ชาย-ชาย,ครอบครัว,ไทย,รัก,ตลก,ตลก,รักวัยรุ่น,นิยายวาย,#BL,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โดย Chavaroj
"ครับ...ครับ...ได้ครับเฮีย" ผมกลอกตาพร้อมกับคุยโทรศัพท์จากเจ้านายไปด้วย ตั้งใจบีบกูออก แต่ก็หลอกใช้กูไปด้วยในตัว ไม่เนียนไปเรียนมาใหม่เด้อ
แต่เอาเถอะ ในเมื่อตำแหน่งผมขึ้นตรงกับเขา และเขาก็ยังถือว่ามีเมตตา ไม่บีบหรือไล่ผมออกตรง ๆ และไอ้งานใหม่ที่ผมจะต้องไปรับผิดชอบมันก็ดูท้าทายที่สำคัญ ผมเต็มใจ...เต็มใจมาก ๆ ด้วยตรงกันข้ามกันเลย มันกลับดีกับผม ผมมีแผนการในใจอย่างหนึ่งซึ่งมันลงล๊อกพอดีเป๊ะ
อีกอย่างเพราะนั่นจะทำให้ผมไม่ต้องระหกระเหินไปไหนไกล ๆ อีกแล้ว เพราะงานที่ผมรับผิดชอบคือเขตกรุงเทพฯ และภาคกลาง อาจเลยไปจังหวัดใกล้ ๆ ซึ่งอันนี้มันก็แล้วแต่ผมได้เลย ถือว่าเป็นความดีงามของอาชีพเซลล์ เพราะไม่ต้องตอกบัตร ไม่ต้องนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ซึ่งผมรู้ตัวว่าผมทำงานแบบนั้นไม่ได้แน่ ๆ เพราะผมเป็นคนขี้เบื่อ และรักความเป็นอิสระมากกว่านั้น
จริง ๆ อาชีพเซลล์นี่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับผมได้ เพราะผมถูกวางตัวว่าต้องได้เป็นหมอ หรืออย่างน้อยก็เภสัช หรืออาชีพอะไรสักอย่างที่ต้องใช้ชีวิตในโรงพยาบาล ตามรอยพ่อหรือแม่ของตัวเอง แต่ในเมื่อแม่ได้แยกทางกับพ่อ และในวันหนึ่งซึ่งผมเป็นลมไปเลยเมื่อเจอเลือด ผมก็บอกแม่ไปตรง ๆ ว่าผมเป็นหมอไม่ได้เพราะผมกลัวเลือด และคงไม่มีหมอคนไหนที่เห็นเลือดแล้วเป็นลมแน่ ๆ แม่ก็เลยเลิกคาดคั้นผมในเรื่องนี้
และไอ้เรื่องหยูกยานี่ผมก็ไม่ได้ชอบอีกเหมือนกัน ว่ากันตรง ๆ ผมไม่ได้อยากเกี่ยวข้องอะไรกับโรงพยาบาลเลยสักนิด และตอนผมโตขึ้นก็กล้าที่จะพูดกับแม่ด้วยเหตุผล ซึ่งแม่ของผมนั้นแม้จะเป็นคนเข้มงวด แต่ก็เป็นคนมีเหตุผล และยิ่งวันแม่ก็จะปล่อยมือจากผมมากขึ้นทุกที อาจเพราะจริง ๆ แม่ก็เคยเรียนจบจากเมืองนอก แต่ช่วงแรก ๆ ตอนผมเด็ก ๆ แม่อาจจะเข้มงวดกับผมมากหน่อย เพราะรักผมมากไปนิด ซึ่งอันนี้ผมเข้าใจได้
และยิ่งตอนผมเข้าไปเรียนชั้นมัธยม ต้องสมัครสอบแข่งขันกับคนตั้งหลายหมื่นคนเพราะโรงเรียนที่ผมสมัครเข้าไปเป็นโรงเรียนเก่าแก่ย่านปากคลองตลาดโน่นใคร ๆ ก็รู้จัก แน่นอนว่าผมสอบได้ แต่ก็ต้องห่างจากสังคมเดิม ๆ ทั้งเพื่อนที่รักและเพื่อนที่ไม่ชอบขี้หน้า แต่วันสุดท้ายของการจากลา ผมกลับมองไม่เห็นมัน ใจจริงผมอยากจะเอ่ยลากับมันนะ ตลอดเวลาหกปีที่นั่งข้างกันมาตลอด ทะเลาะกันเถียงกัน แกล้งกัน แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันคือเพื่อนคนหนึ่งของผม
แต่ชีวิตการเรียนมัธยมมันต้องแข่งขันสูงมาก ผมต้องย้ายมาอยู่บ้านญาติที่ใกล้โรงเรียนแห่งนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ใกล้ชนิดเดินหรือนั่งรถสองแถวไปเรียนได้แบบเมื่อก่อน บ้านญาติของแม่ผมคนนี้อยู่แถวถนนปิ่นเกล้าเพื่อสะดวกในการเดินทางซึ่งมันแสนติดขัด และถ้าผมออกจากบ้านของป้าสายกว่าหกโมง ผมก็จะเข้าเรียนสายแน่นอน เพราะรถตรงปิ่นเกล้าติดแบบมหาโหด
แน่นอนว่าก็ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด เรียนเสร็จก็ต้องไปเรียนพิเศษต่อกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ ดีหน่อยว่าไม่มีใครมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชอีกแล้ว ป้าของผมคนนี้เขาก็มีลูกโตไปหมดแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของผมก็ต้องไปทำงานออกเช้ามืดกลับดึกเหมือนกัน แบบมนุษย์ออฟฟิศนั่นเลยล่ะ ผมก็เลยค่อนข้างจะมีอคติกับงานออฟฟิศ แต่ลูกพี่ลูกน้องของผมคนหนึ่งเป็นเซลล์ ซึ่งแน่นอนว่าเขาได้เงินค่าคอมมิชชั่นเยอะมาก ได้เดินทางต่างจังหวัด และถ้าเราได้เจอกันยามที่พี่เขากลับบ้าน เขาก็จะเล่าให้ฟังถึงจังหวัดต่าง ๆ ที่เขาต้องเดินทางไป นั่นก็เลยเป็นสาเหตุที่ผมฝันอยากจะเป็นเซลล์โดยไม่รู้ตัว เพราะผมคิดว่าในชีวิตนี้ มันคงมีไม่กี่อาชีพที่ได้เดินทางไปตามที่ต่าง ๆ โคตรน่าสนุก ส่วนปัญหาอะไร ๆ ทุกงานมันก็มีปัญหาในตัวของมันอยู่แล้ว หนักสุดก็หางานใหม่ ไม่น่าจะยาก
และตอนเรียนผมก็เลือกที่จะเรียนด้านธุรกิจจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ซึ่งแม่กลับไม่บ่นอะไรสักคำ อาจเพราะเป็นบุญเก่าที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีนักศึกษาที่โด่งดังในวงการธุรกิจจนแม่รู้จักและให้ความไว้ใจ
ก่อนจบทริปนี้ มันเป็นทริปสั่งลา ผมต้องเหนื่อยกับการเลี้ยงส่งของบรรดาลูกค้าทั้งหลายที่ ดูจะชอบเหลือเกินกับการมอมเหล้าให้กูเมาเหมือนหมาเนี่ย และในสมัยเรียนผมก็อาจจะเคยติดตามรุ่นพี่ไปกินเลี้ยงบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้ชอบกินเหล้าเมายาหรือเที่ยวกลางคืนเลย เรียนเสร็จผมก็อยากจะกลับห้องพักเพื่อพักผ่อนมากกว่า คนหลาย ๆ คนต่างก็ไม่เชื่อว่าผมเป็นคนแบบนั้นอาจเพราะหน้าตาผมมันดูเจ้าชู้ หรือดูเป็นคนชอบเที่ยว และท่าทางผมมันก็คงจะออกไปทางนั้นเสียด้วยสิ แต่สารภาพว่าผมไม่เคยมีแฟนจริง ๆ จัง ๆ สักคนเดียว เพราะผมรู้สึกว่ามีแฟนสักคนมันเสียความเป็นตัวตน เสียอิสรภาพ และผมก็ยังไม่อยากจะปรับตัวเข้าหาใคร แน่นอนว่าเคยมีอยู่บ้างที่ผมจะลองจีบหรือลองคุยกับใคร และมีคนอีกหลายสิบคนที่หยิบยื่นไมตรีมาหาผม แต่ผมก็ให้มิตรภาพกับเขาได้แค่เพื่อนเท่านั้น
ผมนิสัยไม่ดี ผมรู้ตัวเอง เพราะผมว่าผมเป็นคนขี้หึง โคตรงี่เง่าและถ้าผมชอบใครผมก็จะอีคิวต่ำมาก ๆ ตรงกันข้ามกับไอคิวของผมโดยสิ้นเชิง ผมไม่อยากจะทำตัวให้เป็นแบบนั้น หรือถ้าคิดตามหลักจิตวิทยา อาจจะเพราะตอนเด็ก ๆ ผมเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อยด้วยมั้ง มันก็เลยอาจจะฝังใจว่าอย่ามีความรัก ให้ตัวเองและคนอื่นทุกข์ใจดีกว่า หรืออาจจะมีเหตุผลสุดท้ายก็คือ ผมไม่มีเวลา
ผมเรียนหนัก และทำงานไปด้วยเพื่อเสริมประสบการณ์ ก็งานที่บริษัทของลูกพี่ลูกน้องของผมนั่นแหละ จริง ๆ ก็ไปทำตั้งแต่มาพักกับป้าเขาแล้ว แต่ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันมากนัก เรียกว่าเขาใช้อะไรก็ทำ มันก็สนุกที่ได้เรียนรู้และยืนยันว่าผมไม่เหมาะกับงานออฟฟิศร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็บริษัทนั้นมันเป็นของพี่ชายนี่หว่าผมในฐานะน้องชายก็ไปเดินกร่างทำอะไรก็ได้....ที่เขาใช้ จนโตเข้ามหาวิทยาลัย ตอนปิดเทอม ผมก็ไปเป็นพนักงานขายที่มันโคตรสนุก และพี่ชายของผมก็บอกว่าผมมีแวว เพราะผมพูดคุยเก่ง ขายของเก่ง มีลูกล่อลูกชน และป้าของผมก็บอกว่าผม กะล่อน
ปิดทริปที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบ ผมนั่งอยู่ในรถ และมองโรงแรมที่มักจะมาพักบ่อย ๆ มันก็เป็นเหมือนความผูกพันเหมือนกัน เพราะโรงแรมนี้ผมมาพักบ่อยที่สุด เนื่องจากจังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสานตอนเหนือ และลูกค้าของผมก็มีมากที่สุด ในทริปนึง ๆ ผมอาจจะต้องอยู่ที่นี่สี่ถึงห้าวันทีเดียวกว่าจะไปหาลูกค้าได้ครบ มันค่อนข้างใจหาย และผมคิดว่ามันก็คงถึงจุดอิ่มตัวที่ผมต้องเดินทางไกล ๆ ผมยังคงชอบการเดินทาง แต่ขอเดินทางแบบไม่ไกลมาก อย่างที่ไอ้ตี๋มันเล่าให้ฟังในทุก ๆ คืน
จังหวัดปริมณฑล เช่น นครปฐม สมุทรสาคร ราชบุรี กาญจนบุรี หรือไปทางนครนายก และทางภาคตะวันออกอย่างชลบุรี หรือระยอง ที่เป็นสายที่ไอ้ตี๋มันต้องขับรถส่งของ มันก็จะเล่าว่าแต่ละที่มันแอบไปแวะเที่ยวที่โน่นนิดที่นี่หน่อย ซึ่งฟังมันเล่าก็น่าสนุกดีเหมือนกัน
"มึง ๆ เฮียโกเรียกกูคุยพรุ่งนี้เช้าด้วยว่ะ" ไอ้ตี๋บ่นกับผมในคืนที่ผมกำลังเดินทางกลับกรุงเทพฯ
"ก็คงจะคุยเรื่องงานของมึงนั่นแหละ ไม่มีห่าอะไรหรอกไม่ต้องคิดมากน่ามึงชอบทำตัวเป็กระต่ายตื่นตูม ตีตนไปก่อนไข้" ผมตอบมันไปอย่างรำคาญ ๆ ไอ้นี่นอกจากมันจะเป็นโรคชอบคุยกับตัวเอง ท่าทางจะเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำด้วยเพราะมันคุยกับผมเรื่องเฮียโกเรียกคุยวันนี้สี่หนเข้าไปแล้ว
และกว่าผมจะตีรถกลับถึงกรุงเทพฯ ก็ปาเข้าไปห้าทุ่ม ผมก็เลยตรงกลับเข้าบ้านเลยทันที เพื่อจะได้รีบอาบน้ำแล้วเข้านอน พรุ่งนี้เช้าผมอยากเข้าออฟฟิศเร็ว ๆ
นัดกับไอ้ตี๋ว่าเราจะเจอกันที่ออฟฟิศเลย มันจะซื้ออะไรมาให้ผมกินตอนเช้าก็ไม่รู้ แต่เอาเถอะ ตลาดอ่อนนุชของกินเยอะอยู่แล้ว และคงจะได้ที่ได้กินอะไรที่มันซื้อมาให้...แม้ว่ามันจะคิดเงินและบวกค่าส่งเพิ่มก็ตาม อย่างน้อยก็ถือว่าแม่งมีน้ำใจนิดหน่อย
"มึงแดกโจ๊กนี่" ไอ้ตี๋เดินยิ้มตาปิดเป็นสระอิ มาพร้อมกับกล่องพลาสติกใส่อาหารและช้อนพลาสติก
"เจ้าไหนวะ จะอร่อยสู้ของม๊ามึงได้เหรอ?"
"ได้สิ ก็เจ้านี้น่ะไม่ใช่ใครที่ไหน โจ๊กของม๊ากูเอง นี่กูแอบดอยไข่มาให้มึงตั้งสองฟองเลยนา ใส่เครื่องเพียบกูแอบใส่ให้เองตอนม๊าเผลอ แดกซะ แต่กูคิดราคาพิเศษนะ"
"มึงนี่น๊า จับเสือมือเปล่า ของก็ของม๊ามึง แล้วมึงยังมีหน้ามาเสือกคิดตังค์อีกไอ้เปรต"
"จะแดกหรือไม่แดก พูดมากเดี๋ยวกูเทให้หมาแดกซะเลย" ไอ้ตี๋ทำท่าขึงขัง ผมก็เลยต้องรีบคว้าไว้ก่อน เกิดไอ้ห่านี่บ้าเลือดเทให้หมาแดกจริง ๆ ผมก็ซวยเท่านั้น ยิ่งโจ๊กของม๊ามันโคตรอร่อย ทั้งเครื่องใน พวกตับ ไส้ กระเพาะ และหมูเด้งที่อร่อยทุกอย่าง ใส่ไข่ลวกที่ไข่แดงยังไม่สุกเข้าไปด้วย เวลากินเหยาะซีอิ๊วหอม ๆ อร่อยอย่าบอกใคร
"หืมโคตรอร่อยเหมือนเดิม มึงเคยถามสูตรม๊ามึงมั๊ยว่าทำยังไงถึงอร่อย เกิดม๊ามึงตายไปมึงจะได้มีสูตรโจ๊กอร่อย ๆ"
"อ้าวไอ้สันดาน แช่งม๊ากูให้ตายซะแล้ว เดี๋ยวกูฟ้องม๊ากูซะเลยไอ้เหี้ยนี่ปากจัญไร เดี๋ยวพ่อเอาเลือดปากล้างตีนเสียหรอก" ไอ้ตี๋พูดแล้วก็หัวเราะ
"เออ ๆ กูขอโทษ ๆ เอ้าอย่างนี้พูดใหม่ โจ๊กโคตรอร่อยมึงเคยถามม๊ามึงหรือเปล่าว่ามีเคล็ดลับอะไร?"
"จะไปมีอะไร๊ ก็ใส่ผงนัวเยอะ ๆ สิวะ มึงรู้จักมะผงเอลซ่าอ่ะ" ไอ้ตี๋มันตอบ อีหรอบนี้แม่งไม่เคยช่วยม๊ามันทำแน่ ๆ เห็นว่าม๊ามันต้องลุกมาทำตั้งแต่ตีสาม ไอ้เปรตนี่ขี้เซาจะตายห่า ไม่น่าจะลุกมาช่วยแม่ของมันหรอก
คุยกันอีกแปปเดียวไอ้ตี๋ก็แยกตัวไปที่รถส่งของของมัน และผมก็รีบซัดให้หมด เพราะเดี๋ยวต้องเอาเอกสารขึ้นไปส่งแผนกบัญชี แล้วก็ต้องคุยธุระต่อเพราะเฮียโกเรียกคุย
เวลาเกือบ ๆ เก้าโมงครึ่ง ผมเดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของเฮียโก แกหันมามองแล้วก็อมยิ้ม ผมไหว้แกและกล่าวสวัสดี ทิ้งตัวลงนั่งก็มีไอ้คนตาตี่ตัวเล็ก ๆ ที่แม่งปกติตัวของมันก็ขาวอย่างกะไฟนีออนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้แม่งนอกจากขาวแล้วเสือกซีดด้วย หน้าของมันม่อยเหมือนกลัวเฮียโกจะเอามันไปฆ่า จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสาร แต่หนักไปทางสมน้ำหน้ามันมากกว่า
"เอาล่ะ สองคนมาก็ดีแล้วเฮียมีเรื่องจะคุยนิดนึง คืออย่างนี้นะ...." เฮียโกเกริ่นและเล่ารายละเอียดของงานที่กำลังจะเริ่มต้นใหม่ โดยคร่าว ๆ ก็คือให้ผมเป็นเซลล์ของสินค้าตัวใหม่ ซึ่งกำลังอยากจะเปิดตลาด รวมถึงให้ไอ้ตี๋คอยขับรถให้ เป็นคนขับรถเฉพาะของสินค้าตัวนี้ไปเลย ก็คือสรุปผมกับไอ้ตี๋ต้องทำงานด้วยกัน
"โอเคมั๊ยทั้งสองคน" เฮียโกถามและอมยิ้ม
"โอเคคับ" ผมรับคำเต็มปากเต็มคำส่วนไอ้เหี้ยตี๋ก็รับคำแบบตะกุกตะกัก
"เชี่ย กูนึกว่ากูต้องไปกับเซลล์ใหม่ ที่แท้ก็มึงหรอกหรอ?" ไอ้ตี๋เดินบ่นออกมาพร้อม ๆ กับผม
"มึงดีใจล่ะสิ"
"เชี่ยดีใจกับผีน่ะสิ ถ้ารู้ว่าต้องไปกับมึงกูกลับไปส่งเอกสารเหมือนเดิมดีกว่า" ไอ้ตี๋มันบ่นทำเสียงโมโหนิด ๆ มึงคงลืมไปแล้ว พนักงานส่งเอกสารเดี๋ยวนี้โดนลดหน้าที่ ให้เข้าออฟฟิศ สลับกับไปโรงงาน วันละที่ มึงจะไหวเรอะ โรงงานแม่งอยู่สมุทรปราการ
"เออน่าอย่าบ่น ไปกับกูสบ๊ายยย"
"สบายกับผีน่ะสิ ไปกับมึงนี่แหละกูรำคาญเลย เดือนนึงเจอไม่กี่วันกูก็รำคาญจะแย่นี่แม่งต้องเจอทุกวัน กูไปลาออกที่ฝ่ายบุคคลดีกว่า" ไอ้ตี๋มันโวยวาย แต่ผมรู้มันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ผมว่ามันไม่ค่อยพอใจที่มันต้องไปรับหน้าที่คล้าย ๆ กับต้องช่วยขายของเสริมให้ผมมากกว่า มันพูดเองว่ามันไม่ค่อยชอบคุยกับใคร ทีนินทาคนนี่มึงปากเก๊งเก่ง ทีไอ้พูดแล้วให้เป็นเงินเป็นทองนี่เสือกไม่อยากจะทำ
แต่สุดท้าย วันถัดมาเราสองคนก็ต้องไปนั่งอบรมสินค้าตัวใหม่กับอาร์แอนด์ดี ซึ่งแม่งเอ๊ยเจาะลึกไปถึงอินกรีเดี๊ยนซ์ ผมน่ะฟังแล้วก็สบาย ๆ ส่วนไอ้ตี๋ที่ท่าทางเหมือนใกล้จะตาย ก็แม่งไม่ชอบเรียนหนังสือ
"สัสแกล้งทำเป็นเข้าใจหน่อย เดี๋ยวคนสอนเขาเสียใจ"
"ไอ้ห่ากูไม่เข้าใจสักนิด กูตายตั้งแต่ชื่อไอ้ส่วนผสมตัวแรกแล้วอะไรวะไอ้ อาโลอาเล" ไอ้ตี๋บ่นตอนที่ผมกับมันไปกินข้าวด้วยกันสองคนเพราะอบรมกันจนถึงบ่าย คนอื่นกินข้าวเสร็จกลับขึ้นออฟฟิศกันไปแล้ว ร้านอาหารตามสั่งใกล้ ๆ ออฟฟิศก็เลยค่อนข้างจะโล่ง
"เออน่ามึงไม่ต้องห่วงหรอก นี่มึงมากับใคร มึงมากับเฮียโจนะ"
"สัสก็เพราะมากับไอ้เฮี่ยโจนี่แหละ ที่กูกลัว" ไอ้ตี๋มันบ่นแล้วก็เคี้ยวตุ้ย ๆ ผมชอบชะมัดเวลามันทำหน้าคว่ำ มันจะเอาปากล่างขึ้นมาพาดบนปากบน หรือบางทีแม่งก็ทำแก้มป่อง น่าแกล้งให้แม่งร้องไห้ไปเลย
"มึง เย็นนี้ม๊ากูให้ชวนมึงไปแดกข้าวเย็นด้วย" ไอ้ตี๋มันพูดแบบเซ็ง ๆ
"ม๊ามึงไม่ไปแอโรบิกหรอ?" ผมถามอย่างหวั่น ๆ กลัวโดนลากไปเต้นแร้งเต้นกาอีก
"วันนี้ไม่ไปว่ะ"
"เอ่อ แล้วกูจะโดนลากไปเต้นด้วยไหมวะ?"
"ไม่"
"โล่งอก" ผมพูดแล้วก็ถอนหายใจ กูไม่ถนัดกับกิจกรรมประกอบเพลงเล๊ย
"ไม่เหลือสิไอ้เหี้ย กูว่าม๊ากูอยากได้ยอดไลค์ เลยอยากได้หางเครื่อง กูก็เลยซวยโดนไปด้วย มะวานม๊าถามกูใหญ่ว่า อาโจอีมากุงเทพแล้วใช่มั๊ยวะไอ้ตี๋" แน่ะนินทาแม่มึงแล้วเสือกทำสำเนียงจีนเกินเหตุล้อเสียด้วย จริง ๆ ม๊าของมันก็พูดชัดเท่า ๆ คนไทยนี่แหละ ก็โตแล้วก็เรียนที่เมืองไทยนี่หว่า ไอ้ตี๋แม่งก็บาปกรรมล้อแม่ตัวเอง ตายไปมึงเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม มือเท่าใบลานแน่ ๆ
"ไอ้เหี้ยโจ มึงเห็นไอ้เปรตเซลล์ใหม่ลูกน้องเฮียโกป่ะ หน้าแม่งโคตรขี้โกงอ่ะ" ไอ้ตี๋กระซิบกระซาบนินทาอันเป็นงานถนัดของมัน จริง ๆ มันก็ไม่ได้หน้าขี้โกงอะไรอย่างที่ไอ้ตี๋ว่าสักนิด แต่ไอ้เปรตนี่มันเป็นพวก ตาผีปากหมา เห็นอะไรก็ติเขาเก่ง จริง ๆ ไอ้เหี้ยนั่นก็จัดว่าเป็นคนหน้าตาใช้ได้ แต่ผมว่าโหงวเฮ้งแบบนี้ไม่ยอมเสียเปรียบแต่ก็ไม่ชอบเอาเปรียบใคร และที่ฟังลูกค้าพูดมาหมอนี่ก็นิสัยและรับผิดชอบใช้ได้อยู่
"เห็นแล้ว แต่ช่างแม่งเหอะ มันรับงานต่อจากกูก็ลำบากหน่อย กูทำมาตรฐานไว้สูง และที่สำคัญ สองเดือนนี้มันน่าจะไม่มียอดสั่งซื้อเลยเพราะกูอัดสินค้าไว้หมดแล้ว มันน่าจะทำงานได้แต่เงินเดือนไม่ได้ค่าคอมเลยอ่ะ" ผมว่าและไอ้ตี๋แม่งก็เสือกหัวเราะแบบโคตรสะใจ
"เชี่ย ดี ๆ สมน้ำหน้ามัน" ไอ้ตี๋หัวเราะคิกคักน่าหมั่นไส้
และวันแรกของการต้องออกทริปกับมันก็เริ่มต้นขึ้น ผมแพลนว่าอยากเริ่มทริปจากทางตะวันออกไล่ไปทางตะวันตก จุดหมายแรกคือจังหวัดระยองที่ผมลองคุยกับเฮียเซลล์คนเก่า แกก็แนะนำลูกค้าประจำของแกให้
"ค้างระยองสักคืนนะมึง แล้วพรุ่งนี้ขากลับเราไปหาของทะเลแดกกัน" ผมว่าคนอย่างไอ้ตี๋ต้องเอาของกินมาล่อ
"จริงหรอมึง เออ ๆ ดี ๆ แหมอยากแดกปูม้าว่ะ จิ้มน้ำจิ้มซีฟู้ดแซ่บ ๆ นะ ถ้ามียำไข่แมงดาด้วยก็ดีเลย หนูล่ะช้อบชอบ" นั่นไง ไอ้เปรตนี่มันเป็นซะอย่างนี้
แต่ปัญหาคือไอ้โรงแรมที่ระยองเนี่ย ผมจองไม่ทันน่ะสิ สอบถามเฮียเซลล์คนเก่า เขาก็แนะนำโรงแรมอีกแห่งซึ่งใหญ่โตแต่ค่อนข้างเก่าสักนิด และไอ้เหี้ยตี๋ที่แม่งตาขาวปอดแหก ก็หน้าเสียยามเมื่อเห็นสภาพโรงแรม
"เชี่ยจะมีปี๋มั๊ยวะ?" ไอ้เหี้ยตี๋พูดเสียงสั่น ๆ
"ไม่มีหรอก ผีเผอที่ไหน ไปไป๊ หยิบกระเป๋าเข้าไปเช็คอิน เดี๋ยวจะได้ไปแดกข้าวแล้วทำงานทำการ ผมทำเป็นแข็งขัน แต่จริง ๆ ผมก็พอจะรู้กิตติศัพท์ว่าโรงแรมนี้ก็ไม่เบาเหมือนกัน ใจไม่แข็งอย่าเสือกมาพักเลยเชียว
ทำงานกันจนถึงเย็น และเราก็นั่งกินข้าวที่ตลาดโต้รุ่งซึ่งเดินมาได้จากโรงแรม เนื่องจากเป็นเมืองท่องเที่ยว ตลาดโต้รุ่งก็เลยมีของกิน ของที่ระลึกจำหน่ายให้เดินดูเพลิน ๆ แต่กลายเป็นว่าได้ของกินติดมือนิดหน่อย และไม่ได้ของที่ระลึกอะไรเลยสักอย่าง แต่บรรยากาศมันก็สนุก เพราะคนเยอะครึกครื้น
แต่อีตอนกลับโรงแรมนี่น่ะสิไอ้ตี๋นี่ทำหน้าจ๋อยและความปากหมาก็หายไปเกือบครึ่ง ความผยองลดดีกรีเป็นศูนย์ เหลือไอ้ตี๋ที่มีสภาพเหมือนหมาหงอย
"มึงแวะซื้อพวงมาลัยก่อน" ไอ้ตี๋เห็นร้านขายพวงมาลัยมันก็รีบปรี่ไปซื้อมาทีเดียว
"ซื้อไปทำไมวะ?" ผมถามและมองอย่างงง ๆ
"ซื้อไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางไงมึง มาต่างถิ่นอย่างนี้เราก็ต้องอ่อนน้อมหน่อย เรามันชาวพุทธ" ไอ้ตี๋มันว่าและผมก็ขี้เกียจเถียงกับชาวพุทธของไอ้เวรนี่ที่ไหว้ผีไหว้สาง เอากับมันสิ
สินค้าตัวใหม่ยังขายได้ไม่มาก เรียกว่าได้บารมีจากเฮียเซลล์คนเก่าลูกค้าก็เลยลองซื้อกันอยู่บ้างแต่ยังไม่มาก และข้อดีก็คือผมไม่ต้องทำเอกสารอะไรให้มันยุ่งยาก เพราะเบิกสินค้าจากหลังรถได้เลย เขียนบิลให้เรียบร้อยและอย่าเสือกทำบิลหายก็เป็นพอ
"มึงไปอาบน้ำก่อนเลย" ผมไล่ไอ้ตี๋ที่แม่งทำท่าหวาด ๆ
"เออ ๆ กูไม่ได้ล็อกประตูห้องน้ำนะ ถ้ากูตะโกนหรือร้องเรียกอะไร มึงช่วยกูด้วยนา" ไอ้ตี๋พูดทำหน้าซีด นี่ถ้ากูแกล้งเปิดประตูเข้าไปตอนมึงกำลังอาบน้ำอยู่ มึงคงด่ากูจนถึงเช้าแน่ ๆ
ไอ้ตี๋มันอาบน้ำเสร็จในเวลาที่แสนว่องไว แม่งนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาใส่เสื้อผ้าข้างนอก และผมก็อดจะมองแผ่นหลังของมันไม่ได้เพราะแม่งโคตรขาว ต้นขานั่นอีก ส่วนแขนของมันกลับดำกว่าส่วนอื่นเพราะมันชอบใส่เสื้อแขนสั้นเวลาขับรถ
"มองเชี่ยไร?" ไอ้ตี๋หันมาตะคอกเมื่อเห็นว่าผมมองมันอยู่
"เปล๊า" ผมว่าและถึงตาของผมที่จะไปอาบน้ำบ้าง
"ไอ้ตี๋กูไม่ปิดประตูนะ กูรู้ว่ามึงกลัวผี กูเปิดประตูไว้มึงจะได้อุ่นใจโอเคป่ะ?"
"เออ ไอ้เชี่ย" ไอ้ตี๋มันพูดเหมือนเสียไม่ได้ และผมก็อาบน้ำไปร้องเพลงไป เสียงอาจจะเหี้ยไปหน่อย แต่มันก็ทำให้สบายใจ
"สัสกูนึกว่ามีฆาตกรรมในห้องน้ำ เสียงแม่งโคตรโหยหวน" ผมเดินออกมาจากห้องน้ำไอ้เหี้ยตี๋ก็ด่ากูเลย
"นอน ๆๆ" ผมว่าและเดินไปปิดไฟเหลือแค่โคมไฟเล็ก ๆ ที่หัวเตียง
"ไอ้เหี้ยมึงไม่ใส่เสื้อผ้าหรือไง?" ไอ้ตี๋หันมาตะคอก
"ใส่ทำเหี้ยอะไร มึงดูสภาพโรงแรมนี้สิ กูกันเหนียวไว้ก่อน หรือมึงจะให้กูใส่แล้วมึงเป็นคนถอดเองล่ะ?" ผมหันไปถาม ไอ้เหี้ยตี๋ก็นอนคุมโปงซะเลย ไม่แน่จริงนี่หว่า
"ไอ้โจ เลื่อนเตียงมาใกล้ ๆ กันได้ป่ะ" ไอ้ตี๋พูดเสียงสั่น ๆ
"เออ กูเลื่อนเองมึงขึ้นเตียงแล้วก็นอนไป" ผมพูดแล้วก็เลื่อนเตียงของตัวเองไปจนชิดกับเตียงของมัน แล้วผมก็กระโดดขึ้นที่นอน แล้วค่อยดึงผ้าขนหนูออกจากตัวเอาไปผึ่งไว้ที่ปลายเตียงเอาผ้าห่มคลุมให้มิดชิด ถ้าอีผีตัวไหนมาหลอกกู กูก็เปิดผ้าห่มแม่งเลย เจอไอ้บิ๊กโจแล้วมึงยังทนอยู่ได้ ก็ยอมใจมึงล่ะ ปลัดขิกก็ปลัดขิกเถอะ เจอปลัดโจขึ้นมามึงหนีป่าราบแน่ ๆ