จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
รุ่งอรุณแรกแย้มมาเยือนวันพักผ่อนอีกหนึ่งวัน ให้กายเนื้อที่สะสมความตึงเครียดได้ปล่อยวาง หากแต่ผู้ใดที่ไม่สามารถละหน้าที่ได้ในวันเช่นนี้ ก็จะยังเหนื่อยล้าทั้งกายและใจไม่หาย
ก๊อก ๆ
เสียงเคาะประตูเสนาะหูกับเงาใครผู้หนึ่งสะท้อนผ่านประตูบานเลื่อน ร่างนั้นย่อตัวคุกเข่ากับพื้นไม้และไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดราวกับรอให้ใครในห้องเป็นผู้เปิดบทสนทนา
“มีอะไร?”
เสียงนุ่มชวนฟังลอดผ่านประตู พาให้ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้ม ที่อกเสื้อมีตราสัญลักษณ์ของดอกซากุระสีเงินแวววาวประทับอยู่สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเปิดปากพูดออกไป
“กระหม่อมมาเพราะเรื่องจดหมายเชิญที่ส่งให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสิ้นเสียงประตูบานเลื่อนจึงถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างของเด็กผู้ชายอายุราวสิบห้าปีในชุดยูกาตะสีเข้ม ทับด้วยเสื้อคลุมฮาโอริสีดำสวย ใบหน้าที่เดิมทีคิ้วขมวดจนแทบผูกกันดูจะเริ่มคลายลงบ้างยามตระหนักว่าคนด้านนอกคือใคร
“คุณเองเหรอ” ร่างเล็กเอ่ยพลันเดินกลับไปนั่งที่หน้าโต๊ะทรงเตี้ยและก้ม ๆ เงย ๆ อยู่นานสองนาน
“เอ่อ คือจดหมาย..”
“รู้แล้ว เราจะส่งกลับให้เดี๋ยวนี้แหละ” เสียงนุ่มเอ่ยพลางหยิบจดหมายที่ว่าวางทาบมันลงกับโต๊ะไม้
ไม่นานจึงเกิดแสงวูบวาบฉายทะลุแผ่นกระดาษ ก่อนจะปรากฏภาพที่มีเนื้อหาเดียวกันบนจอคอมพิวเตอร์เบื้องหน้า เด็กหนุ่มบรรจงจรดปลายนิ้วลงบนแป้นพิมพ์เกิดเป็นเสียงแต่ก ๆ ชวนจั๊กจี้หู
“เสร็จแล้ว” แทบจะทันทีที่เขาเอ่ยจบ เสียงแจ้งเตือนดังจากมือถือในกระเป๋ากางเกงของชายหนุ่ม ดวงตาสีซากุระจดจ้องหน้าจอกระจกอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเก็บมันกลับที่เดิมและเบนสายตามองเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ตรงหน้า
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เขาก้มโค้งให้คนตรงหน้าอย่างนอบน้อม
“หวังว่าปีนี้พระองค์จะทรงเพลิดเพลินกับเทศกาลนะพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มกล่าว
“เหอะ คงจะพูดยากนะเพราะไปมาไม่รู้จะกี่ครั้งแล้ว เราอาจจะเริ่มเบื่อแล้วก็ได้”
“เช่นนั้นให้กระหม่อมทูลฝ่าบาทดีไหมพ่ะย่ะค่ะ” ริมฝีปากเรียวยกยิ้มให้คำพูดของชายอายุมากกว่า พลันส่งเสียงหัวเราะออกมาจนอีกฝ่ายอดเลิกคิ้วสูงไม่ได้
“ทรงพระสรวลอะไรเหรอพ่ะย่ะค่ะ?”
“ก็ขำความคิดของคุณน่ะสิ หากจักรพรรดิว่านอนสอนง่ายขนาดนั้นป่านนี้เราคงไม่ตอบตกลงในจดหมายนั่นหรอก”
“กระหม่อมขอประทานอภัยที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้พ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าจริงจังไปเลยเราพอใจที่จะทำแบบนี้เอง ยังไงก็รบกวนคุณทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาทด้วย”
ครั้นเสร็จธุระปะปัง ชายหนุ่มโค้งตัวศีรษะแทบจะติดพื้น ก่อนจะลุกออกจากที่ตรงนั้นไป ไม่นานเด็กหนุ่มสูงศักดิ์จึงย้ายมาพิงกายกับขอบหน้าต่างกว้างพลางทอดสายตามองออกไปยังที่อันไกลโพ้น
หากว่าเด็กหนุ่มผู้นี้กำลังมีเรื่องให้กลุ้มใจแล้วล่ะก็ ฐานะหรือยศถาเองก็หาได้สำคัญไม่ เมื่อมองไปยังเมืองด้านล่างซึ่งใครก็ตามต่างมีเรื่องบอบช้ำจิตใจกันทั้งนั้น เฉกเช่นเดียวกับเด็กสาวจอมแก่นผู้หนึ่งซึ่งบัดนี้นอนชุ่มไปด้วยเหงื่อไคลบนพื้นไม้ แน่นอนว่าไม่พ้นสองเพื่อนสาวนาโอริและซากิ ที่อยู่ในช่วงฝึกซ้อมกระบวนท่าตั้งรับและอื่น ๆ ถึงคนถูกฝึกจะเป็นนาโอริก็ตามที
“โอ๊ย ไม่ไหวทำยังไงก็ตั้งรับดี ๆ ไม่ได้เลย!”
“บอกหลายทีแล้วนี่ ว่าห้ามหลับตาน่ะ ต้องมองจังหวะดาบของอีกฝ่ายให้ดีสิ” เจ้าของเรือนผมสีเงินวาวนั่งยองใกล้กับเพื่อนสาว และใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับเหงื่อให้
“ก็คนมันกลัวนี่...”
“ฉันไม่ตีนาโอะจังจริง ๆ หรอก ไม่ต้องกลัวนะ” เจ้าคนนอนแผ่ร้องงึมงำไม่เป็นภาษา พลางใช้ผ้าที่ซากิให้เช็ดใบหน้า หลังจากปรับการหายใจจนคงที่แล้วการฝึกสุดยากเย็นสำหรับนาโอริจึงดำเนินต่อ
ในครานี้นาโอริพยายามรวบรวมความกล้าที่จะลืมตามองปลายดาบของฝ่ายตรงข้ามที่เหวี่ยงใส่ตนให้ได้ ถึงความเร็วจะไม่มากทว่าสัญชาตญาณความกลัวของเธอนั้นแกร่งกล้ากว่า สาวเจ้าเลยล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ครูฝึกเฉพาะกิจของเธอจึงปรับเปลี่ยนให้ฝึกจากการต่อสู้มือเปล่าก่อน เพื่อให้นาโอริสามารถจับจุดได้
“เอาล่ะนะ”
ซากิตั้งฝ่ามือทั้งสองข้างพลันตวัดเท้าขวาไปด้านหลัง ดวงตากลมเข้ากับสีผมหรี่ลงจนดูเฉียบคม เช่นเดียวกันกับนาโอริที่อยู่ในท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ แววตานั้นช่างมั่นคงทว่าริมฝีปากบางกลับเม้มหากันแน่นราวต้องการกดความรู้สึกเอาไว้
ปึก!
ซากิพุ่งฝ่ามือเข้าหาใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ให้ทันตั้งตัว และปะทะเข้ากับท่อนแขนซ้ายที่นาโอริยกมากัน นาโอริกัดฟันแน่นพลันตวัดเท้าขวาใส่อีกฝ่าย ปลายเท้าเฉียดลำตัวซากิที่ถอยหนีไปหวุดหวิด ครั้นอยู่ห่างกันนาโอริเผลอก้มมองแขนซ้ายของตน ซึ่งปรากฏรอยแดงและอาการปวดตุบ ทำให้เธอตระหนักได้ในวินาทีนั้น
“อย่ามัวเหม่อสิ!”
ว่าพลังกายของ โฮชิ ซากิ ผิดกับรูปลักษณ์บอบบางนั่นโดยสิ้นเชิง
สองสาวแลกฝ่ามือฝ่าเท้ากันครั้งแล้วครั้งเล่ายิ่งกว่าหนังกำลังภายใน นาโอริพยายามฝืนความกลัวของตนพลันจับทุกการเคลื่อนไหวที่เข้ามาหาตัว ทว่าตั้งใจจะตั้งรับก็ยิ่งทำให้เนื้อตัวบอบช้ำขึ้นเรื่อย ๆ ความเจ็บจากแรงกระแทกพาให้หัวใจสั่นระรัว สภาพจิตใจร่ำร้องอยากจะยอมแพ้เสียให้ได้
“นาโอะจังยิ่งกลัวจะยิ่งเจ็บนะ!” คำกล่าวสั้น ๆ ได้กระตุ้นเปลือกตาหนักให้ถ่างออกและเห็นวิสัยทัศน์รอบกายชัดขึ้น ภาพเบื้องหน้าดูจะช้าลงจนสามารถจับต้องได้ มือเรียวจึงผายไปข้างหน้าและรับฝ่ามือของซากิได้ทันเวลา ใบหน้าเพื่อนสาวเปื้อนยิ้มก่อนจะถอยออกมาตั้งท่าใหม่
ทั้งสองเข้าปะทะกันอีกครา หากแต่การโจมตีส่วนใหญ่นั้นมาจากเด็กสาวผมสั้นเสียมากกว่า เพราะถึงนาโอริจะสามารถรับการโจมตีของซากิโดยไม่เผลอปิดตาได้บ้างแล้ว แต่การกระแทกอันหนักหน่วงนี้ต้องใช้เวลาเพื่อตอบสนองจึงจะสามารถโต้กลับได้ เลยดูเหมือนเธอเป็นคนถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว
ปัก!
ในที่สุดนาโอริก็สามารถเห็นช่องโหว่ของเพื่อนสาว ขณะที่เธอถูกฝ่ามือกระแทกให้การป้องกันเสียท่า นาโอริพลันตวัดขาขึ้นหวังกระทุ้งลำตัวอีกฝ่าย ทว่ากลับกลายเป็นถูกซากิจับขาเข้าให้และโดนเหวี่ยงตัวกับพื้นจนล้มไม่เป็นท่า สุดท้ายนาโอริเลยต้องชูมือให้สัญญาณพักรบชั่วคราว พลันลงไปนอนแผ่บนพื้นเป็นรอบที่สอง
“อ้า เจ็บชะมัด” นาโอริโอดครวญ
“ตายจริง ฉันพยายามเบามือแล้วนะ”
“เธอโกหกใช่ไหมเนี่ย?” เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้เบ้ปากพลางเหลือบมองซากิ ครั้นเห็นเธอมานั่งใกล้กับตน
“เราพอแค่นี้ก่อนดีไหม? นี่ก็จะเที่ยงแล้วด้วย” นาโอริรีบดีดตัวขึ้นมามองเพื่อนสาว พลางส่งสายตาบอกว่าเธอยังอยากฝึกต่อ ซึ่งซากิพลันเข้าใจสีหน้าอ้อนวอนนั้นดี แต่ยังไงกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง...
“แค่พักเที่ยงเองจ๊ะ เรายังมีเวลาฝึกกันอีกมาก”
“ก็ได้..”
เด็กสาวยอมว่าง่ายแต่โดยดีและพักทานอาหารที่ซากิเตรียมมาให้ แม้จะมีโอดโอยบ้างเพราะรอยจ้ำตามแขน แต่สาวเจ้าก็สามารถเพลิดเพลินกับแซนด์วิชชิ้นโตและชาร้อนคลายล้าได้ไม่เบื่อ
“ฝีมือซากินี่กินเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลย” นาโอริเคี้ยวแก้มตุ่ย พลันจ้องมองเพื่อนสาวทำเอาอีกฝ่ายอดหัวเราะไม่ได้
“ดีใจที่ชอบนะ”
“จะว่าไปแล้ว...ปกติเธอแรงเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?” นาโอริย่นคิ้วพลางลังเลว่าจะเสียมารยาทต่ออีกฝ่ายหรือไม่ แต่อีกฝ่ายกลับยอมรับมันอย่างไม่ลังเล
“อ๋อ เมื่อก่อนมีแต่คนถามกันเยอะแยะเลยล่ะ”
“แปลว่าเธอแรงช้างขนาดนี้ตั้งแต่เด็กเหรอ!?”
“โธ่ ไม่ขนาดนั้นเสียหน่อย แต่เพราะได้คุณปู่สอนต่อสู้มือเปล่าให้ กล้ามเนื้อฉันเลยแข็งแรงขึ้นน่ะ” ซากิเกาศีรษะแก้เก้อ เมื่อต้องเล่าถึงความหลังที่น่าอายของตน พลันคิดไปว่านาโอริคงมองว่ามันประหลาดไม่ต่างจากคนอื่น
ทว่า...
“เจ๋งไปเลยแหะ ฉันก็เคยอยู่ชมรมคาราเต้มาบ้างตอนมัธยมต้นนะ แต่ก็ไม่ได้เรื่องเลย ซากิสุดยอด!” นัยน์ตาสีซากุระส่องระยิบระยับจนแทบจะทะลักออกมาข้างนอก
“น นาโอะจังไม่คิดว่ามันน่าขำเหรอ?” ซากิเอ่ยพลางเลิกคิ้ว
“ทำไมล่ะ เป็นผู้หญิงแรงเยอะจะทำอะไรเองก็ได้ไม่ต้องพึ่งผู้ชาย เท่จะตายไป”
“เธอคิดแบบนั้นนี่เอง...งั้นฉันคงต้องมองมันในแง่ดีบ้างแล้วล่ะ” ใบหน้าน่ารักแย้มยิ้มจนตาหยี ก่อนจะเป็นฝ่ายนาโอริเอะใจกับประโยคเมื่อสักครู่
“พูดแบบนี้แสดงว่าเธอไม่ชอบมันงั้นเหรอ?”
“ก็...” ซากิอ้ำอึ้งไปพักหนึ่ง ครั้นมองใบหน้าสงสัยของเพื่อนสาว เธอเผลอคิดไปวูบหนึ่งว่าหากเป็นคนตรงหน้า คงจะสามารถเล่าเรื่องนี้ได้อย่างสบายใจ
ท้ายที่สุดซากิจึงเปิดปากเล่าเรื่องราวเมื่อนานมาแล้ว ที่เธอเคยถูกคนรอบข้างรังแกและเหยียดหยามในเรื่องพละกำลังที่มี เป็นเหตุให้เจ้าตัวเริ่มไม่แสดงท่าทีอะไร จนกลายเป็นเด็กผู้หญิงเรียบร้อยในสายตาผู้ใหญ่ไปในที่สุด แต่ไม่วายพวกคนเหล่านั้นก็ยังนำเรื่องเดิม ๆ มาพูดวกไปวนมาให้ได้ยิน ทั้งยังมองว่าลูกสาวของผู้สืบทอดตระกูลใหญ่ควรจะเป็นเด็กสุภาพเรียบร้อยสงบปากสงบคำเช่นนี้น่ะดีแล้ว
“เหอะ! ถ้าเป็นฉันนะ จะยกเบาะรองกระแทกสักสิบอันแล้วฟาดใส่ให้มันรู้กันไปเลย!”
“ม ไม่ได้นะนาโอะจัง” ซากิโบกไม้โบกมือห้ามปราม
“พวกผู้ใหญ่แบบนี้ต้องทำให้เข็ดหลาบเสียบ้าง!” สาวเจ้าบ่นอุบอิบพลันกอดอกกระฟัดกระเฟียด แต่มันกลับดูน่ารักในสายตาเพื่อนของซากิเสียงั้น ทำเอาเธอต้องวาดยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า
“ขอบใจนะ นาโอะจัง”
“เรื่องอะไรเหรอ?” คนถามเอียงคอเล็ก ๆ
“ที่ให้กำลังใจไง”ซากิโผเข้ากอดนาโอริทันควัน เพราะอยากสื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าคำเหล่านั้น มันมีความหมายกับตนเพียงใด
เช่นเดียวกับที่นาโอริได้มอบกำลังใจให้อีกฝ่าย ตอนนี้เธอเองก็ได้รับความมั่นใจในระดับหนึ่งการแนะนำของซากิ
เมื่อพักเที่ยงจบลง สองสาวจึงกลับมาประจำที่ซ้อมอีกครั้ง ซึ่งในรอบนี้นาโอริจะได้ฝึกร่วมกับจูลิโอ้เหมือนเดิม นอกจากจะใช้ดูผลการฝึกมือเปล่าก่อนหน้านี้แล้ว ยังฝึกการประสานจิตของผู้ใช้และอาวุธให้เข้ากันด้วย
“จูลิโอ้ พร้อมไหม?”
“พร้อม”
ครั้นได้ยินคำตอบเปลือกตาจึงค่อย ๆ ปิดลงจนสนิท มีเพียงความมืดรอบกายและสัมผัสสากมือของดาบไม้ ดั่งใจสั่งนาโอริลืมตาพลันพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย ก่อนจะปะทะคมดาบหากันไปมาหลายครั้งนับไม่ถ้วน ดวงตาสีซากุระกลอกไปตามจังหวะดาบของซากิที่จู่โจมอย่างต่อเนื่องราวกับเห็นภาพช้า
ทว่าไม่ทันกะพริบตาซากิก็ได้ง้างดาบสูงอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว นาโอริเผลอกัดปากแน่นข่มความวิตกในจิตใจและตั้งดาบรับการโจมตีจากด้านหน้า ก่อนจะส่งแรงไปที่ปลายดาบเพื่อต้านดาบจนซากิต้องเซถอยหลัง ทันทีที่ซากิกลับมาตั้งหลักได้ ปลายดาบของนาโอริก็แทบจะจรดปลายจมูกเธอ
เป็นสัญลักษณ์ว่าเพื่อนของเธอชนะแล้ว
“ฟู่ว เกือบไปแล้ว” ซากิเอ่ยพลางดันปลายดาบของเพื่อนออกห่างจากใบหน้า ก่อนจะยกยิ้มกว้างให้เพื่อนสาว
“เธอทำได้แล้วนาโอะจัง!”
“ฉ ฉันทำได้..ทำได้แล้ว!” นาโอริเองก็ตะโกนลั่นพร้อมโผเข้ากอดคนตรงหน้าอย่างลิงโลด
เสียงหัวเราะคิกคักแทบจะดังก้องเมื่ออยู่ในโรงยิม นาโอริเลยไม่วายถูกเพื่อนสาวเอ็ดไปหน่อยหนึ่งแต่เจ้าตัวก็ยังกระโดดโลดเต้นดีใจกันไม่พัก จนท้ายที่สุดก็ต้องหยุดเพราะแต่เดิมทีแทบจะหายใจจะไม่ทันอยู่แล้ว
การฝึกซ้อมเห็นผลและผ่านไปอย่างราบรื่น สองสาวจึงพากันเดินกลับหอพักแสนอบอุ่น เนื่องจากพวกเธอมีตารางเรียนแต่เช้าในวันพรุ่งนี้ เลยจำเป็นต้องกลับมาหอพักตั้งแต่วันอาทิตย์ โชคดีที่ไม่ได้แบกสัมภาระอะไรกลับบ้านมากนัก ตอนขากลับจึงสามารถทิ้งของไว้ในโรงยิมและอยู่ซ้อมได้ยาว ๆ
.
.
.
ทันทีที่ถึงหอ ต่างคนต่างก็จัดการธุระส่วนตัวของตนเองและมารวมกันในเวลามื้อค่ำ วันนี้เป็นคราวของนาโอริที่ต้องทำอาหารเย็น เด็กสาวจึงจัดเมนูข้าวหน้าไข่และไก่ถ้วยใหญ่กว่าฝ่ามือทดแทนแรงหลังออกกำลังกายกันมา กลิ่นหอมของเนื้อไก่ผัดปะทะกับไอร้อนจากข้าวเม็ดอ้วนและไข่แดงเยิ้ม ช่างเหมือนมนต์วิเศษที่เมื่อทานเข้าไปพลังกายก็ฟื้นคืนร่าเริงขึ้นมาทันใด
รู้ตัวอีกทีดวงดาวพร่างฟ้าก็พร้อมจะกล่อมพวกเธอเข้านอนเสียแล้ว
“วันนี้สนุกมากเลย แต่แอบปวดตัวนิดหน่อยแหะ” นาโอริเอ่ยพลางกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงนุ่ม
“ความปวดในวันนี้จะแปลงเป็นกล้ามเนื้อในวันข้างหน้านะ อดทนหน่อย” นาโอริมุ่ยหน้าเป็นเด็กน้อย ทว่าสาวเจ้าพลันต้องพลิกตัวไปทางอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ครั้นเธอนึกเรื่องอยากถามออก
“จะว่าไปนายรู้สึกเหมือนกันไหม ตอนที่พยายามประสานจิตตามที่ซากิบอก”
“เธอรู้สึกแบบไหนล่ะ”
“อือ..รู้สึกว่ามีลมมากระทบตามตัว แล้วก็เหมือนจะเห็นอะไรลาง ๆ จากมุมมองนายด้วย” มือเรียวลูบคางครุ่นคิดพลางเอ่ยต่อ
“แล้วก็รู้สึกว่าประสาทรับรู้มันเร็วขึ้นหน่อยหนึ่ง อย่างตอนที่ซากิพุ่งเข้ามาก็ตั้งรับทัน”
“นั่นเรียกว่าการเชื่อมจิต มันจะเหมือนเธอมีตา หู มืออย่างละสี่ข้าง เลยทำให้รับรู้เร็วขึ้นไงล่ะ” เด็กสาวที่ฟังคำอธิบายจากเสียงทุ้มได้แต่อ้าปากค้าง ขณะนึกภาพตัวเองมีแขนขางอกมาอีกคู่...
“เพราะงั้นฉันก็เลยรู้สึกถึงมุมมองของนายได้?”
“และฉันก็รับรู้สิ่งที่เธอคิดได้เช่นกัน” จบประโยคนาโอริถึงกับดีดตัวขึ้นมานั่ง ก่อนจะยู่หน้าใส่คู่หูอย่างช่วยไม่ได้
“น่ากลัวอะ”
“อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นนะ”
“แต่มัน”
“ไปนอนไป” อาวุธศักดิ์สิทธิ์ตัดจบทันควันก่อนจะเงียบหายไป ไม่ว่านาโอริจะเรียกเท่าใดก็ไร้ซึ่งการโต้ตอบ จนสาวเจ้าต้องยอมแพ้และล้มตัวลงซุกกับผ้าห่มผืนใหญ่พาตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราไป
ห้องนอนสีครีมกลับสู่ความสงบ มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงหายใจของเจ้าคนบนเตียงเท่านั้น หากแต่ท่ามกลางความเงียบกลับมีการเคลื่อนไหวของอากาศเกิดขึ้น สายลมเบาหวิวพัดเพรอบกายของนาโอริ มันคลอเคลียรอยจ้ำแดงและรอยฟกช้ำบนผิวนวล
ทันใดนั้นบริเวณรอยช้ำตามแขนกลับค่อย ๆ จางลง ซึ่งดูเหมือนจะช่วยบรรเทาความปวดของเด็กสาวด้วยเช่นกัน ทว่าสายลมกลับกระเจิงทันทีที่สาวเจ้าขยับกายราวไม่ต้องการปลุกให้เธอตื่น
และปล่อยให้เธอฝันถึงวันวานที่แสนหวานในช่วงข้ามคืน...
to be continue…
つづく、psrpowder