ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
นิยายเรื่องนี้จะอัพ ทุกวัน ศุกร์และเสาร์ เวลา 19.00 น. - 19.30 น.
และอาทิตย์ เวลา 18.30 น.
จะพยายามลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อนักอ่านทุกท่านนะคะ :>
**เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok และ Bluesky จะอัพเดตเรื่อย ๆ ค่ะ**
ปุกาศ ๆ บัดนี้เรามี E-book แล้วนะจ๊ะ!
ตอนนี้เล่ม 3 กำลังจัดโปรลด50% อยู่น้าา ตั้งแต่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 68!!!!
ใครสนใจไปส่องกันได้เลยน้าา <3
*** ที่ : mebmarket ครับโผม! ***
เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังของนักเขียนฝึกหัด (เพื่อต่อยอดความฝันอยากทำอาชีพนักเขียนค่ะ) ขอฝากนักอ่านใจดีทุกท่านติชม แนะนำให้ไรท์ฝึกหัดคนนี้ได้นำไปปรับใช้ในเรื่องต่อไปด้วยนะคะ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็น้อมรับและปรับแก้ค่ะ
หรือถ้าไม่ชอบคอมเมนท์ก็กดใจให้กันได้นะคะ กำลังใจชั้นยอดของเราเลย
กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ^^
================ เกริ่นแนวเรื่องกันซะหน่อย =================
เรื่อง 7Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ ฮ่า)
เป็นแนวแฟนตาซี ฟิลชีวิตประจำวันในประเทศญี่ปุ่นยุคอนาคตปี3000 แต่เพราะกฎการแบนอาวุธปืนเลยทำให้มีสไตล์การต่อสู้แบบโบราณผสมด้วย ฟิลใช้ดาบฟันกันชิ้งๆ ยิงธนูปิ้ว ๆ หรือแม้แต่วิชานินจาก็ยกมาหมดแผง(เท่าที่ไรท์คิดออกอ่ะนะ55)
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารักของพระนางแบบมองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ! ปมดรามาความสัมพันธ์พวกเขามีประปรายให้ได้หมั่นไส้กัน ได้ลิ้มรสความหวานกันเต็มกระบุงแน่นอนค่ะ :)
แล้วก็แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจมาด้วยนะ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยดหลายรอบเลยค่ะ ;-;)
***คำเตือนเล็กน้อย…เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวและนักเขียนมีแพลนเขียนแบ่งเป็น2ซีซั่น
ปัจจุบันซีซั่น1ใกล้จะจบแล้วค่ะ สามารถอ่านกันได้จุใจแน่นวลล***
.
.
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
(สั้น ๆ คือ ฝากกดติดตามกันด้วยนะทุกคลล ฮืออ T T )
====== เรื่องย่อกันบ้างดีกว่า ======
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้ ทั้งสองต้องเริ่มชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน กระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมห้องอย่าง โมโมเสะ ฮินาวะ เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้มากความสามารถและเก่งกาจจนนาโอริอยากให้เขาช่วยสอนวิชาดาบให้ แต่เขากลับยื่นคำท้าต่อเธอให้เอาชนะเขาให้ได้ในงานประลองดาบ เด็กสาวจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อชนะเขา
เพราะการแข่งนั้นพวกนาโอริจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วมสภานักเรียนหรือสภาเจ็ดซามูไรและได้ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตายจนพบกับองค์ชายรัชทายาทอายุไล่เลี่ยกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างนิรนามหมายจะชิงตัวไป นาโอริเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าวินาทีแรกที่สบตาเขาหัวใจก็ไม่อาจลบภาพรอยยิ้มสุดท้ายให้จางหายได้
ทางเลือกใหม่ที่เธอเลือกจึงลงเอยที่ตำแหน่ง 'องครักษ์' ของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้เพื่อให้ได้ปกป้องเขาได้ทุกวินาทีที่หายใจ….
===== สปอยหน้าตาพระนางสักเล็กน้อย =====
ชิสึจิ นาโอริ (น้อนนาโอะ) อายุ 16 ปี
เด็กสาวม.ปลายผู้ฝันอยากเป็นนักดาบเพราะเชื่อว่าความชอบนี้มาจากพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เลยคิดว่าถ้าได้เดินทางเดียวกันก็จะได้เจอครอบครัวฝั่งพ่อของตัวเองก็เป็นได้ แต่ใครจะรู้…ว่าปัจจุบันเธอจะได้ความฝันใหม่อันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง!!!
“ขอสาบานว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาย…จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง!”
ฮิบานะ โซอิจิโร่ (น้อนโซว์) อายุ 15 ปี
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความลับมากมายซ่อนไว้หลังหน้ากากอันเยาว์วัยกับ…สีผม?? เพราะเรื่องราวในอดีตที่ทำร้ายเขามานับไม่ถ้วนจึงหล่อหลอมตัวตนของเขาให้เป็นคนจริงจัง สุขุมและเก่งในด้านการต่อสู้(ปกป้องชีวิตตัวเอง) แต่ยามได้อยู่ต่อหน้านาโอริ ทุกบุคลิกก็ดูจะละลายหายไปจนเหลือแค่เด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง…กับจุดประสงค์บางอย่างในหัวใจ
“แกจะเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตาให้พวกเราอีกได้ไหม…เหมือนที่เธอพูดครั้งนั้น”
.
.
.
“ใครอยากเริ่มต้นความเบียวไปกับไรท์ กดอ่านตอนแรกกันเล้ย!!!”
よろしく、psrpowder
ช่วงเช้าในฤดูหนาวนำพาอากาศเย็นยะเยือกมาสู่ผู้คนจนแทบจะอยากขลุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ทว่าบางคนกลับต้องฝ่าอากาศเย็นเฉียบนั้นออกไปทำงาน ทำหน้าที่ของตน บัดนี้ ณ ตึกสูงเสียดฟ้าที่ประดับตราซากุระสีเงินเด่นหราอยู่บนยอดตึก ภายในห้องทำงานกระจกชายผู้หนึ่งกำลังนั่งอ่านเอกสารกองสูง ยังไม่รวมส่วนที่วางอยู่ด้านข้างโต๊ะทำงานอีก
ก๊อกๆ
เสียงเคาะดังเป็นมารยาท ก่อนประตูกระจกจะถูกเปิดให้ผู้มาใหม่เข้ามา หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินเข้มเช่นเดียวกับดวงตา ในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินก้าวมาหยุดตรงหน้าโต๊ะ ดวงตาสีซากุระของชายหนุ่มจึงละจากเอกสารพลันย้ายมาจับจ้องคนตรงหน้าแทน
“มีรายงานว่ายังไงบ้าง?” เสียงเข้มเอ่ย
“จากที่ได้รับรายงานจากหน่วยเงา ยังไม่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติหรือวี่แววของการคิดก่อการร้ายนะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น เวลานี้คงจะมีเพียงแค่เรื่องเดียวที่อาจเป็นที่เพ่งเล็งได้”
“หมายถึงการเสด็จกลับขององค์รัชทายาทน่ะเหรอ จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อเป็นการเสด็จไม่เป็นทางการ ไม่น่าจะมีใครรู้เรื่องนี้” หญิงสาวแย้งทันทีที่คิดถึงความเป็นไปได้นั้น
“ก็เพราะไม่มีใครรู้ถึงได้เสี่ยงไงล่ะ”
“งั้นเราก็ควรจะเพิ่มคนคุ้มกันให้มากกว่าที่กำหนดไว้สิ”
“ใช่ ฉันก็คิดแบบนั้น เลยจะฝากเธอเอารายละเอียดงานนี้ไปให้พวกโชโตะหน่อย” ชายหนุ่มเอ่ยพลางคัดแยกเอกสารในมือและดึงแผ่นหนึ่งออกมาให้อีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยต่อ
“ส่วนภารกิจครั้งนี้ ฉันคงต้องรบกวนเธอเป็นคนดูแลแล้วล่ะ” เอ่ยจบก็ไม่วายยกเอกสารขึ้นมาอ่านต่อ พลันเห็นท่าทางหญิงสาวดูไม่พอใจสักเท่าไหร่
“นายไปจะไม่ดีกว่าเหรอ เรื่องของราชวงศ์น่ะฉันไม่อยากเสี่ยงเลยจริง ๆ”
“ทำยังไงได้ล่ะ ฉันก็มีธุระที่จะต้องไปจัดการ อีกอย่างนอกจากเธอ ฉันก็ไม่ค่อยอยากไว้ใจใครสักเท่าไหร่” ใบหน้าคมสันยกยิ้มเป็นการปลอบใจเพื่อนร่วมงาน
“เข้าใจแล้ว...แต่นายแน่ใจเหรอว่าจะให้พวกเด็ก ๆ มายุ่งกับงานระดับนี้น่ะ ไม่เสี่ยงไปหน่อยเหรอ?”
“ไม่หรอกพวกเขามีฝีมือ แถมได้ยินว่ารับสมาชิกใหม่เข้ามาอีก เราแค่ไปคุ้มกันตามที่ฝ่าบาทรับสั่งมา ให้พวกเขาได้ลองทำอะไรแบบนี้ก็ไม่เลว”
“เฮ้อ รับทราบ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวล่ะ” ชายหนุ่มพยักหน้าอนุญาต ร่างเพรียวจึงก้าวเดินออกจากห้องไป เมื่อประตูงับสนิทเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากคนบนเก้าอี้ก็ดังขึ้น มือหนาถอดแว่นทรงสี่เหลี่ยมวางบนโต๊ะ เผยให้เห็นดวงตาคมกริบดูมีเสน่ห์ เรือนผมสีชมพูซากุระดั่งเช่นดวงตาถูกเสยขึ้นจนไม่เป็นทรง
“หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดกับท่านโซอิจิโร่หรอกนะ”
.
.
.
ณ โรงเรียนชิบุนางิที่ไร้ซึ่งนักเรียนเดินไปมาระหว่างห้อง ไม่มีแม้แต่อาจารย์สักคนเพราะเป็นช่วงปิดเทอม มีเพียงร่างเพรียวของใครบางคนที่ก้าวไปตามทางเดินเงียบ ปกติแล้วเธอไม่ค่อยได้เหยียบมาที่นี่สักเท่าไหร่ จึงไม่พ้นต้องหันซ้ายทีขวาทีเพื่อมองหาเป้าหมายของเธอตามห้องที่เรียงรายอยู่ข้างทางเดินชั้นล่างสุดของตึก และแล้วก็ดูเหมือนจะเจอสิ่งที่ตามหาเสียที
“ห้องนี้สินะ” เธอพึมพำครั้นสังเกตป้ายหน้าห้องที่เขียนว่า ห้องสภานักเรียน มือเรียวสวยเอื้อมไปเคาะทว่ากลับไร้เสียงตอบรับ หญิงสาวตัดสินใจเคาะอีกครั้งแต่ผลก็ยังเป็นเช่นเดิม ทำเอาเจ้าตัวต้องเดาะลิ้นไม่สบอารมณ์
“ไม่มีใครอยู่เลยหรือไงนะ” บ่นเสร็จเธอก็ลองเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู และพบว่ามันกลับไม่ได้ล็อก ร่างเพรียวจึงตัดสินใจเองว่าจะเข้าไปรอด้านใน พลางทิ้งตัวลงบนโซฟาใหญ่ก่อนจะหยิบหูฟังไร้สายมาใส่อย่างสบายใจ เพราะคิดว่าสมาชิกทั้งสองน่าจะกลับมาในอีกไม่ช้า อีกอย่างเธอก็ไม่รู้จะไปรอที่ไหนด้วย
ในขณะเดียวกันทางฝั่งของนาโอริ เธอกำลังช่วยรุ่นพี่หนุ่มจัดการเอกสารตั้งใหญ่ในห้องพักอาจารย์ พร้อมกับซากิและฮินาวะ
“ทำไมพวกเราถึงต้องมาจัดเอกสารแทนพวกอาจารย์ด้วยนะ” เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้บ่นอุบอิบพลางเคาะปึกกระดาษให้อยู่ระนาบเดียวกัน และไม่มีทีท่าจะเลิกบ่น
“อิจฉารุ่นพี่ฮิเมะโกะกับยูสึกะชะมัด ที่ได้ออกทำภารกิจนอกสถานที่”
“ฮ่า ๆ อย่าน้อยใจไปเลยครับ เดี๋ยวพี่จะช่วยหาภารกิจมาให้นะ” โชโตะวาดยิ้มตอบ แต่ก็ทำรุ่นน้องจอมบ่นตาเป็นประกายพลันตั้งความคาดหวังกับคำของอีกฝ่าย ก่อนสาวเจ้าจะเบ้ปากครั้นได้ยินเสียงของคู่อริ
“มีงานน้อยก็ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องหาเรื่องให้ตัวเองด้วย?”
“ฉันไม่ได้ขี้เกียจเหมือนนายเสียหน่อย”
“เหอะ แม่คนขยัน”
“อะไรนะ!?” ไม่ทันไรพวกเขาก็ดันเปิดสงครามกันอีกครั้ง ไม่พ้นที่ซากิต้องจับแยกออกจากกันพร้อมได้ประธานหนุ่มช่วยเรียกความสนใจ ให้พวกเขามาช่วยยกกองเอกสารนี้กลับไปยังห้องสภาเจ็ดซามูไร ไม่เช่นนั้นคงได้ไฟลุกท่วมกันอยู่ในห้องพักอาจารย์เป็นแน่
ทั้งสี่เดินยกตั้งเอกสารมาจนถึงด้านหน้าห้องสภานักเรียน โชโตะตั้งท่าจะเปิดประตูซึ่งไม่ได้ล็อกไว้แต่แรก พลันชะงักมือครั้นรู้สึกถึงไอเย็นไล้ที่ปลายนิ้ว
“มีอะไรเหรอคะ?” นาโอริย่นคิ้วฉงน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมเปิดประตูเสียที
“เราเปิดแอร์ทิ้งไว้เหรอ?”
“ก็เปล่านะคะ” ทั้งสามมองหน้ากัน โชโตะที่สังหรณ์ใจไม่ดีพลันออกแรงผลักประตูออก เผยให้เห็นร่างเพรียวของหญิงสาวนั่งสบายใจเฉิบอยู่บนโซฟา ยังไม่ทันที่พวกเด็ก ๆ จะได้เอ่ยสิ่งใด ก็ถูกเสียงเรียบของผู้ที่อยู่ในห้องแทรกมาเสียก่อน
“ถ้ามาช้าอีกนิด ฉันคงหลับรอได้แล้วนะเนี่ย”
“อาโอบะซัง?” โชโตะเลิกคิ้วสูงขณะจ้องหนึ่งในเจ้าหน้าที่ชินระที่ตนรู้จัก เพราะปกติเวลามีภารกิจใหม่ เจ้าตัวจะไม่ค่อยถ่อมาถึงโรงเรียนด้วยตัวเอง เด็กหนุ่มตกผลึกทันทีว่าต้องมีเรื่องสำคัญ ที่ไม่ควรเสี่ยงใช้งานเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดเป็นแน่
“รีบเข้ามาเถอะ แล้วก็ล็อกประตูเลยนะ” ประธานนักเรียนหนุ่มพลันหันไปพยักหน้ากับเหล่ารุ่นน้องให้ทำตามที่หญิงสาวสั่ง ทันทีที่ได้ยินเสียงแกร็กจากการล็อก ร่างเพรียวพลันลุกจากโซฟามายืนประจันหน้ากับโชโตะ ก่อนจะลอบมองด้านหลังของเขาราวกับหาใครบางคน
“เพื่อนเธอไม่อยู่งั้นเหรอ?”
“ฮิเมะโกะไปทำภารกิจอื่นกับรุ่นน้องอีกคนหนึ่งครับ ตอนนี้มีแค่ผมกับน้อง ๆ อีกสามคน”
“เอาเถอะ ขอแค่คนมีประสบการณ์สักคนหนึ่งก็น่าจะพอแล้ว”
“คุณหมายถึงเรื่องอะไรครับ?” โชโตะเอ่ยพลันเลิกคิ้วสูง
“ฉันมีงานให้พวกเธอทำ” อาโอบะเอ่ยพร้อมยื่นเอกสารให้อีกฝ่าย บนเอกสารมีรายละเอียดการเดินทางกลับประเทศขององค์ชายรัชทายาทซึ่งจะถึงในวันพรุ่งนี้ช่วงเช้าตรู่ และชินระก็เสนอให้เพิ่มจำนวนคนที่เข้าร่วมการคุ้มกันครั้งนี้ด้วย หญิงสาวได้อธิบายเสริมไปอีก ว่าหัวหน้าของเธอต้องการให้โชโตะและฮิเมะโกะเข้าร่วมภารกิจนี้ภายใต้การสั่งการของเธอ
“แต่ในเมื่อโมโมเสะไม่อยู่ คงเหลือแค่นายที่พึ่งได้แล้วล่ะนากามูระ”
“ซาโตชิซังต้องการให้พวกเราไปด้วยแบบนี้...แสดงว่าการคุ้มกันไม่ใช่หน้าที่หลักใช่ไหมครับ?” โชโตะเอ่ยถาม
“ใช่ เพราะช่วงนี้มันดูสงบผิดปกติ เขาเลยอยากให้ชินระคอยประกบขบวนเสด็จเผื่อกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา ส่วนคุ้มกันน่ะปล่อยเป็นหน้าที่พวกทหารของฮิบานะไป”
“ให้พวกเราไปด้วยนะคะ!” อาโอบะเบิกตาขึ้นครั้นได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากหนึ่งในรุ่นน้องของโชโตะ สาวเจ้าขยับมายืนข้างกายรุ่นพี่หนุ่มและจ้องหน้าหญิงสาวเขม็ง ดวงตาสีซากุระพลันสบกับอาโอบะอย่างไม่กลัว
“แล้วถ้าฉันบอกว่าไม่อนุญาตให้มือใหม่อย่างพวกเธอไปล่ะ?” อาโอบะเอ่ยลองเชิง
“ฉันจะขอไปให้ได้ค่ะ!”
“หือ...เธอพูดเหมือนตัวเองเก่งถึงขนาดปกป้องคนสำคัญของประเทศได้อย่างงั้นแหละ”
“ฉันไม่ได้เก่งพอที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้ค่ะ” เด็กสาวยอมรับมันหน้าตาเฉย ทำเอาต่อมหงุดหงิดของอีกฝ่ายทำงาน
“ยังจะมา..”
“แต่ในเมื่อได้ยินแล้ว จะให้อยู่เฉย ๆ น่ะ ฉันทำไม่ได้หรอก” นาโอริไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดและยังคงเอ่ยต่อไป
“การที่รับรู้ว่ามีคนกำลังโดนหมายเอาชีวิตอยู่แบบนี้ มันไม่มีทางจะทนปล่อยผ่านได้หรอกค่ะ คุณเองก็เป็นมืออาชีพน่าจะเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดนี่คะ”
“ไอเด็กนี่...คิดจะยั่วโมโหฉันใช่ไหม!?” อาโอบะถลึงตาดุพร้อมกับง้างมือขึ้นสูง ตั้งท่าจะเหวี่ยงใส่นาโอริ
“อาโอบะซัง!” โชโตะใจหล่นวูบ ครั้นพยายามเอื้อมมือไปขวางทว่ามันกลับสายไปเสียแล้ว
นาโอริเผลอหลับตาแน่นรอรับความเจ็บปวดที่ใบหน้า แต่แล้วมันกลับแทนที่ด้วยสัมผัสหนักมือบนศีรษะเสียอย่างนั้น เมื่อลืมตาขึ้นจึงเห็นว่าหญิงสาวกำลังขยี้เส้นผมนุ่มของเธอ ด้วยสีหน้านิ่งเฉยผิดกับการกระทำและไม่วายถอนใจเหนื่อยหน่าย
“เด็กสมัยนี้เนี่ยนะ ชอบใจร้อนแล้วก็ไม่ค่อยจะฟังกันให้จบ”
“คุณคิดจะทำอะไรรุ่นน้องของผมครับ?” โชโตะเอ่ยเสียงต่ำชวนเสียวสันหลัง พลางส่งสายตาคาดโทษให้หญิงสาว
“อย่ามองฉันด้วยสายตาทิ่มแทงนั่นเลย เห็นปากดีกล้ามาขัดฉัน ก็เลยอยากทดสอบนิดหน่อยเท่านั้นแหละ”
“ข ขอโทษค่ะ” นาโอริก้มโค้งขอโทษให้คนตรงหน้าเพราะตระหนักได้ว่าตนเป็นฝ่ายผิด อาโอบะเองก็ดูจะพอใจกับมารยาทของสาวเจ้าไม่น้อย จึงยอมปล่อยผ่านไปก่อนจะกลับเข้าเรื่องภารกิจต่อ
“ที่ฉันยังไม่ได้พูดก็คือในภารกิจครั้งนี้ ซาโตชิเองก็คิดว่ามันเป็นโอกาสดีที่รุ่นน้องของนายจะไปลองเรียนรู้งาน เลยให้ฉันมาส่งข่าวบอกนายไงล่ะ เหอะ!”
“พ พูดจริงเหรอคะ!?” นาโอริโพล่งขึ้นมา ทำเอาต้องหันมองเป็นตาเดียว
“จริงสิ ไม่งั้นฉันจะถ่อมาถึงที่นี่เพื่ออะไร”
“ให้พวกเราไปร่วมงานใหญ่ขนาดนั้นมันจะดีเหรอคะ?” ซากิขมวดคิ้วเป็นกังวล ทว่าอาโอบะกลับยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ พลันตอบเพียงว่าเธอไม่สามารถขัดคำสั่งของผู้เป็นนายได้ก็เท่านั้น
ไม่ทันไรร่างเพรียวจึงเดินผ่านนาโอริไปยังประตู ก่อนจะหยุดเหลียวมองพวกเขาผ่านหางตา
“ยังไงก็เตรียมตัวให้พร้อมแล้วกัน...” เธอเว้นจังหวะหายใจครู่หนึ่ง พลางส่งสายตาเฉียบคมจนน่ากลัวมาให้
“จำไว้ล่ะ ว่าเรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากเบื้องบนของชินระกับพวกเราที่อยู่ตรงนี้ แม้แต่องค์รัชทายาทเองก็ไม่รู้...เพราะงั้นห้ามพูดอะไรจนกว่าฉันจะติดต่อเรื่องสถานที่ไปอีกที เข้าใจนะ” ทั้งสี่พลันพยักหน้าตอบอย่างพร้อมเพรียง
“ถ้างั้นฉันขอตัวล่ะ”
ครั้นเหลือเพียงสมาชิกเจ็ดซามูไร ความเงียบจึงเข้าปกคลุมคนทั้งสี่จนน่าอึดอัด ทว่าไม่นานนักคนที่ดูจะตื่นเต้นที่สุดอย่างนาโอริก็ได้โพล่งทำลายความเงียบ
“ไม่คิดเลยว่าจะมีภารกิจมาให้เหมือนที่รุ่นพี่บอกจริงด้วย!”
“พี่เองก็ไม่คิดว่าจะมีเร็วขนาดนี้หรอก...” ใบหน้าอ่อนโยนวาดยิ้มลำบากใจและก้มอ่านเอกสารในมืออีกครา ดึงความสนใจจากซากิที่มีสีหน้ากังวลไม่คลาย
“องค์รัชทายาทกำลังมีอันตรายงั้นหรือคะ?”
“เป็นแค่การเฝ้าระวังน่ะ ไม่ใช่ว่ามันจะเกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ หรอกครับ”
“แล้วทำไมจะต้องให้เด็กอย่างพวกเราไปด้วยล่ะ?” ครานี้เป็นเสียงของฮินาวะซึ่งทิ้งตัวลงกับโซฟานุ่ม นัยน์ตาสีแดงพลันจ้องคนอายุมากกว่าราวกำลังรอคำตอบ
“พี่ก็เคยตั้งคำถามเดียวกับเธอ แต่พอนาน ๆ เข้าก็คิดได้แค่ว่าชินระกำลังพยายามปั้นพวกเราให้พร้อมทำงานกับพวกเขาก็ได้นะ”
“ทุกคนที่เป็นสมาชิกสภานักเรียน พอจบแล้วก็จะเข้าทำงานที่ชินระเหรอคะ?”
“ส่วนใหญ่นะ บางคนก็ไปสอบคัดเลือกเป็นทหารหรือไม่ก็กลับไปใช้ชีวิตปกติ”
“แล้วรุ่นพี่ล่ะคะ?” นาโอริเอ่ยพร้อมแย้มยิ้ม
“ตอนนี้ขาข้างหนึ่งของพี่ก็แทบจะอยู่ในชินระอยู่แล้ว คงไม่เลือกที่อื่นหรอก” โชโตะย่นคิ้วมองตอบ
“ว้าว เท่สุด ๆ ไปเลยค่ะ! หนูชักอยากจะเป็นเหมือนรุ่นพี่แล้วล่ะ”
“ฮ่า ๆ ถ้ามีรุ่นน้องที่ชื่นชอบในเส้นทางนี้อย่างจริงใจ พี่ก็ยินดีด้วยครับ” ดวงตาสีมรกตหรี่ลงอย่างอ่อนโยน พลางนึกอยากเห็นรุ่นน้องที่เขาดูแลได้เจอความชอบที่แท้จริงของตัวเอง เพราะสำหรับเขาชินระคงเป็นคำตอบเดียวนั่นแหละนะ
เมื่อไม่มีเรื่องให้ต้องทำต่อ ประธานนักเรียนหนุ่มจึงใช้โอกาสนี้กำชับเรื่องความพร้อม รวมไปถึงอุปกรณ์ที่อาจจะจำเป็นในการออกภารกิจ เพราะในครั้งนี้มันต่างจากทุกทีที่รุ่นน้องของเขาเคยทำมา อุปกรณ์เอาตัวรอดบางชิ้นก็จำเป็นจะต้องพกติดตัวไว้เผื่อยามคับขัน
“นี่ก็เป็นอุปกรณ์ที่อาจจะได้ใช้ ทุกคนอย่าลืมพกติดมาด้วยล่ะ” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมกับยื่นกระเป๋าคาดเอวคนละใบให้กับทั้งสามคน ภายในนั้นมีทั้งคุไน ระเบิดควัน เชือกรวมไปถึงปืนยิงตะขอถูกใส่เอาไว้
“สุดยอด เพิ่งเคยได้ใช้ของแบบนี้ครั้งแรกเลย!” นาโอริฉีกยิ้มกว้างพลางสอดส่องของในกระเป๋า ทว่ารุ่นพี่ของเธอกลับไม่คิดเช่นนั้น
“พี่รู้ว่าเธอตื่นเต้น แต่ภารกิจนี้ก็ไม่ใช่งานที่จะไปด้วยความรู้สึกสนุกหรอกนะ...ถ้าไม่คิดหน้าคิดหลังเสียก่อนก็อาจไม่รอดกลับมา เพราะไม่ใช่ว่าจะมีใครโผล่มาช่วยเราเสมอไป พี่อยากให้เธอจำเอาไว้”
“ค่ะ...หนูจะจำไว้ค่ะ” เด็กสาวหลุบตาต่ำพลันมุ่ยหน้า
“อะไรกัน พี่แค่เตือนเฉย ๆ เองไม่ได้จะว่าเสียหน่อย อย่าทำหน้าหงอยแบบนั้นสิ แล้วอีกอย่างนะ...” มือหนาเอื้อมมาวางบนศีรษะของนาโอริทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความแปลกใจ
“เรื่องที่เธอพูดกับอาโอบะซังน่ะ ถ้าเป็นพี่ก็คงจะคิดแบบเธอนั่นแหละ อาจจะทำมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เพราะนักดาบอย่างพวกเราจะปล่อยคนที่กำลังมีภัยอันตรายไว้ได้ยังไงกัน จริงไหม?” ดวงตาสีซากุระเบิกกว้าง ทันทีที่สบเข้ากับนัยน์ตาอบอุ่นนั้น ความรู้สึกหนักอึ้งก็มลายหายไปเช่นเดียวกับบรรยากาศที่เคยอึดอัด บัดนี้ได้กลับมาเป็นดังเดิมแล้ว
“แต่...พี่ขอย้ำว่าพวกเธอจะต้องฟังคำสั่งจากพี่เพียงผู้เดียว และห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามด้วย ถ้าฝ่าฝืนคงไม่ต้องบอกนะว่าจะโดนอะไร” โชโตะหักข้อนิ้วดังกร็อบเป็นการเตือน ทำเอาพวกนาโอริเสียวสันหลังวาบอย่างช่วยไม่ได้
“ร รับทราบค่ะ ว่าแต่สถานที่ที่เราต้องไปคือที่ไหนอย่างนั้นเหรอคะ ในเอกสารเองก็ไม่ได้บอกว่าจะลงที่สนามบินนี่นา?”
“ไม่ใช่สนามบินที่ใช้กันทั่วไปหรอก เรียกว่าเป็นลานจอดเครื่องบินส่วนตัวจะดีกว่า” รุ่นพี่หนุ่มเอ่ยพลันเห็นคิ้วเรียวของรุ่นน้องพากันขมวด จึงอธิบายให้ชัดขึ้นว่าทุกครั้งที่องค์รัชทายาทเดินทางไปต่างประเทศเป็นการส่วนตัว ก็มักจะขึ้นและลงเครื่องที่ลานจอดนี้เสมอ
“เรียกว่าเขามี...โลกส่วนตัวสูง ที่ไม่ชอบไปไหนมาไหนโดยมีทหารคุ้มกันเป็นโขยงน่ะ”
“แปลกคนชะมัด ไม่ใช่ว่าพวกมีอำนาจชอบให้ตัวเองปลอดภัยไว้ก่อนหรอกเหรอ?” ฮินาวะกอดอก ทำเอารุ่นพี่หนุ่มหัวเราะออกมา
“อาจจะไม่ใช่ทุกคนก็ได้นะ...เพราะพี่เคยเจอเขาอยู่ครั้งสองครั้ง เลยได้เห็นความใส่ใจที่มีต่อพวกทหาร ไม่แน่ว่าทุกคนก็อาจจะคิดเหมือนกันก็ได้”
นาโอริพลันหวนนึกถึงวันแข่งขันประลองดาบ ที่องค์ชายผู้นั้นได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เธอเชื่อในสิ่งที่โชโตะเอ่ยว่ามันอาจจะเป็นจริงดังนั้น และการได้พบกับเขาอีกครั้งก็ทำให้เด็กสาวทั้งตื่นเต้นพร้อมหวั่นใจในเวลาเดียวกัน แต่ก็อดจินตนาการถึงเหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ไม่ได้ว่าจะออกมาเป็นเช่นไร
ไม่นานนักเรื่องสำคัญที่ต้องได้รับการกำชับและอธิบายจากประธานนักเรียนหนุ่มก็หมดลง เขาจึงไล่เหล่ารุ่นน้องให้กลับไปพักผ่อนแต่โดยดี จะได้ไม่กระทบภารกิจซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากแยกย้ายกันไปแล้วพวกเขาจึงได้รับการติดต่อจากอาโอบะ เกี่ยวกับสถานที่นัดพบจุดแรกก่อนเดินทางไปยังสถานที่จริง ซึ่งก็คือหน้าซุ้มประตูโทริอิสีแดง ณ ทางเข้าด้านหน้าของอาณาเขตฮิบานะ
ดวงดาวระยิบระยับพร่างฟ้าคอยกล่อมเหล่าผู้มีภาระหน้าที่ให้คลายเหนื่อย และพร้อมก้าวเดินในรุ่งอรุณของวันใหม่เช่นเดียวกับเด็กสาวเรือนผมสีเปลือกไม้ ที่กำลังจะได้เปิดประสบการณ์ในฐานะของนักดาบฝึกหัด
และประสบการณ์ของการแขวนป้ายความเป็นความตายไว้ที่คอของตนเอง...
to be continue…
つづく、psrpowder