ณ ประเทศแห่งหนึ่งซึ่งเพียบพร้อมไปด้วยวัฒนธรรมหลาย ๆ สิ่งถูกพัฒนาขึ้นจากศูนย์และก้าวหน้าเพื่อให้มันเกินร้อย แต่อยู่มาวันหนึ่ง เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์...วันที่อาวุธสงครามชั้นหนึ่งอย่าง ‘ปืน’ ถูกสั่งกำจัดทิ้งให้หมดจากโลกใบนี้เพราะความอันตรายและความได้เปรียบของมันในด้านสงคราม ด้วยเหตุนั้นผู้คนในประเทศจึงเริ่มกลับมารื้อฟื้นวิถีการต่อสู้และอาวุธที่มีมาแต่เดิมซึ่งเป็นดั่งสัญลักษณ์ของประเทศและเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษได้ใช้กอบกู้บ้านเมืองอยู่ร่ำไป
นักดาบ
ชื่อเรียกของผู้กล้าที่กวัดแกว่งดาบเพื่อปกป้องแดนอาทิตย์อุทัยถูกรื้อกลับมาอีกครั้ง ในสถานการณ์เช่นนี้ผู้คนต่างพากันหาที่พึ่งพาและท้ายที่สุดก็กลายเป็นหนึ่งในอุดมคติของเด็กรุ่นหลังต่อ ๆ มาจนถึงทุกวันนี้ นั่นเป็นอาชีพที่เธอพึงใจและใฝ่ฝันอยากจะเป็น การได้จับดาบเพื่อปกป้องใครสักคนช่างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและชวนฝัน
การได้จับดาบอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันในวัยเด็ก
ปัง!
แต่ก็เป็นจุดจบของชีวิตได้เช่นกัน
“อ่อค...” ของเหลวสีแดงฉานซึมผ่านหน้าอกข้างซ้ายและไหลรินเปรอะเปื้อนไปจนถึงลำตัวเช่นเดียวกับริมฝีปากบางที่ถูกย้อมด้วยเลือด ตรงหน้ามีใครคนหนึ่งเนื้อตัวสั่นเทาพลางจ้องมองตรงมาแต่ไม่ทันจะได้เห็นสีหน้าของเขาร่างกายบอบช้ำนั้นได้เสียการทรงตัวและทิ้งตัวลงไม่บอกกล่าว
“ไม่นะ แบบนี้อีกแล้ว” ร่างสั่นเทาพุ่งเข้ารับคนตรงหน้าไว้ได้ทันท่วงทีพลันสัมผัสใบหน้าที่เริ่มซีดเผือด หยดน้ำใสไหลรินลงอาบแก้มจนสายตาแทบพร่ามัว เขากัดริมฝีปากแน่นก่อนจะร้องเรียกคนตรงหน้าด้วยเสียงสั่นเครือ
“ตื่นสิ ได้โปรด” เขาอ้อนวอน
“ตื่นสิ...”
“นาโอะจัง!”
เสียงเรียกดังจ่อหูกระชากให้ใครคนหนึ่งสะดุ้งตื่น ร่างบางพลันกระเด้งตัวลุกจากโซฟานุ่มมาตะโกนลั่น
“เหวอ! ตื่นแล้วค่า!”
“อุ๊ย นี่ฉันเสียงดังเกินไปหรือเปล่าจ๊ะ?” นาโอริหันมองเจ้าของเสียงหวานเผยให้เห็นเด็กสาวผมสั้น เธอมีเรือนผมและนัยน์ตาสีเงินและบัดนี้เจ้าตัวก็กำลังอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนน่ารัก แถมยังถือทัพพีไว้ในมืออีกด้วย
“ป เปล่า...ฉันแค่ฝันนิดหน่อย...ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าซากิ?”
“ฉันจะบอกว่าอาหารเย็นเสร็จแล้วจ้ะ รีบทานแล้วก็เข้านอนกันเถอะวันนี้เหนื่อยกับเรื่องจัดห้องมาทั้งวันแล้ว พรุ่งนี้ก็เปิดเทอมวันแรกด้วย แถมเขาบอกว่าวิชาปฏิบัติจะเริ่มตั้งแต่วันแรกเพราะงั้นเราควรเก็บแรงไว้จะดีกว่า”
ได้ยินอีกฝ่ายพูดก็ช่วยเตือนความจำให้กับนาโอริเป็นอย่างดี ว่านอกจากตอนนี้เธอจะเพิ่งได้เป็นนักเรียนมัธยมปลายเต็มตัวและต้องเริ่มใช้ชีวิตเด็กหอกับรูมเมตคนใหม่แล้ว โรงเรียนในฝันที่เธอดั้นด้นสอบเข้ามาอย่างชิบุนางินั้นก็ไม่ใช่โรงเรียนธรรมดา แต่เป็นโรงเรียนสำหรับนักดาบที่ราชวงศ์ฮิบานะตั้งขึ้นเพื่อคนที่สนใจ และมีตารางเรียนที่ไม่เหมือนกับโรงเรียนทั่วไปสักเท่าไหร่ บัดนี้สาวเจ้าควรจะเริ่มชินกับบรรยากาศแปลกใหม่นี้ให้ได้ ก่อนที่จะนอนไม่หลับเพราะแปลกที่จนไปสลบเหมือดในคาบแรกของวันพรุ่งนี้
“ข ขอบคุณนะ เดี๋ยวฉันตามไป”
“จ้า” ซากิวาดยิ้มพร้อมหันหลังกลับไปตระเตรียมโต๊ะอาหารต่อ ปล่อยให้นัยน์ตาสีซากุระเหลือบมองท่าทีนั้นก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“เป็นคุณหนูที่เพียบพร้อมจริง ๆ แหะ...”
นาโอริได้แต่คิดว่าซากินั้นถอดมาจากคุณหนูในหนังที่เคยดูบ่อย ๆ เลยล่ะ ทั้งคำพูดคำจาน่ารัก กิริยาวางตัวที่ดีไปจนถึงของใช้สอยหรูหราที่เจ้าตัวนำมาไว้ในหอพัก เรียกว่านาโอริเป็นต้องเหงื่อตกในทีแรกว่าคุณหนูผู้นี้จะไม่ชอบทำอะไรด้วยตัวเองจนทำให้ชีวิตหอพักครั้งแรกของเธออึดอัดหรือเปล่า แต่ความคิดนั้นกลับเปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มจัดของในหอพัก เพราะได้ซากิคอยช่วยจัดการเรื่องยิบย่อยในห้องใหม่แทบทุกกระเบียดนิ้วจนสามารถจัดห้องเสร็จได้ภายในไม่ถึงครึ่งวัน
“ช่วยจัดของยังไม่พอ ยังทำอาหารเย็นให้ทานอีก ไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย...” เด็กสาวเอ่ยพลางเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้สวยงาม ยิ่งมีแจกันดอกฮิกันบานะสีแดงสดตั้งหราไว้กลางโต๊ะก็ยิ่งดูหรูขึ้นมาทันตา ถึงความหมายของมันจะไม่ดีก็เถอะ....
“ฉันเห็นนาโอะจังกำลังหลับปุ๋ยอยู่เลยอยากทำไว้รอ เผื่อตื่นมาแล้วหิวน่ะ”
“ย อย่าพูดเหมือนกับฉันเป็นเด็กสิ” นาโอริเบ้ปากพลันหน้าขึ้นสี
“ฮ่า ๆ ขอโทษจ้ะ แต่ฉันตั้งใจทำสุดฝีมือเลย ถือว่าเป็นการฉลองที่พวกเราบังเอิญได้อยู่หอเดียวกันไง!”
“นั่นสิ อะไรจะบังเอิญขนาดนั้นก็ไม่รู้” ว่าแล้วสาวเจ้าก็วาดยิ้มกริ่มออกมา พลางคิดถึงตอนที่เธอดันไปเดินชนกับซากิตรงสี่แยกอย่างกับพล๊อตโหลในการ์ตูนสาวน้อย และโชคชะตาก็ผูกพวกเธอทั้งสองให้ตัวติดกันตั้งแต่นั้นโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะนอกจะรู้ว่าเรียนโรงเรียนชิบุนางิเหมือนกันแล้ว อีกฝ่ายก็ยังเป็นรูมเมตที่เธอจะต้องใช้ชีวิตร่วมด้วยตลอดการเรียนสี่ปี ช่างประจวบเหมาะเกินกว่าจะเรียกว่าบังเอิญอีกนะโชคชะตาเอ๋ย!
“ถ้างั้นกิจกรรมแรกในปาร์ตี้ฉลองนี้....เอาเป็นผลัดกันเล่าเรื่องของตัวเองไหม?” นาโอริเสนอความคิด
“เรื่องตัวเองเหรอ?”
“ใช่ ก็แบบว่าเป็นใครมาจากไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไรทำนองนั้น เพราะตอนเช้าก็มัวแต่วุ่นกับการจัดของจนไม่มีเวลาได้ทำความรู้จักกันจริงจังเลยนี่นา”
“ได้สิ ฉันก็อยากรู้จักนาโอะจังเพิ่มเหมือนกัน” ซากิแย้มยิ้มตอบ
ว่าแล้วสองสาวจึงผลัดกันเล่าเรื่องราวของตัวเอง นาโอริเลยได้รู้ว่าซากินั้นเป็นลูกสาวของตระกูลโฮชิ ตระกูลนักดาบเก่าแก่ที่อยู่มายาวนานซึ่งจะมีเอกลักษณ์เป็นเรือนผมและดวงตาที่เป็นสีเงินวาว ส่วนเรื่องที่เธอเข้ามาเรียนที่ชิบุนางิก็เพราะอยากจะสานต่อเจตจำนงของตระกูลและเป็นเหมือนคุณปู่ของเธอที่สร้างชื่อเสียงไว้มากมายในอดีต
“แล้วนาโอะจังล่ะ มาจากตระกูลอะไรหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่เลย! ก็แค่ครอบครัวธรรมดานี่แหละ แต่พ่อกับแม่ฉันแยกทางกันตั้งแต่ก่อนฉันเกิดเสียอีกน่ะ ตอนนี้เลยอยู่กับแม่สองคน” ซากิชะงักกับคำตอบของอีกฝ่ายพลันขมวดคิ้วรู้สึกผิด
“ฉันขอโทษนะ ที่ต้องให้มาเล่าเรื่องปวดใจแบบนี้...”
“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้วล่ะ อีกอย่างฉันอยู่กับแม่ก็มีความสุขดีจะตาย” นาโอริยักไหล่
“แล้วได้เจอคุณพ่อบ้างรึเปล่า?”
“แม่ไม่เคยบอกว่าพ่ออยู่ที่ไหนหรือเป็นคนยังไง และฉันก็ไม่อยากถามด้วยเพราะแม่ชอบทำหน้าเจ็บปวดทุกครั้งที่ถามเลยน่ะ”
“แล้วแบบนี้นาโอะจังไม่สงสัยเหรอว่าคุณพ่อคือใคร?”
“ใครว่าล่ะ ฉันเคยสงสัยถึงขั้นจะแอบเข้าไปค้นของในห้องแม่เลยนะ แต่ก็โดนจับได้บวกกับเทศนาเป็นชั่วโมงแหนะ จากนั้นก็ไม่กล้าอีกเลย...” นาโอริเบ้ปากพลางเหงื่อผุดข้างขมับ เธอจำได้ดีว่ามารดาทำสีหน้าน่ากลัวเพียงใดตอนจับเธอได้
ถึงเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวจะเป็นสิ่งละเอียดอ่อน แต่นาโอริก็เลือกจะเล่าเรื่องของเธอให้ซากิฟังอย่างสนุกสนาน ซ้ำยังได้ประกาศแจ้งเรื่องความฝันสุดยิ่งใหญ่ที่พาให้เธอทุ่มสุดตัวเพื่อเข้ามาเรียนที่ชิบุนางิ อย่างความชอบในอาชีพนักดาบที่ผลิบานในใจมาตั้งแต่ยังเด็ก สาวเจ้าเชื่อว่าความชอบในด้านการกวัดแกว่งดาบนี้จะต้องมาจากบิดาที่ไม่เคยพบหน้าอย่างแน่นอน
ไม่แน่พ่อของเธออาจจะเป็นนักดาบผู้เก่งกาจก็ได้นะ!
“เอ๊ะ แต่แบบนั้นมันอาจจะใช้พิสูจน์ไม่ได้...”
“ถึงจะไม่รู้ว่าได้หรือเปล่าแต่ฉันก็เชื่อแบบนั้นนะ เพราะฉันรู้ดีว่าแม่ไม่ชอบการต่อสู้แนวนี้เท่าไหร่ แม้แต่ตอนที่ฉันอยากเข้าชิบุนางิแม่ก็เกือบจะค้านไม่ให้สมัคร แถมตอนนั้นแม่ก็พูดออกมาให้ได้ยินเต็มสองหูเลย....” นาโอริกอดอกเล่าย้อนกลับไปเมื่อครั้งแรกที่เธอพูดกับผู้เป็นแม่ว่าต้องการสอบเข้าชิบุนางิและอีกฝ่ายก็พยายามจะแย้งเธอ
.
.
“หนูอยากเป็นนักดาบนี่คะ มันเท่มาก ๆ เลยนะ!”
“แม่ไม่อยากให้หนูเดินทางนั้นเลยนะ”
“ทำไมล่ะคะ มันไม่ดีตรงไหน?” วินาทีนั้นผู้เป็นแม่ได้แต่อ้ำอึ้งกับคำถามของเด็กสาว ทว่านาโอริก็โตพอจะดูสีหน้าเจ็บปวดนั้นออกว่าอีกฝ่ายมีเรื่องที่ฝังใจอยู่ลึก ๆ และคงเป็นต้นเหตุให้มารดาอยากรั้งเธอไม่ให้เดินในเส้นทางนี้
แต่สุดท้ายเธอก็ยอมที่จะปล่อยลูกสาวสุดที่รักให้สอบเข้าชิบุนางิได้สำเร็จ
“หนูดูแลตัวเองได้ค่ะแม่ ไม่ต้องห่วงนะคะ” รอยยิ้มเจิดจ้าปรากฏบนใบหน้าและกอด ผู้เป็นแม่ให้แน่นที่สุดราวอยากจะยืนยันให้อีกฝ่ายสบายใจ
และวินาทีนั้นเองที่นาโอริได้ยินเสียงเครือของมารดาที่พึมพำใกล้หู...
“ทำไมถึงเหมือนกันได้ขนาดนี้นะ”
หลังจากนั้นสาวเจ้าก็ปักใจเชื่อมาตลอดว่าความชอบของเธอจะต้องได้รับมาจากผู้เป็นพ่อที่เกี่ยวข้องกับอาชีพนักดาบนี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเป็นแน่!
.
.
“นั่นแหละทฤษฎีของฉันล่ะ!” ซากิได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ กับความคิดของรูมเมตที่จะเรียกว่าเหลือเชื่อหรือชวนให้งงก็ไม่แน่ใจ ทว่ายามจ้องมองใบหน้าร่าเริงนั้น เธอก็อยากจะให้กำลังใจและหวังให้สิ่งที่อีกฝ่ายคิดเป็นจริงเสียให้ได้
“อย่างนี้นี่เอง...ยังไงเธอก็มีสายเลือดของคุณพ่ออยู่ในตัวนี่นะ ถ้าเขาอยู่ในสายอาชีพนักดาบเหมือนกันสักวันหนึ่งจะต้องได้เจอกันแน่ ๆ ฉันเชื่อแบบนั้น” ซากิกุมมือเพื่อนสาวไว้แน่น ไออุ่นจากมือส่งผ่านไปถึงเจ้าตัวรับรู้ถึงความจริงใจที่อีกฝ่ายมีให้
“ฉันก็หวังให้เป็นอย่างนั้น...ขอบใจนะซากิ!”
บรรยากาศอบอุ่นก่อตัวรอบกายสองสาวท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักสนุกสนาน ทำให้มื้อค่ำของคืนแรกในหอพักหรูหราเป็นมื้อค่ำสุดวิเศษที่จะประทับในใจพวกเธอไปแสนนาน เพราะนอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตโรงเรียนครั้งใหม่...
ก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางตัดขาดได้ของทั้งสองด้วย
.
.
.
ถัดออกไปจากหอพักนักเรียนที่เรียงราย มีตึกโมเดิร์นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองตึกขนาบกัน รอบด้านล้อมรอบด้วยต้นซากุระสีชมพูสวย ทั้งตึกเป็นกระจกใสและมีทางเชื่อมลอยฟ้าข้ามไปมาระหว่างตึกได้
ตึก ๆ
ซึ่งบัดนี้ใครคนหนึ่งกำลังใช้งานทางเชื่อมนั้นเพื่อไปยังเป้าหมายของตน ในอ้อมแขนมีห่อผ้าสีขาวเป็นทรงยาวถูกถือไว้และดูเหมือนว่ามันจะเป็นต้นเหตุให้ร่างเพรียวต้องจ้ำอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เพราะนอกจากจะถูกวานให้เข้ามาในตึกเรียนอย่างกะทันหันแล้ว กลิ่นอายหนักอึ้งของสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าก็กำลังพาให้เธออยู่ไม่สุขนัก
ครืด
ครั้นถึงจุดหมาย มือเรียวพลันเปิดมันออกและเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วก่อนจะวางเจ้าห่อผ้านั่นลงบนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกล
“เฮ้อ...กลิ่นอายรุนแรงกว่าทุกทีเสียอีก” หญิงสาวเอ่ยเสียงเรียบขณะก้มมองฝ่ามือของตน มันสั่นเทิ้มเล็กน้อยยามนึกถึงสัมผัสที่อยู่ในมือเมื่อครู่นี้ ดวงตาสีทองอร่ามเบนมองห่อสีขาวบนโต๊ะอีกคราพร้อมสูดหายใจลึก เธอกลั้นใจแก้มัดผ้าสีขาวออกและเปิดมัน เผยให้เห็นดาบไม้สำหรับนักดาบฝึกหัดเล่มหนึ่งนอนอยู่ข้างใน
“ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเบื้องบนจะฝืนเอามันกลับมาอีกทำไม...” เธอส่งเสียงฮึดฮัดพลางหยิบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวังและเก็บมันใส่ถุงผ้าสีขาวอีกถุงหนึ่งที่บรรจุดาบไม้แบบเดียวกันไว้มากมาย ทว่าเธอกลับไม่เลือกจะวางมันไว้ด้านบนสุดแต่ยัดมันลงไปแทบจะถึงก้นถุงซ้ำยังใช้ดาบไม้เล่มอื่นปิดจนมิดอีกต่างหาก
“ถ้ามีใครล้วงไปหยิบถึงอีก คงจะเป็นโชคชะตาที่แท้จริงของนายแล้วล่ะ”
หญิงสาวจัดแจงมัดห่อผ้าเสร็จสรรพและวางมันทิ้งไว้บนโต๊ะเช่นนั้น ไม่ทันไรเธอก็รีบตรงไปที่หน้าประตูเพื่อจะออกจากบรรยากาศชวนอึดอัดนี่เสียที แต่ก่อนจะได้ก้าวออกไปบางสิ่งกลับดลใจให้ต้องเหลือบมองถุงอ้วนนั่นอีกครั้ง
“คราวนี้...หวังว่าจะเจอคนที่ถูกใจนายจริง ๆ นะ”
ปึง
ประตูบานเลื่อนถูกปิดสนิท ห้องทำงานได้กลับสู่ความเงียบดังเดิมและมีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา
ฟู่ว..
ในห้องที่ปิดสนิทไม่มีช่องให้อากาศลอดผ่านและไม่ควรจะเหลือใครอยู่ด้านใน บัดนี้กลับมีสายลมอ่อน ๆ ก่อตัววนรอบถุงผ้าสีขาวบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับน้ำเสียงทุ้มที่เล็ดลอดมาจากด้านในของถุงทว่ากลับดังชัดเจนในความเงียบ
“ฉันก็หวัง...ให้เป็นแบบนั้น”
To be continue....
==========================================
จบไปแล้วกับตอนแรก!!
มาติดตามชีวิตในโรงเรียนของน้องนาโอะไปด้วยกันนะฮะะ ;>
ใครชื่นชอบกดติดตามกันได้ฮะ มันเป็นกำลังใจที่ดีแก่เรามาก ๆ เลย
ปล.!! ถึงตอนแรกจะเรียบ ๆ แต่อย่าเพิ่งหนีกันไปไหนน้าาา ; - ;
つづく、psrpowder