ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
นิยายเรื่องนี้จะอัพ ทุกวัน ศุกร์และเสาร์ เวลา 19.00 น. - 19.30 น.
และอาทิตย์ เวลา 18.30 น.
จะพยายามลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อนักอ่านทุกท่านนะคะ :>
**เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok และ Bluesky จะอัพเดตเรื่อย ๆ ค่ะ**
ปุกาศ ๆ บัดนี้เรามี E-book แล้วนะจ๊ะ!
ตอนนี้เล่ม 3 กำลังจัดโปรลด50% อยู่น้าา ตั้งแต่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 68!!!!
ใครสนใจไปส่องกันได้เลยน้าา <3
*** ที่ : mebmarket ครับโผม! ***
เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังของนักเขียนฝึกหัด (เพื่อต่อยอดความฝันอยากทำอาชีพนักเขียนค่ะ) ขอฝากนักอ่านใจดีทุกท่านติชม แนะนำให้ไรท์ฝึกหัดคนนี้ได้นำไปปรับใช้ในเรื่องต่อไปด้วยนะคะ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็น้อมรับและปรับแก้ค่ะ
หรือถ้าไม่ชอบคอมเมนท์ก็กดใจให้กันได้นะคะ กำลังใจชั้นยอดของเราเลย
กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ^^
================ เกริ่นแนวเรื่องกันซะหน่อย =================
เรื่อง 7Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ ฮ่า)
เป็นแนวแฟนตาซี ฟิลชีวิตประจำวันในประเทศญี่ปุ่นยุคอนาคตปี3000 แต่เพราะกฎการแบนอาวุธปืนเลยทำให้มีสไตล์การต่อสู้แบบโบราณผสมด้วย ฟิลใช้ดาบฟันกันชิ้งๆ ยิงธนูปิ้ว ๆ หรือแม้แต่วิชานินจาก็ยกมาหมดแผง(เท่าที่ไรท์คิดออกอ่ะนะ55)
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารักของพระนางแบบมองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ! ปมดรามาความสัมพันธ์พวกเขามีประปรายให้ได้หมั่นไส้กัน ได้ลิ้มรสความหวานกันเต็มกระบุงแน่นอนค่ะ :)
แล้วก็แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจมาด้วยนะ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยดหลายรอบเลยค่ะ ;-;)
***คำเตือนเล็กน้อย…เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวและนักเขียนมีแพลนเขียนแบ่งเป็น2ซีซั่น
ปัจจุบันซีซั่น1ใกล้จะจบแล้วค่ะ สามารถอ่านกันได้จุใจแน่นวลล***
.
.
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
(สั้น ๆ คือ ฝากกดติดตามกันด้วยนะทุกคลล ฮืออ T T )
====== เรื่องย่อกันบ้างดีกว่า ======
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้ ทั้งสองต้องเริ่มชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน กระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมห้องอย่าง โมโมเสะ ฮินาวะ เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้มากความสามารถและเก่งกาจจนนาโอริอยากให้เขาช่วยสอนวิชาดาบให้ แต่เขากลับยื่นคำท้าต่อเธอให้เอาชนะเขาให้ได้ในงานประลองดาบ เด็กสาวจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อชนะเขา
เพราะการแข่งนั้นพวกนาโอริจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วมสภานักเรียนหรือสภาเจ็ดซามูไรและได้ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตายจนพบกับองค์ชายรัชทายาทอายุไล่เลี่ยกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างนิรนามหมายจะชิงตัวไป นาโอริเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าวินาทีแรกที่สบตาเขาหัวใจก็ไม่อาจลบภาพรอยยิ้มสุดท้ายให้จางหายได้
ทางเลือกใหม่ที่เธอเลือกจึงลงเอยที่ตำแหน่ง 'องครักษ์' ของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้เพื่อให้ได้ปกป้องเขาได้ทุกวินาทีที่หายใจ….
===== สปอยหน้าตาพระนางสักเล็กน้อย =====
ชิสึจิ นาโอริ (น้อนนาโอะ) อายุ 16 ปี
เด็กสาวม.ปลายผู้ฝันอยากเป็นนักดาบเพราะเชื่อว่าความชอบนี้มาจากพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เลยคิดว่าถ้าได้เดินทางเดียวกันก็จะได้เจอครอบครัวฝั่งพ่อของตัวเองก็เป็นได้ แต่ใครจะรู้…ว่าปัจจุบันเธอจะได้ความฝันใหม่อันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง!!!
“ขอสาบานว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาย…จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง!”
ฮิบานะ โซอิจิโร่ (น้อนโซว์) อายุ 15 ปี
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความลับมากมายซ่อนไว้หลังหน้ากากอันเยาว์วัยกับ…สีผม?? เพราะเรื่องราวในอดีตที่ทำร้ายเขามานับไม่ถ้วนจึงหล่อหลอมตัวตนของเขาให้เป็นคนจริงจัง สุขุมและเก่งในด้านการต่อสู้(ปกป้องชีวิตตัวเอง) แต่ยามได้อยู่ต่อหน้านาโอริ ทุกบุคลิกก็ดูจะละลายหายไปจนเหลือแค่เด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง…กับจุดประสงค์บางอย่างในหัวใจ
“แกจะเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตาให้พวกเราอีกได้ไหม…เหมือนที่เธอพูดครั้งนั้น”
.
.
.
“ใครอยากเริ่มต้นความเบียวไปกับไรท์ กดอ่านตอนแรกกันเล้ย!!!”
よろしく、psrpowder
สายลมเย็นชื่นพัดพาความสบาย ลัดเลาะทั่วตึกรามบ้านช่องในเวลาเช้าตรู่ บัดนี้ ณ หอพักฝั่งหญิงของโรงเรียนชิบุนางิ รูมเมทสาวทั้งสองกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากซากิเข้านอนไปแล้ว
“เด็กคนนั้นถึงขนาดยอมติวหนังสือให้เลยเหรอ!?” ดวงตาสีเงินเบิกกว้างตะลึง และยิ่งเป็นกังวลเข้าไปอีกเมื่อเห็นท่าทีของนาโอริที่ดูจะไม่ได้ตระหนักถึงความอันตรายนี้เลย หนำซ้ำยังยิ้มแย้มดีใจที่มีคนยอมทวนหนังสือให้อยู่อีก
“นาโอะจังแบบนี้มันจะดีเหรอ ฉันว่ามันเริ่มน่ากลัวแล้วนะ”
“น่ากลัวตรงไหน?”
“ก็ตรงที่เขาตอบรับง่ายเกินไปน่ะสิ ใครที่ไหนจะยอมช่วยคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วัน”
“พูดอย่างกับหมอนั่นเป็นตาลุงแก่สักคนอย่างงั้นแหละ” นาโอริมุ่ยหน้าพลางใช้ผ้าสะอาดเช็ดที่ใบมีดของอาวุธศักดิ์สิทธิ์
“สมัยนี้อายุสิบห้าก็ต้องระวังนะ” ซากิเอ่ยเสียงแข็งจนอีกฝ่ายเป็นต้องชะงักและเริ่มเกิดความลังเลใจขึ้นมา รวมไปถึงสีหน้าน่ากลัวของเพื่อนสาว ก็ยิ่งตอกย้ำความเป็นจริงของโลกให้นาโอริเข้าไปใหญ่
มือถือคู่ใจถูกยกขึ้นมาดูพลางเลื่อนนิ้วไปจนเจอข้อความที่ส่งคุยกับเด็กหนุ่มเมื่อคืน นัยน์ตาสีซากุระพลันหรี่ลงครุ่นคิดไม่ตก เพราะถึงเธอจะเพิ่งรู้จักกับเด็กหนุ่มที่ชื่อ โซว์ ซึ่งไม่น่าใช่ชื่อจริง ๆ ของเขาด้วยซ้ำ แต่นาโอริดันรู้สึกมั่นใจอย่างไม่มีสาเหตุ ว่าท่าทางของโซว์ไม่เหมือนคนมีเจตนาร้ายหรือแอบแฝง แถมยังดูจริงใจกับเธออีกต่างหาก ทว่าจะละเลยคำเตือนของซากิที่มีมูลความจริงก็ไม่ได้ นาโอริเลยได้แต่ขมวดคิ้วจนเป็นปมเสียยิ่งกว่าโบ
“แต่ว่าเขาก็ดันตอบตกลงมาแล้วด้วย จะให้มายกเลิกเอาตอนนี้ก็คง...”
“ถ้าเป็นตอนนี้ก็น่าจะทันนะ เช้าตรู่ขนาดนี้เขาคงยังไม่อ่าน” ซากิเอ่ยเสริมครั้นกลัวว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อนไม่ทำตาม
“ฮือ ก็ได้...” ว่าจบนาโอริจึงจรดนิ้วพิมพ์ข้อความ พลางคิดคำที่จะเขียนไปหาอีกฝ่ายก่อนจะได้ยินเพื่อนสาวเอ่ยขึ้น
“งั้นสุดสัปดาห์นี้นาโอะจังก็มาพักที่บ้านฉันนะ จะได้ช่วยเรื่องติวหนังสือไปด้วยเลย” นาโอริชะงักมือที่พิมพ์โทรศัพท์อยู่พลันเงยหน้ามองซากิทันควัน
“แบบนั้นก็รบกวนเธอน่ะสิ ไหนจะต้องดูแลคุณแม่อีก”
“ไม่ต้องเกรงใจกันหรอกจ้ะ พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นา”
“ซากิ...ฮือ” นาโอริเบ้หน้าคล้ายจะร้องไห้ ทำเอาอีกฝ่ายหลุดหัวเราะเบา ๆ
ตริ๊ง!
ยังไม่ทันจะได้หยอกล้อกัน เสียงแจ้งเตือนหนึ่งพลันดังมาจากมือถือของนาโอริ บนหน้าจอปรากฏข้อความที่ถูกส่งมาจากเด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นประเด็นบทสนทนาของทั้งสอง
‘สวัสดีตอนเช้านะพี่ ไม่รู้ว่าพี่ตื่นหรือยังแต่ผมจะมาบอกสถานที่กับเวลาที่จะนัดเจอกันน่ะ’
‘เห็นบอกว่าเรียนที่ชิบุนางิใช่ไหม? พอดีที่นั่นมีหอสมุดใหญ่ซึ่งเปิดช่วงเสาร์อาทิตย์และบ้านผมก็อยู่ใกล้ ๆ นั้นพอดี เลยคิดว่านัดไปที่นั่นน่าจะสะดวกทั้งสองฝ่ายนะ’
‘เจอกันประมาณบ่ายโมงดีไหม? พี่ว่ายังไงมาตอบด้วยนะ’
ครั้นเสียงแจ้งเตือนไม่ได้ดังขึ้นมาอีก จนเกิดเป็นความเงียบระหว่างสองสาว ที่ได้แต่หันมองหน้ากันเองสลับกับหน้าจอมือถือ ก่อนจะเป็นนาโอริที่พุ่งไปคว้ามันมาอ่านและโพล่งออกมาทำลายความเงียบ
“ม หมอนั้นตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!?” สาวเจ้าเบิกตากว้างจ้องตัวเลขบอกเวลาบนหน้าจอกระจก ซึ่งมันเพิ่งจะตีห้าเกือบหกโมงเช้า แม้แต่นาโอริเองนาน ๆ ทีจะลืมตาตื่นขึ้นมาได้ หากไม่ใช่เวรทำอาหารเช้าหรือนอนไม่หลับ สาวเจ้าก็คงไม่มีทางแหกตาตื่นเช้ามานั่งรอเวลาไปโรงเรียนอยู่อย่างนี้เป็นแน่
“นาโอะจังบอกว่าเขาต้องช่วยงานที่บ้านด้วยนี่ อาจจะเพราะแบบนั้นก็ได้”
“ทำยังไงดีล่ะ เล่นนัดมาเสร็จสรรพขนาดนี้ ปฏิเสธไม่ทันแล้วล่ะมั้งเนี่ย” ครั้นซากิได้ยินก็ต้องถอนใจพลางทำคอตก
“ก ก็คงจะอย่างนั้น แต่เขานัดไปที่หอสมุดใหญ่....ถ้าแบบนั้นคงไม่เป็นอันตรายเท่าไหร่ เพราะคนใช้งาน
ก็เยอะไม่ใช่เล่นเลย”
“อ๋อ....ว่าแต่โรงเรียนเรามีหอสมุดกับเขาด้วยเหรอ?”
“โธ่ ถามอะไรอย่างนั้น มันก็ต้องมีสิจ๊ะ” เด็กสาวเรือนผมสีเงินพลันเหงื่อตกก่อนจะเตือนความจำให้กับเพื่อนสาว เกี่ยวกับตึกสูงตระหง่านซึ่งตั้งอยู่ระหว่างโรงเรียนของพวกเธอกับอาณาเขตราชวงศ์ฮิบานะ มันเป็นหอสมุดสาธารณะที่ให้ความรู้แก่นักเรียนชิบุนางิและประชาชนทั่วไปในละแวกนั้น รวมไปถึงเหล่าเชื้อพระวงศ์ซึ่งอาศัยอยู่ในอาณาเขตของฮิบานะด้วย
“พวกเราเพิ่งจะเข้าเรียนที่นี่ได้ไม่นาน ไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก” ซากิเอ่ย
“แต่เธอก็รู้นี่นา”
“เคยไปแค่ตอนเด็กน่ะ ที่นั่นสวยมากเพราะเป็นหอสมุดที่ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ อีกอย่างมันใกล้หอพักพวกเราด้วย ฉันก็สบายใจหน่อย”
“ไม่ต้องห่วง ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะเอาจูลิโอ้ฟาดหัวเขาเอง!” นาโอริเอ่ยพลันใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ตีกับมือซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นเสียง
“ใช้ฉันไปทำร้ายคนอื่น แย่ชะมัด”
“แค่ทำให้สลบเขาไม่เรียกทำร้ายหรอก” คู่หูคู่กัดเปิดศึกเถียงกันอีกจนได้ ทำเอาซากิที่มักเป็นคนกลางได้แต่หัวเราะคิกคักพลางมองพวกนาโอริตีกัน
ท้ายที่สุดเด็กสาวก็ได้ตอบตกลงคำนัดหมายของโซว์และจะไปเจอกันในวันอาทิตย์ที่จะถึง ระหว่างนี้นาโอริจึงพยายามมีสติอยู่กับการเรียนในแต่ละวัน จะได้ไม่ต้องลำบากในการสอบปลายภาคเรียนมากนัก เช่นเดียวกับโซอิจิโร่ที่บัดนี้กำลังจัดการเอกสารราชการยิบย่อยอย่างขะมักเขม้น เพื่อให้เสร็จทันกับวันที่เขานัดอีกฝ่ายเอาไว้ถึงขนาดหมกตัวอยู่ในห้องทำงานทั้งวัน แม้แต่ทหารองครักษ์ที่อารักขาในปราสาทยังไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าเจ้านายของตนเลยด้วยซ้ำ
.
.
.
เวลาล่วงเลยผ่านในที่สุดก็มาถึงวันสุดท้ายของสัปดาห์ เป็นครั้งแรกที่นาโอริไม่ได้กลับบ้านและต้องอยู่หอคนเดียว เนื่องจากเพื่อนสาวกลับบ้านไปก่อนแล้ว สาวเจ้าเลยพยายามหาชุดที่พอจะมีติดในตู้เสื้อผ้ามาใส่ ครั้นรื้อจนหมดจึงได้ชุดที่สบายตัวอย่างเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ ทับด้วยเสื้อฮู๊ดสีเทาแขนยาวช่วยกันอากาศหนาวช่วงสิ้นปีได้ดี กางเกงยีนสีกรมท่าเข้ากันกับรองเท้าหุ้มส้นสีเข้ม
“เอาล่ะ เรียบร้อย!”
ครั้นเตรียมตัวเสร็จเด็กสาวพลันคว้ากระเป๋าสะพายข้าง รวมถึงถุงผ้าที่ใส่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ไว้ข้างในมาสะพายไว้ ก่อนจะเดินออกจากห้องสีครีมและลงบันไดไปชั้นล่างสุด สองขาก้าวเดินไปตามทางเดินไม่คุ้นเคย ระหว่างทางมีนักเรียนชิบุนางิผ่านไปผ่านมา เช่นเดียวกับคนทั่วไปที่คงไม่พ้นมาใช้บริการหอสมุด กระทั่งมาถึงทางแยกตามที่ซากิกล่าว
ตั้งแต่ปากทางเข้าถูกปกคลุมด้วยดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสดตลอดสองฝั่งทางเดิน ส่งกลิ่นหอมชวนผ่อนคลายมาตามสายลม ครั้นเดินตามทางไปอีกหน่อยจึงเห็นตัวตึก ซึ่งถูกสร้างเลียนแบบอาคารสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ ทว่ามันกลับถูกต่อเติมขึ้นไปจนสูงเกือบเท่าอาคารเรียนของเธอ รอบตึกยังถูกล้อมด้วยดอกไม้นานาชนิดทั้งที่บานในฤดูหนาว และบานตลอดปีสร้างสีสันให้ตึกสูงจนน่ายกกล้องขึ้นมาเก็บภาพ
“โอ้พระเจ้า สวยจริง ๆ ด้วย” นัยน์ตาสีซากุระพลันทอประกายสะท้อนภาพอาคารญี่ปุ่น และหลงใหลในความงามของวิวตรงหน้า
ร่างบางก้าวเท้าเข้าสู่ด้านในหอสมุด พลันถูกต้อนรับด้วยอากาศเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ และกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ของหน้ากระดาษหนังสือ นาโอริยกมือถือคู่ใจขึ้นมาตรวจสอบหมายเลขชั้นของตึกที่นัดเจอกับโซว์ เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ต้องปวดหัวกับจำนวนชั้นที่ต่อกันจนนับไม่ถ้วน ก่อนจะรีบตรงไปที่ลิฟต์โดยสารซึ่งอยู่ไม่ไกล นาโอริพลันสังเกตว่ารอบหอสมุดทั้งด้านในและด้านนอกต่างก็มีนายทหารยืนประจำจุดต่าง ๆ เพื่อคอยคุ้มกันผู้ที่เข้ามาใช้งานอย่างที่ซากิบอกไว้ไม่ผิดและคงจะเป็นแบบนี้ทุกชั้นเป็นแน่ เพราะเป็นสถานที่ที่เชื้อพระวงศ์อาจมาใช้งานจึงต้องเข้มงวดไว้ก่อน แม้แต่ประตูทางขึ้นลิฟต์ก็ยังมีคนคุ้มกัน
“กดดันชะมัด หอสมุดหรือกองทหารเนี่ย” นาโอริเบ้ปากหลังจากเข้ามาในลิฟต์แล้ว ก่อนจะได้ยินเสียงคู่หูดังขึ้น
“ช่วยไม่ได้ เพราะมันอยู่ในเขตพระราชวังนี่นะ”
“นั่นสิ คงไม่ใช่เปิดประตูไปแล้วเจอกับองค์ชายคนนั้นอีกหรอกนะ” นึกไปก็เหงื่อตกข้างขมับ แต่ไม่ทันไรลิฟต์ก็พาเธอมาถึงชั้นที่ต้องการ ร่างบางก้าวเท้าออกมายืนอยู่หน้าลิฟต์พลางหรี่ตามองไปรอบด้าน ซึ่งมีเพียงชั้นหนังสือเรียงกันจนลายตา กับเก้าอี้และโซฟานุ่มสำหรับอ่านหนังสือ หนำซ้ำยังไร้ซึ่งผู้คนต่างกับชั้นแรกที่คนพลุกพล่าน
“เอ่อ หนู” เสียงทุ้มต่ำดังพร้อมกับนายทหารผู้เฝ้าหน้าประตูลิฟต์ที่เดินเข้ามาหา
“คะ?”
“คือชั้นนี้มัน..”
“พี่นาโอริ!” ไม่ทันจะเอ่ยจบ เสียงเสนาะหูพลันเรียกความสนใจจากทั้งนาโอริและทหารหนุ่มให้ต้องหันขวับไปมอง ก่อนจะเห็นร่างเล็กของคนที่เธอตามหาในชุดเสื้อฮู๊ดเช่นเดียวกัน ใบหน้าได้รูปสวมแว่นตาทรงสี่เหลี่ยมกำลังยิ้มแย้มจนตาหยีพลางโบกมือน้อย ๆ ให้เด็กสาว
“ทางนี้ครับ” เขากวักมือเรียกอีกฝ่ายราวกับเด็กน้อยที่เรียกพี่สาว นาโอริจึงรีบเดินไปหาเด็กหนุ่มทิ้งให้นายทหารมองตาปริบ ๆ และต้องรีบตั้งท่าขึงขังครั้นถูกเด็กหนุ่มใช้ช่วงที่นาโอริไม่ทันมอง ตวัดสายตาชวนเสียวสันหลังวาบไปให้ราวกับความน่ารักเมื่อครู่ไม่มีอยู่จริง
ทั้งสองเดินเข้าไปยังห้องกระจกที่มีไว้สำหรับผู้ที่จับกลุ่มกันมาอ่านหนังสือ เพราะมันสามารถกรองเสียงพูดคุยกันได้ในระดับหนึ่งนั่นเอง
“รอนานไหม?” นาโอริเอ่ยถามพลางวางกระเป๋าลงบนโต๊ะไม้สีขาว พลันเห็นโซว์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นานเอง”
“นายคงไม่ได้แอบออกมาอีกใช่ไหม?”
“ใช่ที่ไหนเล่า” คนถูกถามเบี่ยงหน้าหนี พลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนต้องคอยกำชับไม่ให้ทหารที่เฝ้าเขาแพร่งพรายออกไปว่าเขาออกไปไหน
การเลือกหอสมุดเป็นจุดนัดเจอคงเป็นทางเลือกที่ดีสุดแล้ว เพราะนอกจากจะไม่ไกลมาก เขายังสามารถนัดเจอในชั้นที่มีแค่เชื้อพระวงศ์เท่านั้นที่ใช้งาน จึงไม่มีใครมารบกวนหรือกังวลว่าจะถูกจับได้ อีกอย่างหอสมุดนี่ก็อยู่ในอาณาเขตของฮิบานะ ไม่เห็นจะผิดกฎตรงไหนเลย...
“งั้นก็แล้วไป”
“วันนี้พี่อยากให้ช่วยติวแค่วิชาพื้นฐานเท่านั้นใช่ไหม?”
“อือ ก็ใช่หรอก ยกเว้นว่านายรู้พวกทฤษฎีการต่อสู้อะไรทำนองนั้นด้วยน่ะนะ” นาโอริหยอกเล่นพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ทว่ากลับต้องอ้าปากค้างเมื่อโซว์ดันเอ่ยคำว่า รู้ ออกมาเสียอย่างนั้น
“หา!? พูดจริงเหรอ?”
“ครับ แต่ก็แค่ทฤษฎีนะให้ทำจริงคงไม่ได้...”
“แค่นั้นก็เป็นโชคของฉันแล้ว ขอบคุณนะ!” นาโอริที่ดีใจจนลืมตัว ตั้งท่าจะสวมกอดอีกฝ่ายและไม่พ้นคนตัวเล็กกว่าต้องรีบร้อนคว้าข้อมือเด็กสาวไว้แน่น พลันต้านแรงไม่ให้เธอทิ้งตัวลงมากอดเขาได้
“ท ทำอะไรน่ะพี่!?”
“หือ? ก็กอดไง....” หนึ่งวินาทีผ่านไปนาโอริจึงตกผลึกความคิด ใบหน้าสวยแดงแปร๊ดเป็นมะเขือเทศอย่างรวดเร็ว สาวเจ้ารีบก้าวยาวถอยหลังหนีจนแทบชนกระจก ก่อนจะกระวนกระวายยกใหญ่
“ขอโทษนะ! ฉันลืมตัว ปกติชอบทำกับเพื่อนผู้หญิงบ่อย ๆ ก็เลย...”
“ม ไม่เป็นไรครับ” โซว์เผลอดันแว่นแก้เขิน พยายามคงสีหน้านิ่งไว้ให้ได้มากที่สุด
“งั้น...นายเริ่มสอนเลยก็ได้นะ ฉันพร้อมแล้วล่ะ!” นาโอริทิ้งตัวลงกับเก้าอี้และเร่งให้เขารีบเริ่มต้นสอนเธอ ก่อนบรรยากาศน่าอายนี้จะทำให้สาวเจ้าเป็นบ้าเสียก่อน
และแล้วชั่วโมงเรียนเฉพาะกิจก็เปิดฉากขึ้นท่ามกลางความเขินอายของหนุ่มสาว
นาโอริขอให้โซว์ทบทวนวิชาพื้นฐานทั้งหมดและยังเพิ่มทฤษฎีการต่อสู้เข้าไปในตารางอีก ขณะที่นั่งฟังสาวเจ้าก็พยายามจะทำความเข้าใจพร้อมจดในส่วนที่อีกฝ่ายให้เน้นเป็นพิเศษ
ครั้นฟังมาเป็นชั่วโมง เสียงของคนตรงหน้าก็ยังคงเสนาะหูน่าฟังไม่เปลี่ยน แม้จะเอ่ยเรื่องวิชาการออกมาด้วยใบหน้าจริงจังก็ตาม แถมโซว์ยังใช้คำพูดที่นาโอริสามารถจำมันได้อย่างแม่นยำราวกับเคยสอนมาก่อนด้วย ช่างน่าประหลาดเสียจริง...
นาโอริเผลอไผลจ้องไปยังดวงตาสีนิลใต้กรอบแว่น ขณะที่โซว์กำลังทบทวนเนื้อหาและอธิบายให้ฟัง ก่อนจะต้องละสายตาไปเมื่อเจ้าตัวหันมองมาที่เธอ
“พี่รู้หรือเปล่าว่าชื่อของห้าตระกูลบุปผามีที่มาจากอะไร?”
“มาจากดอกไม้ห้าชนิดใช่ไหมล่ะ” เด็กหนุ่มพยักหน้าให้กับคำตอบนั้น
“ใช่ แล้วมันมีอะไรบ้าง?”
“เอ่อ...อันนี้ไม่รู้แหะ ฉันจำชื่อตระกูลพวกนั้นไม่ได้เลย”
“งั้นผมจะบอกให้ พี่จดเอาไว้ด้วยก็ได้นะ” เขาเอ่ยพลางรอให้นาโอริจรดปากกากับแท็บเล็ตเครื่องบาง และได้รู้ที่มาของชื่อแสนยาวเหยียดของห้าตระกูลใหญ่ ทั้งราชวงศ์ฮิบานะ ที่มาจากดอกฮิกันบานะและเป็นตราประจำราชวงศ์ จึงมีดอกไม้ชนิดนี้ปลูกอยู่ทั่วชิบุนางิไปหมด รวมถึงอีกสี่ตระกูลที่ใช้ชื่อจากดอกไม้ต่างชนิดกัน อย่าง ฟูจิมิยะจากดอกฟูจิ (วิสทีเรีย) อาจิซาวาระจากดอกอะจิไซ (ไฮเดรนเยีย) อิบารากิจากดอกกุหลาบ และ ซากุราซากุจากดอกซากุระ รวมกันเป็นห้าบุปผาตามชื่อเรียก
“อ้อ จำได้แล้ว! รุ่นพี่ที่โรงเรียนก็มีคนที่นามสกุลอิบารากิด้วยล่ะ แต่เขาไปแลกเปลี่ยนอยู่”
“ไปแลกเปลี่ยน...อ้อ เขานั่นเอง”
“นายรู้จักเหรอ?” โซว์สะดุ้งโหยงครั้นลืมไปว่าภายในห้องกระจกนี่มันเงียบขนาดไหน
“ป เปล่า ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอก แค่เคยได้ยินมาน่ะ”
“หือ รุ่นพี่เขาเป็นคนดังขนาดนั้นเลย?”
“ถ้าเป็นคนเดียวกับที่ผมคิด เขาก็เป็นถึงลูกชายเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศเลยล่ะนะ” ดวงตาสีซากุระเบิกกว้างอย่างตะลึง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนิ่วหน้าเล็กน้อยจนน่าขัน
“ฉันคงไม่อยากเจอพี่เขาเท่าไหร่”
“ทำไมล่ะ?”
“พวกคนรวยน่ะมักจะมีนิสัยแย่น่ะสิ เหอะ!” โซว์ได้แต่เลิกคิ้วสูงพลางนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายไปเจออะไรมากันแน่ ถึงสาวเจ้าจะเลี่ยงตอบก็ตาม...
เนื้อหาชวนปวดหัวยังไม่จบเท่านั้น เมื่อโซว์เริ่มอธิบายถึงหน้าที่หลักของแต่ละตระกูล เขาตั้งใจสรุปให้นาโอริง่าย ๆ ว่านอกจากตระกูลอิบารากิที่เกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้ว ตระกูลที่เหลือก็มีหน้าที่เฉพาะของตัวเอง ทั้งการแพทย์ การทหาร และเทคโนโลยีที่ใช้กันทุกวันนี้
“บริษัทที่เรียกกันว่ากรมตำรวจของประเทศอย่างชินระ เป็นของตระกูลซากุราซากุงั้นเหรอเนี่ย....” นาโอริพึมพำ
“นอกจากการทหาร ซากุราซากุก็เด่นในเรื่องไสยศาสตร์และการทำนาย พวกเขาเลยมีหน้าที่ทั้งสร้างอาวุธทุกอย่างที่ใช้ในประเทศ และคอยทำพิธีด้านความเชื่อให้ด้วย อย่างดาบไม้ที่ผนึกดวงจิตที่พี่ใช้อยู่ก็เป็นฝีมือของพวกเขานี่แหละ”
“ฉันจำได้ว่ามีคนไปเป็นโหรหลวงทำนายดวงชะตาให้ราชวงศ์ด้วยใช่ไหม?” สิ้นประโยคนั้น นัยน์ตาสีนิลกลับเผลอวูบไหวไม่รู้ตัว ก่อนมันจะหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีมานานแล้วล่ะ คนปัจจุบันที่ทำนายให้ราชวงศ์ตอนนี้ก็น่าจะรุ่นปู่ย่าพวกเราแล้ว”
“ทำไมไม่หาคนใหม่ล่ะ?”
“เพราะปกติเขาจะไม่เปลี่ยนคน จนกว่าคนเก่าจะตายน่ะสิ” นาโอริพยักหน้าเข้าใจและขีดเขียนบนจอกระจก
เด็กสาวยังคงสอบถามครูเฉพาะกิจของเธอเกี่ยวกับทั้งห้าตระกูลอย่างต่อเนื่อง เพราะเธอจำได้ขึ้นใจว่าอาจารย์สาวดูจะเน้นย้ำมันเอามาก ๆ ไม่แน่ว่าหญิงสาวอาจจะกำลังบอกใบ้นักเรียนที่น่ารักของเธออยู่ก็ได้ อย่างน้อยก็ขอให้เป็นแบบนั้น...
“พอพูดถึงห้าตระกูลบุปผา...”
“อะไรเหรอ?”
“ฉันรู้สึกว่านายยังไม่ได้ลงรายละเอียด เกี่ยวกับราชวงศ์ฮิบานะให้สักเท่าไหร่เลยน่ะ” โซว์ชะงักไปชั่วขณะ แววตาครุ่นคิดฉายผ่านดวงตาคม ทว่าเขากลับไม่ยอมพูดมันออกมาและเลือกจะเปิดหน้าหนังสือเกี่ยวกับราชวงศ์ฮิบานะขึ้นมา
“ได้สิ” เด็กหนุ่มสบตากับคนตรงหน้าไม่วาง ราวกับต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวไว้มองเพื่อไม่ให้มันสั่นไหว
“ผมจะอธิบายให้ฟัง”
เพราะเขากำลังจะต้องเล่าเรื่องตระกูลอันสูงศักดิ์ของตนเองยังไงล่ะ
to be continue….
つづく、psrpowder