ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู

7 Samurai - ตอนที่28 ดุจกำลังใจ โดย psrpowder @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

7 Samurai

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

ซอฟท์ไซไฟ,พล็อตสร้างกระแส,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี

รายละเอียด

7 Samurai โดย psrpowder  @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ดวงจิตที่ผนึกในดาบคือวิญญาณของนักดาบผู้เสียสละอย่างกล้าหาญ แต่ดาบของเธอกลับต่างออกไป มันซ่อนความพิเศษบางอย่างที่นำพาโชคชะตาหวนคืนสู่เธออีกครั้ง...ขอบคุณที่ให้ฉันได้เคียงข้างเธอนะ คู่หู

ผู้แต่ง

psrpowder

เรื่องย่อ


นิยายเรื่องนี้จะอัพ ทุกวัน ศุกร์และเสาร์ เวลา 19.00 น. - 19.30 น. 


และอาทิตย์ เวลา 18.30 น.


จะพยายามลงให้ต่อเนื่องที่สุดเพื่อนักอ่านทุกท่านนะคะ :>


**เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่ Tiktok และ Bluesky จะอัพเดตเรื่อย ๆ ค่ะ**


ปุกาศ ๆ บัดนี้เรามี E-book แล้วนะจ๊ะ! 


ตอนนี้เล่ม 3 กำลังจัดโปรลด50% อยู่น้าา ตั้งแต่ 21 ม.ค. - 4 ก.พ. 68!!!!

ใครสนใจไปส่องกันได้เลยน้าา <3

*** ที่ : mebmarket ครับโผม! *** 



เนื่องจากเป็นนิยายเรื่องแรกที่เขียนจริงจังของนักเขียนฝึกหัด (เพื่อต่อยอดความฝันอยากทำอาชีพนักเขียนค่ะ) ขอฝากนักอ่านใจดีทุกท่านติชม แนะนำให้ไรท์ฝึกหัดคนนี้ได้นำไปปรับใช้ในเรื่องต่อไปด้วยนะคะ จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็น้อมรับและปรับแก้ค่ะ

หรือถ้าไม่ชอบคอมเมนท์ก็กดใจให้กันได้นะคะ กำลังใจชั้นยอดของเราเลย


กราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะ^^


================ เกริ่นแนวเรื่องกันซะหน่อย =================


เรื่อง 7Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ ฮ่า)


เป็นแนวแฟนตาซี ฟิลชีวิตประจำวันในประเทศญี่ปุ่นยุคอนาคตปี3000 แต่เพราะกฎการแบนอาวุธปืนเลยทำให้มีสไตล์การต่อสู้แบบโบราณผสมด้วย ฟิลใช้ดาบฟันกันชิ้งๆ ยิงธนูปิ้ว ๆ หรือแม้แต่วิชานินจาก็ยกมาหมดแผง(เท่าที่ไรท์คิดออกอ่ะนะ55)

ผสมความรักแบบวัยใสน่ารักของพระนางแบบมองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ! ปมดรามาความสัมพันธ์พวกเขามีประปรายให้ได้หมั่นไส้กัน ได้ลิ้มรสความหวานกันเต็มกระบุงแน่นอนค่ะ :)

แล้วก็แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจมาด้วยนะ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยดหลายรอบเลยค่ะ ;-;)


***คำเตือนเล็กน้อย…เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวและนักเขียนมีแพลนเขียนแบ่งเป็น2ซีซั่น 

ปัจจุบันซีซั่น1ใกล้จะจบแล้วค่ะ สามารถอ่านกันได้จุใจแน่นวลล***


.


.

ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ

เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา 


(สั้น ๆ คือ ฝากกดติดตามกันด้วยนะทุกคลล ฮืออ T T )



====== เรื่องย่อกันบ้างดีกว่า ======


***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***


แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง 


โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


==============================================


ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้ ทั้งสองต้องเริ่มชีวิตใหม่ในรั้วโรงเรียนไปด้วยกัน กระทั่งได้เจอเพื่อนร่วมห้องอย่าง โมโมเสะ ฮินาวะ เด็กหนุ่มรูปหล่อผู้มากความสามารถและเก่งกาจจนนาโอริอยากให้เขาช่วยสอนวิชาดาบให้ แต่เขากลับยื่นคำท้าต่อเธอให้เอาชนะเขาให้ได้ในงานประลองดาบ เด็กสาวจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อชนะเขา  


เพราะการแข่งนั้นพวกนาโอริจึงถูกทาบทามให้เข้าร่วมสภานักเรียนหรือสภาเจ็ดซามูไรและได้ออกไปทำภารกิจเสี่ยงตายจนพบกับองค์ชายรัชทายาทอายุไล่เลี่ยกันที่ถูกกลุ่มทหารรับจ้างนิรนามหมายจะชิงตัวไป นาโอริเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาให้ได้ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเอง โดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าวินาทีแรกที่สบตาเขาหัวใจก็ไม่อาจลบภาพรอยยิ้มสุดท้ายให้จางหายได้


ทางเลือกใหม่ที่เธอเลือกจึงลงเอยที่ตำแหน่ง 'องครักษ์' ของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้เพื่อให้ได้ปกป้องเขาได้ทุกวินาทีที่หายใจ….


===== สปอยหน้าตาพระนางสักเล็กน้อย =====


ชิสึจิ นาโอริ (น้อนนาโอะ) อายุ 16 ปี

เด็กสาวม.ปลายผู้ฝันอยากเป็นนักดาบเพราะเชื่อว่าความชอบนี้มาจากพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เลยคิดว่าถ้าได้เดินทางเดียวกันก็จะได้เจอครอบครัวฝั่งพ่อของตัวเองก็เป็นได้ แต่ใครจะรู้…ว่าปัจจุบันเธอจะได้ความฝันใหม่อันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมหน้าที่อันใหญ่ยิ่ง!!!


“ขอสาบานว่าจะอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับนาย…จนกว่าจะตายจากกันไปข้าง!”


ฮิบานะ โซอิจิโร่ (น้อนโซว์) อายุ 15 ปี

เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีความลับมากมายซ่อนไว้หลังหน้ากากอันเยาว์วัยกับ…สีผม?? เพราะเรื่องราวในอดีตที่ทำร้ายเขามานับไม่ถ้วนจึงหล่อหลอมตัวตนของเขาให้เป็นคนจริงจัง สุขุมและเก่งในด้านการต่อสู้(ปกป้องชีวิตตัวเอง) แต่ยามได้อยู่ต่อหน้านาโอริ ทุกบุคลิกก็ดูจะละลายหายไปจนเหลือแค่เด็กขี้อ้อนคนหนึ่ง…กับจุดประสงค์บางอย่างในหัวใจ


“แกจะเป็นด้ายแดงแห่งโชคชะตาให้พวกเราอีกได้ไหม…เหมือนที่เธอพูดครั้งนั้น”


.

.

.


“ใครอยากเริ่มต้นความเบียวไปกับไรท์ กดอ่านตอนแรกกันเล้ย!!!”




よろしく、psrpowder


สารบัญ

7 Samurai-ตอนที่1 การเริ่มต้นใหม่,7 Samurai-ตอนที่2 คู่หู,7 Samurai-ตอนที่3 เก่งกาจ,7 Samurai-ตอนที่4 ลังเล,7 Samurai-ตอนที่5 ทดสอบ,7 Samurai-ตอนที่6 สายสัมพันธ์ใหม่(1),7 Samurai-ตอนที่7 สายสัมพันธ์ใหม่(2),7 Samurai-ตอนที่8 สายสัมพันธ์ใหม่(3),7 Samurai-ตอนที่9 สายสัมพันธ์ใหม่(4),7 Samurai-ตอนที่10 ฝึกมือ,7 Samurai-ตอนที่11 เปิดเผย,7 Samurai-ตอนที่12 ถึงเทศกาลแล้ว!,7 Samurai-ตอนที่13 แข่งคู่ที่สอง,7 Samurai-ตอนที่14 ชิงชนะเลิศ,7 Samurai-ตอนที่15 เซอร์ไพรซ์ต้อนรับ!,7 Samurai-ตอนที่16 นัดที่ไม่ได้นัด(1),7 Samurai-ตอนที่17 นัดที่ไม่ได้นัด(2),7 Samurai-ตอนที่18 นัดที่ไม่ได้นัด(3),7 Samurai-ตอนที่19 ติวหนังสือให้ทีสิ,7 Samurai-ตอนที่20 คอร์สสอนเฉพาะกิจ,7 Samurai-ตอนที่21 ชั่วโมงประวัติศาสตร์,7 Samurai-ตอนที่22 วันสอบที่ผ่านไปด้วยดี,7 Samurai-ตอนที่23 ภารกิจพิเศษ(1),7 Samurai-ตอนที่24 ภารกิจพิเศษ(2),7 Samurai-ตอนที่25 ภารกิจพิเศษ(3),7 Samurai-ตอนที่26 ภารกิจพิเศษ(4),7 Samurai-ตอนที่27 ความล้มเหลวและหนทางแก้ไข,7 Samurai-ตอนที่28 ดุจกำลังใจ,7 Samurai-ตอนที่29 ข่าวร้ายกับแผนการตีกรอบ,7 Samurai-ตอนที่30 เริ่มแผน!,7 Samurai-ตอนที่31 ฝ่าฝืน,7 Samurai-ตอนที่32 ช่วยเหลือ,7 Samurai-ตอนที่33 จิตสังหาร,7 Samurai-ตอนที่34 แลกด้วยชีวิต,7 Samurai-ตอนที่35 คำโกหกเพื่อปลอบโยน,7 Samurai-ตอนที่36 เยี่ยมไข้,7 Samurai-ตอนที่37 เรื่องราวที่อยากเล่า,7 Samurai-ตอนที่38 ความตั้งใจอันแน่วแน่,7 Samurai-ตอนที่39 ตามรอย,7 Samurai-ตอนที่40 เหตุร้ายที่เกิดไปพร้อมกัน,7 Samurai-ตอนที่41 แผลใจฝังลึก,7 Samurai-ตอนที่42 เรื่องด่วนและเรื่องร้าย,7 Samurai-ตอนที่43 ความคิดที่ไม่ได้บอก,7 Samurai-ตอนที่44 เชื่อใจ,7 Samurai-ตอนที่45 ข้ออ้างเพื่อตัวเอง,7 Samurai-ตอนที่46 แน่วแน่,7 Samurai-ตอนที่47 ไม่อยากพลาดโอกาส,7 Samurai-ตอนที่48 จิตสำนึกต่อต้าน,7 Samurai-ตอนที่49 ไม่เข้ากัน,7 Samurai-ตอนที่50 ต้นตอของอาการ,7 Samurai-ตอนที่51 นึกสงสัย,7 Samurai-ตอนที่52 คัดเลือก,7 Samurai-ตอนที่53 กลับบ้าน,7 Samurai-ตอนที่54 โลกเสมือน,7 Samurai-ตอนที่55 ผู้ร่วมทาง,7 Samurai-ตอนที่56 ตามรังควาน,7 Samurai-ตอนที่57 ผู้ร่วมทางอีกคน,7 Samurai-ตอนที่58 เหนือธารร้อนระอุ,7 Samurai-ตอนที่59 ปล่อยไว้ไม่ได้,7 Samurai-ตอนที่60 อย่าได้เหลียวแล,7 Samurai-ตอนที่61 ปรับความเข้าใจ,7 Samurai-ตอนที่62 บอกความจริง,7 Samurai-ตอนที่63 ความรู้สึกของแม่,7 Samurai-ตอนที่64 อารมณ์อ่อนไหว,7 Samurai-ตอนที่65 ก้าวแรกสู่ทางใหม่

เนื้อหา

ตอนที่28 ดุจกำลังใจ

ท่ามกลางแสงแดดนวลและสายลมพัดโชยคลอเคลีย บัดนี้อาโอบะกำลังพยายามปลอบโยนหญิงสาวผู้เป็นแม่ของนาโอริ ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาจึงเงยขึ้นมาจ้องเจ้าหน้าที่สาว นัยน์ตาสีเปลือกไม้สั่นระริกเช่นเดียวกับเสียงสะอื้นที่ยังไม่ยอมหยุด

“อาโอบะซัง” คิ้วเรียวของคนถูกเรียกเลิกขึ้นเล็กน้อย เฝ้ารอคำที่อีกฝ่ายจะพูดออกมา   

“ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังได้ไหมคะ”

“....คุณแน่ใจจริง ๆ เหรอคะว่าอยากจะฟังมัน?”

“ฉันอยากรู้ค่ะ...อยากรู้ว่าลูกฉันไปเจออะไรมา” แม้น้ำตาจะยังเปรอะเปื้อนใบหน้า แต่อาโอบะก็สัมผัสได้ถึงความเข้มแข็งจากเธอคนนี้ ความแข็งแกร่งของคนเป็นแม่...



เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เด็กสาวได้เข้าร่วมภารกิจ กระทั่งจบที่สิ้นสติตรงหน้าผาถูกเล่าในมุมมองของอาโอบะ แม้เธอจะหงุดหงิดไม่น้อยที่ไม่สามารถถ่ายทอดให้อีกฝ่ายฟังได้ครบ เพราะเธอเองก็ไม่ได้อยู่กับนาโอริตลอด แต่สำหรับยูริ ขอเพียงรู้ที่มาที่ไป หญิงสาวก็พอใจ และตกผลึกสิ่งที่ต้องไปตักเตือนลูกสาวยามเจ้าตัวลืมตาขึ้นมาได้แล้ว



“ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ขอให้เป็นวันที่ดีค่ะ” อาโอบะก้มโค้งให้คนอายุมากกว่า และไม่ลืมจะให้ข้อมูลที่อยู่ของโรงพยาบาลกับเลขห้องของนาโอริไว้ด้วย

“ขอบคุณจริง ๆ นะคะ” นัยน์ตาสีเปลือกไม้เคลื่อนตามร่างเพรียว ยืนส่งจนเธอขึ้นรถและขับออกไป



รถหรูเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านชิสึจิและออกห่างมาเรื่อย ๆ หญิงสาวตรงที่นั่งคนขับจ้องมองถนนพลางคิดถึงคำพูดที่ผู้เป็นแม่พูด สำหรับตัวเธอเองคิดว่าปฏิกิริยาที่จะเห็นคือการถามสารทุกข์สุกดิบของลูก โดยไม่สนใจว่าเด็กคนนั้นจะไปทำอะไรหรือสิ่งใดมาบ้าง เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสักนิดเมื่อเทียบกับชีวิตของลูก ทว่าหญิงสาวคนนี้กลับถามมัน แถมยังพูดถึงเรื่องที่ว่าจะตักเตือนถ้าหากลูกสาวฟื้นขึ้นมาอีก เป็นการแสดงความห่วงใยอีกแบบหนึ่งหรือเปล่านะ? 

“เฮ้อ...ยุ่งยากจังนะ เป็นแม่คนเนี่ย”

            .

            .

            .

รุ่งเช้าวันถัดมา ยูริจึงยอมลางานเพื่อแวะไปที่โรงพยาบาลในตัวเมือง เธอใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงโรงพยาบาลตามที่อาโอบะกล่าวไว้ หญิงสาวสอบถามประชาสัมพันธ์อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ก่อนจะใช้ลิฟต์เหล็กไปยังชั้นที่ลูกสาวของเธออยู่



ติ๊ง

ประตูลิฟต์เปิดออกเผยให้เห็นเคาน์เตอร์สำหรับติดต่อ หากจำไม่ผิดห้องของลูกสาวจะต้องเข้าไปส่วนที่ลึกกว่านี้ ยูริจึงก้าวไปตามเส้นทางที่คิดว่าถูกและเดินไล่ไปตามทางเดินเงียบสงบ ซึ่งสงบเสียจนยากจะเชื่อว่าละแวกนี้มีห้องผู้ป่วยถูกใช้งานอยู่ 



“แถวนี้หรือเปล่านะ?”

กระทั่งสายตาสังเกตเห็นหน้าห้องกระจกที่เปิดไฟสว่างจ้าอยู่ห้องเดียวในทางเดินที่เธออยู่ และจากเลขห้องที่ไล่ลำดับลงมา ยูริจึงคิดว่ามาถูกทางและตั้งท่าจะตรงไปยังห้องที่มีแสง ทว่ากลับต้องชะงักฝีเท้าไว้ เพราะนอกจากเธอแล้วยังมีใครอีกคนยืนอยู่หน้าห้อง



คนที่บังคับให้เธอต้องเบิกตาตกตะลึงพลันอุทานชื่อของเขาออกมา

“ซ ซาโตชิ!?”



“หือ?”  

ห่างออกไปจากจุดที่ยูริยืนอยู่ ร่างสูงรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่จึงหันไปยังที่มาของมันแต่กลับไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น ทำเอาต้องเลิกคิ้วสูงก่อนจะหันกลับมาจ้องจอมือถือดังเดิม 

หารู้ไม่ว่าไม่กี่วินาทีก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว ยูริได้พุ่งตัวไปหลบหลังกำแพงเป็นที่เรียบร้อยและเป็นต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาสีเปลือกไม้ลอบมองผ่านมุมกำแพง หัวใจสั่นระริกอย่างตื่นตระหนกเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกันในที่แบบนี้

“ทำไมเขาถึงมายืนอยู่หน้าห้องนาโอะล่ะ?” ผู้เป็นแม่บ่นพึมพำเหงื่อตก สมองพยายามปะติดปะต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก่อนจะสรุปได้ว่าซาโตชิก็คือหัวหน้าของภารกิจที่ลูกสาวของเธอทำนี่เอง พอคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวกลับรู้สึกลำบากใจเพิ่มเป็นสิบร้อยพันเท่า!

“คนในชินระมีตั้งมากมาย ทำไมต้องเป็นซาโตชิด้วยเนี่ย?”



ตึกๆ

ยังไม่ทันจะกระวนกระวายเสร็จ เสียงย่ำเท้าจากทางเดินด้านในก็ดังก้องให้ได้ยิน ทำเอายูริสะดุ้งโหยง

“ข เขากำลังมา!”  

บัดนี้ชายหนุ่มที่หลบหน้าก็กำลังเดินมาจากห้องที่นาโอริอยู่ เธอเลยจำเป็นต้องหาทางหนีทีไล่ให้เร็วที่สุด และดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้าง พาให้นัยน์ตาสีเปลือกไม้สังเกตเห็นโทรศัพท์ในมือของอีกฝ่ายกับสมาธิที่กำลังจดจ่ออยู่กับมันขณะก้าวเดิน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่เห็นเธอก็ได้นะ!

“เอาวะ!” 

สิ้นประโยคหญิงสาวก็กลั้นใจเร่งฝีเท้าเดินผ่านชายตรงหน้าไปได้สำเร็จ เธอชะลอความเร็วลงเพื่อไม่ให้โดนสงสัยได้ ไม่นานร่างสูงก็หายลับเข้าไปในลิฟต์เหล็ก ยูริเป็นต้องเป่าปากโล่งอกพร้อมรีบเดินจ้ำเข้าไปยังห้องของลูกสาว



ติ๊ด... ติ๊ด... 

ภาพตรงหน้าคือร่างของคนที่เป็นดั่งดวงใจกำลังนอนนิ่งบนเตียง แม้จะไม่มีสายน้ำเกลือระโยงระยางแล้วแต่รอยฟกช้ำบนร่างกายและผ้าพันแผลบนศีรษะนั่นก็พอที่บีบหัวใจคนเป็นแม่

“โธ่ ลูกแม่” ยูริเอ่ยเสียงเครือ ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาคลอจนไหลผ่านแก้มนวล หญิงสาวกอบกุมมือผู้เป็นลูกแน่นพลันแนบกับใบหน้า

“ทำไม...ต้องเกิดอะไรแบบนี้กับลูกด้วย แม่ไม่เคยหวังให้ลูกต้องมาเจออะไรแบบนี้เลย”

“ถ้าไม่เข้าเรียนที่ชิบุนางิล่ะก็...” หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ความเศร้าโศกพลันดึงส่วนหนึ่งในก้นบึ้งของความคิดให้ประทับแจ่มชัด มันช่างน่าทรมานเสียจนไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก

“ถ้าไม่คิดอยากเป็นนักดาบเหมือนกับ...”



“คุณแม่ของนาโอะจังเหรอคะ?” เสียงหวานดังแทรกเสียงสะอื้น ทำให้หญิงสาวต้องลอบมองเบื้องหลังตน เป็นเด็กสาวผมสีเงินวาวที่ยืนมองเธอด้วยความเป็นห่วง ในมือเธอมีตะกร้าสำหรับเยี่ยมไข้ถือมาด้วย

“ใช่จ้ะ ขอโทษนะที่ไม่ทันได้สังเกตหนู”

“ม ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็เพิ่งจะมาเมื่อกี้เอง”

“เอ่อ หนูคือ...”

“โฮชิ ซากิ ค่ะ เป็นเพื่อนของนาโอะจังที่ชิบุนางิ” เด็กสาวก้มโค้งให้หญิงสาวพร้อมวาดยิ้มน่ารัก

“น้าชื่อยูริ ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ” 

“เอ่อ รับน้ำหน่อยไหมคะคุณน้า เดี๋ยวหนูไปซื้อมาให้” ยูริเลิกคิ้วสูงก่อนจะตระหนักได้ว่าสารรูปตนเองขณะนี้คงทำเด็กสาวตรงน่าเป็นห่วงอยู่พอตัว เธอจึงพยักหน้าเป็นคำตอบเพราะเวลานี้ถ้าได้พักสักหน่อยก็คงดีไม่น้อย ซากิที่เห็นจึงรีบวางสัมภาระไว้กับเก้าอี้อีกตัวพลันวิ่งออกไปนอกห้องทันที เหลือเพียงหญิงสาวที่เบนมองประตูที่เพิ่งจะปิดสนิท

“ตระกูลโฮชิงั้นเหรอ...”



ไม่นานนักซากิก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับขวดน้ำที่มีไอเย็นปกคลุมให้สดชื่น ยูริรับมาพลันยกดื่มไปหลายอึกก่อนจะซับคราบน้ำตาบนแก้มนุ่ม

“ให้เห็นสภาพน่าอายเสียแล้ว ขอโทษนะจ๊ะ”

“อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ หนูเข้าใจว่าคุณน้าเป็นห่วงนาโอะจัง หนูเองก็เป็นห่วง” 

“นาโอรินี่โชคดีจริง ๆ ที่ได้ซากิจังเป็นเพื่อน” ยูริวาดยิ้มเอ็นดูกับคำพูดของอีกฝ่าย

“หนูต่างหากค่ะที่โชคดี...” เจ้าของเรือนผมสีเงินวาวแย้มยิ้มพลันลอบมองเพื่อนสาว ใบหน้าอ่อนโยนนั้นทำให้ยูรินึกคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ หวังว่าเด็กสาวจะไม่คิดว่าเสียมารยาทไป....

“ซากิจัง”

“คะ?”

“ทำไมถึงฝันอยากเป็นนักดาบเหรอจ๊ะ?” ดวงตากลมเบิกขึ้นกับคำถามนั้น เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบไป

“ไม่ใช่ความฝันอะไรหรอกค่ะ ก็แค่คิดว่ามันอาจจะเหมาะกับตัวเองที่สุดและเป็นการสืบทอดตระกูลด้วยค่ะ”

“จริงสิ ตระกูลโฮชิเป็นตระกูลซามูไรเก่านี่นะ” ซากิพยักหน้าเบา ๆ 

“ตอนที่นาโอะบอกว่าอยากเป็นนักดาบ น้าตกใจมากเลยล่ะ....จนอยากจะห้ามเอาไว้” 

“เพราะอะไรเหรอคะ?”

“น้าเกลียดการฆ่าฟันมาแต่ไหนแต่ไร น้าไม่อยากให้ลูกต้องเดินบนเส้นทางที่นองเลือดแบบนั้น แต่สุดท้าย...”  มือเรียวยกผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาที่เริ่มไหลรินอีกครั้ง

“แต่พอเห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้นเวลาจับดาบ มันทำให้น้าไม่กล้าทำลายความฝันของลูก” ยูริเอื้อมไปกำมือของลูกสาวแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้นสุดกำลัง

“ทั้งที่เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่พอเกิดเรื่องเข้าจริง ๆ น้าเจ็บเหลือเกิน...” 

“คุณน้า...”

“ทรมานจนอยากจะฉีกความฝันนี้ทิ้งให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ถึงจะต้องถูกเกลียดก็ไม่เกี่ยง”

“แต่ถ้าทำแบบนั้น ทั้งคุณน้าและนาโอะจังก็จะเจ็บปวดนะคะ”  ดวงตาสีเปลือกไม้จ้องมองที่ใบหน้าสวยทันทีที่ได้ยินประโยคของเธอ ทำเอาซากิที่ตระหนักว่าตนเผลอยุ่มย่ามเรื่องคนอื่นผงะ แต่เธอก็คิดว่าสิ่งที่จะพูดมันคือการช่วยเหลือเพื่อนสาว จึงตัดสินใจจะเอ่ยต่อไป 

“หนูเข้าใจค่ะว่าคุณน้าเป็นห่วงนาโอะจัง แต่นาโอะจังรักในความฝันนี้มาก...อาจจะมากกว่าที่คุณน้าคิดก็ได้นะคะ” 

“ทำไมหนูถึงคิดอย่างนั้นล่ะจ๊ะ?”

            

“เพราะครั้งนึง เธอเคยยิ้มสู้กับอุปสรรคที่เจอและยังสามารถมอบกำลังใจให้หนูได้...”



นัยน์ตาสีเงินวาวส่องประกายเมื่อหวนนึกย้อนไปเมื่อเดือนก่อน หลังจากที่ฮินาวะยอมตกลงที่จะฝึกดาบให้กับนาโอริทั้งที่แพ้การประลอง ตัวของเธอจึงได้โอกาสติดสอยห้อยตามเพื่อนสาวไปด้วยตลอด



ปัก

ร่างบางของนาโอริหงายล้มลงกับพื้นก่อนจะถูกปลายดาบสีเข้มชี้เข้าที่ใบหน้า

“บอกแล้วไงว่ามองจังหวะดาบให้ดี ๆ” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะกำลังการดูประดาบระหว่างสองสาว

“ฉันก็พยายามอยู่!” 

“นี่มันกี่รอบแล้วที่เธอโดนโฮชิสวนกลับได้น่ะ”

“แค่สิบกว่ารอบเท่านั้นแหละ!” นาโอริโวยวายพลันดันตัวลุกขึ้น

“แค่รับการโจมตีรูปแบบเดิมตั้งสิบกว่ารอบก็เยอะแล้ว”

“คนเรามันก็ต้องใช้เวลาหน่อยไหม!?” 

“พ พอได้แล้วทั้งสองคน! ซ้อมกันเหนื่อยขนาดนี้ ยังจะมีแรงเถียงกันอีกเหรอ?” เสียงโต้แย้งพลันหายไปเมื่อคนกลางอย่างซากิออกตัวขวาง ทว่าท่าทางพวกเขาดูเหมือนจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ คนหนึ่งเบือนหน้าหนีส่วนอีกคนได้แต่พองแก้มให้เห็น

“ฉันยังไม่เหนื่อย จัดมาหลาย ๆ รอบเลยซากิ” นาโอริสะบัดดาบไม้ไปมา

“ไม่พักกันก่อนเหรอ?”

“เธอเหนื่อยแล้วเหรอ?” ฮินาวะเอ่ยถามเสียงเรียบ

“ป เปล่า แต่ว่า..” ดวงตากลมเบนสายตาไปหาเพื่อนสาวพลันจดจ้องที่รอยแดงบนแขนสองข้าง ซึ่งเกิดจากการถูกดาบไม้ตีเข้าให้หลายครั้ง

“ฉันจะไม่พักจนกว่าจะรับดาบของเธอได้!” 

“ก็ได้”

ว่าแล้วสองสาวก็เริ่มประดาบกันอีกคราโดยมีฮินาวะนั่งดูอยู่ไม่ไกล เป้าหมายหลักของนาโอริคือต้องรับการโจมตีจากทิศต่าง ๆ ให้ได้ด้วยการเชื่อมจิตกับจูลิโอ้ ทว่าสาวเจ้ากลับติดเพียงแค่การรับจากด้านหลังเท่านั้น 

“อึก!” นาโอริกัดฟันแน่นเมื่อถูกปลายดาบตวัดใส่แขนเป็นรอยแดง

“อย่าหลับตานะ นาโอะจัง!” ซากิเอ่ยก่อนจะอาศัยความว่องไวและกำลังของตนเข้าโจมตีอีกฝ่ายจากหลายด้านพร้อม ๆ เกิดเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดของรองเท้าผ้าใบ

“หายใจช้า ๆ นาโอริ” จูลิโอ้เอ่ยเสริม เมื่อสังเกตว่าคู่หูของเขากำลังพะวงกับการตั้งรับมากเกินไป เธอกำด้ามดาบแน่นและสูดหายใจลึกตามคำบอก สองจิตผสานกันพาให้เสียงรบกวนพลันมลายสิ้น ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าและแรงเหวี่ยงจากดาบที่แหวกอากาศ นัยน์ตาสีซากุระสะท้อนภาพของเพื่อนสาวซึ่งก้าวเท้ายาวไปอยู่เบื้องหลังเจ้าตัว

ปึก!

ปลายดาบสีเข้มถูกเหวี่ยงเข้ากลางแผ่นหลังเล็ก หากแต่รอบนี้นาโอริสามารถเบี่ยงตัวหลบพร้อมยกดาบขึ้นมาป้องการโจมตีไว้ได้ฉิวเฉียดจนมันกระแทกเข้ากับนิ้วเรียว สองเพื่อนสาวค้างท่าโต้ดาบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงจากฮินาวะแทรกมา

“โอเค พอแค่นั้นแหละ”

“โอ๊ย ๆ” หลังสิ้นเสียงเด็กหนุ่ม นาโอริถึงกับร้องโอดโอยออกมาตามด้วยเพื่อนสาวที่กระวนกระวายไม่ต่างกัน

“น นาโอะจังเจ็บไหม!? ฉันขอโทษ”

“เจ็บสิ ฮือ..”

“นิ้วหักไหมเนี่ย” ฮินาวะย่นคิ้วยียวน

“อ อันนั้นเวอร์เกิน” เป็นนาโอริที่เบ้ปากให้คำพูดของคู่อริ ทว่ากลับผิดคาดเมื่อเขาเดินเข้ามาหาพวกเธอ พร้อมกับถุงน้ำแข็งถุงเล็กที่ไม่รู้ไปเอามาตั้งแต่เมื่อใด

“อ่ะ เอาไปประคบนิ้ว แล้วก็อันนี้ของเธอ โฮชิ”

“ไม่ต้องก็ได้ ให้นาโอะจังไว้ประคบแขนดีกว่า ฉันไม่ค่อยมีรอยช้ำหรอก” แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่คนตรงหน้าก็ยังยื่นถุงผ้าสีขาวให้อยู่ดีเจ้าตัวจึงต้องรับมันมา

“ฉันเห็นยัยนี้ตีโดนเธอไปก็หลายที อย่าฝืนเลย”

“ข ขอบใจนะ”

“ทีกับฉันนี่โยนให้เลยนะ” เสียงเหน็บแนมลอยมาจากนาโอริพลันทำให้เด็กหนุ่มหรี่ตามอง ไม่ทันไรเขาจึงดึงมือของนาโอริมาใกล้และแย่งถุงน้ำแข็งมาประคบให้เสียเอง

“อยากให้ช่วยก็บอก”

“ปล่อยเลยนะ โอ๊ย ๆ”

“อย่าดึงสิ เดี๋ยวก็ยิ่งเจ็บกว่าเดิม”

“ใครกันแน่ที่ทำให้เจ็บเนี่ย!” สองคู่อริเปิดฉากเถียงกันอีกครั้งจนเด็กสาวผมสั้นได้แต่ส่ายหน้าพลันถอนใจเหนื่อยหน่าย แต่ว่านัยน์ตาสีเงินวาวนั้นกลับมีประกายวิบวับเมื่อได้มองพวกเขาตอบโต้กันไปมา ราวกับเป็นกิจประจำวันที่เธอต้องได้เห็นไปเสียแล้ว ริมฝีปากบางวาดยิ้มน่ารักกับภาพตรงหน้าไม่หาย

“ซากิช่วยฉันด้วย!” เสียงร้องของเพื่อนสาวทำให้เธอหลุดจากภวังค์ ก่อนจะเห็นท่าทางงอแงของนาโอริกับสีหน้าเรียบนิ่งของฮินาวะ ทำเอาเด็กสาวหัวเราะออกมา

“อย่าเพิ่งหัวเราะสิ ช่วยฉันก่อน!”

“ขอโทษ ๆ เห็นพวกเธอแล้วอดขำไม่ได้น่ะ” ซากิเอ่ยพร้อมกับกุมมือของนาโอริมาใกล้ตนและบรรจงประคบให้ ครั้นจ้องมองรอยจ้ำแดงมากมายบนแขน เด็กสาวผมสั้นจึงเผลอพึมพำออกมาให้นาโอริได้ยิน

“นาโอะจังนี่เก่งมากเลยนะ ถ้าเป็นฉันคงยอมแพ้ไปตั้งแต่แรกแล้ว”

“ทำไมล่ะ เธอน่ะเก่งจะตาย ฝึกแค่นี้คงสบายบรื๋อเลยไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันไม่ได้สุดยอดอย่างนั้นหรอก...กว่าจะฝึกได้เท่านี้ ฉันร้องไห้ยอมแพ้ไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่” ดวงตาสีเงินหลุบต่ำ

“เหนื่อยก็แค่พัก ท้อก็แค่ร้องไห้ออกมา ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” เด็กสาวยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

“ที่บ้านฉันไม่ค่อยชอบให้เป็นแบบนั้นสักเท่าไหร่น่ะสิ ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่เคยมีใครคอยพูดแบบนี้ด้วย” ซากิวาดยิ้มเศร้าสร้อยพลางนึกถึงความคาดหวังที่ครอบครัวนั้นมีต่อเธอ ก่อนจะได้ยินน้ำเสียงสดใสจากเพื่อนสาวที่ช่วยปัดเป่าความหนาวเหน็บในใจเป็นอย่างดี

“แต่ถ้านั่นคือความฝันของเธอ การทำทุกอย่างให้มันสามารถไปต่อได้คือสิ่งสำคัญนะ!” นาโอริวาดยิ้มตาหยีให้พร้อมเอ่ยต่อไป

“ขนาดฉันเองก็มีช่วงที่กลัวความเจ็บจนไม่กล้าลืมตามองใช่ไหมล่ะ ถ้าตอนนั้นฉันเอาแต่กลัวและยอมแพ้ งั้นความฝันจะเป็นนักดาบก็จบสิ!”

“อ อื้อ...” 

“เมื่อก่อนเป็นยังไงฉันไม่รู้หรอก แต่ถ้าตอนนี้เธออยากร้องไห้ขึ้นมา ฉันก็จะอยู่กับเธอเองไม่ต้องห่วง ขอแค่ทำสิ่งที่อยากก็พอแล้วล่ะซากิ!”

“นาโอะจัง...” ซากิบีบมือของเพื่อนสาวเบา ๆ นัยน์ตาสีเงินวาวสั่นระริกพลันใจชุ่มชื้น ราวได้รับแรงจากคนตรงหน้า สำหรับซากิมันคือคำที่เธอต้องการที่สุดแล้ว การที่รู้ว่ามีใครสักคนยืนอยู่ไม่ห่างยามเธอเหนื่อย....



และนั่นก็เป็นเรื่องราวที่ทำให้เธอตรึงใจและรักเพื่อนคนนี้เพิ่มขึ้นไปอีก จนเจ็บปวดหัวใจเมื่อต้องเห็นเธอนอนนิ่งบนเตียงผู้ป่วย



“เพราะตลอดเวลาสองเดือนที่อยู่ด้วยกัน ทำให้ได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างในตัวเธอค่ะ ทั้งความอ่อนแอ ความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ...หนูเห็นเธอเป็นแสงสว่าง เป็นกำลังใจของหนูค่ะ” เด็กสาวกอบกุมมือของตนเองแน่น

“นาโอริพูดอย่างนั้นเหรอ?”

“ค่ะ เธอมักจะยิ้มแย้มและยึดมั่นในความชอบตัวเองเสมอ หนูเห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้เลยค่ะ”

“ถ้าเด็กคนนี้ตื่นมาได้ยินคงจะดีใจไม่น้อยเลยนะ”

“นั่นสิคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดี” มือนุ่มเอื้อมไปจับมือของอีกฝ่ายอย่างเบามือ ดวงตาสีเงินวูบไหวสะท้อนภาพคนตรงหน้า

“รีบตื่นขึ้นมานะ นาโอะจัง”

.

.

.

เวลาล่วงเลยไปจนถึงมืดค่ำ ยูริจำเป็นต้องขอตัวกลับก่อนเนื่องจากภาระงานในวันพรุ่งนี้ แต่เด็กสาวก็อาสาเฝ้าไข้ให้แทนเพราะเดิมทีเธอก็ต้องใจจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว วันนี้จึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของซากิไปและฝากเด็กสาวแจ้งข่าว หากนาโอริเกิดฟื้นขึ้นมากลางดึก เพราะหญิงสาวพร้อมที่จะบึ่งรถมาในชั่วพริบตา



            

ในเวลาเดียวกันเหนือป่ารกที่มืดมัว มีชายคนหนึ่งกำลังเหาะแผ่นสเกตบอร์ดทรงสามเหลี่ยมลัดเลาะแทรกตัวในเงามืด นัยน์ตาสีหมอกกวาดไปมาราวกับหาบางสิ่งอยู่ 



และทันใดนั้น...



ฟึบ

ลูกธนูเหล็กพุ่งแหวกอากาศเข้าประชิดใบหน้าใต้หน้ากาก ร่างสูงเอี้ยวตัวหลบราวรู้ทัน ก่อนจะคว้าธนูหน้าไม้เล็งไปยังเงามืดและเหนี่ยวไกออกไป ปลายแหลมทะลวงกะโหลกแข็งใต้ผ้าคลุมสีเข้ม ของเหลวสีแดงเข้มพุ่งกระฉูดพร้อมกับร่างที่นอนแน่นิ่ง

“แสดงว่าอยู่ไม่ไกลสินะ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาหวิว เขาเบนสายตาไปเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนเป็นร่อนลงสู่ผืนป่า

“ดูเหมือนจะใช้ทางอากาศไม่ได้แล้ว” ทันทีที่ลงจอด ร่างสูงพลันย่อส่วนเจ้าแผ่นสเกตบอร์ดเก็บเข้ากระเป๋าทันควัน ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้โดยไม่ทิ้งเสียงไว้สักนิด

ร่างใต้เงาไม้เริ่มออกเดินทางผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ทีละต้น ทว่าฝีเท้าเบาของเขาก็ต้องชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากแมกไม้ ร่างสูงก้มมองที่พื้นและเห็นเหล่าคนในชุดเสื้อคลุมเดินเพ่นพ่านรอบด้าน ดวงตาสีหมอกเบิกกว้างทันทีที่นึกอะไรบางอย่างได้

“จะว่าไปแถบนี้มัน...” เขารีบพาตัวเองขึ้นไปจุดที่สูงกว่านี้ ก่อนจะได้เห็นภาพเมืองเล็ก ๆ ที่เคยมีผู้คนอาศัย บัดนี้ทว่ากลับรกร้างและพังพินาศ บ้างก็ถล่มไม่เหลือเค้าโครง บ้างก็ถูกเปลวเพลิงเผาจนกลายเป็นสีดำ แต่กลับเหมาะเจาะสำหรับใช้เป็นที่ซ่อน...

“ยังสภาพดีอยู่แหะ” นัยน์ตาสีหมอกสะท้อนภาพของปราสาทญี่ปุ่นโบราณ ณ ใจกลางเมือง ทั้งที่รอบ ๆ เมืองเกิดความเสียหายขนาดนี้ แต่ปราสาทกลับยังอยู่ในรูปทรงปกติ มันช่างน่าแปลกเสียจริง

“ต้องกลับไปรายงาน” 

หลังจากมั่นใจว่าไม่ถูกสะกดรอยตามแล้ว มือหน้าพลันคว้าแผ่นสเกตบอร์ดออกมาและขว้างมันไปเบื้องหน้า ก่อนจะกระโดดไปยืนทันทีที่มันขยายตัวพร้อมทะยานขึ้นไปเหนือน่านฟ้าอีกครั้ง

“ต้องรีบแล้ว...” 



หนทางนั้นอยู่แค่เอื้อม หนทางที่จะช่วยเขาคนนั้นอยู่แค่เอื้อมแล้ว!



to be continue….

======================================

มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ

ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3

つづく、psrpowder