จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
ฟึบ
ยังไม่ทันจะกะพริบตาร่างสูงก็เข้าประชิดตัวอาจารย์ สองมือตวัดดาบหวังจะให้โดนลำตัวแต่ซาวาเบะก็ใช้ดาบรับมันด้วยมือข้างเดียว
“ในความเป็นจริงไม่ควรทำแบบนี้นะ ไม่งั้นมือพวกเธอได้ขาดเป็นสองท่อนแน่ ๆ” หญิงสาวเอ่ยอย่างสบาย ๆ เธอเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย
แขนเรียวเพิ่มกำลังปัดดาบให้ยกขึ้นก่อนจะใช้ขาเรียวเตะไปที่ท้องอย่างจัง ทำเอาฝ่ายของเด็กหนุ่มปลิวไปไกล เขากุมท้องตัวเองอย่างทรมานก่อนจะกระชับดาบในมือให้แน่นขึ้นอีกครั้ง ปลายเท้าส่งแรงดีดตัวพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้อีกครั้ง ทั้งสองประดาบกันอย่างจังต่างคนต่างต้านแรงของอีกฝ่าย ก่อนจะเป็นฝ่ายเด็กหนุ่มที่ตวัดเท้าขวาตัดขาอาจารย์สาวทำให้เสียหลักและใช้จังหวะนั้นง้างดาบขึ้นเหนือหัวเตรียมจะฟาดลงมาสุดแรง ทว่าซาวาเบะที่เร็วกว่าอาศัยจังหวะที่หงายหลังลงไปเตะขาสูงปัดดาบหลุดจากมือเด็กหนุ่ม ก่อนที่ตนเองจะตีลังกากลับมาและใช้ปลายดาบจ่อไปที่คอของอีกฝ่ายเป็นสัญญาณว่าตนเป็นฝ่ายชนะ
“ก็...ประมาณนี้แหละนะ” ว่าแล้วเธอจึงลดดาบลงพลันหันไปพูดกับนักเรียนที่เหลือซึ่งกำลังอึ้งกับการต่อสู้เมื่อสักครู่ แม้จะเป็นเวลาไม่กี่วินาทีแต่ต้องยอมรับว่าความสามารถของเด็กผู้ชายคนนี้เยี่ยมยอดมาก แม้แต่ซาวาเบะยังเอ่ยชมถึงอีกฝ่ายจะทำหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ก็เถอะ
“เก่งจังเนอะหมอนั้น” นาโอริเอ่ยกับซากิที่อยู่ข้าง ๆ เธอพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเช่นกัน
“อือ โมโมเสะคุงเนี่ยเป็นอันดับต้นๆของนักเรียนรุ่นเดียวกันเลยล่ะ เห็นว่าสอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถล้วน ๆ เลยนะ”
“เธอรู้จักด้วยเหรอ?” เด็กสาวเอียงคอเล็กน้อย
“อ เอ่อ รู้จักสิ เขาเป็นถึงทายาทของตระกูลนักดาบที่เป็นสหายเคียงคู่กับราชวงศ์มาหลายรุ่นเลยล่ะ” นาโอรินึกภาพตามสิ่งที่ซากิกล่าว เธอเองก็เริ่มรู้สึกคุ้นกับนามสกุลนี้เช่นกัน เพราะเคยได้ยินในข่าวที่มารดาเปิดดูบ่อย ๆ
“เป็นถึงทายาทตระกูลนักดาบแต่กลับแพ้อาจารย์ธรรมดาคนหนึ่งน่ะเหรอ เหอะๆ”
“ทำให้ได้เท่าเขาก่อนแล้วค่อยพูดจะดีกว่านะ...” เสียงทุ้มเรียบกัดได้เจ็บแสบมาก ทำเอาเด็กสาวกัดฟันกรอดกลั้นใจไม่ให้เกิดสงครามทะเลาะอีก
“ทั้งสองดูสนิทกันเร็วจังเลยนะ แค่วันแรกแท้ ๆ ” ซากิยิ้มกว้างให้กับภาพตรงหน้า นาโอริถึงกับเบ้ปากเธอไม่คิดอย่างนั้นสักนิด เธอกังวลเสียมากกว่าว่าจะทนไปได้อีกสักเท่าไหร่ คิดแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนาอยู่นั้นซาวาเบะพลันพูดแทรกเสียงของเหล่านักเรียนขึ้น
“มัวคุยอะไรอยู่ได้ อย่าคิดว่าฉันจะให้ออกมาสาธิตแค่คนเดียวนะ พวกเธอต้องมาเจอกับฉันทุกคน!” เหล่านักเรียนอุทานเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนจะถูกอาจารย์สาวเรียกออกมาประดาบกันรายคน แน่นอนว่าไม่พ้นพวกนาโอริเช่นกันสาวเจ้าจึงได้แต่พูดให้กำลังใจตัวและเตรียมพร้อมรอเรียกชื่อต่อไป..
ขณะนั้นเองเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีบ๊วยแดงที่ยืนดูเพื่อนร่วมชั้นประดาบกับอาจารย์สาวคนแล้วคนเล่าพลันเอ่ยบางสิ่งออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“ห่วยชะมัด....แบบนี้น่ะเหรอจะมาเป็นนักดาบ แค่ท่าทางการจับดาบก็ผิดแล้ว” ดวงตาสีเลือดจ้องท่วงท่าของนักเรียนทีละคน ๆ แต่ดูเหมือนจะยิ่งทำให้หงุดหงิดกว่าเดิมเสียอีก
“ต่อไป...เธอ!”
คราวนี้เป็นตาของนาโอริที่จะออกไปประดาบ มือทั้งสองข้างจับด้ามดาบแน่น ร่างเล็กย่อตัวเล็กน้อยเป็นการตั้งท่าจนกระทั่งซาวาเบะให้สัญญาณเริ่มเธอจึงพุ่งเข้าโจมตีทันที เด็กหนุ่มที่เฝ้ามองอยู่ไม่ไกลกำลังพินิจพิเคราะห์ท่วงท่าของอีกฝ่าย มุมปากเรียวยกยิ้มเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น
“ถึงจะเก้ ๆ กัง ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ดีกว่าคนอื่นหน่อยนึงล่ะนะ...” การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป แน่นอนว่าฝีมือของนาโอริยังไม่มากพอที่จะชนะอาจารย์ได้ แต่เธอก็ได้รับคำชมเรื่องของกระบวนท่าที่เกือบจะถูกทั้งหมดดั่งเช่นที่เด็กหนุ่มกล่าวไว้
“อาจารย์คะ ถ้าอยากจะฝึกกระบวนท่าให้ดีหนูควรทำยังไงคะ?”
“ทำไมเธอไม่ไปลองถามเพื่อนในห้องดูล่ะ มีตัวเต็งอยู่ในห้องทั้งคนใช้ให้เป็นประโยชน์สิ” ซาวาเบะกลอกตาไปทางที่โมโมเสะยืนอยู่แม้เขาจะไม่ได้สังเกตก็ตาม นาโอริเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะขอบคุณอาจารย์และกลับมาหาซากิที่ทดสอบไปก่อนแล้ว
“กระบวนท่าสุดยอดเลยนาโอะจัง ดูสง่ามากเลย”
“ไม่หรอก ฉันเกร็งจนปวดตัวไปหมดแล้วล่ะ”
“ถือทำได้ดีทีเดียว ดูท่าจะไม่ได้เก่งแค่คุยอย่างเดียวเสียแล้วสิ” จูลิโอ้พูดปนหัวเราะ แม้ไม่ได้พูดอะไรแต่ในใจเด็กสาวก็เต้นรัวอย่างดีอกดีใจที่มีคนชมถึงจะเคยเป็นคนก็เถอะ...
.
.
.
คาบเรียนในวันแรกผ่านไปใช้เวลาร่วมสามชั่วโมง เล่นเอานักเรียนล้มพับไปตาม ๆ กันเมื่อกริ่งสัญญาณหมดคาบเรียนดังพวกนาโอริพากันเดินกลับไป ณ หอพักด้วยแรงเฮือกสุดท้ายก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างเหนื่อยล้าอยากจะหลับไปทั้งอย่างนี้เสียเลยแต่มันติดตรงเนื้อตัวที่มีกลิ่นเหงื่อกับท้องที่ร้องกิ่วมาตั้งแต่ที่ตึกเรียนแล้ว
“นาโอะจังไปอาบน้ำก่อนไหม เดี๋ยวฉันทำมื้อเย็นให้” ซากิพูดพลางเปิดตู้เย็นและเลือกหยิบสิ่งที่จะนำมาทำออกมา ดูเหมือนวันนี้จะทำคัตสึด้งเสียด้วย
“ให้ฉันช่วยเถอะ เมื่อเช้าเธอก็ทำให้ฉันแล้วนี่”
นาโอริลุกจากโซฟานุ่มมาช่วยซากิถือวัตถุดิบที่เยอะจนแทบจะล้นมือ ทั้งสองจัดการหั่นวัตถุดิบต่าง ๆ รวมถึงปรุงรสอาหาร จนในที่สุดก็ได้คัตสึด้งแสนอร่อย! นาโอริจัดเตรียมอุปกรณ์การกินอย่างรวดเร็วราวกับอยู่บ้านของตน ซากิเองก็ช่วยนำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ
“ทานแล้วนะคะ!” สองเสียงเอ่ยประสานกันในมือถือตะเกียบพร้อมและเริ่มลงมือคีบอาหารเข้าปากทันที รสกลมกล่อมที่ซึมผ่านลิ้นพาให้เด็กสาวยิ้มร่าอย่างมีความสุข แต่จู่ ๆ เธอดันเผลอมองหน้าเพื่อนสาวซ้อนทับกับใบหน้าของมารดา ในใจพลันคิดว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะปกติตัวเธอจะอยู่กินข้าวเย็นกับแม่ตลอดและในตอนที่ยังไม่รู้สึกตัวเสียงของซากิก็ดังขึ้น
“นาโอะจัง เธอร้องไห้ทำไม!?” ใบหน้าเรียวมองด้วยความเป็นห่วง เจ้าตัวที่ได้ยินเช่นนั้นจึงพึ่งรู้ว่ามีน้ำใสๆค่อยไหลผ่านแก้มนวลสองข้าง
“บอกฉันสิ...เป็นอะไร?” ซากิเอื้อมมือมากุมมืออีกฝ่ายไว้ พยายามปลอบประโลมอย่างถึงที่สุด
“ฉันแค่คิดถึงแม่น่ะ...ปกติจะอยู่ด้วยกันตลอด แต่พอแยกมาแบบนี้มันรู้สึกแปลก ๆ” เด็กสาวเกาศีรษะกลบเกลื่อน ก่อนจะปาดน้ำตาที่หยดแหมะ คงเป็นเพราะตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยห่างจากแม่เลยสักครั้งแค่ ตอนไปโรงเรียนก็คิดถึงใจจะขาด มันก็แน่ล่ะเพราะในชีวิตเธอมีแค่ผู้เป็นแม่คนเดียวเท่านั้น นาโอริไม่เคยได้เจอญาติทั้งฝ่ายแม่หรือพ่อเลย เธอไม่รู้จักใครเลยนอกจากแม่ของเธอ....
ซากิพยายามปลอบเพื่อนสาวอย่างสุดความสามารถพร้อมบังคับให้อีกฝ่ายเข้าห้องไปพักผ่อนเสีย ส่วนตัวเธอจะจัดการเก็บกวาดเอง ดวงตาสีเงินวาวสั่นระริกเพราะอดเป็นห่วงเพื่อนของเธอไม่ได้ ซากิได้แต่หวังว่านาโอริจะปรับตัวได้ในเร็ววัน
.
.
.
วี้ด
เสียงลมพัดผ่านใบหูเกิดเป็นเสียงเล็กแหลม แต่กลับฟังดูสงบ ครั้นลืมตาขึ้นภาพตรงหน้าปรากฏต้นซากุระสีชมพูอ่อนดั่งเช่นดวงตาของเด็กสาว น่าแปลกที่ไม่สามารถมองเห็นตัวเองได้แต่กลับรู้สึกเหมือนยืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
“ที่นี่อีกแล้ว” เสียงหวานก้องกังวานไปทั่วบริเวณรอบ ๆ ภาพนี้ช่างสวยงามยากเกินจะปฏิเสธ หากเป็นความฝันก็ขอมองมันไปตลอดเลยยิ่งดี
“นาโอริ..” จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไกลโพ้น ทว่านาโอริกลับไม่รู้ว่ามันมาจากที่ใดเพราะมันก้องอยู่ในหัว ยามกวาดตามองรอบด้านและไม่พบอะไรสาวเจ้าพลันตัดสินใจขยับปากถามต้นตอเสียงนั้น
“ลองเดาดูสิ” เสียงที่ตอบกลับมาช่างอ่อนโยนและน่าโหยหาอย่างน่าประหลาด จนรู้สึกว่าอยากจะได้ยินอีก อยากได้ยินไปเรื่อย ๆ
“หา ฉันจะไปรู้เหรอ?” นาโอริย่นคิ้วพลางมุ่ยหน้าออกมา และไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะกังวานอยู่รอบตัว ตอนนี้เด็กสาวเริ่มจะคิดว่าความฝันนี้ช่างแปลกพิกล นอกจากเธอจะทำได้แค่มองทิวทัศน์รอบตัวโดยที่ขยับไปไหนไม่ได้ เจ้าเสียงที่หยอกเย้าเธออยู่ก็ไม่มีท่าทีจะยอมให้คำตอบว่าทุ่งดอกซากุระนี่คืออะไร ทว่าราวกับทุกความคิดของเด็กสาวมันโปร่งใสเช่นเดียวกับร่างกายในฝัน เสียงปริศนาจึงเอ่ยประโยคตอบโต้เธอได้หน้าตาเฉย
“เพราะเชื่อมฝันครั้งแรกเลยไม่แปลกที่กายเนื้อจะยังไม่ปรากฏในนี้ ผ่านไปอีกหน่อยเธอจะชินเอง...ส่วนต้นซากุระนี่ เอาเป็นว่ามันคือสถานที่นัดพบก็แล้วกัน”
“ร รู้ความคิดฉันได้ยัง!? ยังไม่ได้พูดสักคำเลยนะ”
“ฉันเป็นฝันที่เธอสร้างขึ้น ก็ต้องรู้ว่าคิดอะไรอยู่สิ” นาโอริเผลออุทานอย่างช่วยไม่ได้ เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดคงไม่ผิดจากความจริงนัก ขณะที่กำลังคิดกับตัวเอง เสียงนุ่มเดิมก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
“และฉันก็รู้ว่าวันนี้เธอปล่อยโฮมาด้วย โอ๋ ๆ นะ”
“ไม่ใช่นะ! อันนั้นเขาเรียกช่วงปรับตัวต่างหาก มันก็ต้องมี บ....”
“จะร้องก็ไม่เป็นไรหรอก นาโอริ” คำพูดอ่อนโยนประสานกับสายลมที่ก่อตัวรุนแรงพัดกลีบดอกซากุระให้ปลิวว่อนไปทั่วทุ่งกว้าง นาโอริเผลอตกตะลึงไปชั่วขณะเพราะเธอกลับสัมผัสได้ถึงแรงลมที่คลอเคลียใบหน้า ทั้งที่ร่างกายควรจะโปร่งใสแท้ ๆ แต่ความอ่อนโยนนี้กลับกำลังปลอบโยนและเยียวยาหัวใจดวงเล็กของเธอ ราวกับถูกโอบกอดอยู่ แต่จากใครกันล่ะ?
“คุณ...เป็นใครกันแน่?” เด็กสาวเอ่ยแผ่วเบาแทบจะกลืนไปกับสายลม
“ตอนนี้ยังพูดไม่ได้ แต่จำไว้นะ....”
เสียงนุ่มนวลพลันอื้ออึงขึ้นมาจนยากจะจับความได้ นาโอริจึงพยายามเพ่งสมาธิมากที่สุดเท่าที่ทำได้ และกลั่นกรองเสียงสุดท้ายนั้นออกมา...
“ว่าฉันอยู่กับเธอเสมอ นาโอริ”
ทุกอย่างรอบตัวพลันมืดลง และไม่ได้ยินเสียงปริศนานั้นอีกต่อไปก่อนจะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสัมผัสตัวแล้วเขย่าเบา ๆ ในที่สุดร่างบางก็เริ่มรู้สึกตัว ดวงตากลมโตเบิกกว้างพลันเห็นภาพข้างหน้าเป็นเพื่อนของตัวเองที่ยืนมองอยู่
“นาโอะจังฝันร้ายหรือเปล่า?”
“ซากิ...ทำไมถึง”
“ฉันเป็นห่วงว่าจะตื่นหรือยังน่ะสิ แล้วเป็นยังไงบ้าง” ซากินั่งลงที่เตียงนุ่มข้างเพื่อนสาว สีหน้าดูเป็นห่วงเป็นใยอย่างมาก นาโอริที่เห็นเช่นนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ เธอรู้สึกดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
“ขอบใจที่ดูแลฉันนะ เธอเนี่ยดูแลคนอื่นเก่งจริง ๆ แถมไม่บ่นเลยด้วย” ริมฝีปากบางยกยิ้ม ซากิส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนจะเอ่ยกลับไป
“มันติดเป็นนิสัยน่ะ ปกติอยู่ที่บ้านฉันก็ดูแลคุณแม่เป็นประจำ”
“เอ่อ แม่เธอ...เป็นอะไรเหรอ? นาโอริถามอย่างกล้าๆกลัวๆ
“สุขภาพท่านไม่ค่อยแข็งแรง แต่ก็ไม่ถึงกับร้ายแรงหรอก” ซากิหลุบตาต่ำ แม้จะยิ้มอยู่แต่เป็นรอยยิ้มที่เศร้าอย่างเห็นได้ชัด
ซากิได้เล่าว่าแม่ของเธอมักจะป่วยบ่อย ๆ เพียงแค่เดินสองสามก้าวก็เป็นลมล้มพับได้จึงไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนอุดอู้อยู่ในห้อง มีเพียงซากิที่มักจะคอยมาอยู่เป็นเพื่อนคุย ทำกิจกรรมอยู่ในห้องนอนของมารดาทั้งวันไม่ยอมไปไหน คอยช่วยเหลือทุกอย่างจนติดเป็นนิสัยอย่างที่ได้กล่าวไว้ นาโอริจึงไม่แปลกใจที่เธอจะมีจิตใจที่อ่อนโยนเช่นนี้
“ถึงจะอ่อนโยน แต่เธอก็เข้มแข็งกว่าฉันเยอะเลยนะ”
“คนเรามีจุดอ่อนจุดแข็งต่างกันนะนาโอะจัง ฉันรู้ว่าเธอแข็งแกร่งกว่าที่เป็นตอนนี้เสียอีก ยิ่งตอนที่จับดาบราวกับเป็นคนละคนเลยล่ะ” นาโอริเหลือบมองดาบของตนที่วางอยู่บนตู้ไม้ขนาดย่อม ดวงตาสั่นระริก มันปั่นป่วนไปหมดราวกับไม่ใช่ตัวของตัวเอง
หลังจากพูดคุยกันสักพักซากิจึงกลับไปห้องของตน เหลือเพียงนาโอริที่นั่งนิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะถูกดึงความสนใจด้วยเสียงของจูลิโอ้
“มีอะไรกวนใจอยู่เหรอ?”
“ไม่มีอะไรหรอก...แค่เหนื่อยน่ะ”
“เล่นปล่อยโฮตั้งแต่หัวค่ำแบบนี้ ไม่เหนื่อยสิแปลก”
“ใจคอจะแช่งฉันให้ได้เลยสินะ” เด็กสาวหัวเราะกับคำพูดนั้น
“เพ้อเจ้อ....ถ้าคิดจะนอนก็ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนแล้วค่อยมานอนสิ เห็นแบบนี้แล้วฉันหงุดหงิด”
“อือ...รู้แล้วน่า ไปเดี๋ยวนี้แหละ” เด็กสาวลุกจากเตียงนุ่มพลันคว้าอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำที่ต้องใช้และกำลังจะเดินเข้าห้องน้ำไป ทว่าสาวเจ้ากลับนึกบางสิ่งขึ้นมาได้จึงหันไปเรียกความสนใจจากคู่หู
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ”
“งั้นเธอก็ติดหนี้ฉันแล้วล่ะ” เสียงทุ้มหัวเราะเบาๆ
“ได้เลย ไว้จะใช้คืนทีหลัง” ริมฝีปากบางยกยิ้ม ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รำคาญคู่หูใหม่ของตัวเองไปเสียทุกเรื่องกระมังถ้ายกเว้นเรื่องการพูดการจาไว้ล่ะก็นะ...
หลังจากเนื้อตัวสะอาดนาโอริพลันกระโจนลงบนที่นอนอย่างไม่ลังเล เพราะความล้าบวกกับอุณหภูมิที่เย็นสบายทำให้เด็กสาวผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว บรรยากาศเงียบสงบมาเยือนภายในห้องมีเพียงเสียงลมจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้น วันแรกของการเริ่มต้นใหม่กำลังจะผ่านไปและยังมีเรื่องอีกมากมายรอคอยให้เธอได้ประเชิญกับมัน
.
.
.
ในช่วงเวลาก่อนที่พวกนาโอริจะกลับถึงหอพัก เด็กหนุ่มคนหนึ่งในชุดนักเรียนสีแดงทับทิมกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนสักแห่งก่อนจะมาหยุดที่ประตูกระจกทึบซึ่งถูกเขียนกำกับไว้ว่า “ห้องสภานักเรียน” มือหนาที่ถูกหุ้มด้วยเกราะแขนสีขาวขลิบแดงผลักประตูช้า ๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงหวานดังมาจากในห้อง
“ไปไหนมาเหรอ?”
“ไปรับงานมาจากอาจารย์ใหญ่น่ะสิ ดูเหมือนกำลังจะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้นแล้วล่ะ” เสียงนุ่มที่เข้ากับหน้าตาเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นเอกสารปึกหนึ่งให้เด็กสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ
“นี่มัน....งานเทศกาลสำหรับเด็กปีหนึ่ง?”
“ใช่ ถึงเวลาที่ดาวดวงใหม่จะเผยตัวแล้วล่ะ”
to be continue…
つづく、psrpowder