก็ต้องมาซื้อพวกเครื่องปรุงต่าง ๆ ที่ร้านของม๊า เรียกว่าเรือล่มในหนองทองจะไปไหน อุดหนุนกันเอง อีกอย่างถ้าเฮียปาล์มมันมาซื้อม๊าก็จะคิดกำไรแค่นิดหน่อย อีกทั้งพวกเครื่องปรุงลี้ลับพวกนี้ ดูเหมือนจะมีแค่ร้านของผมที่ยังขายอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าม๊าไปเอามาจากไหนมาขาย ใครถามเข้าก็บอกว่าเป็นความลับบริษัทบอกไม่ได้แต่ขายได้

และด้วยเป็นเดือนเกิดของสองพี่น้อง อาแปะก็เลยจะนัดวันว่าง ๆ ให้ม๊ากับผมไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านของแก นัยว่าเพื่อจะได้ฉลอง แล้วก็ ได้พูดคุยให้หายคิดถึงด้วย 

อาแปะของผมเปิดร้านข้าวต้มโต้รุ่ง ซึ่งอยู่แถว ๆ คลองตันโน่น ไม่ได้ไกลจากบ้านของเราสักเท่าไร และกับข้าวในร้านก็เอร็ดอร่อยอย่างชนิดที่เรียกว่า อร่อยจริง ๆ ดูเหมือนในสายเลือดของอาแปะกับม๊า จะมีดีเอ็นเอการทำอาหารให้อร่อยกันอยู่ในตัว ซึ่งไอ้ดีเอ็นเอนี้กลับไม่ถูกส่งมาถึงผมแฮะ และผมก็มักจะแวะไปเยี่ยมแกบ้างถ้าเกิดผมต้องไปส่งลูกค้าแถว ๆ นั้น 

จริง ๆ ผมก็เกรงใจ แต่ม๊าบอกว่าถ้าผ่านไปก็ต้องไปไหว้แก ซึ่งอาแปะก็มักจะให้ผมรอสักครู่แล้วก็ทำกับข้าวง่าย ๆ ใส่ถุงให้ผมเอามาฝากม๊า ส่วนใหญ่ก็จะเป็น หนำเลี๊ยบผัดกับหมูสับ ซึ่งอันนี้เป็นลาภปากมาถึงผมด้วย ผมก็เลยเต็มใจจะไปหาแกอย่างยิ่ง หรือบางที เฮียปาล์มมันของหมดกะทันหัน มันก็โทรมาหาให้ผมซื้อแล้วก็เอาไปส่งมันเหมือนกัน แต่ไม่บ่อยนักหรอกก็เพราะเฮียมันต้องมาซื้อของสดเกือบทุกวันอยู่แล้ว และถ้าไปส่งแล้ว เฮียปาล์มมันก็จะทำกับข้าวใส่ถุงให้ผมเอามากินกับม๊าเหมือนกัน เพราะเฮียมันใจดีแต่ปากหมาไปหน่อยไม่ว่ากัน

วันนี้เนื่องจากเป็นวันดี นอกจากม๊าจะอารมณ์ดี ผมก็พลอยอารมณ์ดีตามม๊าไปด้วย แถมวันนี้ไปส่งของก็ไม่ไกลจากออฟฟิศมากนัก รถก็ไม่ติด ข้าวแกงที่กินตอนเที่ยงก็รอคิวไม่นาน แถมมีของโปรดที่นาน ๆ จะทำสักที คือแกงเผ็ดเป็ดย่าง ไอ้ของอย่างนี้อย่าหวังว่าม๊าจะทำให้ผมแดก...เพราะม๊าทำไม่เป็นน่ะว่ากันไม่ได้ขืนบ่นอยากกินของดี ๆ แปลก ๆ ชนิดเกินปัญญาม๊าด่าไฟแลบหาว่าหัวสูงไปโน่น

ผมกับเฮียปาล์มนั้นค่อนข้างสนิทกัน แต่ถ้าเป็นตอนเด็ก ๆ ผมสนิทกับเฮียปลื้มมากกว่า แต่ผมก็รักทั้งสองคนนั่นแหละ เพราะใจดีกับผมทั้งคู่ อ้อ เฮียปลื้มน่ะทำขนมขาย ถ้าผมแวะไปเยี่ยมก็มักจะให้ขนมอร่อย ๆ กับผมมากินทุกที แต่ให้ได้ไม่มากเพราะทำมาจำกัด แต่ผมก็ไม่ตัดพ้ออะไรหรอก แค่ให้ดีใจจะตายห่าอยู่แล้ว ก็ขนมเฮียปลื้มน่ะมันขนมชาววังชัด ๆ หากินก็ยาก แถมราคาก็แพงมาก ๆ ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังขายดิบขายดี เรียกว่าได้กินเป็นบุญปาก ซึ่งก็เสร็จผมหมดเพราะม๊าไม่ชอบกินขนมหวาน และถึงชอบก็กินไม่ได้ เพราะเบาหวานแดกเสียแล้ว 

ที่จริงจะว่าสนิทกันเพราะผมสามคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกันนั้นก็อย่างหนึ่งแต่เพราะตอนเด็ก ๆ ผมเรียนที่โรงเรียนวัดมหาบุศย์ นี่แหละ เพราะมันใกล้บ้านดี แรก ๆ ม๊าไปส่งบ้างป๊าไปส่งบ้าง แต่พอเริ่มปีกกล้าขาแข็ง ผมก็เดินไปเอง แต่พอเข้าเรียนชั้นมัธยมต้นผมก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนวัดธาตุทอง ซึ่งอีตรงนี้แหละมันทำให้ผมกับพี่ชายสองคนกลับมาสนิทกัน เพราะเรามักจะนัดมาเจอกันอีตรงปากซอยพระโขนง แล้วก็เดินไปโรงเรียนด้วยกัน แถมตอนเลิกเรียนก็เดินกลับด้วยกันโดยผมก็จะมาส่งพี่ชายสองคนที่วินรถกะป๊อ แล้วผมก็เดินกลับบ้านต่อ 

จริง ๆ ทั้งสองคนก็สามารถนั่งรถเมล์สาย 133 กลับบ้านได้เลย เรียกว่าจากบ้านถึงหน้าโรงเรียนแต่เพราะคงสงสารน้องชายน่ารักอย่างผมก็เลยทำให้ทั้งสองคนยอมนั่งรถกะป๊อมาลงปากซอยเพื่อที่เราสามคนจะเดินไปโรงเรียนด้วยกัน ผมเป็นน้องเล็ก ก็เลยมีพี่ชายสองคนใจดีด้วยมากสักหน่อย ก็อบอุ่นใจดี ผิดกับญาติทางป๊าซึ่งผมไม่สนิทด้วยเลยสักคนเดียว

บ้านของป๊านั้นเปิดร้านขายส่ง โดยรับช่วงมาจากอากงอาม่า อยู่แถว ๆ ตลาดเอี่ยมสมบัติโน่น ก็ถนนเส้นอ่อนนุชเหมือนกัน ดูเหมือนอากงของผมคือป๊าของม๊าจะไปรับของจากร้านของป๊านี่ล่ะมาขาย และถ้าซื้อมาก ๆ ป๊าของป๊าก็จะให้ป๊าขี่รถเวสป้าเอาของมาส่ง ซึ่งก็คงจะเป็นอีจุดนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ป๊าเกิดมาติดเนื้อต้องใจอาหมวยหน้าหวานแห่งตลาดอ่อนนุช ผู้ใหญ่ก็เห็นดีเห็นงามกัน ม๊าซึ่งตอนนั้นก็จัดว่าเป็นสาวเนื้อหอมก็เลยตกเป็นอาซ้อของบ้านป๊าในที่สุด

"มึงเอ๊ยอย่างกะตกนรก" ม๊าพูดเมื่อถามถึงที่บ้านของป๊า

เหตุน่ะก็เพราะว่าการเป็นสะใภ้บ้านคนจีนแบบหัวเก่ามาก ๆ น่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย ม๊าที่จริง ๆ ก็เป็นลูกสาวคนจีนเป็นคนขยันอยู่แล้ว ยังต้องยอมยกธงยอมแพ้

เรื่องแรกก็คือเรื่องที่ดูธรรมดา ๆ อย่างเรื่องเสื้อผ้า ม๊าในฐานะสะใภ้คนโต ก็ต้องดูแลทุกสิ่งทุกอย่างในบ้าน นั่นก็รวมถึงงานบ้านด้วย เสื้อผ้านั้นต้องซักให้ได้ทุกวัน เสื้อผ้าแม่ผัวแล้วสองคน ของตัวเองกับผัวอีกสองคน แล้วก็ต้องของน้อง ๆ ป๊าทั้งอาเจ็กอาโกวอีกรวมแล้วห้าคน เสื้อผ้าเยอะขนาดนี้ก็เปลืองผงซักฟอก อาม่าก็บ่นว่าม๊าใช้ของเปลือง แต่ถ้าผงซักฟอกไม่ถึง เสื้อผ้าไม่สะอาด ม๊าก็ถูกด่าอีก 

แล้วก็เรื่องของกิน บ้านของอากงเป็นบ้านที่อยู่กันแบบกงสี นี่ขนาดมีคนงานผู้หญิงอีกหนึ่งคนซึ่งเป็นคนบ้านน๊อกบ้านนอก (อันนี้ม๊าว่ามานะ ไม่ได้บูลลี่คือแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่มาอยู่เพราะคนเขาแนะนำกันมา ทำอะไรก็ไม่ค่อยจะเป็นแต่ขยัน อากงก็เลยเลี้ยงจนพอจะใช้งานได้) คนงานผู้หญิงคนนี้ก็เรียกได้ว่าทำงานหนัก ต้องยกของหนัก ๆ เหมือนผู้ชายคนนึงเลยทีเดียวล่ะ ชื่อสมใจ (ฟังชื่อก็รู้ว่าเชยแค่ไหน) 

กลับมาที่เรื่องของกิน อาม่าจะให้เงินม๊าทุกวัน ด้วยงบที่แสนจำกัดจำเขี่ย แต่เงินเท่านี้ก็ต้องสามารถหาของมาทำกับข้าวเลี้ยงคนให้ได้ทั้งบ้านด้วยนะ ซึ่งม๊าก็บ่นว่าแสนจะปวดหัว และออกจะอายนิด ๆ เวลาไปตลาดแล้วได้แต่ซื้อพวกถั่วงอก กับเต้าหู้ เพราะมันราคาถูก หรือจะซื้อปลาก็ซื้อแบบที่ใกล้จะเน่าเต็มที จะซื้อปลาสด ๆ ตัวโต ๆ นั้นอย่าหวัง เพราะจะทำให้เกินงบ แต่ที่ร้ายที่สุด ก็คือ ม๊านั้นไม่ได้มีสิทธิกินข้าวพร้อมกับคนอื่น ๆ ต้องกินอาหารจากที่เหลือจากที่ทุกคนกิน และกินพร้อมกับยายสมใจ คนงาน 

แต่ด้วยค่านิยมที่คนสมัยก่อนมันก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ไม่ได้มีใครโชคดีกว่าใคร ม๊าก็อดทนเรื่อยมา คำน้อยก็ไม่เคยพูด และอาแปะก็มักจะแอบให้เงินม๊าอยู่บ่อย ๆ ซึ่งม๊าก็เล่าว่าแอบเอาเงินไปซื้อไข่ไก่ มากินกับยายสมใจแค่สองคน เสือกให้กูอดอยากนักก็แอบกินของดี ๆ ไปเลยเอากับม๊าสิ

อาแปะของผมที่จริง ๆ ควรจะรับสืบทอดกิจการ ทีแรกเมื่อมีเมียก็ขายของอยู่ที่ร้านของอากงของผมนี่แหละ แต่ด้วยความที่ได้สะใภ้คนไทย ก็ดูจะอาการหนักกว่าม๊าของผมเสียอีก ยามเมื่อม๊ากับป้าเมียของอาแปะได้เจอกันก็เลยค่อนข้างคุยกันอย่างเข้าอกเข้าใจดี ในฐานะสะใภ้คนจีนด้วยกัน 

เรื่องมันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนถึงฟางเส้นสุดท้ายก็คือ ม๊ากับป้าของผมมีลูก อาแปะสงสารเมีย ก็เลยขอแยกตัวกับอากงอาม่า ไปทำร้านขายข้าวต้มโต้รุ่งตรงแยกคลองตันอย่างที่ผมเคยเล่า แรก ๆ อากงก็ด่าเสียไม่มี แต่ม๊าก็คอยเป็นกำลังใจให้พี่ชาย จนถึงตอนคิวของม๊าเอง เมื่อม๊าท้อง จนคลอดลูกออกมาเป็นผม สมัยนั้นคลอดลูกธรรมชาติ นอนโรงพยาบาลคืนเดียว ก็ต้องกลับมาพักฟื้นที่บ้านเสียแล้ว และม๊าก็เล่าว่า กลับมาถึงบ้าน โดยมีผมตัวแดง ๆ อยู่ในอ้อมอก แต่ม๊าก็ยังจะโดนใช้ให้ไปซักผ้าทำกับข้าว เหมือนเป็นเรื่องปกติ 

ม๊าว่าอาม่าของผมคือแม่ของป๊า ก็บ่นว่าสมัยตัวเองสาว ๆ คลอดลูกออกมาตั้งหกคน ไม่มีโรงพยาบาลที่ไหนให้ไป คลอดมันอยู่ที่บ้านนี่แหละ คลอดเสร็จก็เลี้ยงลูกทำงานบ้านต่อ เหมือนการคลอดลูกคือเรื่องปกติเต็มที ม๊าก็อดทนจนผมเริ่มเข้าโรงเรียนอนุบาล ป๊านั้นมีรถเวสป้าคันนึงสีน้ำตาลโอวัลตินเก่า ๆ ซึ่งทุก ๆ เช้าป๊าก็จะขี่มันมาส่งผมที่โรงเรียน แล้วก็ซื้อขนมถูก ๆ หน้าโรงเรียนนั่นแหละให้ผมกินแล้วก็ให้เงินติดกระเป๋าไว้ห้าบาท ซึ่งผมก็จะไม่ซื้ออะไรกินหรอก เพราะมื้อเที่ยงก็มีของกินฟรีอยู่แล้ว ผมเลือกจะเก็บเงินห้าบาท แล้วก็เอาไปให้ม๊าในตอนเย็น เพราะสงสารที่ม๊าไม่มีเงิน

ป๊าน่ะจริง ๆ เป็นคนใจดีนะ ออกจะใจดีมากไปด้วยซ้ำ ยิ่งตอนนี้ข้อพิสูจน์ความใจดีของป๊าก็คือ ป๊าต้องอยู่เหมือนเป็นทาสให้แก่พ่อแม่และน้อง ๆ ของตัวเอง ม๊าฟิวส์ขาดในที่สุด และยื่นคำขาดที่จะกลับมาอยู่บ้านของตัวเอง ถ้าป๊ามาอยู่ด้วยก็แล้วกันไป แต่ถ้าป๊าไม่ยอม ก็ถือเป็นอันว่าขาดกัน และคนยุไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ผมนี่แหละ ผมเพราะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง และผมสงสารม๊าจับใจ เรียกว่าตั้งแต่จำความได้จนถึงตอนก่อนที่เราจะย้ายกลับมาอยู่บ้านอากงที่อ่อนนุช ผมแทบจะไม่เคยเห็นม๊ายิ้มหรือหัวเราะกับเขาสักที

"ม๊าเลิกกับป๊าเถอะ ไปอยู่ที่อื่น อยู่ที่นี่ม๊าก็เป็นคนใช้เขา" ผมในตอนนั้นปากหมายุให้คนเลิกกันได้ขนาดนั้น จนม๊าตกใจ 

"ไอ้ตี๋ทำไมมึงพูดแบบนี้?" ม๊าถามและทำหน้าตื่น

"ก็ม๊าจะทนทำไม อยู่นี่ก็เหมือนเป็นคนใช้เขาให้เขาโขกสับ" ผมพูดกับม๊าตรง ๆ และผมก็ไม่ชอบถ้าม๊าจะโดนอากงอาม่าและอาเจ็กอาโกวเอาเปรียบแบบซึ่ง ๆ หน้าทำงานหนักราวกับทาส

แรก ๆ ป๊าของม๊าก็ไม่เห็นด้วยแต่สุดท้ายก็ต้องยอม เพราะอาแปะไม่รับช่วงกิจการที่ร้าน และอากงก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ ขายของไม่ค่อยไหว มีม๊ากลับมาอยู่ที่ร้าน ก็ถือว่าได้แรงงานหลัก

"เออมาอยู่ก็ดีเหมือนกัน แต่ผัวลื้อไม่ว่าอะไรเรอะ?" 

"ไม่ว่าหรอก มันไม่เคยสนใจอะไรในตัวอั๊วะอยู่แล้ว" ม๊าพูดและนับตั้งแต่นั้นม๊าก็จะไม่ค่อยพูดถึงป๊าอีกราวกับตายจากกันไปแล้ว 

นาน ๆ หนผมจะถูกบังคับให้ไปหาป๊ากับอากง อาม่าซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นช่วงตรุษจีน 

"ไปเถอะไอ้ตี๋ เขาจะได้ว่าไม่ได้ว่าม๊าน่ะไม่สั่งสอนลูกให้กตัญญู" ม๊าบอกผมก็เลยจำใจต้องไป นั่งรถสองแถวจากปากซอยไปลงตลาดเอี่ยม ใส่เสื้อสีแดงแจ๋ หวีผมเรียบแปร้ ไปไหว้อากงอาม่า และป๊า ซึ่งทุกคนก็ดูจะดีใจที่หลานชายคนโตมาเยี่ยม ได้อั่งเปาที่ผมไม่เคยเปิดดู และรับอั่งเปาจากบรรดาอาเจ็กอาโกว ที่ให้อั่งเปามาก็พูดจากระทบกระเทียบแดกดัน ประมาณว่าถ้าไม่มาเอาตังค์ ก็คงจะไม่ได้เห็นหน้าหลานอย่างผม อะไรประมาณนี้ แถมตอนผมกลับก็ต้องหอบหิ้วพวกเป็ดไก่ที่เหลือจากการไหว้ กลับมาที่บ้าน เพราะพวกอาเจ็กคิดว่าบ้านของม๊านั้นฐานะยากจนกว่า เอาเป็ดไก่มาจะได้กินของดี ๆ บ้าง ซึ่งบอกตรง ๆ เอามาทีไร ม๊าโยนให้หมาแมวแดกทุกที

โดนประชดทุกปีจนขั้นชั้นมัธยมต้น ผมจึงบอกม๊าไปตรง ๆ ว่าปีนี้ผมไม่อยากไป ครั้นม๊าถามถึงสาเหตุ และผมก็เล่าไปว่าผมถูกด่าว่าที่มาไหว้ก็เพราะเห็นแก่เงิน

"ไม่ต้องไปแม่งหรอก เงินมันใหญ่นักก็เก็บไว้ให้โคตรเหง้ามันแดกกันเอง" ม๊าพูดอย่างพื้นเสียและผมก็ไม่ต้องไปไหว้โคตรเหงาฝั่งป๊าในวันตรุษจีนอีกเลย ค่อยสบายใจสักที

แต่ถึงอย่างนั้น บางครั้งผมขับรถไปส่งผู้โดยสารแถว ๆ นั้น เจอของอร่อย ๆ และผมได้เงินเยอะ ผมก็มักจะซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปฝากป๊า แล้วก็ฝากตัวเองกับม๊าด้วยซึ่งป๊าก็จะยิ้มอย่างดีใจ และทำท่าจะชวนผมคุยอะไรต่อนาน ๆ แต่ผมก็จะรีบขอตัวกลับ และเลี่ยงที่จะเจอน้องชายน้องสาวของป๊าเพราะแต่ละคนปากหมาได้โล่

ป๊าน่ะเป็นลูกคนโตอย่างที่ว่า มีภาระหน้าที่ที่จะต้องดูแลพ่อแม่ละน้อง ๆ แม้ว่าแต่ละคนจะโตจนทำงานมีเงินเดือนกันแล้วก็เถอะ ป๊าเรียนแค่พออ่านออกเขียนได้ ผิดกับน้อง ๆ ที่ได้เรียนกันสูง ๆ มีงานทำดี ๆ และป๊าก็เหมือนเป็นเบ๊ของบ้านจนถึงบัดนี้ อากงนั้นตายห่าไปหลายปีแล้วเหลือแต่อาม่าที่คอยจะบงการชีวิตใคร ๆ และป๊าของผมก็ยังถูกบงการต่อไป

ในเมื่อม๊าขอเลิกและแยกย้ายออกมาแล้ว อาม่าก็เลยให้ป๊ากับยายสมใจนั่นอยู่ด้วยกันเสียเลย ซวยของทั้งคู่แท้ ๆ แต่เพราะเป็นคำสั่งของอาม่าป๊าก็เลยจำใจ ส่วนยายสมใจอะไรนั่น ผมเห็นหน้าก็ได้แต่สงสาร เพราะหน้าตาขี้เหร่เหลือประมาณ โชคดีที่ทั้งสองคนไม่มีลูกเต้าให้ลำบากกาย และยายสมใจก็ต้องจำใจเป็นเมียทาสของบ้านป๊าผมโดยสมบูรณ์แบบ ยายสมใจยอมอยู่อย่างเมียทาสจริง ๆ คือต้องทำงานรับใช้ทุกคน คิดไปก็น่าสงสาร แต่ก็อาจจะมีข้อหนึ่งที่เต็มใจก็คือการได้เป็นเมียป๊า เพราะป๊าน่ะพูดกันตรง ๆ ค่อนข้างจะหล่อ ไม่สิ เรียกว่าหล่อจัด ๆ แบบที่เรียกว่าหนุ่มหน้าหยกเลยล่ะ ไม่อย่างนั้นม๊าจะเอามาทำผัวทำไม ขนาดแก่แล้วป๊าก็ยังดูดี ดูเผิน ๆ ป๊าก็หน้าคล้ายเดวิด เจียง ดาราเก่าที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นอากงไปแล้วแต่ก็ยังหล่ออยู่

แต่น่าแปลก ที่ม๊าก็ถือว่าเป็นคนหน้าตาใช้ได้ แต่ฟันเหยินเล็กน้อยตามลักษณะโหงวเฮ้งที่ดีของแม่ค้าคือต้องปากไว ส่วนป๊าก็หล่ออย่างกับดารา แต่ทำไมมีลูกด้วยกัน ถึงออกมาเป็นผม ที่ไม่หล่ออะไรเล๊ย โดยเฉพาะลูกกะตาของผมที่มันตี่ จนแทบจะปิดเป็นสระอิ จะดีนิดหน่อยก็อีตรงผิวขาวละเอียดจัด ๆ แต่เสียใจไม่มีใครได้เห็นขาอ่อนกูหรอกจ้า ก็ทำงานก็ใส่แต่กางเกงขายาว และคนที่เห็นแต่ไม่เคยสนใจแถมทำท่าจะด่าเสียด้วยก็คงจะมีม๊าคนเดียว ซึ่งมักจะด่าให้ผมใส่เสื้อผ้าดี ๆ อายชาวบ้านเขา อายผีบ้านผีเรือน

เลิกงานปุ๊บผมก็รีบบึ่งกลับบ้านปั๊บ ม๊าแต่งตัวซะสวยเช้งวับในสไตล์ของม๊า แถมเดาะใส่น้ำหอมซะด้วย ผมที่เคยถูกรวบไว้ที่ท้ายทอย ไม่รู้ม๊าไปสระเซ็ทตอนไหน ถึงได้ปล่อยผมสวย ๆ ม๊าคงลืมว่าเดี๋ยวต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์และต้องสวมหมวกกันน๊อกล่ะมั้ง แต่เอาเถอะ ร้านก็ปิดดีแล้ว ม๊านั่งซ้อนท้ายผมเรียบร้อย และผมก็ขับรถบึ่งไปที่ร้านข้าวต้มของอาแปะให้ไวที่สุด ชักจะหิวแล้ว ไม่รู้เฮียปาล์มจะทำอะไรให้กินฉลองวันเกิดอาแปะ แล้วเฮียปลื้มจะทำขนมอะไรมาฝากม๊ากันนะ ซึ่งสุดท้ายคนได้กินก็คือผม ถึงจะอยากรีบไปแค่ไหน ก็ต้องค่อย ๆ ขับไปเพราะม๊าจะด่าเอาถ้าขับรถไม่ระวัง ออกจะเขิน ๆ หน่อยที่ม๊ากอดเอวจนแน่นแต่มันก็อบอุ่นใจดีเหมือนกัน นึกถึงตอนผมเด็ก ๆ แล้วก็กอดเอวป๊าตอนป๊ามารับมาส่งที่โรงเรียนเหมือนกันแฮะ