ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
นิยายเรื่องนี้จะอัพ ทุกวัน ศุกร์และเสาร์ เวลา 19.00 น. - 19.30 น.
และอาทิตย์ เวลา 18.30 น.
จะพยายามลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อนักอ่านทุกท่านนะคะ :>
**เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok และ Bluesky จะอัพเดตเรื่อย ๆ ค่ะ**
ปุกาศ ๆ บัดนี้เรามี E-book แล้วนะจ๊ะ!
ตอนนี้เล่ม 3 กำลังจัดโปรลด50% อยู่น้าา ตั้งแต่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 68!!!!
ใครสนใจไปส่องกันได้เลยน้าา <3
*** ที่ : mebmarket ครับโผม! ***
เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังของนักเขียนฝึกหัด (เพื่อต่อยอดความฝันอยากทำอาชีพนักเขียนค่ะ) ขอฝากนักอ่านใจดีทุกท่านติชม แนะนำให้ไรท์ฝึกหัดคนนี้ได้นำไปปรับใช้ในเรื่องต่อไปด้วยนะคะ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็น้อมรับและปรับแก้ค่ะ
หรือถ้าไม่ชอบคอมเมนท์ก็กดใจให้กันได้นะคะ กำลังใจชั้นยอดของเราเลย
กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ^^
================ เกริ่นแนวเรื่องกันซะหน่อย =================
เรื่อง 7Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ ฮ่า)
เป็นแนวแฟนตาซี ฟิลชีวิตประจำวันในประเทศญี่ปุ่นยุคอนาคตปี3000 แต่เพราะกฎการแบนอาวุธปืนเลยทำให้มีสไตล์การต่อสู้แบบโบราณผสมด้วย ฟิลใช้ดาบฟันกันชิ้งๆ ยิงธนูปิ้ว ๆ หรือแม้แต่วิชานินจาก็ยกมาหมดแผง(เท่าที่ไรท์คิดออกอ่ะนะ55)
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารักของพระนางแบบมองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ! ปมดรามาความสัมพันธ์พวกเขามีประปรายให้ได้หมั่นไส้กัน ได้ลิ้มรสความหวานกันเต็มกระบุงแน่นอนค่ะ :)
แล้วก็แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจมาด้วยนะ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยดหลายรอบเลยค่ะ ;-;)
***คำเตือนเล็กน้อย…เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวและนักเขียนมีแพลนเขียนแบ่งเป็น2ซีซั่น
ปัจจุบันซีซั่น1ใกล้จะจบแล้วค่ะ สามารถอ่านกันได้จุใจแน่นวลล***
.
.
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
(สั้น ๆ คือ ฝากกดติดตามกันด้วยนะทุกคลล ฮืออ T T )
====== เรื่องย่อกันบ้างดีกว่า ======
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้ ทั้งสองต้องเริ่มชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน กระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมห้องอย่าง โมโมเสะ ฮินาวะ เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้มากความสามารถและเก่งกาจจนนาโอริอยากให้เขาช่วยสอนวิชาดาบให้ แต่เขากลับยื่นคำท้าต่อเธอให้เอาชนะเขาให้ได้ในงานประลองดาบ เด็กสาวจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อชนะเขา
เพราะการแข่งนั้นพวกนาโอริจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วมสภานักเรียนหรือสภาเจ็ดซามูไรและได้ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตายจนพบกับองค์ชายรัชทายาทอายุไล่เลี่ยกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างนิรนามหมายจะชิงตัวไป นาโอริเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าวินาทีแรกที่สบตาเขาหัวใจก็ไม่อาจลบภาพรอยยิ้มสุดท้ายให้จางหายได้
ทางเลือกใหม่ที่เธอเลือกจึงลงเอยที่ตำแหน่ง 'องครักษ์' ของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้เพื่อให้ได้ปกป้องเขาได้ทุกวินาทีที่หายใจ….
===== สปอยหน้าตาพระนางสักเล็กน้อย =====
ชิสึจิ นาโอริ (น้อนนาโอะ) อายุ 16 ปี
เด็กสาวม.ปลายผู้ฝันอยากเป็นนักดาบเพราะเชื่อว่าความชอบนี้มาจากพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เลยคิดว่าถ้าได้เดินทางเดียวกันก็จะได้เจอครอบครัวฝั่งพ่อของตัวเองก็เป็นได้ แต่ใครจะรู้…ว่าปัจจุบันเธอจะได้ความฝันใหม่อันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง!!!
“ขอสาบานว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาย…จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง!”
ฮิบานะ โซอิจิโร่ (น้อนโซว์) อายุ 15 ปี
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความลับมากมายซ่อนไว้หลังหน้ากากอันเยาว์วัยกับ…สีผม?? เพราะเรื่องราวในอดีตที่ทำร้ายเขามานับไม่ถ้วนจึงหล่อหลอมตัวตนของเขาให้เป็นคนจริงจัง สุขุมและเก่งในด้านการต่อสู้(ปกป้องชีวิตตัวเอง) แต่ยามได้อยู่ต่อหน้านาโอริ ทุกบุคลิกก็ดูจะละลายหายไปจนเหลือแค่เด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง…กับจุดประสงค์บางอย่างในหัวใจ
“แกจะเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตาให้พวกเราอีกได้ไหม…เหมือนที่เธอพูดครั้งนั้น”
.
.
.
“ใครอยากเริ่มต้นความเบียวไปกับไรท์ กดอ่านตอนแรกกันเล้ย!!!”
よろしく、psrpowder
“พี่อยากให้ผมเริ่มจากตรงไหน?”
“เอาในช่วงราชวงศ์ปัจจุบันก็ได้ ถ้าจำไม่ผิดอาจารย์บอกว่าจะออกสอบแค่ช่วงปัจจุบันเท่านั้นนะ”
เมื่อฟังคำขอของเด็กสาวจบ โซว์จึงพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มร่ายเนื้อหาสุดยาวเหยียด ที่ทั้งอยู่ในหนังสือและในความทรงจำของเขาเอง ตั้งแต่ประวัติของ ฮิบานะ โจอิจิโร่ กษัตริย์คนปัจจุบันที่รับตำแหน่งต่อจากพ่อของเขา เพราะป่วยหนักจนจากไปก่อนวัยอันควร แต่เขาก็ได้การสนับสนุนจากตระกูลบุปผาทั้งสี่เรื่อยมาจนมีอำนาจแข็งแกร่งขึ้น ต่อมาจึงแต่งงานกับ อาจิซาวาระ ฮานาเระ ลูกสาวคนโตของผู้นำตระกูลอาจิซาวาระในตอนนั้น และมีลูกด้วยกันทั้งหมดสามคน
“เขาแต่งงานกับคนในตระกูลบุปผางั้นเหรอ?” นาโอริเลิกคิ้วสูง
“ใช่ครับ”
“งั้นก็เท่ากับแต่งงานกับญาติตัวเองน่ะสิ”
“เดี๋ยว ๆ พี่เข้าใจผิดแล้ว” โซว์รีบยกมือห้ามอีกฝ่าย ก่อนจะอธิบายต่อ
“ที่ทั้งสี่ตระกูลจะมีสิทธิ์ในราชวงศ์ ไม่ใช่เพราะต้นตระกูลเขาเป็นญาติกันหรอกนะ แต่เพราะพวกเขาเป็นคนสนิทของจักรพรรดิรุ่นแรก เลยได้รับอำนาจและตำแหน่งที่สามารถสืบทอดราชวงศ์ได้ ถ้าจักรพรรดิในสมัยนั้นไม่มีทายาทน่ะ แต่คู่แต่งงานก็จะเลือกจากตระกูลอื่นที่ทั้งสี่ตระกูลเห็นดีด้วย และจะไม่แต่งงานกันเองเด็ดขาด”
“อ้าว แล้วทำไมจักรพรรดิคนปัจจุบันถึงเลือกแต่งกับลูกสาวของอาจิซาวาระล่ะ?” โซว์ชะงักไปครู่หนึ่ง ครั้นตัวเองก็ให้คำตอบนั้นไม่ได้ จึงเลือกถอนใจออกมาแทน
“ไม่รู้สิ ในหนังสือก็ไม่ได้บอกเอาไว้ด้วย”
“ฉันว่าต้องเป็นเพราะความรักแน่ ๆ เลย”
“พี่คิดงั้นเหรอ?”
“ไม่งั้นเขาจะฝืนเลือกคนจากตระกูลของคนสนิททำไม เพราะเท่ากับว่าโอกาสที่ผู้สืบทอดบัลลังก์จากในสี่ตระกูลจะหายไปด้วยใช่ไหมล่ะ?” นัยน์ตาสีนิลเผลอวูบไหวครั้นจ้องมองคนตรงหน้าที่แย้มยิ้มให้กับเขา ก่อนจะพยักหน้าตอบรับ ทั้งที่ลูกชายแท้ ๆ อย่างเขายังไม่รู้เหตุผลของมันเลยด้วยซ้ำ
“นายเล่าต่อสิ ฉันรออยู่!”
โซว์ได้เริ่มเปิดปากอธิบายส่วนที่ลำบากสำหรับเขา ถึงโอรสและธิดาทั้งสามคนของจักรพรรดิ ซึ่งสองคนแรกเป็นลูกชายแฝดคือ ฮิบานะ เกนอิจิโร่ เป็นแฝดคนพี่ และ ฮิบานะ โซอิจิโร่ เป็นแฝดคนน้อง พวกเขามีน้องสาวที่อายุห่างกันห้าปีคือ ฮิบานะ ฮานามิ ที่ไม่นานนี้เพิ่งจะฉลองครบรอบวันเกิดของเธอไปหยก ๆ
“อ้อ ที่เห็นเป็นข่าวเต็มเน็ตไปหมดเลยใช่หรือเปล่า?”
“ก็...ใช่ครับ”
“แต่องค์หญิงก็น่ารักมากเลยนะ เหมือนตุ๊กตาเลย!” นาโอริเอ่ยพลางยกยิ้มนึกเอ็นดู ทว่ากลับเห็นโซว์แอบเบ้ปาก ซ้ำยังหัวเราะแห้งใส่อีกต่างหาก ครั้นโดนสาวเจ้าสังเกตก็เป็นต้องปฏิเสธมือเป็นระวิง เพราะใครจะบอกได้ล่ะว่าน้องสาวที่เขารู้จัก มีนิสัยแสบทรวงยิ่งกว่าในข่าวเป็นไหน ๆ
“พอเรื่ององค์หญิงก่อน มาต่อเถอะครับ”
หลังออกทะเลไปไกล โซว์พลันดึงเนื้อหากลับมาต่อจากเดิมได้ในที่สุด เกี่ยวกับเรื่องที่องค์ชายลำดับที่หนึ่งอย่างเกนอิจิโร่ ได้สืบทอดตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทและเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของประชาชน เพราะมักออกไปทำงานนอกสถานที่เพื่อช่วยเหลือจักรพรรดิตามคำสั่งที่ได้รับเสมอ
“อ้อ คนที่มาเปิดงานเทศกาลครั้งก่อนนี่เอง” โซว์สะอึกเล็กน้อยพลันต้องดันแว่นกลบเกลื่อนให้ดูเป็นธรรมชาติ
“พ พี่ได้เจอกับองค์รัชทายาทด้วยเหรอ?”
“อื้อ ฉันดันโชคร้ายไปเดินชนกับเขาเข้าน่ะสิแถมยังไปพูดจาลามปามอีก ดีนะที่เขาไม่ได้เอาเรื่องอะไร” ยิ่งฟังนาโอริพูด เม็ดเหงื่อก็ยิ่งผุดที่ข้างขมับของเด็กหนุ่ม แต่เขาพยายามสุดความสามารถที่จะไม่แสดงท่าทีอะไรให้เป็นพิรุธ
“จริงสิ ถ้าพวกเขาเป็นแฝดกันแล้วจะแยกออกได้ยังไงล่ะว่าใครเป็นใคร”
“แยกได้สิ เพราะทั้งสองคนมีสีผมที่ไม่เหมือนกัน ถ้าคนที่พี่เจอมีผมสีขาวก็คือองค์รัชทายาทนั่นแหละ ส่วนคนน้อง...เขามีผมสีดำเหมือนกับจักรพรรดิน่ะ”
“อย่างนี้เอง...งั้นองค์รัชทายาทคงจะมีผมสีขาวเหมือนแม่ใช่หรือเปล่า?”
“คงจะใช่...ผมก็ไม่มั่นใจ” เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้เลิกคิ้วสงสัยทันใด
“ในหนังสือไม่ได้มีบอกเหรอ แต่จะว่าไปตอนที่เรียนก็รู้สึกไม่คุ้นว่าเคยได้ยินเลยแหะ ทำไมถึงไม่ค่อยมีเรื่องเกี่ยวกับเธอเลยนะ...”
“เพราะจักรพรรดินีสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่สิบปีก่อน ผู้คนเลยเริ่มลืมเลือนเกี่ยวกับท่านแล้วล่ะมั้ง” น้ำเสียงแสนเรียบของโซว์กลับดึงบรรยากาศซึ่งเงียบอยู่แล้ว ให้พาลสงัดเข้าไปอีกจนแม้แต่นาโอริยังรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก
“ท่านป่วยเหรอ?”
“เปล่าครับ แต่เป็นเพราะอุบัติเหตุต่างหาก” เจ้าของเรือนผมสีดำขลับสูดหายใจเข้าลึกพลางเม้มริมฝีปาก เขาอดกลั้นความรู้สึกที่พวยพุ่งออกมาไว้สุดความสามารถ พลันทำหน้าที่ติวหนังสือให้กับคนตรงหน้าต่อไป
“ตอนที่เกิดเรื่ององค์ชายฝาแฝดเพิ่งอายุได้ห้าปี ส่วนองค์หญิงก็เพิ่งจะเกิดไม่กี่เดือนและเพราะเหตุการณ์นั้น จักรพรรดิเลยเริ่มมีอาการป่วยจากความเสียใจและความเครียด เรียกว่าเป็นช่วงที่ราชวงศ์สั่นคลอนเอามาก ๆ เลยล่ะ”
“ลูกเพิ่งจะอายุได้เท่านั้นแม่ก็ต้องมาจากไป น่าสงสารจริง ๆ” นาโอริย่นคิ้วเศร้าสร้อย
“หลังจากนั้นองค์ชายฝาแฝดเลยต้องเตรียมพร้อมที่จะรับช่วงต่อ พออายุได้แปดปีจักรพรรดิก็เลือกให้องค์ชายลำดับที่หนึ่งเป็นรัชทายาท ส่วนคนน้อง...เพราะมีร่างกายที่อ่อนแอเลยไม่สามารถเป็นผู้สืบทอดได้ เขาเล่าว่าแม้แต่ก้าวเดินออกจากปราสาทก็ส่งผลร้ายแรงกับสุขภาพแล้ว”
“แบบนั้นองค์รัชทายาทก็ต้องรับศึกหนักเลยน่ะสิ ทั้งเรียน ทั้งงาน ไหนจะน้อง ๆ ที่ยังเด็กแล้วก็ป่วยอีก”
“ใช่ เพราะมันเป็นหน้าที่ของเขานี่นะ”
“แต่เด็กอายุแค่นั้นต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายอีก ขนาดผู้ใหญ่สักคนยังลำบากเลย” โซว์ยกยิ้มน้อย ๆ ให้ท่าทางของเด็กสาวพลางเท้าคางมองเธอ
“พี่ใจดีจังนะ ถ้าองค์ชายคนนั้นมาได้ยินคงจะน้ำตาไหลแน่”
“ถ้าฉันเจอเขาอีกครั้งจริง ๆ ฉันจะไม่พูดแบบนั้นหรอก”
“แล้วพี่จะพูดแบบไหน?”
“ไม่รู้สิ...แต่ถ้าเกิดเจอใบหน้าเคร่งเครียดของเขาอีกครั้งล่ะก็...” อะไรบางอย่างดลใจนาโอริให้ยื่นมือไปหาคนตรงหน้า ก่อนจะลูบเส้นผมนุ่มอย่างอ่อนโยนและแย้มยิ้มอบอุ่นดุจดวงตะวัน
“ฉันก็จะลูบหัวเขาแบบนี้และบอกว่า ท่านเก่งมาก ยังไงล่ะ!” วินาทีนั้นหัวใจของโซว์พลันเต้นระรัว จนเขากลัวว่ามันจะดังให้อีกฝ่ายได้ยิน
ไม่สามารถฝืนกลั้นความรู้สึกได้อีกต่อไป นัยน์ตาสีนิลสวยใต้กรอบแว่นนั้นสั่นระริก ชั่วพริบตาหนึ่งในสายตาขอโซว์กลับปรากฏใบหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีดำเข้มเช่นเดียวกับเขา มันกำลังทับซ้อนกับรอยยิ้มอ่อนโยนของนาโอริ ทว่ามันก็หายวับไปเมื่อกะพริบตา ก่อนจะสะดุ้งครั้นนาโอริยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมเรียกเขาให้ตื่นจากภวังค์
“โซว์ นายเป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ ผ ผม...” เด็กหนุ่มอ้ำอึ้งราวคำพูดมันติดตรงปาก เขายังรับรู้ถึงสัมผัสเบาหวิวบนศีรษะของตนเองได้อย่างดีและไม่อยากจะให้มันหายไป ด้วยความเผลอตัวมือเล็กพลันเลื่อนไปกอบกุมมือของอีกฝ่ายให้ค้างอยู่ท่านั้น และก้มฟุบลงกับโต๊ะราวหมดเรี่ยวแรง ทำเอานาโอริเผลอหน้าร้อนผ่าวกับสัมผัสนุ่มจากมือของโซว์
“ขอพักเสียงสักแปปก็แล้วกันครับ”
“แล้ว...ต้องเอามือไว้อย่างนี้เหรอ?”
“อื้อ เอาไว้แบบนี้แหละ” เด็กหนุ่มตอบเสียงอู้อี้ นัยน์ตาสีซากุระพลันจดจ้องเจ้าของเรือนผมสีดำขลับด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะโซว์แสดงท่าทีน่าเอ็นดูเช่นนี้ หรือเป็นเพราะตัวเธอรู้สึกเอ็นดูเองกันแน่ แต่ที่ชัดเจนสำหรับนาโอริก็คือความสบายใจเมื่อได้อยู่กับเด็กคนนี้ ทั้งที่เพิ่งจะพบกันเป็นครั้งที่สอง
“ต้องกลับไปแย้งกับซากิแล้วล่ะ” ริมฝีปากบางยกยิ้มพลันปิดตาลงช้า ๆ ปล่อยให้ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศผ่อนคลายความล้าจากการอ่านหนังสือ
และช่วยเยียวยาหัวใจที่อ่อนล้าของเด็กหนุ่ม ด้วยไออุ่นของมือบนเรือนผมนุ่ม
ครั้นเรี่ยวแรงค่อยฟื้นคืน โซว์ที่บัดนี้กลับมามีสีหน้าจริงจังอีกครั้ง เขาได้อธิบายประวัติเกี่ยวกับราชวงศ์เพิ่มเติมในส่วนที่นาโอริคาดว่าจะออกสอบ ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นเรื่องนอกตารางอย่างทฤษฎีการต่อสู้ ซึ่งในเรื่องนี้นาโอริดูจะไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก แต่เธอเพียงต้องการให้เด็กหนุ่มพูดทวนซ้ำให้มันซึมซาบเข้าสมองเธอก็เท่านั้น คงต้องขอบคุณครูฝึกมากฝีมืออย่างฮินาวะที่ช่วยสอนให้สาวเจ้าจดจำขึ้นใจได้ถึงขนาดนี้ แม้ว่านาโอริจะไม่อยากชมเขามากก็ตามที...
“นายน่าจะไปเป็นครูนะเนี่ยโซว์ เวลาสอนแล้วฟังไม่เบื่อเลย”
“แค่อธิบายตามหนังสือ เขาจะเรียกสอนได้ยังไง?”
“ใครบอก นายสอนเกินหนังสือแล้วต่างหากเล่า” นาโอริเอ่ยปนหัวเราะ พาให้เด็กหนุ่มแก้มขึ้นสีแดงเรื่อ
“ร เหรอ? ผมไม่รู้ตัวหรอก แค่คิดว่ามันน่าจะอยู่ในบทเรียนอยู่แล้ว ก็เลยพูด ๆ ไป”
“ถ่อมตัวเหลือเกินนะ”
“ไม่ใช่เสียหน่อย” เด็กหนุ่มมุ่ยหน้าก่อนจะก้มมองนาฬิกาข้อมือดิจิทัล และพบว่าตอนนี้ปาเข้าไปสี่โมงกว่าจึงหันไปบอกกับนาโอริว่าตนสมควรกลับได้แล้ว มิเช่นนั้นอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ตามมา
“นายต้องกลับแล้วเหรอ?”
“อื้อ เพราะที่บ้านไม่ค่อยอยากให้กลับเย็นมากน่ะ”
“งั้นก็รีบกลับเถอะ เดี๋ยวจะโดนดุเอา”
“แล้วพี่ล่ะไม่กลับบ้านเหรอ?”
“อาทิตย์นี้ฉันนอนที่หอน่ะ เลยไม่ต้องรีบร้อนอะไร งั้นให้ฉันไปส่งนายตรงทางแยกนะ” นาโอริเอ่ยพลางดันตัวลุกขึ้นและสะพายสัมภาระเตรียมพร้อม เช่นเดียวกับโซว์ที่พยักหน้าตกลง
ทั้งสองพากันเดินไปยังลิฟต์โดยสาร ไม่วายที่เด็กหนุ่มต้องคอยส่งสายตากดดันนายทหารหน้าประตูลิฟต์ ไม่ให้เขาแสดงกิริยานอบน้อมหรือทำตัวมีพิรุธออกมาเป็นอันขาด เป็นเช่นนั้นไปจนถึงชั้นล่างสุดของตึก ทำเอาเหล่าทหารที่จำใบหน้าของโซว์ได้ต้องเหงื่อแตกพลั่กกันเป็นแถบ โชคดีที่นาโอริไม่ทันสังเกตท่าทางพวกทหาร ไม่งั้นสาวเจ้าคงได้ร่ายคำถามเป็นชุดแน่...
ครั้นพ้นจากตัวหอสมุด ยังไม่ทันได้ชื่นชมแปลงดอกไม้อีกครั้ง รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดตรงทางแยกเสียแล้ว
“คงต้องแยกกันตรงนี้แหละนะพี่” โซว์เอ่ยกับเด็กสาวซึ่งเดินนำเขาอยู่ ก่อนที่นาโอริจะหันตัวกลับมาพลันแย้มยิ้มน่ารักให้
“ไม่ให้ฉันไปส่งบ้านจริง ๆ เหรอ?”
“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ” คนตัวเล็กกว่าเบ้ปากพลางกอดอก ทำเอาเด็กสาวหัวเราะคิกคัก
“ล้อเล่นน่า อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
“ก็พี่แกล้งผมนี่”
“โธ่ ขอโทษก็ได้!” ร่างบางพลันพนมมือลวก ๆ ส่วนโซว์ก็ได้แต่เบือนหน้าหนี เพราะท่าทางของเด็กสาวนั้นช่างน่ารักเสียจนอดยิ้มไม่ได้ ก่อนเจ้าตัวจะรีบเปลี่ยนเรื่องไม่ให้นาโอริจับสังเกต
“ผมขอให้พี่ทำสอบราบรื่นนะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ทำให้นายผิดหวังแน่นอน!”
“ครับ” โซว์ยกยิ้มน้อยให้อีกฝ่าย
“จริงสิ หลังสอบเสร็จแล้วนายว่างไหม? เผื่อไปเที่ยวกัน” โซว์พลันนึกถึงช่วงเวลาสอบของนาโอริที่สาวเจ้าเคยบอก ซึ่งมันแทบจะเป็นช่วงเดียวกับที่เขาต้องไปต่างประเทศพอดี ถึงจะน่าเสียดายแต่คงต้องปฏิเสธอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตาสีนิลพลันหลุบต่ำพร้อมส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ขอโทษด้วยนะพี่ แต่ผมมีธุระของที่บ้านที่ต้องช่วยน่ะ คงจะไม่สะดวก”
“อ่าวเหรอ น่าเสียดายจัง”
“ไว้หลังจากนั้นก็ได้ครับ ยังมีเวลาอีกตั้งมาก” โซว์แย้มยิ้มให้เด็กสาว เด็กสาวเองก็ได้แต่ฮัมตอบรับพลางทำคอตก
“ถ้างั้น...ไว้เจอกันใหม่นะ โซว์” นาโอริเปลี่ยนมาวาดยิ้มกว้าง ทำเอาคนมองเผลอหน้าขึ้นสีอมชมพู ต้องขอบคุณแสงแดดยามเย็นที่ช่วยปิดซ่อนความแดงระเรื่อไม่ให้ถูกจับได้
“ไว้เจอกัน...ครับ” นัยน์ตาสีนิลสบกับดวงตาสีซากุระไม่วาง หัวใจรู้สึกหน่วงจนน่าประหลาด แต่เจ้าตัวก็ไม่อาจรู้ได้ว่าตนเองกำลังรู้สึกอย่างไร เพียงแค่หวังว่าช่วงเวลานี้จะไม่หมดลงก็เท่านั้น...
โซว์รอให้เด็กสาวเดินหายลับไปก่อน เขาจึงเดินย้อนกลับไปทางเดิมเพื่อใช้เส้นทางใต้ดินเพื่อกลับไปห้องทำงานของตน...
ครั้นกลับสู่ความจริง เจ้าของเรือนผมสีดำขลับทิ้งสัมภาระบนโต๊ะทำงาน ก่อนจะจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้า สลัดชื่อของโซว์ทิ้งไปและกลับเป็นองค์ชายสูงศักดิ์อีกครั้ง มือเล็กเอื้อมเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้า พร้อมหยิบเอกสารเกี่ยวกับการไปดูงานในวันที่จะถึงมาดูพลางถอนใจเหนื่อยหน่าย
“หวังว่าเรา...คงไม่ได้แสดงพิรุธอะไรไปนะ” โซอิจิโร่พลันนึกถึงเรื่องในวันนี้ ทั้งความตายของผู้เป็นแม่ อิสระที่ถูกพรากไป พร้อมกับความกดดันจากการถูกผลักไสให้ร่ำเรียนตั้งแต่เด็ก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ได้บิดเบือนไปจากที่เขาเล่าให้นาโอริฟังแต่อย่างใด และมันก็เป็นศึกหนักอย่างที่นาโอริกล่าวจริง ๆ ยิ่งคิดสมองก็ยิ่งปวดตุบจนเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ต้องเอนกายลงกับเก้าอี้พลางใช้แขนเกยหน้าผากของตน
“เข้มแข็งไว้สิโซอิจิโร่...นายจะอ่อนแอไม่ได้นะ” เขาพึมพำเสียงเครือ ฝืนกลั้นไม่ให้หยาดน้ำอุ่นที่คลอนัยน์ตาเอ่อล้นออกมา
“ท่านเก่งมาก!”
เสียงหวานชวนฟังสะท้อนในจิตใจของโซอิจิโร่ คอยชโลมหัวใจของเขาให้ชุ่มชื้นราวกับดินที่ได้รับน้ำ เช่นเดียวกับใบหน้ายิ้มแย้มสดใสราวดวงตะวันที่เหมือนจะช่วยเหลือเขาได้ไม่น้อย หรือควรเรียกว่าเธอคือผู้ช่วยชีวิตเลยก็ว่าได้
“ขอบคุณนะ เราได้รับข้อความแล้วล่ะ นาโอริ”
บัดนี้ ณ หอพักฝั่งหญิง นาโอริซึ่งจัดการเปลี่ยนเสื้ออาบน้ำจนเสร็จสรรพแล้วและกำลังรับประทานอาหารเย็นที่ตนทำ ทว่าจู่ ๆ อากาศรอบตัวก็พลันแห้งเสียจนไปแหย่จมูกสาวเจ้าเข้าให้
“ฮัดชิ่ว!” เธอจามเสียงดังลั่นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะลูบปลายจมูกพลางเบ้ปาก
“ใครนินทาเนี่ย”
“ฉันเอง” จูลิโอ้รีบเสริมทันควันมาจากเก้าอี้ข้างกาย ทำเอาคนถูกแซวต้องคิ้วกระตุก
“ถ้าเป็นนาย ต่อให้ไม่จามก็รู้ว่านินทา”
“รู้ดีนะเนี่ย”
“เอาที่สบายใจ ฉันจะกินข้าวล่ะ” นาโอริยักไหล่ไม่ยี่หระพร้อมตักข้าวสวยหอมกรุ่นเข้าปาก
“เด็กนั่นไม่น่ารับช่วยเธอเลย ฉันอดเห็นคนกระวนกระวายจนนอนไม่หลับเลยเนี่ย”
“โหย เป็นคู่หูที่ดีเหลือเกิน”
“ขอบใจ” เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะเมินเสียงจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์และตักอาหารเข้าปากอีกคำ
“ว่าแต่...” จูลิโอ้เว้นจังหวะครู่หนึ่งสร้างความแปลกใจให้เด็กสาว
“เธอพร้อมที่จะสอบจริง ๆ ใช่ไหม?”
“พูดอะไร..”
ตริ๊ง!
เสียงแจ้งเตือนจากมือถือดึงความสนใจจากนาโอริให้หันมอง มือเรียวยกมันขึ้นมาดูก่อนจะต้องอมยิ้มเล็กดีใจ เมื่อเห็นข้อความที่แสดงบนหน้าจอ
‘สู้ ๆ กับสอบนะพี่ :)’
‘ผมรอฟังข่าวนะ’
ทันทีที่อ่านข้อความจบนาโอริพลันหันขวับไปหาคู่หู และอวดหน้าจอมือถือขึ้นมาให้อีกฝ่ายเห็น แม้ว่าอาวุธอย่างเขาจะดูไม่ได้ก็ตาม นาโอริให้จูลิโอ้พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส
“ยังไงรอบนี้ก็ผ่านชัวร์!”
to be continue…
つづく、psrpowder