ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
นิยายเรื่องนี้จะอัพ ทุกวัน ศุกร์และเสาร์ เวลา 19.00 น. - 19.30 น.
และอาทิตย์ เวลา 18.30 น.
จะพยายามลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อนักอ่านทุกท่านนะคะ :>
**เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok และ Bluesky จะอัพเดตเรื่อย ๆ ค่ะ**
ปุกาศ ๆ บัดนี้เรามี E-book แล้วนะจ๊ะ!
ตอนนี้เล่ม 3 กำลังจัดโปรลด50% อยู่น้าา ตั้งแต่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 68!!!!
ใครสนใจไปส่องกันได้เลยน้าา <3
*** ที่ : mebmarket ครับโผม! ***
เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังของนักเขียนฝึกหัด (เพื่อต่อยอดความฝันอยากทำอาชีพนักเขียนค่ะ) ขอฝากนักอ่านใจดีทุกท่านติชม แนะนำให้ไรท์ฝึกหัดคนนี้ได้นำไปปรับใช้ในเรื่องต่อไปด้วยนะคะ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็น้อมรับและปรับแก้ค่ะ
หรือถ้าไม่ชอบคอมเมนท์ก็กดใจให้กันได้นะคะ กำลังใจชั้นยอดของเราเลย
กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ^^
================ เกริ่นแนวเรื่องกันซะหน่อย =================
เรื่อง 7Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ ฮ่า)
เป็นแนวแฟนตาซี ฟิลชีวิตประจำวันในประเทศญี่ปุ่นยุคอนาคตปี3000 แต่เพราะกฎการแบนอาวุธปืนเลยทำให้มีสไตล์การต่อสู้แบบโบราณผสมด้วย ฟิลใช้ดาบฟันกันชิ้งๆ ยิงธนูปิ้ว ๆ หรือแม้แต่วิชานินจาก็ยกมาหมดแผง(เท่าที่ไรท์คิดออกอ่ะนะ55)
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารักของพระนางแบบมองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ! ปมดรามาความสัมพันธ์พวกเขามีประปรายให้ได้หมั่นไส้กัน ได้ลิ้มรสความหวานกันเต็มกระบุงแน่นอนค่ะ :)
แล้วก็แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจมาด้วยนะ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยดหลายรอบเลยค่ะ ;-;)
***คำเตือนเล็กน้อย…เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวและนักเขียนมีแพลนเขียนแบ่งเป็น2ซีซั่น
ปัจจุบันซีซั่น1ใกล้จะจบแล้วค่ะ สามารถอ่านกันได้จุใจแน่นวลล***
.
.
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
(สั้น ๆ คือ ฝากกดติดตามกันด้วยนะทุกคลล ฮืออ T T )
====== เรื่องย่อกันบ้างดีกว่า ======
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้ ทั้งสองต้องเริ่มชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน กระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมห้องอย่าง โมโมเสะ ฮินาวะ เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้มากความสามารถและเก่งกาจจนนาโอริอยากให้เขาช่วยสอนวิชาดาบให้ แต่เขากลับยื่นคำท้าต่อเธอให้เอาชนะเขาให้ได้ในงานประลองดาบ เด็กสาวจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อชนะเขา
เพราะการแข่งนั้นพวกนาโอริจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วมสภานักเรียนหรือสภาเจ็ดซามูไรและได้ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตายจนพบกับองค์ชายรัชทายาทอายุไล่เลี่ยกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างนิรนามหมายจะชิงตัวไป นาโอริเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าวินาทีแรกที่สบตาเขาหัวใจก็ไม่อาจลบภาพรอยยิ้มสุดท้ายให้จางหายได้
ทางเลือกใหม่ที่เธอเลือกจึงลงเอยที่ตำแหน่ง 'องครักษ์' ของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้เพื่อให้ได้ปกป้องเขาได้ทุกวินาทีที่หายใจ….
===== สปอยหน้าตาพระนางสักเล็กน้อย =====
ชิสึจิ นาโอริ (น้อนนาโอะ) อายุ 16 ปี
เด็กสาวม.ปลายผู้ฝันอยากเป็นนักดาบเพราะเชื่อว่าความชอบนี้มาจากพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เลยคิดว่าถ้าได้เดินทางเดียวกันก็จะได้เจอครอบครัวฝั่งพ่อของตัวเองก็เป็นได้ แต่ใครจะรู้…ว่าปัจจุบันเธอจะได้ความฝันใหม่อันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง!!!
“ขอสาบานว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาย…จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง!”
ฮิบานะ โซอิจิโร่ (น้อนโซว์) อายุ 15 ปี
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความลับมากมายซ่อนไว้หลังหน้ากากอันเยาว์วัยกับ…สีผม?? เพราะเรื่องราวในอดีตที่ทำร้ายเขามานับไม่ถ้วนจึงหล่อหลอมตัวตนของเขาให้เป็นคนจริงจัง สุขุมและเก่งในด้านการต่อสู้(ปกป้องชีวิตตัวเอง) แต่ยามได้อยู่ต่อหน้านาโอริ ทุกบุคลิกก็ดูจะละลายหายไปจนเหลือแค่เด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง…กับจุดประสงค์บางอย่างในหัวใจ
“แกจะเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตาให้พวกเราอีกได้ไหม…เหมือนที่เธอพูดครั้งนั้น”
.
.
.
“ใครอยากเริ่มต้นความเบียวไปกับไรท์ กดอ่านตอนแรกกันเล้ย!!!”
よろしく、psrpowder
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปไวราวหายใจเข้าออก เหล่านักเรียนต่างเตรียมความรู้มาเต็มกระบุงและพร้อมที่จะเทมันออกมาใช้ในกระดาษคำตอบ บัดนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาถูกข้อสอบเชือดแล้ว แต่นาโอริกับซากิยังไม่วายมายืนจับกลุ่มกันอยู่หน้าโต๊ะของเด็กหนุ่มเพียงหนึ่งเดียว โดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ว่าโต๊ะของเขามันกลายเป็นจุดนัดพบไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“ตื่นเต้นชะมัดเลย ขอให้ความรู้ยังไม่กระเจิงออกไปก่อนนะตัวฉัน!” นาโอริบนบานศาลกล่าวยกใหญ่พลันยกมือลูบ ศีรษะ หวังให้สิ่งที่อ่านมาไม่ปลิวไปเสียก่อน
“เหอะ ยิ่งขยี้หัวเดี๋ยวความรู้ก็ยิ่งกระเจิงหรอก” ฮินาวะเท้าคางมองภาพน่าขันตรงหน้า ทำเอาสาวเจ้าหันมองตาค้อนทันควัน
“แค่พูดเปรียบเฉย ๆ ย่ะ”
“อ้อเหรอ ฉันก็นึกว่ามันเป็นไปแล้วเสียอีก” เส้นเลือดปูดโปนข้างขมับของนาโอริพลันตั้งท่าจะเปิดศึกเถียง ถ้าไม่ใช่เพราะซากิเข้ามาห้ามทัพ
“ทั้งสองคนอย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย เดี๋ยวความรู้ก็ได้หายไปจริง ๆ หรอก”
“ค่ะแม่...” นาโอริคอตกไม่ต่างจากเด็กหนุ่มที่เลือกจะเบือนหน้าหนีแทน ซากิที่เห็นท่าทางของทั้งสองจึงได้แต่ถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนสาวที่ยังมุ่ยหน้าอยู่
“ว่าแต่นาโอะจังมั่นใจเรื่องสอบไหม?”
“ฉันเหรอ...เอาตามตรงก็คิดว่าได้อยู่นะ ไม่งั้นโซว์คงจะเสียใจแย่” ชื่อไม่คุ้นหูดึงความสนใจของฮินาวะให้หันกลับมาเลิกคิ้วสูง
“โซว์ที่ว่า คือใคร?”
“เป็นเด็กที่ช่วยฉันไว้เมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะ”
“ช่วย?” ครั้นเห็นเครื่องหมายคำถามแปะบนหน้าฮินาวะ นาโอริเลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อน ทั้งนัดเจอกับเพื่อนจนได้เจอกับเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าที่ชื่อ โซว์ ให้ฟัง แต่กลับถูกอีกฝ่ายหรี่ตาจ้องเขม็งจนน่ากลัวแทนเสียงั้น
“เธอนี่มันไม่ระวังตัวเลยจริง ๆ”
“เอ้า ไหงถึงพูดเหมือนซากิได้ล่ะเนี่ย”
“ฉันก็บอกแล้ว...” ซากิเอ่ยเสริม คนถูกดุเลยได้แต่ทำหน้ามุ่ยกว่าเดิม
“อ เอาเป็นว่าเขาช่วยฉันก็แล้วกัน เพราะงั้นสอบครั้งนี้ต้องไหว!”
“นั่นสินะ สู้ ๆ กับสอบนะพวกเรา!” เจ้าของเรือนผมสีเงินวาวยกยิ้มให้เพื่อนทั้งสอง ราวกับส่งท้ายเพราะไม่นานร่างของอาจารย์ซาวาเบะก็โผล่เข้ามาในห้องเรียน เธอเข้ามาพร้อมกับซองเอกสารปึกหนาในมือ แววตาคมกริบจ้องมองเหล่านักเรียนซึ่งบัดนี้ได้นั่งประจำที่ของตนเรียบร้อย พลันพยักหน้าพอใจและตรงไปยังโต๊ะหน้าชั้นเรียน
หญิงสาวหยิบปากกาดิจิทัลที่วางอยู่มาขีดเขียนบนจอกระจกที่ติดตั้งไว้กับโต๊ะ พลันปรากฏหน้าจอโฮโลแกรมลอยอยู่เบื้องหน้าเธอ ตัวอักษรค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรายชื่อวิชาสอบกับเวลาในการสอบ และเมื่อกระดาษทุกแผ่นถูกวางบนโต๊ะพร้อมให้จรดปากกาลงไป หญิงสาวจึงส่งเสียงบอกสัญญาณให้เริ่มได้ พลันตามมาด้วยเสียงหัวปากกาที่ขีดเขียนไปบนเนื้อกระดาษฟังแล้วเพลินหู
ดวงตาสีซากุระจับจ้องตัวอักษรทุกตัวบนกระดาษ และต้องลอบยิ้มออกมาเมื่อสิ่งที่โซว์พูดใส่หัวของเธอมันปรากฏในข้อสอบแทบจะทั้งนั้น ไม่รีรอสาวเจ้าจึงรีบเขียนคำตอบลงไปอย่างลื่นไหล เช่นเดียวกับหมึกปากกาที่หลั่งผ่านลูกกลิ้งเหล็ก
“ข้อนี้ต้องตอบ....แบบนี้” เด็กสาวพึมพำพลางขยับปากกาในมือ
จนแล้วจนรอดศึกแรกของเทศกาลสอบก็หมดไป ทว่ามันเพิ่งจะเป็นวันแรกเท่านั้น นาโอริยังต้องตั้งสติไว้มั่น ไม่ให้ความล้าของสมองมาทำให้ข้อสอบในวันข้างหน้านั้นยากขึ้น...
.
.
.
“วิชาของวันพรุ่งนี้ก็ยากเหมือนกัน...งั้นเรากลับไปทบทวนกันดีไหม?” ซากิเอ่ยขณะกำลังเดินเท้ากลับหอพร้อมนาโอริ
“เธอจะช่วยทวนให้ฉันเหรอ!”
“แน่นอนจ๊ะ เพราะครั้งที่แล้วฉันไม่ได้ช่วยนาโอะจังเลยนี่นา” นาโอริยิ้มร่าพร้อมโผกอดเพื่อนสาวจนแทบจะล้ม พลันหัวเราะกันคิกคักเอง แทบจะไม่สนใจเจ้าสองหนุ่มที่เดินตามหลังพวกเธอมาเลย
“อะแฮ่ม พวกเราก็อยู่ด้วยนะครับสาว ๆ” เสียงทุ้มขี้เล่นดังมาจากไคโตะที่กำลังแย้มยิ้มให้อยู่ด้านหลัง
“อะไรเล่า พวกนายสองคนไม่ได้จะไปทวนกันเองหรอกเหรอ?”
“โธ่ ทวนกันเองที่ไหน เจ้าหมอนี่เป็นพวกซุ่มอ่านแล้วก็ลอยแพผมอยู่คนเดียว” หนุ่มแว่นเบ้ปากพลางสะกิดแขนคนข้างตัวที่ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ
“นายเองก็เป็นพวกซุ่มเหมือนกันนั่นแหละ”
“ใส่ร้ายกันอีกแล้ว...เอาเป็นว่าถ้าพวกเธอจะทวนสอบกันก็ให้พวกผมร่วมวงด้วยนะ”
“ได้สิ หลายคนหลายหัวจะได้ช่วยกัน” ซากิยกยิ้ม
และแล้วกลุ่มติวหนังสือของเหล่าสภาเจ็ดซามูไรปีหนึ่งจึงเริ่มต้นขึ้น ช่างเป็นโชคในโชคที่พวกเขาสามารถพาฮินาวะมาร่วมด้วยได้ เพราะไม่มีอะไรดีไปกว่าได้คนฉลาดมาสอนให้อีกแล้ว! การสอนของฮินาวะเรียกว่าไม่แพ้โซว์เลยทีเดียว ทว่าสำหรับนาโอริดูจะไม่ค่อยจะได้ผลสักเท่าไหร่ เพราะมักถูกเจ้าคู่อริแกล้งเสมอ จะได้เปิดสงครามก่อนติวจบสิไม่ว่า
.
.
.
“จริงสิ เขียนไปหาโซว์หน่อยดีกว่า” บัดนี้สองสาวได้กลับมาถึงหอพักและกำลังนั่งเล่นไปเรื่อยเปื่อย นาโอริหยิบมือถือคู่ใจออกมาพลางเลื่อนไปหาชื่อของเด็กหนุ่ม ก่อนจะพิมพ์ข้อความส่งไป
นาโอริ
‘โซว์ นายอยู่ไหม’
เวลาผ่านไปพักใหญ่แต่ก็ไม่มีเสียงข้อความตอบกลับ พลอยทำให้เด็กสาวตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะทำธุระจนยุ่งอย่างที่เขาเคยบอกเอาไว้ก็เป็นได้ เธอจึงเลือกพิมพ์ข้อความทิ้งเอาไว้และรอให้เจ้าตัวมาอ่านแทน
‘ฉันจะมาบอกว่าสิ่งที่นายสอนฉันมันแทบจะออกสอบหมดเลยล่ะ XD’
‘นายนี่เก่งชะมัดเลย เน้นได้ตรงทุกจุด!’
‘ขอบคุณอีกครั้งนะ อาจารย์ <3’
‘ถ้าสะดวกแล้วมาตอบนะ’
ครั้นส่งข้อความเรียบร้อย นาโอริพลันสูดหายใจลึกพร้อมชูกำปั้นขึ้นกลางอากาศ
“ชิสึจิ นาโอริ สู้เขา! จะสอบพรุ่งนี้หรือวันไหนก็มาเลย!”
.
.
.
เวลาเดียวกันกับที่นาโอริเพิ่งจะเข้านอน ทว่ามันกลับเป็นเวลาช่วงเย็นสำหรับเจ้าของเรือนผมสีดำขลับ ที่บัดนี้กำลังพักผ่อนกายาอยู่ในโรงแรมหรูสำหรับต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และเพราะเพิ่งจะเสร็จจากการพบปะกับคนที่นั่น ทันทีที่กลับห้องร่างเล็กจึงทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวใหญ่และปล่อยให้เบาะนุ่มดูดกลืนตัวเขาไป
“ดีนะที่เริ่มชินแล้ว ไม่งั้นได้เจทแลคตายแน่” เขาเอ่ยเสียงเนือย นัยน์ตาสีนิลจ้องมองวิวยามเย็นผ่านกระจกใส ช่างชวนให้ผ่อนคลายยิ่ง โซอิจิโร่เหลือบมองนาฬิกาข้อมือของตน ก่อนจะคำนวณเวลาระหว่างที่นี่และประเทศบ้านเกิด ครั้นตกผลึกว่าอีกฝั่งคงจะดึกแล้ว เด็กหนุ่มจึงหยิบมือถือมาเลื่อนหาชื่อของคนที่เขากำลังนึกถึง
“ส่งข้อความมาตั้งแต่เย็นแล้วเหรอเนี่ย” เขาเอ่ยพลางเปิดเข้าไปอ่าน พลันได้เห็นคำขอบคุณที่นาโอริส่งมาให้
“เก่ง...งั้นเหรอ” ริมฝีปากได้รูปวาดยิ้มออกมา ปลายนิ้วตั้งท่าจะกดพิมพ์แต่กลับต้องหยุดเอาไว้เสียก่อน
“ป่านนี้น่าจะนอนไปแล้วล่ะมั้ง...เอาเถอะ เขียนทิ้งไว้ก่อนก็แล้วกัน”
โซว์
‘คนที่เก่งคือพี่ต่างหากที่จำได้ ผมแค่ทบทวนตามหนังสือก็เท่านั้น’
‘แต่ถ้าเป็นประโยชน์กับพี่ได้ผมก็ดีใจครับ’
โซอิจิโร่ยังคงแย้มยิ้มไม่หาย เขากลับรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าแทบหายเป็นปลิดทิ้งเพียงแค่มองข้อความนั้น อาจเป็นเพราะได้สนทนากับใครสักคนด้วยเรื่องที่ไม่ใช่งานและไม่ใช่ตัวตนของคนอื่น ไม่แน่เขาอาจจะชอบแบบนี้มากกว่า...ชอบที่ไม่ต้องแสร้งเป็นใครทั้งนั้น
ตริ๊ง!
ครั้นตั้งใจจะวางมือถือลง ไม่ทันที่มันจะถึงพื้นโต๊ะก็ดันมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นทำเอาเจ้าตัวต้องรีบดึงกลับมาดูแทบไม่ทัน
นาโอริ
‘นายนี่ถ่อมตัวเก่งจริง ๆนะ’
โซว์
‘พี่ยังไม่นอนเหรอ?’
‘ก็นอนอยู่...แต่นอนไม่หลับน่ะ’
‘ถ้าพรุ่งนี้ไม่ตื่นจะทำยังไงล่ะพี่’
‘โธ่ นายพูดเหมือนเพื่อนฉันเลยนะ :<’
‘ก็มันดึกแล้วนี่’
‘แล้วทำไมนายถึงไม่นอนล่ะ?’
ร่างเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อโดนโยนคำถามเดียวกันกลับมา เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะรีบพิมพ์ตอบอีกฝ่ายไป
โซว์
‘ผมเพิ่งจะช่วยงานที่บ้านเสร็จน่ะ พอจะนอนก็เห็นพี่เขียนมา’
นาโอริ
‘โห เหนื่อยแย่เลยสินะ’
‘ก็นิดหน่อยครับ’
‘งั้นให้นายไปนอนดีกว่า ฉันก็จะไปเหมือนกัน ถ้าไม่ตื่นเข้าจริง ๆ ล่ะแย่แน่!’
‘ตกลงครับ ขอให้พี่ทำสอบได้นะ ฝันดีครับ’
‘ขอบใจนะ ฝันดี!’
เมื่อมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีเสียงแจ้งเตือนอะไรดังขึ้นมาอีก โซอิจิโร่จึงวางมือถือลงก่อนจะถอนใจโล่งอก ใครจะไปคิดล่ะว่าสาวเจ้าจะยังไม่นอนทั้งที่เวลาป่านนี้แล้ว ขนาดเขายังแทบจะคุมเปลือกตาไม่อยู่
“เฮ้อ งีบหน่อยดีกว่า” ว่าแล้วร่างเล็กพลันเอนกายบนโซฟานุ่ม ซึมซับความเย็นจากอากาศเย็นฉ่ำและผล็อยหลับไป
.
.
.
เช้าวันใหม่ ณ เวลาของแดนอาทิตย์อุทัย วันสอบก้าวเข้าสู่วันที่สองให้นาโอริและนักเรียนชิบุนางิผจญกับการสอบแสนยากเข็ญ จนล่วงเลยไปเป็นวันที่สาม สี่และห้า ท้ายที่สุดพวกเขาทุกคนก็ผ่านช่วงเวลาชวนให้สมองล้านั้นมาได้ แน่นอนว่านาโอริยังคงแย้มยิ้มได้แม้วันสุดท้ายของการสอบ เพราะทุกอย่างนั้นราบรื่นไปด้วยดี และเธอก็ยังไม่ลืมจะเขียนรายงานไปให้อาจารย์เฉพาะกิจของตนฟังเสมอ
ส่วนทางโซว์เองหากมีเวลาก็มักจะพิมพ์ตอบกลับเป็นระยะ ทว่าเขาอาจจะโหมตัวเองมากเกินไปหน่อย จนบางครั้งก็วูบหลับไปขณะกำลังพิมพ์กับนาโอริ ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน หากสาวเจ้ารู้ว่าคนที่เธอสนทนาด้วยเป็นใคร เธอคงคิดว่ามันโชคดีเอามาก ๆ ที่ได้เห็นมุมเช่นนี้ของเขา
“สงสัยจะวูบหลับไปอีกแล้วล่ะมั้งเนี่ย”
“ใครเหรอ?” ซากิเลิกคิ้วขณะกำลังยกกองเสื้อผ้าของตนเข้าห้องนอนสีนวล
“หมายถึงโซว์น่ะ ช่วงนี้เหมือนจะช่วยงานหนักจนเผลอหลับไปบ่อย ๆ”
“อายุน้อยกว่าเราแท้ ๆ แต่ลำบากน่าดูเลยนะ”
“นั่นสิ น่าเสียดายที่เขาไม่ยอมบอกว่าทำงานอะไรอยู่ ไม่งั้นอาจจะพอช่วยเขาได้ก็ได้” เด็กสาวผมสีเปลือกไม้มุ่ยหน้าพลางปัดหน้าจอมือถือเล่น
“เขาคงเกรงใจนั่นแหละ”
“งั้นเหรอ...ก็ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย” ซากิได้แต่หัวเราะเอ็นดูความไร้เดียงสาของเพื่อนตน เธอพลันนึกไปว่าเด็กหนุ่มอาจจะไม่สบายใจที่จะเอ่ยมันเพราะยังไม่รู้จักกันดีก็เป็นได้ ทว่าปล่อยไว้เช่นนี้คงจะดีเสียกว่าให้นาโอริมานั่งคิดมาก
“รีบพักผ่อนดีกว่านะนาโอะจัง วันนี้ใช้สมองมาเยอะแล้ว”
“เอ๋ แต่ฉันยังไม่อยากนอนเลย”
“ไปนอนเดี๋ยวนี้เลย นาโอริ” เสียงที่เอ่ยกลับเป็นจูลิโอ้เสียอย่างนั้น ทำเอาเด็กสาวต้องเบ้ปากใส่อาวุธศักดิ์สิทธิ์
“นายเป็นแค่นาฬิกาปลุกให้ฉันก็พอแล้ว ไม่ต้องเพิ่มเซอร์วิสให้หรอก”
“ฉันแค่สงสารเพื่อนเธอที่ต้องมาคอยดูแลเธอนั่นแหละ”
“หน็อยแน่ เดี๋ยวแม่จับหักเป็นสองท่อนเลยนี่”
“หักได้ก็ลองดู” เสียงทุ้มกล่าวลองเชิง
“พอเลย ๆ ทั้งสองคน แล้วแบบนี้จะได้นอนไหม?” ซากิกอดอกขมวดคิ้ว พลางดันตัวเพื่อนสาวให้รีบเข้าห้องนอน ซ้ำยังกำชับว่าห้ามแอบนอนดึกอีกต่างหาก ครั้นสัมผัสกับอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศ นาโอริพลันเปิดปากหาวทันใดและยอมเอนตัวลงเตียงในท้ายที่สุด
“ฝันดีนะ จูลิโอ้”
“ฝันดี รีบนอนเถอะ” เด็กสาวฮัมตอบรับและผล็อยหลับไปในกองผ้าห่มนุ่ม
ภาพเบื้องหน้ามืดสนิท ผิวขาวเนียนถูกไล้ด้วยสัมผัสเบาบางปลุกให้ดวงตาสีซากุระเปิดขึ้น พลันถูกต้อนรับด้วยแสงจ้ากับภาพของต้นซากุระสูงมหึมาต้นเดิมที่ยังคงบานสะพรั่ง ส่งกลีบดอกไม้สีอ่อนปลิวไสวทั่วพื้นที่ เบื้องหน้ามีชายคนเดิมในชุดยูกาตะสีน้ำเงินเข้มและเรือนผมที่กลืนไปกับกลีบดอกซากุระยืนอยู่ ครานี้ระยะระหว่างเธอและเขานั้นใกล้เข้ามาจนมองเห็นใบหน้าได้ราง ๆ ทว่ากลับโชคไม่ดีที่กลีบดอกไม้พวกนั้นพยายามบดบังตัวเขาจากสายตา
“คุณเป็นใครกันแน่?” เสียงของนาโอริกังวานก้องจนแม้แต่เธอเองก็ประหลาดใจ ชายผู้นั้นวาดยิ้มให้ราวกับขบขันในคำถามของเธอ ก่อนจะใช้นิ้วชี้เรียวแตะริมฝีปากตนเอง
“ใจเย็นสิ มันยังไม่ถึงเวลาน่ะ” นัยน์ตาสีซากุระเบิกกว้างเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นชัดเจนกว่าครั้งไหน
“ทำไมต้องรอด้วยล่ะ คุณแค่บอกชื่อฉันมาก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ขอโทษด้วยนะ แต่ฉันมีเวลาไม่มากนัก” ชายหนุ่มเว้นจังหวะหายใจพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบนิ่ง
“เรื่องร้ายกำลังจะเกิดขึ้น นาโอริ”
“คะ หมายถึงอะไร?”
“จำไว้นะ ถ้าอันตรายมาที่ตรงนี้” มือหนาเลื่อนแตะที่อกข้างซ้ายของตนเบา ๆ ชั่วพริบตาแสงวูบวาบรอบตัวพลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม ต้นซากุระที่ควรจะมีสีชมพูสบายตาได้ถูกของเหลวสีน้ำเงินชโลมท่วมทุกกลีบดอก เช่นเดียวกับร่างบางที่สัมผัสถึงความเหนอะหนะบนใบหน้า นาโอริเอื้อมแตะแก้มนิ่มพลันตกตะลึงเมื่อของเหลวนั้นเปรอะเปื้อนมือของเธอ
ความวิตกเกิดขึ้นในจิตใจส่งผ่านมายังร่างกายที่สั่นเทิ้ม เด็กสาวรีบเงยมองอีกฝ่ายซึ่งยังคงชี้ที่หัวใจตนเองอยู่ วินาทีนั้นเธอได้รู้ว่าไม่สามารถเปล่งเสียงได้ตามใจชอบอีกต่อไป
“จำเอาไว้นะ.....”
“ว่าฉันจะไปช่วยเธอ”
“เฮือก!”
ร่างบางดีดลุกขึ้นจากเตียงนุ่มพลันหอบหายใจตัวโยน เหงื่อกาฬไหลท่วมลงใบหน้าสวย นาโอริสะดุ้งตัวจากภวังค์ก่อนจะหันไปคว้ามือถือเพื่อดูเวลาซึ่งขณะนี้เพิ่งจะตีห้า สาวเจ้าถอนใจเฮือกใหญ่และหันไปตอบจูลิโอ้ที่เรียกเธอซ้ำหลายครั้ง ตั้งแต่สาวเจ้าเด้งตัวตื่นจากฝัน
“เธอเป็นอะไรน่ะจู่ ๆ ก็กระเด้งมานั่งหอบ”
“เหมือนฉันจะ...ฝันแปลก ๆ ?”
“เรื่องอะไร?”
“เรื่อง...” ดวงตาสีซากุระเบิกกว้างพลางเกาศีรษะฉงน ราวกับรูปวาดที่ถูกป้ายด้วยสีดำบัดนี้นาโอริไม่อาจหวนนึกถึงฉากในความฝันได้ ทว่าคำพูดสุดท้ายยังคงตรึงอยู่ในสมอง...
“จำไม่ได้ว่าเกี่ยวกับอะไร แต่มีคนบอกว่าเขาจะมาช่วยฉันน่ะ”
“ช่วยจากเรื่องอะไร เธอจะมีอันตรายงั้นเหรอ?”
“ไม่รู้สิ...”
“ยังไงต่อ?” นาโอริได้แต่ส่ายหน้าให้กับคำถามคาดคั้นของคู่หู
“บอกแล้วไงว่าจำไม่ได้ ทำไมถึงอยากรู้ขึ้นมาล่ะ?”
“เธอเล่นร้องเสียงหลงเสียขนาดนั้น ฉันก็อยากรู้ว่าฝันเรื่องอะไรกันแน่” นัยน์ตาสีซากุระวูบไหวเมื่อพยายามระลึกภาพในฝัน แต่ไม่ว่ายังไงก็เปล่าประโยชน์
ครั้นไม่รู้สึกอยากนอนต่อ สาวเจ้าจึงเลือกที่จะไปอาบน้ำให้สร่างจากอาการงัวเงียและออกไปค้นวัตถุดิบในตู้เย็นมาทำเมนูอาหารเช้าระหว่างรอให้เพื่อนสาวตื่น ถึงวันนี้จะไม่ใช่เวรทำอาหารเช้าของเธอแต่ไหน ๆ ก็ตื่นมาแล้ว หนำซ้ำยังไม่มีอะไรให้ทำอีกด้วย
ทำเอาซากิที่ตื่นทีหลังตกใจยกใหญ่ เพราะปกตินาโอริไม่ใช่คนตื่นเช้าถ้าไม่มีเรื่องทำให้นอนไม่หลับ แถมเธอก็อุตส่าห์ตั้งใจจะรังสรรค์เมนูอร่อย ๆ ให้เพื่อนสาวทานในเช้านี้ด้วย แต่กลับโดนแซงหน้าไปเสียงั้น
“ว่าแต่ปิดเทอมฤดูหนาวนี้ นาโอะจังจะกลับบ้านหรือเปล่า?”
“ก็น่าจะกลับนะ ถึงมันจะหยุดแปปเดียวก็เถอะ”
“อื้อ ฉันก็ว่าจะกลับเหมือนกัน”
“เธอต้องกลับไปดูแม่ใช่ไหม?” ซากิพยักหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ
“แต่ไหน ๆ ก็ได้ปิดเทอมทั้งที เราคงมีเวลาไปเที่ยวกันตามที่สัญญาไว้ใช่ไหม?” นาโอริเอ่ยพลางตักอาหารเข้าปาก
“ฉันว่าอาจจะได้อยู่นะ แต่คงต้องถามพวกรุ่นพี่โชก่อน”
“รุ่นพี่เกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?”
“ลืมไปแล้วเหรอ ถึงงานสภานักเรียนจะไม่มีเพราะปิดเทอม แต่ยังมีภารกิจนอกสถานที่ที่พวกเราต้องไปช่วยพวกรุ่นพี่เขาอีกนะ” เด็กสาวผมสีเปลือกไม้สะอึกกับคำพูดนั้น พลันทำหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์ เจ้าตัวลืมไปเสียสนิทว่าต่อให้เป็นช่วงปิดเทอมไม่ว่าจะฤดูไหน ทางบริษัทชินระก็จะคอยส่งมอบภารกิจผ่านรุ่นพี่ทั้งสองก่อนจะคัดมาให้รุ่นน้องอย่างพวกเธออีกที
“งั้นก็เท่ากับปิดเทอมที่ไม่ได้ปิดน่ะสิ เฮ้อ...”
“เอาน่า อย่างน้อยเราก็ยังได้ค่าตอบแทนนะ ถือว่าไม่ได้แย่ไปเสียทุกอย่าง” เป็นจริงดั่งซากิว่า ตั้งแต่ที่พวกนาโอริได้เข้าเป็นสมาชิกเจ็ดซามูไร ก็มักจะมีงานที่ต้องออกไปนอกสถานที่บ่อย ๆ ถึงส่วนใหญ่จะแค่ติดตามโชโตะหรือฮิเมะโกะที่ไปทำหน้าที่ และคอยช่วยเหลือพวกเขาก็ตาม แต่ก็ยังได้ค่าตอบแทนมาใช้สอยเสมอ
สองสาวพูดคุยกันเสียเพลิน จนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องเก็บสัมภาระ และเตรียมแยกย้ายกันกลับบ้านไปสำราญกับปิดเทอมฤดูหนาว ก่อนจะต้องมาทำงานเสริมในฐานะเจ็ดซามูไร...
.
.
.
บัดนี้ผืนฟ้ากว้างแต่งแต้มด้วยสีส้มอมแดงบ่งบอกถึงยามเย็น ณ ประเทศอังกฤษ เครื่องบินลำโตถูกจอดรอรับผู้โดยสารคนสำคัญ ที่เพิ่งเสร็จกิจจากการมาดูงานตามคำสั่งของจักรพรรดิผู้เป็นพ่อ ร่างเล็กในชุดสูททางการสีเข้มทับด้วยเสื้อโค้ตอีกชั้นหนึ่ง ตัดกับเรือนผมสีขาวนวลพลิ้วไสวตามแรงลม ดวงตาสีนิลเหม่อมองหมู่เมฆเบื้องบนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถูกเสียงจากนายทหารคนหนึ่งดึงความสนใจไป
“เชิญเสด็จเถอะพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นสุดคำพูด ทหารหนุ่มพลันก้มโค้งนอบน้อมและรอให้เด็กหนุ่มเดินผ่านตนเองก่อน ถึงจะหันหลังขวับเดินตามเขาไป
ครั้นองค์ชายหนุ่มก้าวขึ้นเครื่องบินลำใหญ่ประตูเหล็กจึงเลื่อนปิดจนสนิท ใบพัดขนาดใหญ่กว่าตัวคนเริ่มทำงานพัดฝุ่นจากผืนดินที่ตลบฟุ้ง ล้อใหญ่ยักษ์เคลื่อนที่ไปเบื้องหน้าส่งตัวเองทะยานสู่น่านฟ้าและมุ่งหน้ากลับสู่บ้านเกิด
ณ ห้องโดยสารชั้นล่างซึ่งจัดไว้สำหรับทหารองครักษ์ที่ติดตามเด็กหนุ่ม ใครผู้หนึ่งนั่งอยู่ท้ายสุดของแถวที่นั่งพลันยกนิ้วสัมผัสกับเครื่องสื่อสารที่หู ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอันเบาหวิวหากแต่ชัดเจนสำหรับปลายสาย
“กำลังเดินทางกลับแล้วครับ”
“งั้นเหรอ...เข้าใจแล้ว” เสียงทุ้มไม่คุ้นหูดังลอดเครื่องสื่อสารให้คู่สนทนาได้ยิน ตามมาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอราวกับพึงใจในคำตอบ
“ทางนี้ก็พร้อมแล้วเหมือนกัน” น้ำเสียงบิดเบี้ยว เช่นเดียวกับรอยยิ้มที่มองไม่เห็นจากปลายสาย
“รอการต้อนรับสุดยิ่งใหญ่จากฉันได้เลย โซอิจิโร่”
to be continue…
つづく、psrpowder