บางคนว่าผมเป็นหนูตกถังข้าวสาร บางคนว่าผมโชคดี แต่ผมว่าเพราะวาสนาของเรามากกว่า

วาสนาของตาตี่I - 22 วุ่นวายเหมือนตายวันแรก โดย Chavaroj @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-ชาย,ครอบครัว,ไทย,รัก,ตลก,ตลก,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

วาสนาของตาตี่I

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-ชาย,ครอบครัว,ไทย,รัก,ตลก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ตลก,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL

รายละเอียด

วาสนาของตาตี่I โดย Chavaroj  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

บางคนว่าผมเป็นหนูตกถังข้าวสาร บางคนว่าผมโชคดี แต่ผมว่าเพราะวาสนาของเรามากกว่า

ผู้แต่ง

Chavaroj

เรื่องย่อ

สารบัญ

วาสนาของตาตี่I-1 ร้านขายโจ๊กกับไอ้วินตาตี่,วาสนาของตาตี่I-2 ไอ้ตี๋ลูกม๊า,วาสนาของตาตี่I-3 ของขวัญวันเกิดกับอินฟลูมือใหม่,วาสนาของตาตี่I-4 ไอ้ตี๋กับสัปดาห์ที่แสนน่าเบื่อ,วาสนาของตาตี่I-5 วันหยุดของไอ้ตี๋มนุษย์เงินเดือน,วาสนาของตาตี่I-6 รัก โลภ โกรธ หลง,วาสนาของตาตี่I-7 ไอ้ตี๋เกลียด,วาสนาของตาตี่I-8 คุณตี๋ผู้ชนะ,วาสนาของตาตี่I-9 โบ๊ะบ๊ะ,วาสนาของตาตี่I-10 ความเปลี่ยนแปลงที่เริ่มก่อตัว,วาสนาของตาตี่I-11 อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดวะไอ้ตี๋,วาสนาของตาตี่I-12 โอกาสของตี๋,วาสนาของตาตี่I-13 ไอ้ตี๋สงบศึก,วาสนาของตาตี่I-14 ตี๋กลัวผี,วาสนาของตาตี่I-15 ตี๋ไม่รู้ตัว,วาสนาของตาตี่I-16 วันเกิดปีนี้ตี๋ไม่เหงา,วาสนาของตาตี่I-17 เพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว เพื่อนเหี้ย,วาสนาของตาตี่I-18 วันหยุดขอตี๋กับไอ้ตัววุ่นวาย,วาสนาของตาตี่I-19 ตี๋ร้องไห้,วาสนาของตาตี่I-20 ตี๋จะอยู่ดูแล,วาสนาของตาตี่I-21 เวลาของการจากลา,วาสนาของตาตี่I-22 วุ่นวายเหมือนตายวันแรก,วาสนาของตาตี่I-23 โจผู้ไม่สมบูรณ์แบบ,วาสนาของตาตี่I-24 ความสุข =รอยยิ้ม+เสียงหัวเราะ,วาสนาของตาตี่I-25 ไม่แคล้วกัน,วาสนาของตาตี่I-26 โจไม่กลัวผี,วาสนาของตาตี่I-27 ถ้าฟ้าเสียตัว...ฟ้าต้องได้เป็นแอร์,วาสนาของตาตี่I-28 เครื่องรางกันผี,วาสนาของตาตี่I-29 Work ไร้ Balance ,วาสนาของตาตี่I-30 คนสำคัญ,วาสนาของตาตี่I-ตอนพิเศษ วาสนาของตี๋,วาสนาของตาตี่I-ตอนพิเศษ วาสนาของโจ,วาสนาของตาตี่I-ตอนพิเศษ วาสนาของเรา

เนื้อหา

22 วุ่นวายเหมือนตายวันแรก

โดย  Chavaroj



 เวลาของการจากลา ที่พวกเราต้องจากไปตลอดกาลนั้น ต้องมาถึงในวันใดวันหนึ่ง เพียงแต่เวลาของป๊านั้นมันกำลังนับถอยหลังทุกวินาที พวกเราพยายามที่จะให้ดีที่สุด ป๊านั้นอาการทรุดลงเรื่อย ๆ และในวันอาทิตย์ที่พวกเราสามคนคือ ผม ม๊า และโกวสมใจอยู่ด้วยกัน ป๊าก็มีเรื่องที่อยากจะสั่งเสียซะให้เรารับรู้ให้ตรงกัน

เนื่องจากอาการเหนื่อยของป๊านั้นมากขึ้นทุกที และหมอก็แจ้งว่า ต้องเจาะคอพอเพื่อจะทำให้ป๊าหายใจได้ดีขึ้นรวมถึงต้องทำการดูดเสมหะ ซึ่งเวลาหลังจากนั้นป๊าจะพูดไม่ได้ ป๊าจึงต่อรองกับหมอขอเวลาให้พวกเราได้อยู่พร้อมกันเพื่อที่ป๊าจะได้พูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจ 

เนื่องจากตอนที่อาม่าเสียไป ทรัพย์สมบัติที่มี ไม่ได้ถูกแบ่งให้เรียบร้อย พี่น้องที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันอยู่แล้ว จึงต้องมาทะเลาะกันใหญ่โตจนถึงกับต้องฟ้องร้องกัน ป๊าว่าสมบัติที่เหลือจากอาม่านั้นป๊าได้นำไปลงทุน ซื้อตึกเพื่อเปิดร้านข้าวมันไก่กับโกวสมใจ ซึ่งในส่วนของตึกและกิจการของป๊านั้น ป๊าบอกจะขอมอบให้แก่โกวสมใจซึ่งม๊าก็เห็นดีด้วย 

"เฮียลื้อกับอาสมใจก็อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบ ๆ ปีอีก็ลำบากกับลื้อมามาก ลื้อคิดถูกแล้วหละ อั๊วะเห็นด้วย" ม๊าพูดจนป๊ายิ้มอย่างยินดี ม๊าไม่ได้เป็นคนอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัว และตลอดเวลาที่ผ่านมา โกวสมใจก็อยู่ช่วยป๊าทำมาหากินมาตลอด จริง ๆ ทรัพย์สมบัติทั้งหมดถ้าป๊าจะยกให้แก เราสองแม่ลูกก็ไม่ติดใจอะไรสักนิด

แต่ป๊าก็ยังห่วงผมกับม๊า และป๊าก็แจ้งว่าเงินที่เหลือ ป๊าแบ่งเป็นห้าส่วน ให้ม๊าหนึ่งส่วน และผมกับโกวสมใจอีกคนละสองส่วนเท่า ๆ กัน ซึ่งเงินส่วนนี้ป๊าว่าให้หักจากที่เหลือจากการจ่ายค่ารักษาป๊า และค่างานศพ

เงินอีกส่วนที่ป๊าตั้งใจเก็บไว้นานแล้ว ก็คือเงินประกันชีวิต ที่แบ่งเป็นห้าส่วนเหมือนกัน แบ่งกันเหมือนเงินที่เหลือคือผมกับโกวสมใจได้คนละสองส่วน ม๊าหนึ่งส่วน 

"เฮียอั๊วะไม่เอาก็ได้นะ ให้ไอ้ตี๋กับสมใจคนละส่วนก็ได้" ม๊าพูดและป๊าก็ส่ายหน้า ไม่เห็นด้วยเพราะป๊าคิดไว้ดีแล้ว 

ส่วนงานศพ ป๊าก็ขอว่าให้จัดอย่างง่ายที่สุด ป๊าเคยคุยกับหลวงพ่อเจ้าอาวาสที่วัดเอี่ยมแล้ว แน่นอนว่าป๊ามีคนรู้จักมาก เงินใส่ซอง ถ้าเป็นแขกของม๊า ก็ให้ม๊าเก็บซองไป แต่ถ้าเป็นแขกของป๊าที่รู้จักกันดีป๊าก็ขอให้เงินส่วนนี้เป็นของโกวสมใจ ซึ่งม๊าก็เห็นด้วย ไม่ได้ติดขัดอะไร เช่นเคย

"เฮียฝากลื้อดูแลไอ้ตี๋ กับสมใจมันด้วย สมใจมันไม่มีใครสงสารมัน ตี๋เอ๊ย ป๊าฝากลื้อดูแลม๊ากับ โกวสมใจด้วยนะ สมใจ ลื้อติดขัดอะไร ลื้อก็ปรึกษาอี" ป๊าพูดแล้วก็ไออย่างหนัก ผมต้องให้ป๊าจิบน้ำ และใช้เวลาอยู่พักใหญ่ ๆ กว่าป๊าจะขากเสลดออกมาได้ พอทิ้งตัวลงนอนป๊าก็นอนหอบหายใจเหมือนไปออกแรงอย่างหนัก

"เฮียลื้อไม่ต้องห่วง อั๊วะไม่เอาเปรียบสมใจอีหรอก สมใจก็โตมากับอั๊วะนะ ยังไงอั๊วะก็เห็นอีเป็นน้องนุ่งคนนึง ลื้อสบายใจได้นะ" ม๊าพูดสายตาเข้มแข็ง ส่วนโกวสมใจ เอาแต่ยืนร้องไห้ แน่นอนว่าป๊าคือทั้งชีวิตของโกวสมใจ การมาหมดเสาหลักของชีวิต ไม่ใช่เรื่องที่จะดำเนินชีวิตไปได้อย่างง่าย ๆ แน่นอน ผมเห็นใจทุก ๆ คนรวมถึงตัวผมเองด้วย 

และหลังจากการสั่งเสียแล้ว ป๊าก็ถูกพาไปเจาะคอ นับแต่นี้ป๊าจะสื่อสารด้วยคำพูดอะไรกับเราไม่ได้อีกแล้ว และป๊าก็เหนื่อยแม้แต่แค่จะยกมือขึ้นเขียนหนังสือ 

แรก ๆ เราก็ต้องเดาว่าป๊าต้องการอะไร แต่การอยู่ด้วยกันวันละหลาย ๆ ชั่วโมง การคาดเดาของเราก็มักจะถูกต้องและป๊าก็จะพยักหน้าเบา ๆ อย่างอ่อนแรง

อาการของป๊าทรุดลงตามลำดับ เราไม่ต้องป้อนข้าวป้อนอาหารให้ป๊าอีกแล้ว แต่อาหารเหลวจะถูกฟีดโดยการเสียบสายที่จมูก และตอนนี้ ก็ไม่ต้องพาป๊าลุกไปฉี่ หรือเอาโถปัสสาวะมาให้ป๊าอีกแล้ว เพราะหมอได้ทำการสวนสายปัสสาวะ ซึ่งผมโชคดีไม่ได้มาเห็นกระบวนการทำ ไม่อย่างนั้นผมคงเสียวแย่เลย 

เหลือแค่การเช็ดอึซึ่งส่วนใหญ่ก็จะทำในเวลากลางวัน มีแค่ครั้งสองครั้งที่ผมเป็นคนเช็ดก้นให้ป๊าเอง แรก ๆ มันก็ประดักประเดิก และสารภาพตรง ๆ ว่าถึงจะเป็นอึของป๊า แต่มันก็เหม็นชะมัด แต่ผมก็คิดว่าถ้าไม่ใช่ผม จะให้ใครมาทำ ส่วนม๊ากับโกวสมใจ สามารถทำได้อย่างถนัด และรวดเร็ว เพราะม๊าเล่าให้ผมฟัง

ทุก ๆ คืนใช้เวลาไม่มาก ไอ้โจก็จะโทรศัพท์มาคุยกับผม ซักถามเรื่องของป๊าบ้างแล้วก็ชวนผมคุยเรื่องไร้สาระอะไรไปเรื่อยเปื่อย 

ผมนึกขอบใจมันที่สุด การได้คุย ได้คิดเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องที่อยู่ตรงหน้า เหมือนพาให้ผมหนีออกจากสิ่งที่ตัวเองได้เผชิญสักชั่วครู่ยามได้ก็ยังดี 

ถ้าป๊าเหนื่อยมาก ๆ ก็จะมีการให้ออกซิเจน ป๊าจะหายใจอย่างแผ่วเบา ลืมตาขึ้นมองผมเป็นบางครั้งและยื่นมือผอมเกร็งขึ้นมาเพื่อให้ผมจับ ผมรู้สึกได้ว่า มือของป๊ามันเย็นเฉียบ ไม่เคยรู้ว่ามือของป๊าจะสากและด้านได้ขนาดนี้ คนเราจะต้องทำงานหนักขนาดไหนกันนะ ถึงจะมีฝ่ามือที่ด้านสากไม่มีความนุ่มเลย 

หลังมือและแขนของป๊านั้น มีกระ และจุดดำ ๆ ขึ้นประปราย เพราะป๊าต้องขี่มอเตอร์ไซค์ตากแดดเพื่อเอาของไปส่งให้ลูกค้า ภาพที่ลูกค้าเห็นประจำ ก็คือป๊ากับกางเกงสแลคทรงหลวมโคร่ง กับเสื้อเชิ้ตชายเชย ๆ ตัวใหญ่โคร่งที่ใส่บ่อยจนสีซีด หมวกกันน๊อกเก่า ๆ สีส้มที่มันเก่าและซีดจางจากการโดนแดดเลีย แต่สิ่งที่ดีก็คือรอยยิ้มของป๊าที่จะยิ้มให้ทุก ๆ คน และรอยยิ้มแหย ถ้าถูกลูกค้าต่อว่า และคำแก้ตัวอย่างอ่อนน้อม อย่างนี้ใครจะไปโกรธป๊าลง

"ป๊าหิวน้ำหรอ?" ผมถามและป๊าก็ส่ายหน้า ผมถามไปอย่างนั้นแหละ เพราะน้ำเกลือทำให้หน้าของป๊าบวม รวมถึงแขนขาก็เริ่มจะบวมแล้ว ผิวของป๊ายิ่งวันก็ยิ่งคล้ำลง อันนี้พยาบาลบอกว่าคนไข้ที่เป็นมะเร็ง ระยะสุดท้ายก็จะเป็นเช่นนี้เพราะอวัยวะค่อย ๆ เสื่อมลงจนมันกำลังจะหยุดการทำหน้าที่ของมัน

ป๊ามองหน้าผมด้วยดวงตาที่ปรือจนเกือบปิด หนังตาบวมเพราะน้ำเกลือ และรอยน้ำฉ่ำ ในดวงตาของป๊าก็บอกว่าป๊าพยายามจะมองหน้าผมให้ได้ชัด ๆ 

ป๊าค่อย ๆ ยกมือขึ้นเพื่อแตะที่ข้างแก้ม และน้ำตาของผมก็ค่อย ๆ ไหลลงมา มือของป๊าค่อย ๆ ลูบน้ำตาของผมเบา ๆ และป๊าก็ส่ายหน้านิด ๆ เหมือนจะบอกให้ผมอย่าร้องไห้

พอแก้มของผมโดนมือของป๊าสัมผัส ผมก็นึกขึ้นมาได้ ว่าตอนเด็ก ๆ ผมค่อนข้างจ้ำม่ำ และป๊าก็ชอบจะมาบีบแก้มของผม แล้วก็ดันไปมา ถ้าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เหลือแค่ผมกับป๊าสองคน ป๊าก็จะหอมแก้มผม แต่ถ้าคนอยู่เยอะ ๆ ป๊าก็จะลูบหัวของผมแล้วก็บ่นว่าผมแก้มป่อง

"ป๊าเหนื่อยหรอ?" ผมถามและป๊าก็พยักหน้าเบา ๆ ผมก็เลยเอามือของป๊าวางแปะไว้ที่หัวผมเบา ๆ เพราะป๊าน่าจะถนัดทำอย่างนี้มากกว่า

"ป๊าจะเอาอะไรมั๊ย?" ผมถามและป๊าก็ส่ายหน้าไปมา คราวนี้ล่ะป๊าก็ไออีก แสดงว่าเสลดพันคอ ผมรีบสวมถุงมือเปิดเครื่องดูดเสมหะ และค่อย ๆ สอดเจ้าท่อยาว ๆ ล้วงลงไปในช่องคอของป๊าที่ถูกเจาะ ดูดเจ้าเสมหะนั้นออกมา และป๊าก็มีสีหน้าที่ทรมานที่สุด ผมไม่อยากจะใช้ไอ้เครื่องบ้านี่เลย แต่ถ้าไม่ดูดเสมหะออกมา ป๊าก็น่าจะหายใจไม่ออก 

และเมื่อดูดเสมหะออกจนหมด ป๊าก็นอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ป๊าดูหมดเรี่ยวแรง และผมก็ค่อย ๆ เอามือลูบไปที่แผ่นอกของป๊าเบา ๆ ผมคิดเอาเองว่าการสัมผัสเบา ๆ จะทำให้ความรู้สึกเจ็บมันหายไปได้ดีที่สุด ก็อย่างตอนเด็ก ๆ ผมไปซนจนต้องร้องไห้ เมื่อวิ่งเข้าไปหาม๊า ม๊าก็จะกอดผมแน่น ๆ แล้วความเจ็บปวดนั้นก็จะค่อย ๆ หายไปได้เหมือนมนต์มหัศจรรย์

นับตั้งแต่เจาะคอ ป๊าก็อาการทรุดจนแทบจะไม่มีสติเลย ถ้าป๊าตื่น ป๊าก็จะนอนลืมตา มองไปรอบ ๆ ถ้าใครเรียกป๊า ป๊าก็จะหันไปตามเสียงคนเรียกอย่างช้า ๆ ซึ่งหมอว่าอาจจะเป็นผลข้างเคียงของยา ซึ่งจะทำให้คนไข้จะมีอาการเบลอ ๆ คล้าย ๆ กับการฝัน และข้อดีก็คือ มันจะทำให้คนไข้ ไม่ค่อยรับรู้ถึงอาการเจ็บ 

ผมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุก ซึ่งเปิดไว้เบา ๆ เพราะเกรงใจคนไข้เตียงข้าง ๆ ผมตั้งปลุกทุก ๆ สองชั่วโมง เพื่อค่อย ๆ ดันตัวของป๊าให้พลิกไปอีกข้าง เพื่อไม่ให้เกิดแผลกดทับ แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยสภาพการณ์นอนตลอดเวลา ก้นของป๊าก็เป็นรอยแดง ๆ อยู่ดี พยาบาลกำชับให้เราพลิกตัวคนไข้บ่อย ๆ ไม่อย่างนั้นเกิดแผลกดทับขึ้นมาก็จะแย่

บางคนเป็นแผลจนติดเชื้อ หรือบางคนเกิดเป็นเนื้อเน่า ยิ่งถ้าเป็นเบาหวานด้วยล่ะก็อาการจะแย่หนักไปอีกเพราะแผลมันยิ่งหายยาก 

"ป๊าค่อย ๆ ขยับตัวนะ" ผมพูดกับป๊าเบา ๆ จริง ๆ ป๊าก็คงไม่รู้ตัวหรอก แต่ผมพูดเพราะอย่างน้อยก็คิดว่าถ้าได้ยินเสียงของผมบ้าง ป๊าก็น่าจะอุ่นใจที่มีคนอยู่ข้าง ๆ 

สองอาทิตย์ของป๊าผ่านไป จนในอาทิตย์ที่สาม ป๊าก็ถูกย้ายเข้าห้องไอซียู จริง ๆ มันก็เป็นแค่การประคองอาการ พวกเราตอนนี้จะคิดอย่างไรก็สุดจะรู้ และผมก็ไม่รู้ว่าผมจะบาปหรือเปล่า แต่ผมอยากให้ป๊าตายให้ไวที่สุด เพราะตอนที่ผมพาม๊าไปเยี่ยมป๊าที่ห้องไอซียู ป๊านอนนิ่ง มีไฟส่องสว่างตลอดเวลา มีสายระโยงระยางเสียบทั่วตัว ถ้าเป็นแบบนี้กับตัวของผมเอง ผมก็ขอให้มันจบให้ไวที่สุดจะง่ายกว่า ป๊าเป็นคนขยันไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ การนอนเฉย ๆ แบบนี้ไม่ใช่ป๊าเลยสักนิด 

การเยี่ยมคนไข้ในห้องไอซียู นั้นพยาบาลอนุญาตให้ใช้เวลาได้จำกัด และที่หน้าห้องไอซียูนั้น โกวสมใจก็นั่งใจลอยอยู่

"สมใจเอ๊ย" ม๊าเรียกโกวสมใจและทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ดึงมือของโกวสมใจมาบีบไว้เบา ๆ 

"ทำใจดี ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เฮียอยู่กับเราอีกไม่นาน และอีก็คงไม่สบายใจถ้าลื้อจะต้องมาเสียใจอย่างนี้ เฮียรักลื้อนะ ลื้อต้องทำตัวเองให้เข้มแข็ง เฮียจะได้สบายใจเข้าใจไหม แล้วก็ถ้ามีอะไรก็บอกเจ๊ เจ๊ก็คิดว่าสมใจคือน้องสาวคนนึง" ม๊าพูดแล้วโกวสมใจก็ร้องไห้เงียบ ๆ ผมปล่อยให้ผู้หญิงสองคนได้พูดคุยกัน บางครั้งการที่ครั้งหนึ่งครึ่งหนึ่งของหัวใจของผู้หญิงทั้งคู่มีผู้ชายคนเดียวกันเป็นหนึ่งในนั้น ก็ทำให้ทั้งสองคนมาเรื่องอยากจะพูดจะคุยกันตามลำพัง ผมเลือกจะเดินไปนั่งห่าง ๆ และกดโทรศัพท์ไปหาไอ้โจโดยไม่รู้ตัว

"มึงยุ่งหรือเปล่า?" ผมถามมันเสียงเรียบ ๆ

"เออกูขอเวลาห้านาที เดี๋ยวกูโทรกลับนะขอโทษที" มันพูดและผมก็ว่าไม่เป็นอะไร แล้วก็วางสายไป ผมชินกับการคุยกับไอ้โจมันเสียแล้ว และคิดว่าจะดีแค่ไหน ถ้ามันมาอยู่ใกล้ ๆ ผมตรงนี้

"ไอ้ตี๋" เสียงดังคุ้นเคยดังขึ้น และเมื่อผมหันหน้าไปก็เจอเฮียปาล์มมากับเฮียอาม 

"หวัดดีเฮียปาล์มหวัดดีเฮียอาม" ผมยกมือไหว้พี่อาม และทั้งสองคนก็ทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ ผม

"ป๊าเป็นยังไงบ้าง?" เฮียปาล์มถาม

"ก็ทรง ๆ นอนหลับทั้งวัน" ผมพูดเสียบแหบแห้ง และเฮียปาล์มก็ขอเดินไปเยี่ยมป๊า ปล่อยให้ผมนั่งกับเฮียอามข้างนอก เราก็เลยได้คุยกันนิดหน่อย ตอนเฮียปาล์มออกมา เราก็เลยฝากเฮียปาล์มให้ไปส่งโกวสมใจ ส่วนผมก็ให้ม๊าซ้อนรถกลับบ้าน ม๊าทิ้งตัวกอดผม และซบหัวที่ไหล่ของผมราวกับม๊าหมดเรี่ยวแรงที่จะทรงตัวของตัวเอง จะยังไงม๊าก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ธรรมดา ๆ ที่มีรัก มีทุกข์ มีสุข 

จนถึงวันที่ทุกคนรอคอยมาถึง ผมกำลังขับรถกลับออฟฟิศ และม๊าก็โทรศัพท์มาหาผม ผมมีลางสังหรณ์อะไรบางอย่างซึ่งมันไม่ค่อยดีเลย ผมเอาแต่จ้องมอง โทรศัพท์ และค่อย ๆ ยื่นมือไปกดรับ 

"ตี๋เอ๊ย ป๊าไปแล้วลูก" 

"อืม" ผมรับคำ ตัวของผมชาไปหมด ฟังม๊าพูดอะไร ผมก็ตอบรับว่าอือ ๆ ไปอย่างนั้นแต่ผมไม่รู้เรื่องเลยสักนิดว่าม๊าพูดว่าอะไร 

แต่พอเริ่มรู้สึกตัวผมก็ถามกลับม๊าอีกหน และม๊าก็พูดช้า ๆ ชัด ๆ ผมรับคำ มันดิ่งแบบแปลก ๆ ใจหนึ่งผมก็โล่งใจป่านนี้ป๊าก็ไม่ต้องทนเจ็บปวดอะไรอีกแล้ว แต่อีกใจผมก็ยังงงว่าป๊าจากพวกเราไปแล้วจริง ๆ หรือมันเหมือนฝันไปใจหนึ่งก็รับรู้แต่อีกใจก็คิดว่ามันเหมือนฝัน

ผมขับรถกลับบ้าน ซื้อบะหมี่เกี๊ยวเจ้าที่ม๊าชอบกลับมาด้วย เรากินมื้อเย็นด้วยกันเงียบ ๆ และผมก็ถามม๊านิดหน่อยว่าจะต้องจัดการกับเรื่องศพของป๊ายังไง พรุ่งนี้ผมต้องลางาน โทรศัพท์ไปแจ้งกับพี่นุ้ยแล้ว ผมลางานแค่วันเดียว ก็เห็นจะพอ เพราะงานสวดศพก็สวดแค่ตอนเย็น ๆ 

ม๊าขึ้นเหล่าเต๊งไปแล้ว แต่ผมทนอยู่คนเดียวไม่ไหวแน่ ๆ ผมก็เลยอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปขับวิน มันดีอีตรงที่ตอนขับรถเราต้องมีสติ ทำให้ผมไม่ต้องคิดเรื่องของป๊าได้ชั่วคราว และมองเวลาอีกที ก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว ผมก็เลยอยากจะกลับบ้านสักที แต่ไหงรู้ตัวอีกที ผมก็ไปจอดรถอยู่ตรงสะพานข้ามคลองพระโขนงก็ไม่รู้

ผมมองไปตามสายน้ำที่มันส่งกลิ่นเน่านิดหน่อย แต่มันดึกแล้วก็เงียบแทบไม่มีรถวิ่ง คลองเส้นนี้สินะ ที่ป๊าเคยบอกว่ามันแล่นผ่านไปจนถึงตลาดเอี่ยมบ้านของป๊าได้ ป๊าเคยบอกว่าไว้วันไหนว่าง ๆ ป๊าจะพาผมไปนั่งเรือเล่น ซึ่งมันก็ไม่เคยจะเกิดขึ้นจริง  ๆ เลย  ผมปากเสียยุให้ป๊ากับม๊าแยกกันซะก่อนเพราะสงสารม๊าที่โดนเหยียบย่ำและรังแกจากคนในบ้านป๊าทุก ๆ วันเหมือนม๊าคือทาส ไม่ใช่ลูกสะใภ้ บางทีผมก็เคยถามตัวเองว่าถ้าผมไม่ยุให้ม๊าแยกย้ายออกมา ม๊าจะยอมทนไหมนะ และถ้าม๊ายอมทนอยู่ ป๊ากับม๊าจะเป็นยังไงต่อ และถึงวันนั้นผมจะเป็นผมอย่างที่เป็นอย่างทุกวันนี้หรือเปล่า

"มึงทำอะไร?" ผมโทรศัพท์หาไอ้โจโดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว ผมอยากพูดระบายความในใจกับใครสักคน 

"เออกูเพิ่งถึงบ้านเนี่ยจอดรถมะกี้นี้เอง เนี่ยกำลังก้าวลงจากรถเลย" โจมันพูด จริงสินะ วันพรุ่งนี้พวกเซลล์จากทั่วประเทศก็จะเข้าออฟฟิศแล้วนี่ผมลืมวันลืมคืนไปเลยและวันนี้ทั้งวันก็แทบจะไม่ได้โทรหามันเลย

"มึงเป็นยังไงบ้าง แล้วป๊ามึงล่ะ?" โจมันถามด้วยเสียงเป็นห่วง

"เออป๊ากูเพิ่งเสียเมื่อตอนสี่โมงกว่า ๆ นี่เอง" ผมพูดไปเสียบเรียบ ๆ และโจมันก็นิ่งไปครู่ใหญ่

"มึงโอเคไหม?"

"โอเค" ผมตอบไปอย่างอัตโนมัติ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าไอ้อาการโอเคของผมนี่มันเป็นยังไง แต่ผมยังชา ๆ และคิดว่าเรื่องที่ป๊าตายมันเหมือนมันไม่ใช่ความจริง

"มาหากูหน่อยได้มั๊ย?" โจมันถามผมเงียบไปมันก็ถามซ้ำอีกสองสามที

"ไปได้จริง ๆ หรอ?" 

"จริงสิ ค่อย ๆ ขับรถมา" มันว่าและผมก็สตาร์ทเครื่องรถ และค่อยขับรถไปหาไอ้โจทันที

เมื่อถึงหน้าบ้านของมัน โจมันก็ยืนรออยู่หน้าบ้าน มันยังใส่กางเกงสแลคกับเสื้อโปโลของบริษัท แต่รองเท้าที่มันใส่ก็คือรองเท้าแตะ 

"มึงเป็นยังไงบ้าง?" มันถามและผมก็ไม่ได้พูดอะไรแต่ยิ้มออกมา แต่มันเป็นยิ้มอัตโนมัติที่ไม่ใช่ออกจากหัวใจของผมแน่ๆ 

"มึงมานี่มา" โจมันดึงมือของผมเข้าไปในบ้านของมัน ดึงผมมากอด และพอผมโดนอ้อมกอดแน่น ๆ ผมก็ค่อย ๆ ร้องไห้ออกมา ร้องไห้จนตัวของผมสั่น โจมันก็กอดผมอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมคลายอ้อมกอด และผมก็เอาแต่ทิ้งหน้าไปกับแผ่นอกของมันจนเสื้อของมันน่าจะเปียกแฉะแล้วแน่ ๆ

"ไอ้โจป๊าตายแล้ว ป๊ากูตายไปแล้วป๊าไม่ได้อยู่กับกูอีกแล้ว" ผมพร่ำพูดเสียบแหบพร่าซ้ำ ๆ และโจก็รับคำเบา ๆ ซ้ำ ๆ ตาที่ผมพูด เมื่อผมร้องไห้จนหมดหัวใจ มันเหนื่อยจนเหมือนผมวิ่งมาจากทางแสนไกล ผมยังสะอื้น และโจมันก็เอามือมาลูบหัวของผมเบา ๆ

"ป๊ามึงไปสบายแล้ว ต่อไปนี้ป๊ามึงก็ต้องเจ็บปวดอะไรอีกแล้ว มึงต้องเข้มแข็ง แต่ตอนนี้ไม่ต้องเข้มแข็งหรอก มึงอ่อนแอได้ ไว้พรุ่งนี้มะรืนนี้มึงค่อยเข้มแข็งก็ได้ ไม่มีใครว่ามึงหรอก ที่สำคัญมึงมีกูอยู่ข้าง ๆ เป็นเพื่อนมึงนะโว้ย" โจมันพูด จนผมหลั่งน้ำตาออกมาอีก แต่มันเป็นน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ และเหมือนผมที่ต้องพยายามเข้มแข็งให้ได้มากที่สุด แต่วินาทีมันหมดแรงที่จะฝืนตัวเองได้อีกแล้ว

"ไปในบ้านกูก่อนไป ยืนรอมึงยุงกัดกูจนจะเป็นไข้เลือดออกแล้ว" มันพูดทะเล้นจนผมยิ้มที่มุมปากทั้ง ๆ ที่น้ำตาของผมยังไหลอาบ ไอ้โจก็คือไอ้โจ มันค่อย ๆ ประคองผมเข้าไปในบ้าน หยิบน้ำดื่มเย็น ๆ มาให้ผมดื่ม และบอกให้ผมนอนพักที่โซฟาของมัน ผมยังคงนอนสะอื้น แต่เพราะความเหนื่อยทั้งกายและใจ ผมก็เผลอหลับไปที่โซฟาของมันนั่นเอง