จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
7 Samuraiจากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
*** Trigger warning : เลือด ***
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
“จัดการแค่นี้ก็พอ เราไม่มีเวลามาก”
วี๊ด!
เสียงสัญญาณแสบแก้วหูดังกึกก้องทั่วผืนฟ้าและผืนดิน บ่งบอกว่ากำลังเสริมที่พวกโชโตะขอไปกำลังจะมาถึงในไม่ช้า ชายหนุ่มใต้ผ้าคลุมจึงรีบสั่งให้ถอยทัพโดยด่วน ก่อนที่พวกจุ้นจ้านจากชินระจะมาเจอเข้า ทว่าก่อนจะได้กลับขึ้นเรือบิน นัยน์ตาสีซากุระสังเกตเห็นดาบคาตานะสีน้ำเงินตกอยู่ใกล้กับนาโอริที่หมดสติ
“เอาดาบนั่นมาด้วย”
“หา เอาไปทำไมอ่ะ?” เด็กสาวใต้ชุดคลุมเอียงคอสงสัย
“เอามาเถอะน่า....” เขาเอ่ยเสียงแข็งพลันก้าวเดินเข้าเรือบินไป ร่างเล็กเลยคว้าดาบสีน้ำเงินเข้มทันควันพลางร้องซี้ดซ้าด เพราะมือถูกเผาไหม้ก่อนจะกระโจนเข้าประตูเหล็กไป
พรึบ
ทันทีที่ประตูเคลื่อนปิด เรือบินนั่นจึงกลมกลืนไปกับท้องฟ้าครามและล่องหนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงร่างหมดสติของเด็กสาวผู้โชคร้าย กับความล้มเหลวของเธอ.....
กำลังเสริมที่นำทีมโดยโชโตะ ซึ่งส่งตัวฮินาวะและซากิถึงโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อย ได้ออกตามหาคนทั้งสามในป่าใหญ่ ทางด้านอาโอบะในที่สุดก็พบหน้าผากว้างที่เกิดเหตุพร้อมกับร่างไร้สติของเด็กสาวนอนอยู่ ครั้นพยายามเรียกยังไงก็ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมา เลยตระหนักทันทีว่าอีกฝ่ายอาการไม่สู้ดีนัก โชคเข้าข้างที่พื้นที่กลับมามีสัญญาณอีกครั้ง หญิงสาวจึงสามารถติดต่อไปหากำลังเสริมที่วิ่งวุ่นกันอยู่ในป่าได้ ไม่นานเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง ก็มาปรากฏที่หน้าผาโล่งตามสัญญาณของอาโอบะ พลันช่วยนาโอริที่อาการสาหัสส่งโรงพยาบาลได้ทัน
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาหน้าเสียกันหมด คือการที่ไม่พบร่องรอยขององค์รัชทายาทแม้แต่ฝุ่น และคิดได้อย่างเดียวว่าพวกเขาอาจกำลังจะคอขาดในไม่ช้า...
.
.
.
ท้องฟ้ากว้างถูกระบายด้วยสีแดงเลือดบ่งบอกเวลายามเย็น หมู่เมฆมืดครึ้มราวตอบรับข่าวร้ายที่เกิดขึ้น บัดนี้ ณ ปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในอาณาเขตฮิบานะ ชายเจ้าของเรือนผมสีซากุระกำลังอยู่ในห้องกว้างกับใครอีกคน ผู้มีใบหน้าคมสันและแววตาสีนิลดุดันน่าเกรงขาม
“มีเรื่องอะไรก็พูดมา ซาโตชิ” ชายในชุดยูกาตะไม่รอให้อีกฝ่ายเกริ่น และดึงเข้าประเด็นหลักทันที ทำเอาชายที่ชื่อซาโตชิวาดสีหน้าหวั่นใจเล็กน้อย
“กระหม่อม...จะมารายงานข่าวร้ายพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเล่าเรื่องเหตุการณ์ชุลมุนที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ให้คนสูงศักดิ์ฟังทั้งหมด ดวงตาสีซากุระสั่นไหวอย่างรู้สึกผิด แม้แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายยังไม่กล้ามองเลยด้วยซ้ำ ทว่ากลับมีเสียงเรียบตอบกลับมา ราวกับว่าไม่ได้ร้อนรนกับข่าวที่ได้ฟังสักนิด
“แปลว่าตอนนี้ลูกของเราถูกคนร้ายจับตัวไว้สินะ”
“เป็นความสะเพร่าของกระหม่อมเอง ไม่มีข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ” ซาโตชิก้มศีรษะจรดพื้นไม้ มือหนากำแน่นด้วยความคับแค้นใจ หากเด็กหนุ่มผู้นั้นเป็นอะไรไป เขาก็ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้
“เงยหน้าขึ้น ซาโตชิ”
“แต่ว่า..”
“กล้าขัดคำสั่งเราเหรอ?”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมไม่เข้าใจว่าทำไมฝ่าบาทถึงไม่ทรงร้อนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย?”
“ทำไมเราต้องร้อนใจล่ะ ตราบใดที่ยังมีสายเลือดของราชวงศ์ ยังไงมันก็อาจจะเกิดขึ้นในสักวันอยู่แล้ว” ซาโตชิได้แต่เลิกคิ้วสูง ไม่เข้าใจสักนิดว่าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ ทำไมถึงไม่เดือดร้อนกับอันตรายของลูกบ้างเลย
“ไม่ทรงเป็นห่วงท่านโซอิจิโร่บ้างเลยเหรอพ่ะย่ะค่ะ!?”
“เด็กคนนั้นทำตัวเองต่างหาก ทั้งที่เราอุตส่าห์สั่งให้ทหารตามอารักขาตั้งมากมาย แต่มักจะขัดคำสั่งเราตลอด” ซาโตชิเม้มริมฝีปากแน่นพลันหลุบตาต่ำ ก่อนจะถูกดึงความสนใจด้วยเสียงคนตรงหน้า
“นายไม่ต้องกังวลไปหรอก เราเชื่อว่าพวกมันจะไม่ทำอะไรโซอิจิโร่แน่ ๆ ...หรือต่อให้ทำ ฮิบานะอย่างพวกเราก็ไม่มีทางตายด้วยการทรมานอยู่แล้ว”
“ท่านกล้าวางใจได้ยังไง พวกมันอาจมีจุดประสงค์อื่นก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!” เจ้าของเรือนผมสีซากุระเผลอโพล่งเสียงดังใส่คนสูงศักดิ์ ทว่าอีกฝ่ายกลับยังใจเย็นไม่เปลี่ยน
“ไม่ว่าพวกมันจะมีจุดประสงค์อะไร...มันก็จะไม่ได้อะไรจากเขาทั้งนั้น”
“แม้แต่การใช้ต่อรองน่ะเหรอพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำพูดนั้น นัยน์ตาสีนิลพลันสบกับอีกฝ่ายราวจะยืนยันคำตอบ
“ใช่ แม้แต่การต่อรอง”
“กระหม่อมขอถามคำถามสุดท้ายพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่ามา” ซาโตชิสูดหายใจเข้าลึกและอ้าปากเอ่ยไป
“ถ้าเกิดความลับ...เรื่องที่ท่านโซอิจิโร่ไม่ใช่องค์รัชทายาทตัวจริงรั่วไหลออกไปล่ะพ่ะย่ะค่ะ” บรรยากาศโดยรอบพลันหนักอึ้งและอึดอัดจวนขาดใจ ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มเย็นวาบสะกดให้จำยอม
“ปากไหนมันชอบแพร่งพราย ก็ตอบรับมันด้วยคมดาบให้หมด...อย่าให้พวกมันมาเสนอหน้าให้เราเห็นอีก”
“พ่ะย่ะค่ะ...”
และแล้วคำสั่งของผู้เป็นจักรพรรดิก็ลั่นหนักแน่น ให้โอกาสเหล่าเจ้าหน้าที่ชินระแก้ไขความผิดพลาดของตน และไปนำตัวโซอิจิโร่กลับมาให้ได้....
ซาโตชิก้มโค้งให้ชายตรงหน้าพร้อมสลักคำสั่งนั้นไว้ในใจ เขาสาบานกับตัวเองว่าจะต้องพาเด็กหนุ่มกลับมาอย่างปลอดภัย
ครั้นได้รับภารกิจใหญ่กลับมา ชายหนุ่มพลันตรงดิ่งกลับไปยังบริษัทชินระ และเริ่มสั่งการให้สืบร่องรอยจากพื้นที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด เพราะจะวันหรือสองวันต่างก็มีผลต่อชีวิตของโซอิจิโร่ทั้งสิ้น
เวลาต่อมาราว ๆ สองชั่วโมง ณ ตึกสูงตระหง่าน ชายหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการ กำลังกุมขมับครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ในห้องทำงานของเขา ซาโตชิจ้องมองเอกสารกองโตตรงหน้าอย่างจดจ่อ โดยไม่ทันรู้ตัวว่ามีใครอีกสองคนอยู่กับเขาด้วย
“....ชิ”
“ซาโตชิซัง!” เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงตามเสียงทุ้มที่เรียก เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงพบกับคู่ชายหญิงสองคนในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มประจำบริษัทชินระ เรือนผมสีขาวดั่งหิมะและดวงตาสีหมอกที่ทั้งสองเป็นเจ้าของแสดงถึงความสัมพันธ์ได้อย่างดี
“ขอโทษที พวกเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”
“เพิ่งมาได้ไม่นานเองครับ” ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนโยน อีกฝ่ายที่ได้ยินเช่นนั้นจึงถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง
“เรื่องที่ฉันขอร้องน่ะ...ทำได้หรือเปล่า?”
“ไม่ต้องห่วงครับ พวกเราจะสืบหาร่องรอยทั้งหมดที่มี จนกว่าจะพบที่ซ่อนของพวกมันครับ”
“สมกับที่เป็นหน่วยเงา...ทำงานเร็วดีมาก”
หากพูดถึง หน่วยเงา นั่นคือชื่อของหน่วยสอดแนมพิเศษของชินระ เป็นหน่วยงานที่จะคอยปฏิบัติหน้าที่อยู่เบื้องหลังในเรื่องของการสืบค้น การสอดแนม และจู่โจมจากที่ที่มองไม่เห็น หรือเรียกว่าเป็นแหล่งรวมของนินจาก็ไม่ผิดนัก หากเปรียบบริษัทชินระเป็นกองทัพ เหล่านักดาบคงเทียบได้กับแนวหน้า ส่วนพวกเขาก็คือแนวหลังและหน่วยลอบสังหารชั้นยอด
“ฉันอยากได้ข้อมูลโดยด่วนที่สุด...อย่างน้อยก็ภายในวันพรุ่งนี้ เพราะเราจะปล่อยให้องค์รัชทายาทอยู่กับพวกมันนานไปกว่านี้ไม่ได้”
“สารและควันที่ออกมาจากเครื่องปล่อยคลื่นความถี่ที่ทำให้วัตถุล่องหนได้...มันจะไม่หายไปในสองถึงสามวัน คงตามหาได้ไม่ยากค่ะ” ครานี้เป็นเสียงหวานของหญิงสาวผมยาว ได้ยินเช่นนั้นเขาก็สบายใจไปเปลาะหนึ่ง ทว่าซาโตชิก็ไม่วายเผลอถอนใจออกมา ทำเอาลูกน้องทั้งสองเลิกคิ้วสูง
“มีเรื่องอื่นที่คิดไม่ตกหรือเปล่าครับ?” ชายเรือนผมสีขาวหิมะเอ่ยถาม ทำเอาอีกฝ่ายผงะเล็กน้อย เขายอมรับว่าเป็นกังวลในเรื่องเอามาก ๆ จนแทบไม่มีสมาธิจะทำงานอื่นด้วยซ้ำ หากเขาสามารถตามสืบด้วยตนเองได้ก็คงทำมันไปแล้ว
“ฉันสงสัยบางอย่างน่ะ”
“อะไรเหรอคะ?”
“เรื่องการเสด็จครั้งนี้ เป็นไปได้ไหมว่ามีทหารของฮิบานะเป็นหนอนบ่อนไส้?”
“ถ้าใช่จริง ๆ มันก็อาจจะหนีไปพร้อมกับกลุ่มคนร้ายแล้ว”
“เป็นไปได้ เพราะจากรายงานของเรย์กะ ทั้งทหารที่ติดตามองค์รัชทายาท กับเจ้าหน้าที่ชินระคนอื่นก็ไม่มีใครรอดสักคน ให้ตายสิ ฝ่าบาทนะฝ่าบาท เลือกคนมาให้ลูกชายยังไงของเขาเนี่ย....” ซาโตชิตกสู่ห้วงลึกของความคิด หนุ่มสาวที่ยืนมองท่าทางนั้นพลันตัดสินใจว่าไม่ควรรบกวนเวลางานของเขาต่อ
“พวกเราขอตัวก่อนนะครับ ได้ข้อมูลเมื่อไหร่จะแจ้งให้คุณทราบโดยเร็วที่สุดครับ” ชายหนุ่มก้มโค้งให้
ทันทีที่อีกฝ่ายพยักหน้า ร่างทั้งสองก็หายวับไปอย่างกับเล่นมายากล บัดนี้จึงเหลือเพียงซาโตชิที่เอนตัวพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยหน่าย พลันถอดแว่นตาทรงเหลี่ยมและนวดหัวตาเบา ๆ
“ขอให้ปลอดภัยนะพ่ะย่ะค่ะ ท่านโซอิจิโร่”
.
.
.
แสงอรุณใกล้จะบอกลา ณ ท้องฟ้าเหนือทะเลหมอก ยานพาหนะลำใหญ่กำลังเคลื่อนที่เชื่องช้า ราวกับสิ่งมีชีวิตที่ว่ายเอื่อยอยู่ในมหาสมุทรคราม ภายในห้องโดยสารกว้าง ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมและสีตาดุจดอกซากุระกำลังจับจ้องร่างของหญิงสาว ที่ปรากฏรอยฟกช้ำตามเนื้อตัวและใบหน้า ดวงตาคมกริบเฝ้ามองเธอไม่ละสายตา จนในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปากพูดออกมา
“อาการดีขึ้นไหม เซระ?” น้ำเสียงทุ้มแสดงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด พาให้เจ้าของชื่อ เซระ วาดยิ้มตอบกลับ
“ฉันไม่เป็นไร โชคดีที่ได้ยานั่น ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
“นายเองก็ต้องพักบ้าง ซาโซริ มัวแต่นั่งเฝ้าอยู่แบบนี้มาหนึ่งวันเต็ม ๆ แล้วนะ”
“อือ...” เขาตอบรับสั้น ๆ ทว่ากลับไม่ยอมขยับไปไหน ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“ตอบรับแล้วก็รีบไปสิ เจ้าน้องบ้า” เจ้าของเรือนผมสีซากุระคนน้องไม่แสดงสีหน้าอะไร แต่ก็ยอมเดินไปจากห้องของหญิงสาวอย่างเชื่อฟัง
ร่างสูงย่างก้าวไปตามทางเดินสลัวของเรือบินซึ่งมีประตูเรียงราย กระทั่งมาถึงหน้าห้องของตน มือหนาเอื้อมจับลูกบิดและกำลังจะออกแรงเปิดมัน ก่อนที่เขาจะปล่อยมือพลันเปลี่ยนเส้นทางไปห้องที่อยู่ห่างจากแสงไฟ ชายหนุ่มเปิดทางให้ตัวเองเข้าไปยังห้องแคบ ด้านในดูจะเป็นคลังแสงที่เก็บอาวุธอันตรายหลากชนิดไว้ แม้แต่กระบอกปืนก็ยังมี...
ครั้นประตูถูกปิดลง เหลือเพียงแสงไฟจากหลอดไฟเก่าที่ใกล้ขาดให้ความสว่าง นัยน์ตาสีซากุระหม่นจ้องเขม็งไปยังหนึ่งในอาวุธที่วางไว้ตรงกลางห้อง มันคือดาบคาตานะไร้ฝักสีน้ำเงินที่ชิงมาจากเจ้าของของมันก่อนหน้านี้ และราวกับถูกดึงดูด ซาโซริจึงเลือกจะยื่นมือไปสัมผัส
ฉึบ!
กระแสพลันพัดโหมรอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ เชือดเฉือนอุ้งมือของอีกฝ่าย เลือดสีแดงสดไหลเยิ้มจากบาดแผลเหวอะไม่หยุด หากแต่ชายหนุ่มกลับไม่มีทีท่าเจ็บปวดแม้แต่น้อย เขาทำเพียงจ้องมองมือซึ่งอาบด้วยเลือด ก่อนจะเบนสายตาอาฆาตไปยังตัวการเมื่อได้ยินเสียงเรียบเอ่ย
“แกไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องฉัน”
“หึ ซ่อนพลังแบบนี้ไว้ด้วยสินะ...ถือว่าไม่เลว แต่แอบผิดหวังนิดหน่อยที่ทำได้แค่นี้”
“ฉันทำมากกว่านี้แน่ ถ้าแกยังกล้ายุ่งกับฉันอีก”
“ก็เอาสิ”
ฟูม!
ประโยคเชื้อเชิญนั้นได้ผล ไม่ทันไรจึงเกิดกระแสลมโหมปะทะในห้องแคบ สายลมคมกริบเฉือนผิวหยาบของซาโซริสร้างรอยแผลทั่วร่างกาย จนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยเลือดคาว ทว่าเจ้าตัวกลับยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน หนำซ้ำยังแสยะยิ้มบิดเบี้ยวพลางสัมผัสใบหน้าเปื้อนไปด้วยเลือด ราวต้องการแน่ใจว่าตนไม่ได้ฝันไป
“นี่สิ จิตสังหารแบบนี้แหละ....ฮ่า! ในที่สุดก็เจอตัวเสียที มุรามาสะ”
“โดนไปขนาดนั้นแล้วยังยิ้มออกอีกเหรอ เสียสติไปแล้วหรือไง?”
“จะพูดกวนประสาทอะไรก็เชิญเถอะ ยังไงพลังของแกก็จะเป็นประโยชน์กับพวกฉันในไม่ช้า...” เขาถลึงตาใส่อาวุธศักดิ์สิทธิ์
“คิดจะทำอะไร”
“แกเป็นดาบ...ดาบก็ต้องมีไว้ฆ่าคนสิ!”
“คมดาบของฉันมีไว้ปลิดชีวิตสวะอย่างพวกแกเท่านั้นแหละ!” คำพูดด่าทอนั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มฉีกยิ้มสะใจ ชักนึกขันในคำพูดจอมปลอมนั่นเสียจริง
“ไม่ต้องพูดสวยหรูไปหรอก เพราะเดิมทีแกก็เกิดมาเพื่อเข่นฆ่าทุกชีวิตอยู่แล้ว...ตัวตนของแกน่ะ ขอแค่ได้ลิ้มรสเลือดสักหน่อย เดี๋ยวมันก็แผลงฤทธิ์ออกมาเอง!”
“หมายความว่ายังไง!?” ซาโซริยังคงวาดยิ้มบิดเบี้ยวพลันจ้องมองดาบเล่มสวย
“เคยทำอะไรไว้ ก็ลองระลึกเอาเองก็แล้วกัน เจ้าฆาตกร” ว่าจบร่างสูงจึงผลักประตูออกไป และปล่อยให้ดาบศักดิ์สิทธิ์อยู่เพียงลำพัง
“นาโอริ...ป่านนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง” จูลิโอ้พลันนึกเป็นห่วงเด็กสาวขึ้นมา ยิ่งในสถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเป็นอะไรเช่นนี้ เขาก็ยิ่งเป็นกังวล....
ซาโซริพาร่างอาบเลือดของตนมายังห้องได้ในที่สุด ครั้นประตูปิดสนิทเขาพลันโซเซไปชนกับกำแพงทันใด แม้จะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผล แต่รอยตัดของสายลมนั่นก็เฉือนเอาเส้นเอ็นหลายเส้นจนขาดสะบั้น จึงไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้อย่างใจนึก
“เฮ้อ....น่าหงุดหงิดชะมัด ไอ้ร่างกายเฮงซวย” ชายหนุ่มสบถพลางบีบท่อนแขนของตนเองเบา ๆ
ผ่านไปพักหนึ่งรอยแผลมากมายบนร่างกายกลับสมานตัวเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นผิวขาวเนียนดังเดิมราวกับไม่เคยมีการต่อสู้เกิดขึ้น เจ้าตัวกวาดตาตรวจสอบร่างกายของตนที่กลับมาเดินปร๋ออีกครั้ง ช่างมหัศจรรย์เสียจริง
ร่างสูงปลดผ้าคลุมสีเข้มออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเข้ากันกับเรือนผมและดวงตาสีซากุระสวย อย่างกับหลุดออกมาจากรูปภาพไม่มีผิด มือหนาขยี้เส้นผมนุ่มจนยุ่งเหยิงพร้อมทิ้งตัวลงกับเตียง เขาจับจ้องแสงไฟจ้าบนเพดานกว้าง ปล่อยให้ความคิดโลดแล่นไปบนพื้นที่โล่ง ก่อนจะรู้สึกถึงแรงถ่วงของเปลือกตา เพราะวันนี้มันเหนื่อยมากสำหรับเขา
“อีกไม่นาน...พวกมันจะต้อง...ชดใช้” ภาพตรงหน้ามืดลงเชื่องช้า และกล่อมชายหนุ่มให้ตกสู่นิทราในที่สุด...
เวลาเดียวกัน ณ ตึกสูงตระหง่านของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ห้องกระจกใสที่สามารถมองเห็นทั้งจากข้างนอกและข้างใน มีร่างของเด็กสาวคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ บนศีรษะถูกพันด้วยผ้าพันแผล แขนข้างซ้ายมีสายระโยงระยางของถุงน้ำเกลือและถุงเลือดเชื่อมอยู่ เช่นเดียวกับเสียงของเครื่องวัดชีพจรที่ดังก้องทั่วห้องแคบ
ตี๊ด... ตี๊ด...
ใครบางคนกำลังจับจ้องร่างของผู้ป่วยคนนี้อยู่ตรงข้ามแผ่นกระจกใส ดวงตาสีชมพูซากุระทอดมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เพราะเขากำลังรอคนที่นัดไว้ให้มาถึง
ไม่นานนักเสียงเท้าของผู้มาใหม่ก็ย่างเข้ามาใกล้ชายหนุ่มมากขึ้น ก่อนจะมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เขา เป็นเวลาหลายนาทีที่ความเงียบเข้าปกคลุม กว่าจะมีใครเปิดปากพูดออกมา
“ไม่คิดเลยนะ ว่านายจะมาด้วยตัวเอง” เสียงนุ่มของอาโอบะช่วยทำลายความเงียบ
“พอเห็นจากรายงานว่ามีคนบาดเจ็บหนัก เลยอยากมาดูอาการด้วยตัวเองน่ะ...ถึงจะหนักกว่าที่คิด แต่โชคดีที่ไม่ถึงชีวิต ถ้าได้ยาพิเศษของฮิบานะ สักวันสองวันก็น่าจะหายดีแล้วล่ะ”
“แสดงว่าจักรพรรดิทรงอนุญาตให้ใช้สินะ อย่างนั้นก็ดีไป”
“อื้อ แล้วเธอได้บอกทางครอบครัวพวกเด็ก ๆ หรือยัง?”
“ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ แจ้งไปแล้วล่ะ แต่ของเด็กคนนี้ดูเหมือนที่บ้านจะไม่มีใครอยู่ เพราะติดต่อไปสองครั้งแล้วก็ยังไม่ได้เลย” อาโอบะถอนใจเหนื่อยหน่าย พลางยกมือมาเท้าเอวอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะเอ่ยต่อไป
“เดี๋ยวหลังจากนี้ฉันก็ว่าจะไปหาด้วยตัวเอง จะปล่อยให้ผู้ปกครองรู้ช้าขนาดนี้ไม่ได้”
“ฝากด้วยแล้วกันนะ” ซาโตชิเอ่ยพลันตั้งท่าเดินจากไป ทว่ากลับถูกเสียงของเพื่อนร่วมงานรั้งเอาไว้อีกครา
“นี่! แล้วเรื่องขององค์รัชทายาทล่ะ ว่ายังไง?”
“สบายใจเถอะ อีกไม่นานก็ได้เริ่มแผนแล้ว ฉันไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่าแน่นอน” ว่าจบ ร่างสูงก็ค่อย ๆ หายลับไปจากสายตาของอาโอบะ เธอทำอะไรไม่ได้ นอกจากถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายกับท่าทีหัวหน้าของเธอ และตัดสินใจจะเฝ้าอาการของนาโอริต่ออีกสักพัก เผื่อว่าปาฏิหาริย์จะมีกับเขาบ้างที่สาวเจ้าจะฟื้นขึ้นมา...
แต่ขนาดเด็กตัวเล็กยังรู้ด้วยซ้ำ ว่าเป็นไปไม่ได้....ยังไม่ใช่ตอนนี้
ครั้นเฝ้าอาการจนพอใจ อาโอบะตัดสินใจจะไปหาผู้ปกครองของเด็กสาวด้วยตนเองตามที่ได้กล่าวไว้ นิ้วเรียวกดปุ่มสตาร์ทรถหรูพร้อมเหยียบคันเร่งออกตัวไปตามถนนกว้าง โชคค่อนข้างดีที่รถราไม่ค่อยจะมีให้เห็น เนื่องจากเป็นช่วงเวลาเย็นแล้ว เธอจึงไปถึงบ้านเป้าหมายได้ภายในไม่ถึงชั่วโมง
รถหรูหยุดสนิทตรงหน้าประตูรั้วที่ห้อมล้อมบ้านหลังเล็ก ๆ น่ารักกำลังดี อาโอบะที่ก้าวออกมาจากรถและเห็นสภาพบ้าน ทำให้รู้สึกว่ามันเงียบเกินกว่าจะมีใครอยู่
ดิ๊งด่อง
“ไม่มีใครอยู่จริง ๆ เหรอเนี่ย? ให้ตายสิ” หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้ง เพราะดูท่าจะมาเสียเที่ยว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อยากจะเลื่อนไปอีกแล้ว พ่อแม่ของเด็กสาวควรจะได้รับรู้เสียที ไม่เช่นนั้นพวกเขานั่นแหละที่จะเจ็บปวดมากที่สุด
ครั้นเธอตั้งท่าจะกลับไปรอในรถ....
“เอ่อ คุณมาหาฉันหรือเปล่าคะ?” เสียงหวานของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของอาโอบะ เธอพลันหันกลับไปมอง จึงเห็นเจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้เช่นเดียวกับนาโอริยืนอยู่ และสังเกตเห็นถุงผ้ารุงรังในมือ เธอตกผลึกว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะกลับมาจากซื้อของ
“ฉัน อาโอบะ เรย์กะ เป็นเจ้าหน้าที่จากชินระค่ะ” ยูริพลันเบิกตากับชื่อที่คุ้นหู ก่อนจะซ่อนมันจากอีกฝ่าย
“ชิสึจิ ยูริ ค่ะ”
“ชิสึจิซัง...ทำใจดี ๆ ไว้นะคะ”
“คะ?” ดวงตาสีเปลือกไม้หรี่ลงอย่างสงสัย
“คือว่าลูกสาวของคุณ...”
อาโอบะเล่าอาการของเด็กสาวให้ผู้เป็นแม่ฟังทั้งหมด วินาทีนั้นราวกับขวานคมที่สับกลางหัวใจของคนเป็นแม่ จนเกิดรอยร้าวขึ้นมา ตั้งแต่คำแรกที่เกี่ยวกับนางฟ้าของเธอ
พรึบ
ร่างบางของหญิงสาวทรุดลงกับพื้นแข็ง หยาดน้ำอุ่นเอ่อนองเบ้าตาและหลั่งไหลยิ่งกว่าสายธาร อาโอบะเป็นต้องพุ่งไปช่วยประคองร่างที่สั่นเทิ้มของเธอและได้ยินเสียงสะอื้นจากยูริ มันคมกริบราวใบมีดที่ทิ่มแทงจิตใจของเจ้าหน้าที่สาว เพราะเหตุนี้เธอถึงเลือกที่จะไม่มาบอกด้วยตัวเอง แต่ติดต่อไปแทน...
เพราะเธอกลัว...กลัวว่าจิตใจของตนเองจะรับไม่ไหว
และดูเหมือนมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
to be continue…
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder