ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
นิยายเรื่องนี้จะอัพ ทุกวัน ศุกร์และเสาร์ เวลา 19.00 น. - 19.30 น.
และอาทิตย์ เวลา 18.30 น.
จะพยายามลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อนักอ่านทุกท่านนะคะ :>
**เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok และ Bluesky จะอัพเดตเรื่อย ๆ ค่ะ**
ปุกาศ ๆ บัดนี้เรามี E-book แล้วนะจ๊ะ!
ตอนนี้เล่ม 3 กำลังจัดโปรลด50% อยู่น้าา ตั้งแต่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 68!!!!
ใครสนใจไปส่องกันได้เลยน้าา <3
*** ที่ : mebmarket ครับโผม! ***
เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังของนักเขียนฝึกหัด (เพื่อต่อยอดความฝันอยากทำอาชีพนักเขียนค่ะ) ขอฝากนักอ่านใจดีทุกท่านติชม แนะนำให้ไรท์ฝึกหัดคนนี้ได้นำไปปรับใช้ในเรื่องต่อไปด้วยนะคะ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็น้อมรับและปรับแก้ค่ะ
หรือถ้าไม่ชอบคอมเมนท์ก็กดใจให้กันได้นะคะ กำลังใจชั้นยอดของเราเลย
กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ^^
================ เกริ่นแนวเรื่องกันซะหน่อย =================
เรื่อง 7Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ ฮ่า)
เป็นแนวแฟนตาซี ฟิลชีวิตประจำวันในประเทศญี่ปุ่นยุคอนาคตปี3000 แต่เพราะกฎการแบนอาวุธปืนเลยทำให้มีสไตล์การต่อสู้แบบโบราณผสมด้วย ฟิลใช้ดาบฟันกันชิ้งๆ ยิงธนูปิ้ว ๆ หรือแม้แต่วิชานินจาก็ยกมาหมดแผง(เท่าที่ไรท์คิดออกอ่ะนะ55)
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารักของพระนางแบบมองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ! ปมดรามาความสัมพันธ์พวกเขามีประปรายให้ได้หมั่นไส้กัน ได้ลิ้มรสความหวานกันเต็มกระบุงแน่นอนค่ะ :)
แล้วก็แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจมาด้วยนะ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยดหลายรอบเลยค่ะ ;-;)
***คำเตือนเล็กน้อย…เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวและนักเขียนมีแพลนเขียนแบ่งเป็น2ซีซั่น
ปัจจุบันซีซั่น1ใกล้จะจบแล้วค่ะ สามารถอ่านกันได้จุใจแน่นวลล***
.
.
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
(สั้น ๆ คือ ฝากกดติดตามกันด้วยนะทุกคลล ฮืออ T T )
====== เรื่องย่อกันบ้างดีกว่า ======
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้ ทั้งสองต้องเริ่มชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน กระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมห้องอย่าง โมโมเสะ ฮินาวะ เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้มากความสามารถและเก่งกาจจนนาโอริอยากให้เขาช่วยสอนวิชาดาบให้ แต่เขากลับยื่นคำท้าต่อเธอให้เอาชนะเขาให้ได้ในงานประลองดาบ เด็กสาวจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อชนะเขา
เพราะการแข่งนั้นพวกนาโอริจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วมสภานักเรียนหรือสภาเจ็ดซามูไรและได้ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตายจนพบกับองค์ชายรัชทายาทอายุไล่เลี่ยกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างนิรนามหมายจะชิงตัวไป นาโอริเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าวินาทีแรกที่สบตาเขาหัวใจก็ไม่อาจลบภาพรอยยิ้มสุดท้ายให้จางหายได้
ทางเลือกใหม่ที่เธอเลือกจึงลงเอยที่ตำแหน่ง 'องครักษ์' ของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้เพื่อให้ได้ปกป้องเขาได้ทุกวินาทีที่หายใจ….
===== สปอยหน้าตาพระนางสักเล็กน้อย =====
ชิสึจิ นาโอริ (น้อนนาโอะ) อายุ 16 ปี
เด็กสาวม.ปลายผู้ฝันอยากเป็นนักดาบเพราะเชื่อว่าความชอบนี้มาจากพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เลยคิดว่าถ้าได้เดินทางเดียวกันก็จะได้เจอครอบครัวฝั่งพ่อของตัวเองก็เป็นได้ แต่ใครจะรู้…ว่าปัจจุบันเธอจะได้ความฝันใหม่อันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง!!!
“ขอสาบานว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาย…จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง!”
ฮิบานะ โซอิจิโร่ (น้อนโซว์) อายุ 15 ปี
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความลับมากมายซ่อนไว้หลังหน้ากากอันเยาว์วัยกับ…สีผม?? เพราะเรื่องราวในอดีตที่ทำร้ายเขามานับไม่ถ้วนจึงหล่อหลอมตัวตนของเขาให้เป็นคนจริงจัง สุขุมและเก่งในด้านการต่อสู้(ปกป้องชีวิตตัวเอง) แต่ยามได้อยู่ต่อหน้านาโอริ ทุกบุคลิกก็ดูจะละลายหายไปจนเหลือแค่เด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง…กับจุดประสงค์บางอย่างในหัวใจ
“แกจะเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตาให้พวกเราอีกได้ไหม…เหมือนที่เธอพูดครั้งนั้น”
.
.
.
“ใครอยากเริ่มต้นความเบียวไปกับไรท์ กดอ่านตอนแรกกันเล้ย!!!”
よろしく、psrpowder
ท้องฟ้าครามปกคลุมด้วยเมฆขาวนวล คอยชะลอแสงตะวันร้อนระอุให้กับมนุษย์สองขาเบื้องล่าง บัดนี้เป็นเวลาสมควรที่ท้องจะร้องกิ่วเรียกหาพลังงานหลังจากถูกผลาญไปในช่วงเช้า ละแวกร้านอาหารริมทางหรือคาเฟ่ขนมหวานจึงพลุกพล่านไปด้วยผู้คน เช่นเดียวกับนาโอริและเด็กหนุ่มนามว่า โซว์ ที่กำลังเดินตระเวนมองร้านนู่นทีนี่ที
ครั้นสาวเจ้าถูกอีกฝ่ายมัดมือชกให้นำเจ้าตัวเที่ยวโดยรอบนี้ แต่โซว์กลับบอกว่าเขาไม่ได้อยากไปที่ไหนเป็นพิเศษ งานใหญ่เลยตกอยู่ที่นาโอริทำเอาเธอนึกเหนื่อยหน่ายในใจ ว่านอกจากต้องมาเดินเที่ยวกับคนที่เพิ่งรู้จักไม่ถึงชั่วโมง ยังต้องคิดแผนเที่ยวด้วยตัวเองอีก ทัวร์เฉพาะกิจนี่จะรอดไหมนะ?
.
.
.
“ถ้าอยากแวะหลาย ๆ ร้านผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”
โซว์เอ่ยพลางเท้าเอวมองนาโอริที่หันซ้ายขวาอย่างตื่นตาตื่นใจ เพราะตัวเลือกนั้นช่างมากมายเสียจนตัดสินใจไม่ถูก
“นายพูดจริงเหรอ!?” นัยน์ตาสีซากุระทอประกายระยิบระยับราวกับเด็ก พลันทำเอาคนตัวเล็กกว่าเหงื่อตก
“ถอนคำพูดทันไหมเนี่ย...”
“ไม่ทันแล้ว งั้นไปมันทุกร้านเลยแล้วกัน!” ร่างบางไม่รีรอ เธอคว้าแขนของอีกฝ่ายและวิ่งไปยังร้านอาหารริมทางแห่งหนึ่งเร็วยิ่งกว่าแสง
แล้ว...ไอ้ความกังวลก่อนหน้านี้มันหายไปไหนหมดล่ะเนี่ย
ด้วยเหตุนี้ทัวร์แห่งการเดิน กินและเที่ยวจึงเริ่มต้นขึ้น
นาโอริพาเพื่อนร่วมทางของเธอไปลิ้มรสอาหารญี่ปุ่นชื่อดังมากมายที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จักไม่ว่าจะเป็น ทาโกยากิลูกพอดีคำอัดแน่นด้วยเนื้อปลาหมึกเหนียวนุ่ม โอโคโนมิยากิเครื่องแน่นที่กัดตรงไหนก็ต้องมีเสียงกรุบกรอบของผักกะหล่ำและความชุ่มฉ่ำของเนื้อหมูสุกกำลังดี ไหนจะมีราเมงร้อน ๆ ชามโตชวนน้ำลายสอ ปิดท้ายด้วยคาเระปังหรือขนมปังหวานสอดไส้แกงกะหรี่ให้รสหวานเค็มกำลังดี
“นายลองกินดูสิ” นาโอริยิ้มร่าพลางยื่นขนมปังชิ้นโตที่เพิ่งจะซื้อสำหรับสองคนมาให้เด็กหนุ่ม เขาเอื้อมมือรับมันไว้ทว่าดวงตาสีนิลสวยยังคงจับจ้องที่คนตรงหน้าไม่วาง
“แค่ได้กินเจ้าพวกนี้ก็มีความสุขขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แน่นอนสิ! พอได้กินของอร่อย ใครก็มีความสุขทั้งนั้นแหละ!” เธอเอ่ยพร้อมกัดขนมปังไปคำหนึ่ง
“แปลกดีจัง...” โซว์พึมพำเบาหวิว ก่อนจะเหลือบมองผู้คนที่สัญจรไปมารอบตัว ในมือพวกเขามีทั้งอาหารและขนมหลากหลายชนิดที่ซื้อตามร้าน ใบหน้าของพวกเขายามได้ทานของกินในมือนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ช่างดูมีความสุขเอามาก ๆ
อาจจะมากเสียจนเขาเอื้อมไม่ถึงด้วยซ้ำ...
“เหมือนเวทมนตร์เลยนะ”
“ใช่! งั้นนายก็ต้องรีบกินเจ้าเวทมนตร์นี่เข้าไปแล้วล่ะ จะได้ยิ้มออกมากว้าง ๆ” นาโอริเอ่ยพลางใช้สองนิ้ววาดรอยยิ้มบนใบหน้าให้อีกฝ่ายดู
“ดูท่าจะได้ผลกับพี่นะ ก่อนหน้านี้ยังทำหน้าบึ้งตึงอยู่เลย”
“โธ่ เรื่องในอดีตก็ปล่อยมันไปเถอะน่า ตอนนี้ฉันอยากฟินกับอาหารพวกนี้มากกว่า”
“ดีจริงนะครับ...ถ้าเราทำได้แบบเธอก็ดีสิ” คำพูดสุดท้ายนั้นเบาเสียจนกลืนหายไปกับเสียงเจี๊ยวจ๊าวของผู้คนในละแวกนั้น
“เมื่อกี้นายพูดอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่านี่ครับ พี่หูฝาดแล้วล่ะ” โซว์เอ่ยไม่ยี่หระพลันกัดขนมปังเข้าปาก ปล่อยให้สาวเจ้าเลิกคิ้วสูงอยู่อย่างนั้น สุดท้ายนาโอริจึงหันกลับไปเพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสในมือต่อ
เสร็จสิ้นการหยุดพักพูดคุย ทัวร์เดินกินก็ตะลอนไปยังเป้าหมายอื่น ๆ ต่อ จบมื้อของคาวไปแล้วก็ต้องตามด้วยของหวานสิถึงจะถูก!
นาโอริรีบตรงดิ่งไปยังร้านแรกที่เข้ามาในสายตาอย่าง ร้านมิทาราชิดังโงะ หรือ ดังโงะเหนียวนุ่มเคลือบด้วยซอสถั่วเหลืองหวานฉ่ำ และยังตามด้วยขนมโมจิสีขาวสอดไส้ผลไม้นานาชนิด แน่นอนว่าคนรักสตรอร์เบอรี่อย่างเธอไม่พลาดที่จะสั่งไส้สตรอร์เบอรี่มาทานให้ชื่นใจ โดยไม่ลืมสั่งมาให้เด็กหนุ่มที่เริ่มจะสงสัยว่ากระเพาะเด็กสาวเป็นหลุมดำหรืออย่างไรกัน
ครั้นนึกในใจดวงตาสีนิลพลันเผลอลอบมองคนข้างกายไม่วาง จนกระทั่งร่างบางชะงักเท้าไม่บอกกล่าว และเห็นสายตาของเธอไปหยุดอยู่ที่ป้ายประกาศของร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีข้อความว่า พิเศษ! ต้อนรับสิ้นปีกับพาเฟ่ต์ผลไม้รวม! ถูกเขียนไว้
“ว้าว...” เด็กสาวอุทาน
“อย่าบอกนะ”
“ที่สุดท้ายแล้ว จริง ๆ นะ จะได้ถือโอกาสนั่งพักขาด้วยไง” นัยน์ตาสีซากุระส่องแววประกายให้อีกฝ่าย ทำเอาโซว์ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
“สุดท้ายแน่นะครับ”
“แน่นอน!” เธอรับปากพลันยกนิ้วโป้ง ว่าแล้วทั้งสองจึงพากันเข้าไปในคาเฟ่ตกแต่งด้วยของตุ๊กตาน่ารักและริบบิ้นหลากสีให้ความรู้สึกสดใส ครั้นได้ที่นั่งนาโอริพลันสั่งเมนูที่ต้องการทันควัน กระทั่งพนักงานเดินจากไปจึงเป็นช่วงเวลาที่ได้ชื่นชมการแต่งอันสร้างสรรค์ของร้าน และไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดต่อกัน ก่อนจะเป็นนาโอริที่ลอบมองเด็กหนุ่มซึ่งกำลังเหม่อมองของในร้าน
เธอมองไปยังนัยน์ตาสีนิลนั่น พลันนึกประหลาดใจกับตัวเองที่ไม่สัมผัสถึงความอึดอัดเหมือนตอนอยู่กับคนแปลกหน้าคนอื่นเลย เป็นเพราะเขาอายุใกล้เคียงกับเธอ หรือเพราะโซว์ไม่ได้แสดงท่าทีให้ชวนอึดอัดกันแน่?
แต่นาโอริไม่ได้รู้สึกไปเอง....ที่เหมือนว่าเธอจะคุ้นชินกับโซว์จนไม่ต้องเสแสร้งต่อหน้าเขา ราวผูกพันกับเขา...
จนหัวใจเผลอเจ็บแปล๊บ ยามสังเกตแววตาไร้ความตื่นเต้นที่ฉายออกมา
“โซว์ นายสนุกหรือเปล่า?” เจ้าของชื่อหันขวับมองใบหน้าน่ารักก่อนจะตอบกลับ
“สนุกสิ ทำไมพี่ถึงถามแบบนั้นล่ะ?”
“ก็ฉันเห็นนายทำหน้าบึ้งตึงตลอดเลยนี่นา นาน ๆ ทีถึงจะยิ้มบ้างอย่างกับพวกผู้ใหญ่วัยทำงานอะไรแบบนั้น”
“หน้าผมมันบ่งบอกขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“แหงสิ ขนาดคนอย่างฉันยังดูออกเลย...หรือว่านายเครียดกับชีวิตในโรงเรียน? หรือเป็นพวกจริงจังกับชีวิต? เอ๊ะ หรือจะเป็น...”
“เดี๋ยว ๆ ไม่ตรงสักอย่างเลยนะนั่น” โซว์โบกมือหย็อย ๆ เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นเด็กสาวจึงยิ่งสงสัยเข้าไปอีก เธอได้แต่เลิกคิ้วเอียงคอให้เขา เด็กหนุ่มพลันแสดงท่าทีลังเลใจออกมาเห็นได้ชัด ราวกับกำลังตัดสินใจว่าควรเอ่ยสิ่งใดออกไปดี และไม่นานเจ้าตัวจึงทอดถอนใจพลันอ้าปากเอ่ย
“ผมก็แค่...เหนื่อยน่ะ”
“ฉันถามได้ไหมว่าเรื่องอะไร?” นาโอริเอ่ยก่อนจะเป็นอีกฝ่ายที่พยักหน้าเบา ๆ ตอบ
“มันอธิบายยากน่ะ เอาเป็นว่าผมต้องช่วยงานของ…ครอบครัวจนไม่ค่อยจะได้พักเท่าไหร่” เด็กหนุ่มนวดหัวตาเบา ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงใสอุทานขึ้น
“เดี๋ยวนะ ถ้านายต้องช่วยงานที่บ้าน แล้วทำไมถึงออกมาเดินเที่ยวข้างนอกล่ะ?”
“ก็แอบหนีออกมาน่ะสิ” โซว์ตอบอย่างไม่ยี่หระในขณะที่นาโอริถึงกับอ้าปากค้าง
“หา!? แบบนี้ก็แย่แล้วสิ หายออกมานานขนาดนี้ พ่อแม่นายเขาไม่ตามหากันให้วุ่นเหรอ?”
“ไม่ตามหรอก คนแบบนั้นน่ะ....”
ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งเสียงในร้านพลันอื้ออึง เช่นเดียวกับคำพูดที่ติดในลำคอยามมองสีหน้านิ่งเรียบของเด็กหนุ่มตรงหน้า ถึงน้ำเสียงจะสงบดังเดิม ทว่าแววตาสีนิลกลับกำลังสะท้อนความรู้สึกซึ่งแม้แต่นาโอริก็ไม่มีทางจะเข้าใจได้ ราวกับมันเป็นเรื่องที่เธอไม่เคยได้สัมผัส
“เอ่อ..” ดวงตาสีซากุระสั่นไหวริมฝีผากเผยอขึ้น พยายามนึกสิ่งที่จะพูดต่อเพื่อขจัดความอึดอัดตรงหน้านี้
“ของหวานมาเสิร์ฟแล้วค่ะ ขอโทษที่ให้รอนะคะ” เสียงจากพนักงานสาวช่วยพังบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกลงไปได้มาก เธอวางถ้วยขนมหวานทรงสูงที่ประดับด้วยผลไม้ชิ้นเล็กหลากสีและก้มโค้งให้ลูกค้าของเธอ ครั้นร่างของพนักงานค่อย ๆ ไกลออกไป จึงเปิดโอกาสให้นาโอริเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“โซว์ คือว่า...ขอโทษนะ”
“พี่ขอโทษผมทำไม?”
“ฉันไม่น่ายุ่งเรื่องของนายเลย คราวนี้นายทำหน้าเศร้ากว่าเดิมเสียอีก” เด็กสาวมุ่ยหน้าห่อเหี่ยวพลางถอนใจ ก่อนจะรู้สึกเจ็บตรงหน้าผากเหมือนถูกอะไรบางอย่างดีดใส่ และไม่พ้นเป็นมือของโซว์ที่ยังค้างท่าดีดนิ้วอยู่ตรงหน้าของนาโอริ
“ปัญหาของผม ผมจัดการเองได้น่า พี่อย่าเอามันไปใส่หัวเลย”
“นายไม่โกรธ?” เขาส่ายหน้าทันควัน
“ไม่ได้โกรธครับ แต่ถ้าพี่ไม่ยอมกินเจ้านี่จนมันละลายเละเทะผมจะโกรธจริง ๆ นะ” นาโอริรีบเปลี่ยนอารมณ์ทันควันครั้นมองขนมหวานตรงหน้าพร้อมลากแก้วทรงสูงเข้ามาหาตัว ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดสำหรับสาว ๆ ทุกคนเมื่อเจอขนมหวานสวยงามเช่นนี้ มีหรือจะไม่ยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพ
“ยังจะถ่ายอีกเหรอพี่?”
“สวยแบบนี้ไม่ให้ถ่ายได้ยังไง” ว่าแล้วมือเรียวจึงตั้งกล้องจากโทรศัพท์ขึ้นมาและจัดองค์ประกอบรูปภาพ เมื่อขนมอยู่ในเฟรมเด็กสาวตั้งใจจะกดถ่าย แต่แล้วเธอกลับเกิดความคิดซุกซนเลยเลื่อนเฟรมกล้องให้จับภาพใบหน้าของอีกฝ่ายคู่กับขนมหวานก่อนจะกดปุ่มถ่าย และไม่วายยื่นมือถือคู่ใจให้เด็กหนุ่มดูพลางหัวเราะร่า
“ดูสิถ่ายติดใคร”
“เดี๋ยว ถ่ายตอนไหนเนี่ย?” โซว์ถึงกับต้องดีดตัวจากพนักเก้าอี้มาจ้องจอมือถือนั้น พลันอาศัยความมือไวคว้ามันมาจากมือของนาโอริ ขนาดที่ว่าเจ้าของมือถือยังมองไม่ทันและรีบกดลบมันออกไป
“โธ่ ลบทำไมล่ะ”
“ถ่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ต้องลบ”
“เหอะ ตามใจทีนี้เอามือถือฉันคืนมาได้แล้ว” เด็กหนุ่มยอมส่งมันคืนให้แต่โดยดี ก่อนจะยกมือถือของตัวเองขึ้นมาและตั้งท่าถ่ายรูปนาโอริ
“พี่ยิ้มสวย ๆ นะ” แม้จะไม่ทันตั้งตัวแต่สาวเจ้าก็รีบวาดรอยยิ้มบนใบหน้าได้จังหวะกดถ่ายรูปของอีกฝ่าย ไม่เช่นนั้นคงได้มีรูปน่าอายออกมาเป็นแน่ โซว์ยื่นโทรศัพท์ให้อีกฝ่ายดูก่อนจะยกยิ้มน้อย ๆ
“กล้องผมถ่ายสวยกว่าเยอะ ไว้จะส่งให้นะ”
“ให้ตายสิ จู่ ๆ ก็บอกให้ยิ้ม”
“ไม่งั้นจะยอมให้ถ่ายเหรอ?” นาโอริมุ่ยหน้าพลันคว้าถ้วยขนมหวานมารับประทานก่อนที่มันจะละลายไปมากกว่านี้ วินาทีที่ไอศกรีมซึมซาบเข้าปาก ช่างเป็นเวลาที่มีความสุขจนห้ามไม่อยู่ เธอได้แต่คิดว่าอยากให้เจ้าสิ่งในถ้วยนี้คงอยู่ตลอดไปก็คงจะดี
“กินของแบบนี้เข้าไปได้ยังไง ทั้งที่เพิ่งจะกินปริมาณขนาดนั้นไปแท้ ๆ”
“ทำได้ก็แล้วกัน” นาโอริเชิดหน้าใส่ก่อนจะตักขนมเข้าปากอีกคำหนึ่งและยิ้มอย่างมีความสุข จนไม่ทันได้สังเกตว่าคนตรงข้ามเธอเองก็เผลอยกยิ้มออกมาเช่นกัน หนำซ้ำยังนุ่มนวลกว่าปุยเมฆเสียอีก
.
.
.
หลังจากเด็กสาวเพลิดเพลินกับของหวานแสนอร่อยจนเรียบร้อย ก็เป็นเวลาอันสมควรที่ทั้งสองคนต้องแยกย้ายกัน เนื่องจากท้องฟ้าด้านนอกคาเฟ่เริ่มจะชโลมสีส้มอมแดง โชคดีที่ค่าอาหารและของหวานส่วนใหญ่ในครานี้นาโอริหารกับเด็กหนุ่ม สาวเจ้าจึงไม่เสียทรัพย์ส่วนตัวไปมากและมีเหลือกลับบ้านด้วย แม้โซว์จะเสนอออกให้มากกว่าแต่ในเมื่อมาด้วยกัน ก็ต้องหารกันสิ!
.
.
.
บัดนี้พวกเขาเดินกลับมาบริเวณสวนสาธารณะซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนเท่ากับเมื่อตอนเช้า เด็กสาวบอกลาเพื่อนร่วมทางของเธอและตั้งท่าจะหันหลังเดินไป ทว่ากลับถูกโซว์คว้าแขนเรียวเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวก่อนพี่”
“มีอะไรเหรอ?” ใบหน้าได้รูปของเด็กหนุ่มปรากฏเลือดฝาดจาง ๆ และทำท่าเขินอายออกมา
“ผ ผมขอเบอร์ติดต่อไว้ได้หรือเปล่า?”
“โอ้ ได้สิ!” นาโอริยิ้มร่าแทบจะทันที เล่นเอาอีกฝ่ายผงะเล็กน้อยก่อนจะทำการแลกเบอร์ติดต่อกัน รวมถึงช่องทางสื่อสารอื่น ๆ ด้วย
“ไว้ถึงบ้านจะส่งรูปไปให้นะ” โซว์เอ่ย
“อื้อ! ขอบคุณสำหรับวันนี้นะโซว์”
“ผมต่างหาก...ที่ต้องขอบคุณ” เด็กหนุ่มยกยิ้มแสนอ่อนโยนให้นาโอริ จนแม้แต่สาวเจ้ายังเผลอจับจ้องอยู่นานสองนาน
ครั้นเดินแยกกันออกมาจากสวนสาธารณะ ต่างคนต่างเก็บความทรงจำล้ำค่าไว้ในใจและกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่จะใกล้เข้ามาเมื่อวันหยุดสิ้นสุดลง ร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีดำขลับก้าวเท้าไปตามเส้นทางหนึ่งของเมือง ซึ่งเริ่มไม่เห็นร่องรอยของผู้คนสัญจรไปมา กระทั่งเขาหยุดเท้าลงที่ซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ไม่นานจึงมีเสียงเครื่องยนต์ดังมาจากเหนือน่านฟ้า
บรืน!
เรือนผมสีดำขลับพลิ้วไสวตามแรงลมเช่นเดียวกับชุดของเขา เมื่อรถลีมูซีนสีเข้มคันหนึ่งค่อย ๆ ร่อนลงมาจากด้านบนและจอดเทียบอย่างนุ่มนวลเบื้องหน้าเด็กหนุ่มก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านใน ทันทีที่ประตูปิดสนิท น้ำเสียงทุ้มจากที่นั่งคนขับพลันเรียกความสนใจจากร่างเล็กไป
“จะเสด็จไปไหนต่อหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ?” เขาเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ไม่ล่ะ เราจะกลับเลย” สรรพนามแทนตนและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจนดูน่าเกรงขามตอบกลับทันใด
ครั้นได้ยินคำสั่ง รถยนต์คันหรูพลันลอยตัวขึ้นเหนือตรอกซอย ก่อนจะทะยานไปสู่ถนนบนฟากฟ้า และค่อย ๆ เลือนหายกลืนไปกับหมู่เมฆราวล่องหน
เด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์พิงตัวกับเบาะนุ่มพลันทอดสายตาไปนอกหน้าต่างและปล่อยให้เวลาผ่านไป...
.
.
.
รู้ตัวอีกทีรถหรูล่องหนก็เดินทางมาถึงบริเวณที่ตั้งของปราสาทญี่ปุ่นโบราณหลายหลัง ก่อนจะร่อนเข้าไปใกล้หนึ่งในปราสาทสูงและเทียบจอดเทียบกับหน้าต่างของชั้นบนสุด ร่างเล็กเปิดประตูออกและกระโดดเข้าไปโดยไม่ให้เกิดเสียงดัง เขาปัดเนื้อตัวเล็กน้อยพลันยกมือถือคู่ใจขึ้นมา หน้าจอสว่างวาบในที่มืดสลัวปรากฏรูปถ่ายที่เจ้าตัวถ่ายนาโอริเอาไว้ เด็กหนุ่มเลื่อนเปิดหน้าส่งข้อความที่เป็นชื่อของอีกฝ่ายพลันส่งรูปไปให้ตามที่บอกเอาไว้ ไม่นานจึงมีข้อความตอบกลับมา
‘รูปสวยกว่ากล้องฉันจริงด้วยแหะ!’
‘ผมบอกแล้วพี่ไม่เชื่อเอง’
‘เชื่อแล้ว ๆ ยังไงก็ขอบใจมากนะโซว์ จะเอาไปแต่งให้สนุกเลย <3’
‘ครับ ๆ ขอให้สนุก’
ใบหน้าหล่อเผยรอยยิ้มออกมาพลางส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายและตั้งท่าจะเดินไปเปิดไฟในห้อง ทว่าเขากลับได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากมุมอับของห้อง
“หายากนะเนี่ยที่นายจะยิ้มแบบนี้”
ชิ้ง!
มือเล็กของเด็กหนุ่มดึงมีดสั้นที่แอบซ่อนไว้จากช่องกระเป๋าที่ขากางเกงและจ่อมันไปยังต้นเสียง ดวงตาสีนิลจับจ้องพื้นที่ตรงนั้นไม่วางตา ก่อนจะต้องชักมีดกลับเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร
“เดี๋ยว ๆ ถึงขั้นต้องหันอาวุธใส่พี่ชายเลยเหรอ?”
“เกนอิจิโร่? นายมาทำอะไรในห้องคนอื่นเนี่ย” เจ้าของเรือนผมสีดำเอ่ยพลางรีบเดินไปเปิดสวิตช์ไฟ เผยให้เห็นผู้ที่เรียกตนว่าเป็นพี่ชายในชุดยูกาตะสีดำทับด้วยเสื้อคลุมฮาโอริสีขาวสะอาดตา กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้เตี้ยใกล้กับประตู เขามีเรือนผมสีขาวนวลและดวงตาสีนิล แม้มีความละม้ายคล้ายกันทว่าใบหน้าและดวงตานั้นกลับฉายแววอ่อนโยนกว่าผู้เป็นน้องมาก
“ฉันมารอนายไง”
“นายเดินมางั้นเหรอ ถ้าเกิดเป็นลมล้มพับอยู่ในห้องจะทำยังไง?”
“ระยะทางใกล้แค่นี้ไม่ทำให้ฉันเป็นลมหรอกน่า” เสียงอ่อนโยนเอ่ยปนหัวเราะพลางลุกจากเก้าอี้ และเดินมาหาน้องชายของเขา
“ว่าแต่นายเถอะแอบหนีออกไปอีกแล้วนะ แถมกลับเสียเย็นขนาดนี้ไม่กลัวเสด็จพ่อจับได้เหรอ?”
“ต่อให้จับได้แล้วกริ้ว ฉันก็ไม่สนหรอก คนเราก็ต้องพักบ้าง” แฝดผู้น้องกล่าวพลันเบือนหน้าหนี
“นั่นสินะ ได้เห็นนายกลับมาด้วยหน้าตายิ้มแย้มหายากแบบนั้น พี่คนนี้ก็ดีใจ”
“ม ไม่ต้องมาทำเป็นดีใจเลย”
“เอ๋...ใครกันนะที่ทำนายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ได้ ชักอยากเจอแล้วสิ” เกนอิจิโร่วาดยิ้มให้น้อง ทำเอาอีกฝ่ายหน้าขึ้นสีจนเผลอลนลาน
“อย่าเชียวนะ ถ้าเจอจริง ๆ ล่ะก็เรื่องใหญ่แน่”
“พูดเล่นน่า สภาพฉันแบบนี้จะออกไปไหนได้ แค่นี้ก็สร้างความลำบากให้นายพอแล้ว” คนผู้น้องเปลี่ยนไปขมวดคิ้วทันใด เมื่อได้ยินคำพูดตัดพ้อนั้น
“นายไม่เคยทำให้ฉันลำบากเกนอิจิ เราคุยเรื่องนี้กันมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่”
“แต่ว่านะ...โซอิจิโร่ รู้ตัวไหมว่าสีหน้านายแย่กว่าฉันที่ป่วยเสียอีก” รอยยิ้มเศร้าสร้อยปรากฏบนใบหน้าของผู้เป็นพี่ ดวงตาสีนิลที่เหมือนกันกำลังสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
“นายไม่ต้องห่วงหรอกฉันแก้ปัญหาเองได้ นายแค่รักษาตัวเองให้แข็งแรงขึ้นก็พอแล้ว”
“เฮ้อ ดื้อชะมัด” แฝดผู้พี่ส่ายหน้าเหนื่อยใจ
“ฉันเป็นของฉันแบบนี้แหละ...ว่าแต่ทำไมนายถึงต้องถ่อมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองล่ะ?” เมื่อได้ยินคำถามนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเกนอิจิโร่ก็พลันหายไป ดวงตากลมแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
“ทรงมีรับสั่งให้นายไปเข้าเฝ้า เห็นตรัสว่าจะสั่งงานอะไรสักอย่างนี่แหละ”
“ถ้าเรื่องนั้นแค่ส่งทหารสักคนมาบอกก็น่าจะพอแล้ว จะไปถึงปราสาทหลักให้เมื่อยทำไมกัน?”
“ฉันว่าเสด็จพ่อคงมีเรื่องอยากจะตรัสกับนายแบบตัวต่อตัวมากกว่า” แฝดผู้พี่เว้นจังหวะหายใจก่อนเอ่ยต่อไป
“ที่จริงเขาส่งทหารให้มาบอกนาย แต่ฉันเจอเข้าพอดีก็เลยเลือกจะมาบอกเองน่ะ”
“หาเรื่องทำให้ทหารคนนั้นหัวขาดน่ะสิไม่ว่า ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมา...”
“ฉันจะได้ใช้โอกาสนี้มาเจอนายด้วยไง”
“แล้วแต่นายเลย...” เด็กหนุ่มเรือนผมสีดำขลับเอ่ยพลางเดินไปหยิบชุดยูกาตะสีขาวซึ่งพับไว้อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะทำงานมา ก่อนจะจัดแจงเปลี่ยนชุดลำลองออกและกลับสู่ภาพลักษณ์แบบเดิม โดยไม่ลืมจะคว้าวิกผมสีขาวบริสุทธิ์มาสวมทับเรือนผมดำขลับ บัดนี้จึงเหมือนมีเกนอิจิโร่อยู่สองคนเลยก็ว่าได้
“นายไม่พักก่อนเหรอ เพิ่งจะกลับมาเอง?”
“ไม่ล่ะ แค่ไปเข้าเฝ้าเย็นขนาดนี้ก็คงจะหูชาพอแล้ว ไม่ต้องถามถึงพรุ่งนี้เลย”
“งั้นฉันเดินไปพร้อมนายเลยก็แล้วกัน”
“ต้องกลับไปพักผ่อนล่ะ” ดวงตาสีนิลของผู้เป็นน้องหรี่ลงอย่างคาดคั้น ทำเอาอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่เป็นเพราะหัวเราะมากเกินไปจึงไอคอกแค่กอยู่พักหนึ่ง
หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วสองแฝดจึงโดยสารลิฟต์เหล็กลงไปที่ชั้นใต้ดินของปราสาท ซึ่งด้านใต้นั้นถูกทำมาอย่างแข็งแรง มีทางเดินเชื่อมระหว่างปราสาทแต่ละหลัง เพื่อลดปัญหายามที่เหล่าองค์ชายองค์หญิงไม่ต้องการเป็นเป้าสายตาใครจนเกินไป
โซอิจิโร่ตัดสินใจขึ้นไปส่งพี่ชายถึงห้องทำงาน อย่างน้อยตนจะได้สบายใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอะไรไปกลางทาง เสร็จแล้วจึงกลับลงมาที่ใต้ดินอีกครั้งและเดินเท้าไปตามทางแสนเงียบงัน ครั้นใกล้จะถึงที่หมายเด็กหนุ่มก็พลันทอดถอนใจอย่างช่วยไม่ได้
“เฮ้อ คราวนี้จะเป็นงานอะไรอีกนะ” ร่างเล็กเอ่ยพร้อมก้าวเท้าเข้าลิฟต์กว้าง และรอให้มันพาไปถึงจุดหมาย
“หวังว่า....”
“คงไม่ใช่งานยากอะไร”
to be continue…
つづく、psrpowder