จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
ณ ปราสาทไม้หลังใหญ่ที่สุดในปราสาทโบราณทั้งหมด บัดนี้โซอิจิโร่ในรูปลักษณ์ของพี่ชายได้ก้าวเท้าออกมาจากลิฟต์กว้าง เหล่าทหารที่เฝ้าหน้าประตูลิฟต์ไปจนถึงบริเวณโดยรอบ ต่างทำความเคารพผู้มาใหม่อย่างนอบน้อมตลอดทางที่เขาเดินจนกระทั่งไปหยุดที่หน้าประตูบานเลื่อน ซึ่งเป็นห้องทำงานของผู้ปกครองสูงสุดของประเทศและผู้เป็นบิดาด้วยเช่นกัน
ก๊อก ๆ
เด็กหนุ่มเคาะประตูสามครั้งพลันถอนหายใจระหว่างรอการขานรับจากคนในห้อง
“ใคร?” เสียงทุ้มต่ำที่ดังออกมาจากห้องนั้นช่างชวนให้กดดันและประหม่า แต่กลับเป็นสิ่งคุ้นเคยสำหรับเขามาแต่ไหนแต่ไร
“ลูกเองพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามา” สิ้นคำพูดเด็กหนุ่มสูงศักดิ์พลันเลื่อนประตูกั้นห้องออก เผยให้เห็นห้องกว้างทำจากไม้สีเข้มที่มีทั้งกองเอกสาร หนังสือ รวมไปถึงคอมพิวเตอร์และหน้าต่างโฮโลแกรมซึ่งกำลังประมวลข้อมูลอยู่ไม่ต่างจากห้องของเขา
ร่างหนึ่งนั่งจดจ้องเอกสารอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน เขาเป็นชายวัยกลางคนมีเรือนผมสีดำขลับและยาวประบ่า แต่ถูกรวบไว้เป็นหางม้าหลวม ๆ ดวงตาสีนิลนั้นดุดันและน่าเกรงขามขนาดที่ว่าใครก็ตามที่ได้สบตาคงรู้สึกเหมือนถูกมีดทิ่มแทง ทว่าดวงตานั้นกลับรับกันกับใบหน้าคมสัน บวกกับริ้วรอยแห่งอายุได้อย่างดีจนชวนให้มองและยิ่งดูดีเมื่อมองควบคู่กับชุดยูกาตะสีเทา ซึ่งทับด้วยฮาโอริสีน้ำตาลเข้ม เขาจ้องร่างของลูกชายที่ก้าวเข้ามาแทบทุกย่างก้าว กระทั่งโซอิจิโร่ได้ลงมานั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นไม้เรียบและเอ่ยต่อคนตรงหน้า
“เสด็จพ่อจะรับสั่งงานกับลูกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แกไปไหนมา” บรรยากาศในห้องทิ้งตัวจนหนักอึ้งราวกับถูกหินทับ แววตาไม่สบอารมณ์จ้องเขม็งไปยังลูกชายของตนไม่วางตา ก่อนจะเป็นเด็กหนุ่มที่รวบรวมลมหายใจเพื่อสู้กับความน่ากลัวนี้
“ลูกแค่ออกไปสูดอากาศข้างนอก หลังจากทำงานที่รับสั่งมาเสร็จแล้วเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ใครอนุญาตให้ออกไป”
“ลูกไม่จำเป็นต้องขออนุญาตใครพ่ะย่ะค่ะ”
“โซอิจิโร่!” เอกสารในมือถูกขว้างลงบนโต๊ะไม้จนเกิดเสียงดัง ดวงตาสีนิลของเด็กหนุ่มหลุบต่ำทว่ากลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว เพราะเป็นเรื่องที่เขาชินชากับมันมาหลายปีแล้ว
“ฉันบอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเสนอหน้าออกนอกอาณาเขตโดยไม่ได้รับอนุญาต คิดบ้างไหมว่าความเอาแต่ใจของแกมันจะสร้างความเดือดร้อนให้ฉันแค่ไหน ถ้าเกิดมีคนจำรูปลักษณ์ของแกได้ขึ้นมาจะทำยังไง!?” โซอิจิโร่ไม่ได้ปริปากอันใด เขาทำเพียงปล่อยให้บิดาร่ายสิ่งที่คิดออกมาให้หมด เหมือนอย่างทุกที...
“ที่ฉันให้แกรับหน้าที่แทนก็เผื่อจะได้หัดทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง พูดนักหนาว่าจะทำเพื่อพี่ของแก แล้วทำไมถึงได้หาแต่เรื่องที่จะนำอันตรายมาให้เกนอิจิโร่อยู่ได้”
อันตราย?....โซอิจิโร่ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าแค่การออกไปปล่อยกายปล่อยใจ จะทำให้แฝดผู้พี่เป็นอันตรายได้ยังไง ในเมื่อตัวเขาเป็นคนออกไปเจอโลกภายนอก ภัยร้ายก็ต้องถึงตัวเขาก่อนสิ
“ก็ถ้าวันไหนประชาชนทุกคนรู้ว่าองค์ชายที่ควรจะนอนป่วยกระเสาะกระแสะ กลับมาเดินเสนอหน้าอยู่ในเมืองอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนี้ วันนั้นแหละพี่ชายของแกจะต้องตกอยู่ในอันตราย!”
ต่อให้คำถามนี้จะค้างคาในหัวมาตั้งแต่วัยเยาว์ก็ตาม แต่ในเมื่อ...
“ให้ฉัน...เป็นตัวแทนของนายนะ เกนอิจิ”
“แล้วชีวิตของนายล่ะ?”
“ถ้าเพื่อนาย....ฉันไม่เป็นไร”
เคยให้คำสัญญาไปแล้ว มันก็จะดำเนินต่อไป เขาไม่จำเป็นต้องแย้งให้เรื่องบานปลาย
“โปรดประทานอภัย ให้กับความผิดของลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ในท้ายที่สุดโซอิจิโร่ก็จำยอมก้มศีรษะแทบจะจรดพื้น ต่อหน้าสายตาเกรี้ยวกราดของผู้เป็นพ่อพลันได้ยินเสียงฮึดฮัดจากอีกฝ่าย ตามด้วยน้ำเสียงสุขุมที่ยัดเยียดคำสั่งให้เด็กหนุ่ม
“ฉันขอสั่งห้ามไม่ให้แกออกนอกอาณาเขตฮิบานะและจะให้คนจับตาดูไว้...” เขาเว้นประโยคครู่หนึ่ง ทันใดนั้นจึงมีเอกสารปึกหนึ่งถูกยื่นมาในสายตาของโซอิจิโร่
“จนกว่าแกจะกลับมาจากการไปร่วมงานสำคัญที่อังกฤษ อย่าทำให้ผิดหวังล่ะ” น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งผิดกับเมื่อครู่ ร่างของจักรพรรดิสูงศักดิ์กลับไปนั่งจดจ่อกับหน้าต่างโฮโลแกรมรอบโต๊ะทำงานอีกครั้ง ก่อนจะไล่ให้ลูกชายกลับไป
โซอิจิโร่ไม่ลืมทำความเคารพอย่างนอบน้อม และเดินออกจากห้องตรงไปยังลิฟต์เพื่อกลับไปยังที่พักของเขา เด็กหนุ่มเป่าปากปรับอารมณ์ให้นิ่งดังเดิม เช่นเดียวกับคำพูดจากบิดาที่ถูกกรองลงส่วนลึกของสมองทันทีที่เจ้าตัวก้าวพ้นประตูห้อง วิธีนี้ได้ผลทุกครั้งที่เขาต้องรับแรงกดดันจากอีกฝ่าย ไม่งั้นจิตใจก็คงเผลอคิดเล็กคิดน้อยจนไม่เป็นอันทำงานที่โดนโยนให้มาแน่ ๆ แบบนั้นมีแต่จะถูกผู้เป็นพ่อโกรธเข้าไปใหญ่
“เฮ้อ ไอ้ตัวงานน่ะไม่หนัก แต่ก่อนจะต้องไปทำงานเนี่ยสิ...ให้มีอิสระหน่อยไม่ได้หรือไงนะ?” ใบหน้าได้รูปขมวดคิ้วจนเป็นปม เมื่ออ่านรายละเอียดงานที่ได้รับมอบหมายขณะเดินเท้ากลับ ซึ่งรายละเอียดงานต้องกินเวลาถึงหนึ่งอาทิตย์ด้วยกัน บวกกับระยะเวลาที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหนก็ราว ๆ สองอาทิตย์เห็นจะได้ นั่นเท่ากับว่าเด็กหนุ่มจะต้องถูกจับตาทุกการกระทำมากกว่าเดิมตลอดสองอาทิตย์นั้น ครั้นตระหนักก็ยิ่งต้องถอนใจเหนื่อยหน่ายพลันหวนนึกถึงคำพูดของบิดาเกี่ยวกับเกนอิจิโร่
“เอาเถอะ คำว่าอิสระก็ไม่ค่อยเหมาะกับเราเท่าไหร่อยู่แล้ว” เขาพึมพำกับตนเองขณะเดินกลับ จนกระทั่งถึงจุดหมาย โซอิจิโร่พลันพิงกายที่มุมโปรดริมหน้าต่าง ก่อนจะปล่อยให้สายลมชำระล้างมลทินจากจิตใจและคงไว้เพียงความทรงจำดี ๆ ในวันนี้ก็เพียงพอ
ความทรงจำกับเธอคนนั้นที่เฝ้ารอมาแสนนาน....และคงจะไม่เกิดขึ้นอีกเร็วๆ นี้
.
.
.
แสงจันทราเปล่งประกายท่ามกลางท้องฟ้าครึ้ม เด็กสาวเรือนผมสีเปลือกไม้เพิ่งจะเดินทางกลับถึงบ้านได้ไม่นาน และกำลังนอนคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสาวคนสนิทอยู่บนเตียงนุ่ม หลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย
“จู่ ๆ ก็ไปเที่ยวกับคนแปลกหน้างั้นเหรอนาโอะจัง!?” ซากิร้องลั่น
“ก ก็ใช่แหละ แต่ว่าเขาไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ!”
“ดีไม่ดีก็ไม่เกี่ยวหรอกนะ ประเด็นมันอยู่ที่นาโอะจังไม่เคยเจอเขามาก่อนเลยแต่ก็ยอมตามเขาไปเนี่ยสิ” เสียงจากเพื่อนสาวแทบจะทะลุลำโพง นาโอริสัมผัสถึงรังสีความเดือดปุด ๆ จากซากิได้ไม่ยาก ทำเอาสาวเจ้าคอตกอย่างช่วยไม่ได้
“ขอโทษค่ะแม่ หนูผิดไปแล้ว”
“โธ่ ไม่ต้องมาหยอกเล่นเลย แล้วเรื่องของเพื่อนม.ต้นล่ะเป็นยังไงบ้าง?” นาโอริเผยอปากเมื่อได้ยินคำถามนั้น
“ยังไม่ได้ขอโทษดี ๆ เลย รู้สึกเหมือนจะเข้าหน้าพวกนั้นไม่ติดสะแล้วล่ะ”
“แต่ปล่อยไว้แบบนี้ก็ไม่ดีนะ ต้องไปพูดกันดี ๆ”
“เข้าใจแล้ว แต่ขอเวลาฉันหน่อยนะ” เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ยกยิ้มพร้อมกับนอนกลิ้งไปมาบนฟูกนุ่ม ไม่นานสองสาวจึงกลับมาสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของทริปเที่ยวในวันนี้และเพื่อนร่วมทางเฉพาะกิจของเธอแทน เพราะขืนคุยเรื่องของพวกเพื่อนสมัยเด็กต่อ นาโอริคงได้อึดอัดตาย
“ครั้งหน้าชวนโซว์ไปเที่ยวกับพวกเราดีไหมนะ?” นาโอริเอ่ย
“เอ่อ แบบนั้นเขาจะไม่อึดอัดเหรอ?”
“อืม...นั้นสินะ โซว์เองก็ดูจะเป็นคนเข้ากับคนอื่นยากด้วยแหะ” เด็กสาวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะโพล่งออกมาทำเอาคนปลายสายสะดุ้งโหยง
“งั้นไว้คราวหน้าค่อยชวนเขาไปสองคนก็ได้ แล้วพวกเราก็ไปด้วยกันสามคนทีหลัง”
“จะไปกับเขาสองคนงั้นเหรอ?” เพื่อนสาวเอ่ยถาม
“ก็เธอกับโมโมเสะไม่น่าจะไปด้วยนี่นา แต่ไม่ต้องกลัวฉันอึดอัดหรอก เพราะตอนอยู่กับโซว์ฉันชิลมากเลยเหมือนได้เป็นตัวเองไงไม่รู้” นาโอริตั้งใจดักคอเพื่อนสาวเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องถามแน่นอน แถมความรู้สึกคุ้นเคยราวกับพบเจอกันมาก่อนนั่นก็เป็นความจริง บอกไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย!
“นาโอะจังรู้ไหมเนี่ยว่ามันหมายถึงอะไร?” ทุกอย่างพลันเงียบไปชั่วขณะ สองสาวไม่เอ่ยสิ่งใดต่อและเป็นนาโอริที่พยายามตีความหมายของคำที่เพื่อนสาวของเธอสื่อ เธอจับต้นชนปลายอยู่นานกระทั่งคำคำหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองราวกับหลอดไฟที่ต่อวงจรจนติด รู้ตัวอีกทีแก้มนวลก็ร้อนผ่าวพลันขึ้นสีจนปิดไว้ไม่อยู่เสียแล้ว
“ม ไม่ได้หมายถึงแบบนั้นนะ ใจเย็น ๆ ก่อน ฉันไม่ได้จะไป...เดตกับเขาสักหน่อย!” นาโอริโวยวายลั่นจนเสียงก้องไปทั่วห้อง โชคดีที่กำแพงห้องมันกันเสียงรบกวน ไม่งั้นมารดาของเธอคงตาเบิกโพลงและเดินมาหาถึงห้องเป็นแน่
“แต่ถ้าไปกันสองคน มันก็คือเดตนะนาโอะจัง”
“ก็แค่อยากชวนเที่ยวเอง เพราะเห็นว่าเขาอายุไล่ ๆ กับเรา แต่ดันมีเรื่องให้ไม่สบายใจเต็มไปหมด ไม่สมกับเป็นเด็กฉันก็เลยอยากช่วยเท่านั้นเองนะ” คำแก้ตัวสารพัดล่องลอยผ่านไปยังปลายสาย ที่กำลังวาดยิ้มขบขันกับท่าทีร้อนรนเกินตัวของอีกฝ่าย ใจหนึ่งก็อยากจะห้ามและแย้ง ทว่าอีกใจหนึ่งซากิก็เชื่อว่าเพื่อนของเธอหมายความเช่นนั้นจริงโดยไม่มีอะไรแอบแฝง กลับทำให้น่าเอ็นดูมากกว่าเดิมด้วย
“หยอกเล่นน่ะจ้ะ นาโอะจังเป็นคนแบบไหน ฉันก็พอจะรู้นี่นา”
“อึก...เธอจะทำฉันเป็นลมนะเนี่ย”
“เพราะว่าใจเต้นรัวเหรอ?”
“ซากิ!!” คนโดนแกล้งร้องลั่นก่อนจะทำหน้ามุ่ยเพราะเสียงหัวเราะชอบใจจากปลายสาย ใบหน้ายังคงแดงระเรื่อไม่ต่างกับอุณหภูมิร่างกาย ที่บัดนี้เครื่องปรับอากาศก็ไม่ค่อยจะช่วยอะไรสักเท่าไหร่
“เอาเป็นว่าตามนั้นแหละ ฉันจะไปนอนแล้ว!” นาโอริเอ่ย ตั้งท่าจะกดวางสาย
“เดี๋ยวก่อนนาโอะจัง”
“อะไรเหรอ?”
“ฉันเพิ่งนึกได้น่ะ ฉันว่าเธอควรเลื่อนวันไปเที่ยวดีกว่า เพราะอีกสองสัปดาห์ก็จะสอบปลายภาคแล้วนะ” เหมือนถูกซากิลากกลับสู่โลกความเป็นจริง ดวงตาสีซากุระเบิกกว้างพลันดีดตัวลุกจากเตียงนุ่ม ก่อนจะรีบคว้าแผ่นกระจกบางซึ่งฉายตารางปฏิทินเอาไว้ แน่นอนว่าเป็นไปตามที่ซากิกล่าว ในอีกสองสัปดาห์พวกเธอจะต้องเผชิญกับสอบปลายภาคสุดโหดประจำภาคเรียนแรกแล้ว
โอ้ ให้ตายสิ....
ท้ายที่สุดทั้งสองจึงบอกลากันและวางสายไป เหลือเพียงนาโอริที่นอนแผ่อยู่บนเตียงด้วยสภาพคิดไม่ตก ตอนนี้ความคิดเรื่องออกไปเที่ยวของเธอแทบจะมลายหายสิ้นเพราะต้องหาวิธีรับมือกับสอบแสนยุ่งยากนี่ เด็กสาวนอนคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอพอจะนึกตัวช่วยออกอยู่บ้างทว่าด้วยความเหนื่อยล้า มันจึงกล่อมเด็กสาวให้เข้าสู่นิทราไปเสียดื้อ ๆ และปล่อยปัญหาที่ตกค้างให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้เสียแทน
.
.
.
ณ โรงเรียนชิบุนางิ บัดนี้ภาพเหตุการณ์เดจาวูที่นาโอริยืนจดจ้องคู่อริของเธอ เพื่อที่จะขอร้องอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นอยู่...
“ไม่” คำปฏิเสธลอยมาจากฮินาวะที่นั่งเหงื่อตกอยู่
“ได้โปรดเถอะนะ คุณพ่อพระ”
“ไม่ก็คือไม่ไง แล้วก็อย่าเรียกฉันแบบนั้นด้วย...เธอต้องเข้าใจนะ ว่าฉันก็ไม่ได้ถนัดสอนมันไปเสียทุกอย่าง”
“แล้วทำไมมันถึงไม่ได้เล่า ขี้งก!” นาโอริเอ่ยพลันยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“อ่านเองกับติวให้คนอื่นมันไม่เหมือนกัน” เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมเบนหน้าหนี ก่อนจะหันกลับไปหานาโอริราวกับนึกเรื่องที่จะพูดได้
“แล้วทำไมถึงไม่ให้เพื่อนเธอสอนล่ะ?”
“ก็ซากิไม่ว่างน่ะสิ เพราะต้องกลับไปดูแม่ที่ป่วย”
“แม่ยัยนั่นป่วยงั้นเหรอ?” ฮินาวะลูบคางพร้อมขมวดคิ้วเข้าหากัน
“อือ แม่เธอป่วย...เอ๊ย เดี๋ยวสิ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน สรุปคือนายจะไม่ยอมติวสอบให้ฉันใช่ไหม!?” เด็กสาวใช้สองมือทุบโต๊ะเบา ๆ
“จะให้ฉันถามเจ้าไคโตะให้ไหมล่ะ เจ้านั่นก็ฉลาดนะ”
“ถามไปแล้ว แต่ว่ายูซึกะดันติดภารกิจไปกับพี่สาวนายน่ะสิ ไม่งั้นฉันก็ไม่มาขอร้องนายให้เมื่อยหรอก”
“โอเค งั้นเธอคงต้องไปหาคนอื่นแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มตัดบทอย่างไม่ยี่หระ
ครั้นนาโอริตั้งท่าจะเถียงต่อแต่กลับถูกหยุดไว้ด้วยเสียงกริ่งเริ่มชั่วโมงเรียน และร่างของอาจารย์ซาวาเบะที่เดินเข้ามา เธอจึงต้องปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปพลันพยายามจดจ่ออยู่กับการเรียนตรงหน้า ยิ่งถึงช่วงฝึกปฏิบัติยิ่งแล้วใหญ่เพราะอาจารย์สาวยืนยันว่าจะไม่มีสอบต่อสู้จริง แต่จะเอากระบวนท่าหรือทฤษฎีที่ใช้ในคาบเรียนช่วงเย็นใส่ในข้อสอบแทน เท่ากับว่านาโอริแทบไม่เหลือตัวช่วยที่แบ่งเบาคะแนนสอบได้เลยน่ะสิ!
.
.
.
ชั่วโมงเรียนล่วงเลยผ่านไปไวเหมือนโกหก สองสาวเพื่อนสนิทพากันลากร่างกายที่เหนื่อยล้ากลับไปยังหอพัก วันนี้เป็นคราวของนาโอริที่จะทำมื้อเย็นให้ซากิ เธอจึงเลือกอาหารชุดอย่าง ทงคัตสึหมู หรือ หมูชุบเกล็ดขนมปังกรอบนอกนุ่มใน มาพร้อมกับเครื่องเคียงเป็นผักสลัดหวานกรอบและซุปมิโซะกลมกล่อม ซึ่งมันอร่อยเอามากขนาดซากิยังชมไม่ขาด นั้นเป็นเพราะต่อให้จะเหนื่อยล้าเพียงใด อาหารอร่อย ๆ ก็เป็นเครื่องเยียวยาทุกอย่างได้ยังไงล่ะ
“ฝันดีนะ นาโอะจัง” เด็กสาวผมสั้นโบกมือบอกฝันดีให้เพื่อนสาว ก่อนจะเดินเข้าห้องของตนไปเหลือเพียงนาโอริ ที่ยังคงจดจ้องหน้าจอมือถืออยู่ตรงโซฟานุ่มในห้องนั่งเล่นรวม
“เธอติวสอบเองไม่ได้หรือไง ทำไมต้องขอคนอื่นช่วย?” จูลิโอ้เอ่ยขึ้นทำให้เด็กสาวต้องถอนใจพลางเอนตัวพิงกับโซฟา
“ฉันชอบให้คนสอนมากกว่า มันจำได้ดีกว่าอ่านเองน่ะสิ”
“หือ...มนุษย์นี่ก็แปลกดีแหะ”
“นายก็เคยเป็นมนุษย์นะ” นาโอริเบ้ปาก
“เคยไง ตอนนี้จำไม่ได้แล้ว”
“เอาที่สบายใจ...” เธอเอ่ยพลางปัดหน้าจอไปมา จนกระทั่งเลื่อนผ่านชื่อใครคนหนึ่งและช่วยจุดประกายนาโอริราวกับแสงสว่างนำทาง ถึงสาวเจ้าจะลังเลอยู่บ้างแต่ยังดีกว่าไม่มีตัวช่วยเลย
‘นี่ โซว์อยู่หรือเปล่า?”
ผ่านไปสักพักหนึ่งมือถือคู่ใจจึงสั่นตอบ บ่งบอกถึงข้อความตอบกลับ
‘พี่มีอะไรเหรอ?’
‘นายเก่งพวกวิชาประวัติศาสตร์กับพวกวิชาพื้นฐานไหม?’
‘ก็พอได้อยู่หรอก ทำไมเหรอ?’
‘นายติวหนังสือให้ฉันทีสิ นะ ๆ ๆ :<’
‘เอ๊ะ แต่ผมจะรู้เนื้อหาที่นักเรียนม.ปลายเขาเรียนกันได้ยังไง?’
‘มันก็แค่พื้นฐานที่เคยเรียนมาเองแหละ แต่ฉันอยากให้มีคนมาช่วยพูดให้ฟังหน่อย ได้โปรดเถอะนะ ;-;’
ข้อความตอบกลับทิ้งระยะเวลาไปพักหนึ่ง จนนาโอริเริ่มใจหายเพราะกลัวว่าเขาเองก็จะปฏิเสธเธอเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่เหลือใครให้พึ่งนอกจากตัวเองแล้ว แต่หลังจากกระวนกระวายอยู่ครู่หนึ่งเสียงแจ้งเตือนจึงดังขึ้นอีกครั้ง
‘ได้สิ เดี๋ยวผมสอนให้’
‘จริงเหรอ!? ขอบใจนะ XD’
‘อื้อ งั้นไว้นัดสถานที่อีกทีนะ’
‘ได้เลย! ฝันดีนะโซว์’
‘ฝันดีครับ’
เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ยกยิ้มร่าพลันชูกำปั้นอย่างดีใจ ราวกับได้คนมาช่วยชีวิตเธอจากความตายยังไงอย่างงั้น นาโอริรีบซุกตัวเข้าใต้ผ้าห่มพร้อมรอยยิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างสบายจิตสบายใจ
ในขณะที่....
เวลาเดียวกัน ณ ชั้นบนสุดของหนึ่งในปราสาทญี่ปุ่นโบราณ มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งยังคงจ้องมองมือถือในมือของตนไม่วางตา ตั้งแต่จบบทสนทนาสุดกะทันหันนั่นไป จนแล้วจนรอดเจ้าตัวกลับเพิ่งจะมาตระหนักเอาสายเกินไป ว่าดันหาเรื่องใส่ตัวเพราะความใจอ่อนต่อเด็กสาวเสียแล้ว
“โอ๊ย ให้ตายสิ โซอิจิ” เขากล่าวพลางใช้มือสองข้างขยี้ศีรษะจนยุ่งเหยิง และไม่พ้นต้องถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“คงได้ฝ่าฝืนคำสั่งของเสด็จพ่ออีกแล้วสินะเรา....”
to be continue...
つづく、psrpowder