จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
เมื่อได้ยินประโยคซึ่งถือเป็นคำตกลงสำหรับเด็กสาว เธอก็ไม่รีรอรีบคิดเงินค่าขนมหวานและพากันออกจากร้านทันที นอกร้านกาแฟนั้นเย็นสดชื่นทำให้ตื่นตัว บวกกับร้านรวงที่เริ่มเปิดให้บริการมากขึ้นเมื่อใกล้พลบค่ำ ถนนทางเดินจึงคึกคักมากกว่าตอนสายเป็นไหน ๆ ทำให้สองสาวกับหนึ่งหนุ่มเพลิดเพลินกับการเที่ยวเล่นไปโน่นทีนี่ที บ้างก็ถ่ายรูปสาวสวยหนุ่มหล่อในชุดคอสตูมตระการตา บ้างก็ซื้อของจากห้างชื่อดังในย่านนั้นจนแทบจะลืมความอึดอัดก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท แม้จะไม่พ้นที่นาโอริจะต้องทำงานหนักเป็นสะพานเชื่อมให้เพื่อนทั้งสองของเธออยู่บ้าง แต่ก็เป็นการเที่ยวเล่นกับเพื่อนที่สนุกที่สุดในชีวิตของเธอแล้วก็ว่าได้
.
.
.
ความสนุกนำพาเวลาล่วงเลยไปจนมืดค่ำ ถึงความครึกครื้นในช่วงค่ำคืนจะเพิ่งเริ่มต้น แต่มันเป็นเวลาที่พวกเขาจะแยกย้ายกลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว บัดนี้ทั้งสามยืนจับกลุ่มกันอยู่ที่หน้าสถานีรถไฟถือถุงกันคนละใบสองใบ ไม่เว้นแม้แต่ฮินาวะและเตรียมตัวจะบอกลากัน
“บ้านนายอยู่แถวไหนเหรอ?” นาโอริเอียงคอเล็ก ๆ
“ฉันไม่ได้กลับบ้านหรอก ฉันจะกลับหอน่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยพลันเห็นนาโอริตั้งท่าจะถามต่อ เขาจึงรีบแทรกไปทันใด
“ฉันรู้ว่าจะถามอะไรแล้วฉันก็จะตอบว่าโรงเรียนเขาไม่ได้บังคับนักเรียนให้กลับบ้านทุกคนในวันหยุดและฉันก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลับบ้านด้วย” เด็กสาวเบ้ปากเล็กน้อยกับคำตอบที่ตรงคำถามเป๊ะ ๆ นั่น
“ถ้าไปหอก็ต้องแยกกันคนละทาง นายก็ไม่ได้ไปด้วยกันน่ะสิ”
“ใช่...แล้วพวกเธอกลับกันเองได้หรือเปล่าล่ะ”
“เห็นพวกเราเป็นเด็กสองขวบหรือไง” ร่างบางเท้าเอวลวกพลางมองไปที่คนถาม
“คนเขาอุตส่าห์หวังดี...งั้นฉันไปล่ะ” ไม่พูดพร่ำทำเพลงเจ้าของเรือนผมสีบ๊วยแดงจึงเดินจากไปพร้อมโบกมือลวก ๆให้ และหายเข้าไปในหมู่ผู้คนทิ้งให้สองสาวยืนมองตาปริบ ๆ
“อะไรของเขา?” นาโอริย่นคิ้วฉงน
“เรากลับกันเถอะนาโอะจัง เดี๋ยวจะดึกกว่านี้”
“อื้อ ไปกันเถอะ”
เมื่อว่าจบทั้งสองคนจึงเดินออกจากหน้าสถานีไปยังตรอกซอย โชคดีที่บ้านของพวกเธอห่างกันไม่เท่าไหร่จึงสามารถเดินไปด้วยกันได้ ทั้งไม่เหงาและอุ่นใจในเวลาเดียวกัน ไม่นานผู้คนสัญจรไปมาก็เริ่มลดลงความเงียบเข้าปกคลุมแทน พลันจุดประกายให้เด็กสาวผู้ร่าเริงเปิดประเด็นทำลายความเงียบ
“วันนี้สนุกมากเลยเนอะ!” นาโอริเอ่ยระริกระรี้
“อื้อ สนุกมากเลยแต่พรุ่งนี้เรามีนัดซ้อมดาบกันนะ ห้ามเบี้ยว!”
“จ้ารู้แล้ว ไม่ลืมหรอก” เด็กสาวยิ้มร่าก่อนจะยกคิ้วสูงเหมือนจะนึกอะไรได้
“แต่คนที่โชคดีที่สุดเห็นทีจะเป็นซากิหรือเปล่านะ ฮิ ๆ” คนฟังเอียงคอสงสัยพลางคิดตามสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวแต่เหมือนจะไม่ได้คำตอบใด ๆ
“ก็...โชคดีที่ได้เจอโมโมเสะโดยบังเอิญแบบนี้ไงเล่า!”
“หา?”
“เธอไม่ได้เป็นหนึ่งในแฟนคลับหมอนั่นเหรอ?” ซากิส่ายหน้าแทบจะทันที ก่อนจะเป็นนาโอริที่ทำท่าลูบคางและหลับตาครุ่นคิดอยู่นานสองนานจนได้ยินเสียงหวานดึงออกจากภวังค์
“ฉันไม่ได้ชอบโมโมเสะคุงอย่างที่นาโอะจังคิดหรอกนะ”
“จริงดิ แล้วท่าทีเกร็งกันไปมาของพวกเธอมันคืออะไรกันล่ะ...หรือฉันคิดไปเอง”
“อาจจะเพราะไม่ได้เตรียมใจว่าจะมีคนมาเพิ่มนอกจากพวกเราล่ะมั้ง ก็นาโอะจังเล่นไปชวนเขาสด ๆ แบบนั้นเลยนี่นาฉันก็ทำตัวไม่ถูก...” ดวงตาสีซากุระหรี่ลงพลันจ้องใบหน้าน่ารักของเพื่อนสาวซึ่งไม่มีสิ่งใดผิดแปลก มีเพียงรอยยิ้มที่คงอยู่บนหน้าเท่านั้น
“ไม่เชื่อใจฉันเหรอ?” ซากิเอ่ยถาม
“ไม่ใช่แบบนั้นแต่ฉันกลับรู้สึกว่าเธอยังบอกฉันไม่หมด...”
“เรื่องนั้น..”
ปัก!
“โอ๊ย!” นาโอริเดินถอยหลังชนเข้ากับบางสิ่งจนเกือบจะหน้าคะมำหากซากิไม่ช่วยรับเอาไว้ เมื่อหันไปจึงพบกับชายวัยกลางคนในชุดวอร์มสีกรมท่าและสวมเสื้อฮู้ดสีเข้มทับอีกชั้นจนแทบจะไม่เห็นใบหน้า เป็นเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่ทำให้เขาลงไปนั่งอยู่กับพื้นเสียแล้ว
“ขอโทษค่ะ เจ็บตรงไหนไหมคะ?”
“ม ไม่เป็นไรหนู ฉ ฉันของตัวก่อน” ไม่ทันไรเขาจึงดันตัวลุกขึ้น ใช้แขนกอดตัวเองไว้หลวม ๆ และตั้งท่าจะเดินจากไป ทว่านาโอริที่แววตาฉับไวสังเกตเห็นเข็มกลัดขนาดเล็กหล่นอยู่ไม่ไกล จึงตระหนักว่ามันเป็นของชายคนนี้และเก็บขึ้นมาพลันรั้งแขนเขาไว้ทันที
“คุณลุงคะ พอดี...”
“ก็บอกว่ารีบไง!” เขาขึ้นเสียงดังลั่นก่อนจะปัดมือเด็กสาวทิ้งอย่างแรง เผยสิ่งที่เก็บไว้ในเสื้อซึ่งมือของเขาไม่สามารถซ่อนได้อีกต่อไป ด้วยแสงจากไฟตามถนนทำให้เห็นลักษณะได้ชัดเจน ส่วนหัวของมันถูกผ้าขนหนูสีขาวไปจนถึงส่วนโค้งสีเงินสะท้อนกับแสงไฟสลัว ด้วยประสาทตาว่องไวของทั้งสองจึงรู้ได้ทันทีว่ามันเป็นสิ่งอันตรายซึ่งไม่ควรจะมีอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว
“ปืน...”
ซากิที่รู้สึกตัวก่อนรีบคว้าแขนเพื่อนสาวและเตรียมจะวิ่งหนี ทว่าฝ่ายชายแปลกหน้ากลับไวกว่า เขารีบชักปืนออกมาและเหนี่ยวไกอย่างไม่ลังเล
ปัง!
จังหวะที่กระสุนกำลังจะถึงตัวนาโอริก็เป็นซากิที่ดันเพื่อนของเธอให้พ้นอันตรายทันเวลา มันเฉี่ยวแขนเสื้อสีขาวจนขาดวิ่นแฉลบผิวไปหวุดหวิด ทั้งสองล้มลงกับพื้นไม่ทันจะได้ตั้งตัวปากกระบอกของวัตถุอันตรายได้จ่อที่พวกเธอรอก่อนอยู่แล้ว ปลายนิ้วสากสัมผัสไกปืนตั้งท่าจะยิงอีกครั้ง วินาทีนั้นความหวาดกลัวพลันตรึงร่างให้แข็งทื่อ ทำได้เพียงปิดตาแน่นเตรียมรับความเจ็บปวดที่จะมาถึง
ปัง
“เฮ้ย อะไรวะ!”
เสียงโวยวายทำให้ทั้งสองต้องลืมตาขึ้นมาดูและตกตะลึงไปตาม ๆ กันเมื่อบัดนี้วิถีปืนถูกเปลี่ยนเป็นท้องฟ้ากว้างเบื้องบนแทนด้วยฝีมือใครบางคน สองเสียงร้องเรียกชื่อด้วยความดีใจพร้อมเพรียงกันทันทีที่เห็นใบหน้าของผู้มาใหม่
“โมโมเสะ/คุง!?”
“พกของต้องห้ามแบบนี้จบไม่สวยนะลุง” สิ้นเสียงมือหนาที่จับข้อมืออีกฝ่ายไว้ออกแรงบีบจนเกิดเสียงกรอบแกรบปนกับเสียงโอดครวญ กระทั่งมือข้างขวาเริ่มไร้ความรู้สึก อาวุธอันตรายพลันร่วงหล่นสู่พื้นก่อนจะถูกฮินาวะเตะมันให้ออกห่างจากพวกเขา แล้วจึงปิดท้ายด้วยกระแทกเข่าขวาใส่ท้องน้อยอย่างจังจนชายแปลกหน้าสำลักหมดสติไป เด็กหนุ่มปล่อยให้ร่างตรงหน้าล้มพับลงไปทั้งอย่างนั้นก่อนจะยกมือถือสีดำขลับมากดโทรเพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างนั้นนาโอริที่เพิ่งได้สติจากอาการตระหนกพลันกระวนกระวายถามอาการเพื่อนสาวยกใหญ่
“ซากิเจ็บแขนไหม มันยิงโดนแขนหรือเปล่า?” นาโอริเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือพลางกวาดตามองแขนซ้ายของซากิ
“ฉันไม่เป็นไร โดนแค่เสื้อน่ะ”
“โล่งอกไปที” ร่างบางโผเข้ากอดคนตรงหน้าไม่ลังเลและซุกใบหน้าเรียวลงที่ไหล่เล็กของเพื่อน เนื้อตัวสั่นเทิ้มยากที่จะห้ามไม่ให้แสดงออกมา หยดน้ำใสคลอที่เบ้าบดบังดวงตากลมโต
ซากิวาดยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับกอดตอบอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล ไม่นานนักฮินาวะที่คุยสายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเสร็จได้แต่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ตอนนี้ปล่อยให้เธอทั้งสองคนปลอบโยนกันและกันคงดีที่สุดแล้ว
“ไม่ร้องนะนาโอะจัง” เจ้าของเรือนผมสีเงินวาวแย้มยิ้มพลางปาดน้ำตาคนตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
“พวกเธอโอเคกันไหม” ฮินาวะก้าวเข้ามาหาพวกนาโอริพลันช่วยพยุงทั้งสองให้ลุกขึ้นยืน นัยน์ตาสีแดงเลือดมองปราดผ่านแขนเสื้อขาดของซากิให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่สู้ถามเจ้าตัวเลยคงได้ผลดีกว่า
“แน่ใจนะว่าโดนแค่แขนเสื้อ?”
“อ อือ” ซากิตอบ เธอสัมผัสแขนของเธอเพื่อความแน่ใจแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร ฮินาวะที่เห็นเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับก่อนจะเบนสายตาไปหาเด็กสาวอีกคนที่ดูเงียบผิดปกติ
“แล้วเธอล่ะ?”
“ฉันโอเค ถ้าไม่ได้ซากิช่วยไว้ฉันคงแย่” ถึงจะตอบไปตามความเป็นจริงคนตรงหน้าก็ไม่ได้มีทีท่าพอใจกับคำตอบสักเท่าไหร่
“แผลน่ะไม่มี แต่หน้าเธอซีดมากนะรู้ตัวไหม” นาโอริเผลอจับแก้มสองข้างของตนตามคำพูดของฮินาวะ จู่ ๆ สาวเจ้าก็นึกเรื่องสำคัญได้และจ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่มจนแม้แต่เขาเองก็สะดุ้ง
“ไม่ใช่ว่านายกลับหอไปแล้วเหรอ?”
“อ๋อ เรื่องนั้น” ว่าแล้วเขาจึงยกแขนแข็งแรงที่มีถุงจากร้านค้าให้เธอดู หนึ่งในนั้นมีถุงที่นาโอริคุ้นตาอยู่ด้วย
“เอ๊ะ ถุงหนังสือฉันนี่นา!?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าถุงนี่พวกเธอคงแย่แน่” เขากล่าวปนหัวเราะและยื่นถุงคืนให้เจ้าของ
“คงต้องพับถุงเก็บขึ้นแท่นแล้วล่ะนาโอะจัง” ซากิเองก็สมทบด้วย
“เอาแบบนั้นแล้วกัน ฮ่า ๆ”
ฮินาวะรีบเสนอให้รีบออกจากพื้นที่นั้นจะได้ไม่มีเรื่องให้ต้องวุ่นวาย เพราะพวกเขาไม่มีใครบาดเจ็บแถมไม่มีใครรับรู้เหตุการณ์นี้ เนื่องจากปืนถูกพันด้วยผ้าขนหนูจึงสามารถเก็บเสียงได้ เด็กหนุ่มเลยแจ้งทางเจ้าหน้าที่ไปว่าพบคนหมดสติระหว่างทาง พอเข้าไปช่วยก็พบอาวุธปืนที่ถูกทำให้เก็บเสียงได้อยู่กับตัวเลยโทรมาแจ้งเพียงเท่านั้น
แม้นาโอริจะไม่เห็นด้วยที่ต้องปล่อยคนร้ายทิ้งไว้ แต่ได้ซากิช่วยโน้มน้าวจนยอมออกจากสถานที่นั้นในที่สุด ยังไงเสียพวกเธอก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ครั้งนี้ชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มอาสาที่จะไปสองสาวก่อนเขาจึงจะกลับ ให้คุ้มกับค่าเหนื่อยที่อุตส่าห์เดินย้อนมาไกลถึงขนาดนี้
“หนอย หงุดหงิดชะมัด ถ้ามันตื่นขึ้นมาพอดีจะทำยังไงทีนี้” นาโอริเอ่ยกระฟัดกระเฟียดพลันเหวี่ยงแขนไปมา ไม่สงสารหูหิ้วของถุงหนังสือสักนิด ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะชวนหงุดหงิดใจจากคนข้างหลัง
“ยุ่งไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกมีแต่ทำให้กลับบ้านช้าเปล่า ๆ”
“เอาเป็นว่าเราปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะจ๊ะ” ซากิเอ่ยพลันกระชับมือเพื่อนสาวที่เกาะแขนของเธอมาตั้งแต่เมื่อครู่ นาโอริได้แต่พองแก้มไม่พอใจเป็นเด็กน้อย เมื่อไม่มีใครยอมเห็นด้วยกับเธอสักคน
.
.
.
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดที่หน้าประตูคฤหาสน์ไม้ทรงญี่ปุ่นดั้งเดิมเสียแล้ว รั้วหินที่ล้อมตัวบ้านทอดยาวสุดลูกหูลูกตา หากมองไม่ดีก็ไม่รู้ว่ามันไปจบที่ใด
ครั้นกล่าวว่านี่คือบ้านของเธอนาโอริจึงไม่รู้ว่าตนควรจะทำสีหน้าเช่นไร ยกเว้นแต่อ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็น ถึงจะอยากซักถามพูดคุยอีกมากแต่ ณ เวลานี้ควรปล่อยให้แต่ละคนได้ไปพักผ่อนพักใจเสียดีกว่า สองสาวกอดกันกลมพลางบอกลากันและกัน ดวงตาสีเงินคู่สวยเบนมาทางด้านของฮินาวะพร้อมก้มโค้งอย่างนอบน้อมให้เขา
“ขอบคุณ...โมโมเสะคุงอีกครั้งที่ช่วยฉันกับนาโอะจังไว้นะ” ซากิจ้องมองคนตรงหน้าซึ่งไม่แสดงออกสิ่งใด และเลือกที่จะพยักหน้าให้เท่านั้น
“ไว้เจอกันที่หอนะ” เด็กสาวผู้ร่าเริงกล่าวลาอีกครั้งและยืนส่งเพื่อนสาวของเธอจน กระทั่งร่างนั้นถูกบดบังด้วยประตูที่ปิดสนิท
บัดนี้เลยเพียงหนุ่มสาวสองคนยืนนิ่งเงียบไม่พูดจา ทว่าราวกับรู้ใจทั้งสองต่างออกเดินไปพร้อมกันโดยมีนาโอรินำหน้าอยู่
“ยังคิดเรื่องเมื่อกี้อยู่เหรอ?” เสียงต่ำชวนฟังดังขึ้นทำลายความเงียบ โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมพูดอะไรออกมาบ้าง
แม้จะนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งแต่ในที่สุดนาโอริก็ยอมเอ่ยปาก
“ปืน...มันหน้าตาเป็นแบบนั้นเองสินะ”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับ เขาเข้าใจดีว่าสิ่งอันตรายเช่นนี้ในยุคสมัยที่พวกเขาอยู่มันแทบจะไม่เคยได้เห็นของจริงกับตา ไม่แปลกที่จิตใจจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่พบครั้งแรก
“ได้ยินว่าเมื่อก่อนมันเป็นของที่ขายกันเกลื่อนตลาดโลกเลยล่ะ พวกตำรวจหรือทหารเองก็ใช้พวกมัน”
“จริงสิ...ได้ยินว่าแต่ก่อนมีกีฬาที่ใช้เจ้านี่แข่งด้วย” นาโอริหันขวับมาหาคู่สนทนาของเธอพลางใช้นิ้วเลียนแบบรูปทรงของปืน ทว่าจากเดิมดวงตากลมโตเป็นระยิบระยับกลับแปรเปลี่ยนเป็นสั่นไหวไป
“แต่ไอ้ของชิ้นเท่ามือนั่นกลับใช้ฆ่าคนได้ง่ายกว่าดาบเสียอีก”
“นั่นสินะ” ฮินาวะตอบกลับสั้น ๆ พลางเร่งฝีเท้าตามคนข้างหน้าให้ทัน
“หวังว่าลุงคนนั้น...จะไม่เอาไปใช้ฆ่าใครนะ”
“บางเรื่องเราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งหรอกนะ” เสียงถอนหายใจดังมาจากนาโอริไม่รู้ว่าเหนื่อยใจเพราะเรื่องน่าสะพรึงในวันนี้ หรือเพราะถูกเด็กหนุ่มสกัดความอยากรู้อยากเห็นกันแน่
ไม่ว่าจะเพราะอะไรแต่เด็กสาวตัดสินใจว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับผู้เป็นแม่เป็นอันขาด นอกจากจะไม่อยากทำให้แม่เป็นห่วงแล้ว ตอนนี้เธอเองก็อยากจะเอนตัวลงนอนและไม่รับรู้สิ่งใดในช่วงข้ามคืนอีก หากอีกฝ่ายรู้เข้าคงได้ซักถามกันยืดยาวจนไม่ได้นอนกระมัง เกิดตื่นสายและไปไม่ทันนัดของซากิในวันพรุ่งนี้ก็อาจจะโดนโกรธได้อีกเช่นกัน
“นี่บ้านเธออยู่ไกลขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ฮินาวะถอนหายใจเมื่อมาถึงจุดหมายเสียที แม้จะไม่แสดงสีหน้าใด ๆ แต่เขาคงเป็นกังวลเรื่องระยะทางกลับไม่ผิดแน่
“ปกติฉันใช้เสก็ตบอร์ดเหาะไปแล้วค่อยเดินตอนใกล้จะถึงน่ะ” เสียงหวานเอ่ยพลางหยิบเจ้าเสก็ตบอร์ดที่บัดนี้อยู่ในรูปทรงสามเหลี่ยมขนาดเท่าฝ่ามือและยื่นให้อีกฝ่าย
“แล้วเธอจะใช้อะไรกลับหอล่ะ?”
“ออกกำลังกายยามเช้าสักครั้งหนึ่งคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ริมฝีปากบางแย้มยิ้มทะเล้นก่อนจะยัดเจ้าสามเหลี่ยมเล็กใส่มือที่ใหญ่กว่า เธอรีบแจ้นเข้าบ้านไปไม่บอกไม่กล่าวทิ้งให้ร่างสูงยืนเด่นอยู่ผู้เดียว
ฮินาวะก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือพลางหมุนไปมาและเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ยากจะเห็น ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีใครโชคดีพอได้เชยชม ทันใดนั้นแผ่นกระจกทรงสามเหลี่ยมจึงขยายตัวออกให้เขาสามารถขึ้นไปยืนได้สบาย ๆ และพาร่างสูงทะยานหายไปหลังหัวมุมถนน
ขณะเดียวกัน ณ บ้านแสนอบอุ่นของนาโอริ
“กลับมาแล้วค่ะแม่”
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาวดึงความสนใจจากผู้เป็นแม่ที่ยุ่งอยู่ในห้องครัวให้ออกมาต้อนรับถึงที่ เธอสวมกอดลูกสาวสุดที่รักก่อนจะผละออกมามองหน้าให้ชัด ๆ
“ถ้ากลับดึกกว่านี้แม่คงต้องออกไปตามหาแล้วนะ”
“ขอโทษค่ะ แหะ ๆ” นาโอริเกาศีรษะแก้เก้อแต่กลับสะดุ้งโหยงเมื่อมารดายื่นหน้าเข้ามาและหรี่ตามองอย่างพินิจ
“ทำไมตาแดงล่ะลูก?”
“คะ? แดงเหรอ” ร่างบางแสร้งทำเป็นขยี้ตาตนเองจนตาเริ่มแดงเข้าจริง ๆ จนโดนผู้เป็นแม่เอ็ดเข้าให้ ก่อนเธอจะเริ่มแก้ต่างโทษเศษฝุ่นโทษอากาศในเมืองไปเรื่อย เพราะใครจะบอกได้กันว่าเพิ่งจะเจอเรื่องเฉียดตายจนร้องไห้ตาแดงน่ะ
“ในเมืองก็แบบนี้แหละนะ คราวหลังต้องระวังด้วยนะลูก”
“ค่ะแม่ ว่าแต่จะไม่รับของฝากเหรอคะ?” มือเรียวยกถุงกระดาษมาบดบังใบหน้าและแอบมองอย่างทะเล้น
“โอ้ ขอบใจนะจ๊ะ หนักแย่เลย” หญิงสาวรับถุงกระดาษมาก่อนจะก้มมองของในนั้นและหยิบออกมาดู นาโอริที่เห็นว่ามารดาไม่ได้ซักถามสิ่งใดแล้วจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่โดยไม่ให้เธอเห็น
“ตายจริง ลูกหาเล่มนี้มาให้แม่ได้ด้วยหรือนี่ ไม่ใช่ว่ามันขายหมดเร็วมากเลยเหรอ?”
“เล่มไหนเหรอคะ?”
“นี่ไง” ดวงตาสีซากุระเบิกกว้างเมื่อย้อนความถึงช่วงบ่ายที่เจอกับฮินาวะและถกเถียงกันเรื่องหนังสือนิยาย มันคือเล่มเดียวกับในตอนนั้น ซึ่งบัดนี้แม่ของเธอกำลังจ้องมันด้วยแววตาเป็นประกายอย่างยิ่ง
“อ๋อ...พอดีมันเหลือเล่มเดียวน่ะเลยรีบหยิบมา”
“ขอบใจจริง ๆ นะนาโอะ รักที่สุดเลย” หญิงสาวเอ่ยพลางสวมกอดลูกสาวสุดที่รัก
เมื่อหนังสือช่วยชีวิตให้รอดพ้นจากการจับเท็จแล้ว นาโอริจึงขอตัวไปอาบน้ำอาบท่าพร้อมนอนพัก เช่นเดียวกันกับยูริที่จัดการงานบ้านชั้นล่างเรียบร้อยพอดี
ดวงไฟจ้ารอบตัวบ้านถูกปิดลงเหลือเพียงแสงสลัวจากดวงจันทร์กลมโตที่ลอดผ่านหน้าต่าง บัดนี้เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ถูกชโลมไปด้วยหยดน้ำสะอาด เธอปล่อยเวลาให้ไหลไปดั่งหยดน้ำที่ไหลผ่านเรือนร่างอ้อนแอ้นสู่พื้นมันวาว ไออุ่นจากน้ำช่างผ่อนคลายและชะล้างความล้าจนสิ้น เมื่อออกห้องอาบน้ำจึงดูสดใสกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย ทว่าท่าทางซึมกะทือจากอาการง่วงยังคงอยู่ ไม่ถึงนาทีสาวเจ้าก็ผล็อยหลับไป ไม่มีเวลาแม้แต่จะพูดคุยกับจูลิโอ้อย่างที่เคยด้วยซ้ำ
“ฝันดีนะ นาโอริ” เสียงทุ้มจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์เป็นดั่งคำกล่อมให้เธอผู้นั้นพบเจอสิ่งดีในความฝัน
เรื่องมากมายหลากหลายอารมณ์เกิดขึ้นในชั่วยามท้องฟ้าสีครามได้ถูกพัดพาให้เลือนหายด้วยสายลมยามค่ำคืน พัดเรื่องในอดีตให้ห่างไปและพัดอนาคตให้เข้าใกล้ เป็นเช่นนี้เสมอมา
หากแต่สายลมวิเศษคงช่วยเหลือได้เพียงผู้ที่เลือกจะปิดตา และปล่อยใจให้ไปท่องอิสระในความฝันเท่านั้น มันมิอาจลบเลือน หรือบรรเทาความนึกคิดของคนที่ยังมองโลกตอนฟ้ามืดในความเป็นจริงได้ เช่นเดียวกับใครคนหนึ่งบนชั้นยอดสุดของหนึ่งในปราสาทไม้ญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งเบื้องล่างล้อมรอบด้วยทุ่งดอกไม้สีแดงสดยามสะท้อนกับแสงจันทร์
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจลากยาวจนกลืนหายไปกลับเสียงลมโกรก
ดวงตาคมพราวเสน่ห์ทอดมองภาพแสงสีของเมืองยามราตรีผ่านหน้าต่างบานใหญ่ เส้นผมมันวาวพลิ้วไหวตามแรงลมและใบหน้าผุดผ่องเพราะแสงนวลจากท้องฟ้าเข้ากันกับชุดยูกาตะสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมฮาโอริสีดำสนิท ช่างราวกับภาพวาดจากจิตรกรมากฝีมือ
ในมือของเขากำแผนกระดาษซึ่งมีร่องรอยของการพับเป็นทบอยู่ ข้อความในนั้นกล่าวถึงเทศกาลประลองดาบของโรงเรียนชิบุนางิที่ได้เรียนเชิญเขาไปร่วม....
ในฐานะตัวแทนเปิดงานประจำปี...
“คราวนี้ก็คงจะน่าเบื่อตามเคย”
to be continue...
つづく、psrpowder