จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
ท่ามกลางแสงแดดนวลและสายลมพัดโชยคลอเคลีย บัดนี้อาโอบะกำลังพยายามปลอบโยนหญิงสาวผู้เป็นแม่ของนาโอริ ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตาจึงเงยขึ้นมาจ้องเจ้าหน้าที่สาว นัยน์ตาสีเปลือกไม้สั่นระริกเช่นเดียวกับเสียงสะอื้นที่ยังไม่ยอมหยุด
“อาโอบะซัง” คิ้วเรียวของคนถูกเรียกเลิกขึ้นเล็กน้อย เฝ้ารอคำที่อีกฝ่ายจะพูดออกมา
“ช่วยเล่ารายละเอียดให้ฉันฟังได้ไหมคะ”
“....คุณแน่ใจจริง ๆ เหรอคะว่าอยากจะฟังมัน?”
“ฉันอยากรู้ค่ะ...อยากรู้ว่าลูกฉันไปเจออะไรมา” แม้น้ำตาจะยังเปรอะเปื้อนใบหน้า แต่อาโอบะก็สัมผัสได้ถึงความเข้มแข็งจากเธอคนนี้ ความแข็งแกร่งของคนเป็นแม่...
เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่เด็กสาวได้เข้าร่วมภารกิจ กระทั่งจบที่สิ้นสติตรงหน้าผาถูกเล่าในมุมมองของอาโอบะ แม้เธอจะหงุดหงิดไม่น้อยที่ไม่สามารถถ่ายทอดให้อีกฝ่ายฟังได้ครบ เพราะเธอเองก็ไม่ได้อยู่กับนาโอริตลอด แต่สำหรับยูริ ขอเพียงรู้ที่มาที่ไป หญิงสาวก็พอใจ และตกผลึกสิ่งที่ต้องไปตักเตือนลูกสาวยามเจ้าตัวลืมตาขึ้นมาได้แล้ว
“ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ขอให้เป็นวันที่ดีค่ะ” อาโอบะก้มโค้งให้คนอายุมากกว่า และไม่ลืมจะให้ข้อมูลที่อยู่ของโรงพยาบาลกับเลขห้องของนาโอริไว้ด้วย
“ขอบคุณจริง ๆ นะคะ” นัยน์ตาสีเปลือกไม้เคลื่อนตามร่างเพรียว ยืนส่งจนเธอขึ้นรถและขับออกไป
รถหรูเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านชิสึจิและออกห่างมาเรื่อย ๆ หญิงสาวตรงที่นั่งคนขับจ้องมองถนนพลางคิดถึงคำพูดที่ผู้เป็นแม่พูด สำหรับตัวเธอเองคิดว่าปฏิกิริยาที่จะเห็นคือการถามสารทุกข์สุกดิบของลูก โดยไม่สนใจว่าเด็กคนนั้นจะไปทำอะไรหรือสิ่งใดมาบ้าง เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสักนิดเมื่อเทียบกับชีวิตของลูก ทว่าหญิงสาวคนนี้กลับถามมัน แถมยังพูดถึงเรื่องที่ว่าจะตักเตือนถ้าหากลูกสาวฟื้นขึ้นมาอีก เป็นการแสดงความห่วงใยอีกแบบหนึ่งหรือเปล่านะ?
“เฮ้อ...ยุ่งยากจังนะ เป็นแม่คนเนี่ย”
.
.
.
รุ่งเช้าวันถัดมา ยูริจึงยอมลางานเพื่อแวะไปที่โรงพยาบาลในตัวเมือง เธอใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงโรงพยาบาลตามที่อาโอบะกล่าวไว้ หญิงสาวสอบถามประชาสัมพันธ์อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ก่อนจะใช้ลิฟต์เหล็กไปยังชั้นที่ลูกสาวของเธออยู่
ติ๊ง
ประตูลิฟต์เปิดออกเผยให้เห็นเคาน์เตอร์สำหรับติดต่อ หากจำไม่ผิดห้องของลูกสาวจะต้องเข้าไปส่วนที่ลึกกว่านี้ ยูริจึงก้าวไปตามเส้นทางที่คิดว่าถูกและเดินไล่ไปตามทางเดินเงียบสงบ ซึ่งสงบเสียจนยากจะเชื่อว่าละแวกนี้มีห้องผู้ป่วยถูกใช้งานอยู่
“แถวนี้หรือเปล่านะ?”
กระทั่งสายตาสังเกตเห็นหน้าห้องกระจกที่เปิดไฟสว่างจ้าอยู่ห้องเดียวในทางเดินที่เธออยู่ และจากเลขห้องที่ไล่ลำดับลงมา ยูริจึงคิดว่ามาถูกทางและตั้งท่าจะตรงไปยังห้องที่มีแสง ทว่ากลับต้องชะงักฝีเท้าไว้ เพราะนอกจากเธอแล้วยังมีใครอีกคนยืนอยู่หน้าห้อง
คนที่บังคับให้เธอต้องเบิกตาตกตะลึงพลันอุทานชื่อของเขาออกมา
“ซ ซาโตชิ!?”
“หือ?”
ห่างออกไปจากจุดที่ยูริยืนอยู่ ร่างสูงรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่จึงหันไปยังที่มาของมันแต่กลับไม่มีใครยืนอยู่ตรงนั้น ทำเอาต้องเลิกคิ้วสูงก่อนจะหันกลับมาจ้องจอมือถือดังเดิม
หารู้ไม่ว่าไม่กี่วินาทีก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว ยูริได้พุ่งตัวไปหลบหลังกำแพงเป็นที่เรียบร้อยและเป็นต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาสีเปลือกไม้ลอบมองผ่านมุมกำแพง หัวใจสั่นระริกอย่างตื่นตระหนกเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอกันในที่แบบนี้
“ทำไมเขาถึงมายืนอยู่หน้าห้องนาโอะล่ะ?” ผู้เป็นแม่บ่นพึมพำเหงื่อตก สมองพยายามปะติดปะต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก่อนจะสรุปได้ว่าซาโตชิก็คือหัวหน้าของภารกิจที่ลูกสาวของเธอทำนี่เอง พอคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวกลับรู้สึกลำบากใจเพิ่มเป็นสิบร้อยพันเท่า!
“คนในชินระมีตั้งมากมาย ทำไมต้องเป็นซาโตชิด้วยเนี่ย?”
ตึกๆ
ยังไม่ทันจะกระวนกระวายเสร็จ เสียงย่ำเท้าจากทางเดินด้านในก็ดังก้องให้ได้ยิน ทำเอายูริสะดุ้งโหยง
“ข เขากำลังมา!”
บัดนี้ชายหนุ่มที่หลบหน้าก็กำลังเดินมาจากห้องที่นาโอริอยู่ เธอเลยจำเป็นต้องหาทางหนีทีไล่ให้เร็วที่สุด และดูเหมือนโชคชะตาจะเข้าข้าง พาให้นัยน์ตาสีเปลือกไม้สังเกตเห็นโทรศัพท์ในมือของอีกฝ่ายกับสมาธิที่กำลังจดจ่ออยู่กับมันขณะก้าวเดิน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่เห็นเธอก็ได้นะ!
“เอาวะ!”
สิ้นประโยคหญิงสาวก็กลั้นใจเร่งฝีเท้าเดินผ่านชายตรงหน้าไปได้สำเร็จ เธอชะลอความเร็วลงเพื่อไม่ให้โดนสงสัยได้ ไม่นานร่างสูงก็หายลับเข้าไปในลิฟต์เหล็ก ยูริเป็นต้องเป่าปากโล่งอกพร้อมรีบเดินจ้ำเข้าไปยังห้องของลูกสาว
ติ๊ด... ติ๊ด...
ภาพตรงหน้าคือร่างของคนที่เป็นดั่งดวงใจกำลังนอนนิ่งบนเตียง แม้จะไม่มีสายน้ำเกลือระโยงระยางแล้วแต่รอยฟกช้ำบนร่างกายและผ้าพันแผลบนศีรษะนั่นก็พอที่บีบหัวใจคนเป็นแม่
“โธ่ ลูกแม่” ยูริเอ่ยเสียงเครือ ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาคลอจนไหลผ่านแก้มนวล หญิงสาวกอบกุมมือผู้เป็นลูกแน่นพลันแนบกับใบหน้า
“ทำไม...ต้องเกิดอะไรแบบนี้กับลูกด้วย แม่ไม่เคยหวังให้ลูกต้องมาเจออะไรแบบนี้เลย”
“ถ้าไม่เข้าเรียนที่ชิบุนางิล่ะก็...” หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก ความเศร้าโศกพลันดึงส่วนหนึ่งในก้นบึ้งของความคิดให้ประทับแจ่มชัด มันช่างน่าทรมานเสียจนไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก
“ถ้าไม่คิดอยากเป็นนักดาบเหมือนกับ...”
“คุณแม่ของนาโอะจังเหรอคะ?” เสียงหวานดังแทรกเสียงสะอื้น ทำให้หญิงสาวต้องลอบมองเบื้องหลังตน เป็นเด็กสาวผมสีเงินวาวที่ยืนมองเธอด้วยความเป็นห่วง ในมือเธอมีตะกร้าสำหรับเยี่ยมไข้ถือมาด้วย
“ใช่จ้ะ ขอโทษนะที่ไม่ทันได้สังเกตหนู”
“ม ไม่เป็นไรค่ะ หนูก็เพิ่งจะมาเมื่อกี้เอง”
“เอ่อ หนูคือ...”
“โฮชิ ซากิ ค่ะ เป็นเพื่อนของนาโอะจังที่ชิบุนางิ” เด็กสาวก้มโค้งให้หญิงสาวพร้อมวาดยิ้มน่ารัก
“น้าชื่อยูริ ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ”
“เอ่อ รับน้ำหน่อยไหมคะคุณน้า เดี๋ยวหนูไปซื้อมาให้” ยูริเลิกคิ้วสูงก่อนจะตระหนักได้ว่าสารรูปตนเองขณะนี้คงทำเด็กสาวตรงน่าเป็นห่วงอยู่พอตัว เธอจึงพยักหน้าเป็นคำตอบเพราะเวลานี้ถ้าได้พักสักหน่อยก็คงดีไม่น้อย ซากิที่เห็นจึงรีบวางสัมภาระไว้กับเก้าอี้อีกตัวพลันวิ่งออกไปนอกห้องทันที เหลือเพียงหญิงสาวที่เบนมองประตูที่เพิ่งจะปิดสนิท
“ตระกูลโฮชิงั้นเหรอ...”
ไม่นานนักซากิก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับขวดน้ำที่มีไอเย็นปกคลุมให้สดชื่น ยูริรับมาพลันยกดื่มไปหลายอึกก่อนจะซับคราบน้ำตาบนแก้มนุ่ม
“ให้เห็นสภาพน่าอายเสียแล้ว ขอโทษนะจ๊ะ”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ หนูเข้าใจว่าคุณน้าเป็นห่วงนาโอะจัง หนูเองก็เป็นห่วง”
“นาโอรินี่โชคดีจริง ๆ ที่ได้ซากิจังเป็นเพื่อน” ยูริวาดยิ้มเอ็นดูกับคำพูดของอีกฝ่าย
“หนูต่างหากค่ะที่โชคดี...” เจ้าของเรือนผมสีเงินวาวแย้มยิ้มพลันลอบมองเพื่อนสาว ใบหน้าอ่อนโยนนั้นทำให้ยูรินึกคำถามหนึ่งขึ้นมาได้ หวังว่าเด็กสาวจะไม่คิดว่าเสียมารยาทไป....
“ซากิจัง”
“คะ?”
“ทำไมถึงฝันอยากเป็นนักดาบเหรอจ๊ะ?” ดวงตากลมเบิกขึ้นกับคำถามนั้น เธอครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบไป
“ไม่ใช่ความฝันอะไรหรอกค่ะ ก็แค่คิดว่ามันอาจจะเหมาะกับตัวเองที่สุดและเป็นการสืบทอดตระกูลด้วยค่ะ”
“จริงสิ ตระกูลโฮชิเป็นตระกูลซามูไรเก่านี่นะ” ซากิพยักหน้าเบา ๆ
“ตอนที่นาโอะบอกว่าอยากเป็นนักดาบ น้าตกใจมากเลยล่ะ....จนอยากจะห้ามเอาไว้”
“เพราะอะไรเหรอคะ?”
“น้าเกลียดการฆ่าฟันมาแต่ไหนแต่ไร น้าไม่อยากให้ลูกต้องเดินบนเส้นทางที่นองเลือดแบบนั้น แต่สุดท้าย...” มือเรียวยกผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาที่เริ่มไหลรินอีกครั้ง
“แต่พอเห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้นเวลาจับดาบ มันทำให้น้าไม่กล้าทำลายความฝันของลูก” ยูริเอื้อมไปกำมือของลูกสาวแน่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้นสุดกำลัง
“ทั้งที่เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่พอเกิดเรื่องเข้าจริง ๆ น้าเจ็บเหลือเกิน...”
“คุณน้า...”
“ทรมานจนอยากจะฉีกความฝันนี้ทิ้งให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ถึงจะต้องถูกเกลียดก็ไม่เกี่ยง”
“แต่ถ้าทำแบบนั้น ทั้งคุณน้าและนาโอะจังก็จะเจ็บปวดนะคะ” ดวงตาสีเปลือกไม้จ้องมองที่ใบหน้าสวยทันทีที่ได้ยินประโยคของเธอ ทำเอาซากิที่ตระหนักว่าตนเผลอยุ่มย่ามเรื่องคนอื่นผงะ แต่เธอก็คิดว่าสิ่งที่จะพูดมันคือการช่วยเหลือเพื่อนสาว จึงตัดสินใจจะเอ่ยต่อไป
“หนูเข้าใจค่ะว่าคุณน้าเป็นห่วงนาโอะจัง แต่นาโอะจังรักในความฝันนี้มาก...อาจจะมากกว่าที่คุณน้าคิดก็ได้นะคะ”
“ทำไมหนูถึงคิดอย่างนั้นล่ะจ๊ะ?”
“เพราะครั้งนึง เธอเคยยิ้มสู้กับอุปสรรคที่เจอและยังสามารถมอบกำลังใจให้หนูได้...”
นัยน์ตาสีเงินวาวส่องประกายเมื่อหวนนึกย้อนไปเมื่อเดือนก่อน หลังจากที่ฮินาวะยอมตกลงที่จะฝึกดาบให้กับนาโอริทั้งที่แพ้การประลอง ตัวของเธอจึงได้โอกาสติดสอยห้อยตามเพื่อนสาวไปด้วยตลอด
ปัก
ร่างบางของนาโอริหงายล้มลงกับพื้นก่อนจะถูกปลายดาบสีเข้มชี้เข้าที่ใบหน้า
“บอกแล้วไงว่ามองจังหวะดาบให้ดี ๆ” เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะกำลังการดูประดาบระหว่างสองสาว
“ฉันก็พยายามอยู่!”
“นี่มันกี่รอบแล้วที่เธอโดนโฮชิสวนกลับได้น่ะ”
“แค่สิบกว่ารอบเท่านั้นแหละ!” นาโอริโวยวายพลันดันตัวลุกขึ้น
“แค่รับการโจมตีรูปแบบเดิมตั้งสิบกว่ารอบก็เยอะแล้ว”
“คนเรามันก็ต้องใช้เวลาหน่อยไหม!?”
“พ พอได้แล้วทั้งสองคน! ซ้อมกันเหนื่อยขนาดนี้ ยังจะมีแรงเถียงกันอีกเหรอ?” เสียงโต้แย้งพลันหายไปเมื่อคนกลางอย่างซากิออกตัวขวาง ทว่าท่าทางพวกเขาดูเหมือนจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ คนหนึ่งเบือนหน้าหนีส่วนอีกคนได้แต่พองแก้มให้เห็น
“ฉันยังไม่เหนื่อย จัดมาหลาย ๆ รอบเลยซากิ” นาโอริสะบัดดาบไม้ไปมา
“ไม่พักกันก่อนเหรอ?”
“เธอเหนื่อยแล้วเหรอ?” ฮินาวะเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ป เปล่า แต่ว่า..” ดวงตากลมเบนสายตาไปหาเพื่อนสาวพลันจดจ้องที่รอยแดงบนแขนสองข้าง ซึ่งเกิดจากการถูกดาบไม้ตีเข้าให้หลายครั้ง
“ฉันจะไม่พักจนกว่าจะรับดาบของเธอได้!”
“ก็ได้”
ว่าแล้วสองสาวก็เริ่มประดาบกันอีกคราโดยมีฮินาวะนั่งดูอยู่ไม่ไกล เป้าหมายหลักของนาโอริคือต้องรับการโจมตีจากทิศต่าง ๆ ให้ได้ด้วยการเชื่อมจิตกับจูลิโอ้ ทว่าสาวเจ้ากลับติดเพียงแค่การรับจากด้านหลังเท่านั้น
“อึก!” นาโอริกัดฟันแน่นเมื่อถูกปลายดาบตวัดใส่แขนเป็นรอยแดง
“อย่าหลับตานะ นาโอะจัง!” ซากิเอ่ยก่อนจะอาศัยความว่องไวและกำลังของตนเข้าโจมตีอีกฝ่ายจากหลายด้านพร้อม ๆ เกิดเป็นเสียงเอี๊ยดอ๊าดของรองเท้าผ้าใบ
“หายใจช้า ๆ นาโอริ” จูลิโอ้เอ่ยเสริม เมื่อสังเกตว่าคู่หูของเขากำลังพะวงกับการตั้งรับมากเกินไป เธอกำด้ามดาบแน่นและสูดหายใจลึกตามคำบอก สองจิตผสานกันพาให้เสียงรบกวนพลันมลายสิ้น ทิ้งไว้เพียงเสียงฝีเท้าและแรงเหวี่ยงจากดาบที่แหวกอากาศ นัยน์ตาสีซากุระสะท้อนภาพของเพื่อนสาวซึ่งก้าวเท้ายาวไปอยู่เบื้องหลังเจ้าตัว
ปึก!
ปลายดาบสีเข้มถูกเหวี่ยงเข้ากลางแผ่นหลังเล็ก หากแต่รอบนี้นาโอริสามารถเบี่ยงตัวหลบพร้อมยกดาบขึ้นมาป้องการโจมตีไว้ได้ฉิวเฉียดจนมันกระแทกเข้ากับนิ้วเรียว สองเพื่อนสาวค้างท่าโต้ดาบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้ยินเสียงจากฮินาวะแทรกมา
“โอเค พอแค่นั้นแหละ”
“โอ๊ย ๆ” หลังสิ้นเสียงเด็กหนุ่ม นาโอริถึงกับร้องโอดโอยออกมาตามด้วยเพื่อนสาวที่กระวนกระวายไม่ต่างกัน
“น นาโอะจังเจ็บไหม!? ฉันขอโทษ”
“เจ็บสิ ฮือ..”
“นิ้วหักไหมเนี่ย” ฮินาวะย่นคิ้วยียวน
“อ อันนั้นเวอร์เกิน” เป็นนาโอริที่เบ้ปากให้คำพูดของคู่อริ ทว่ากลับผิดคาดเมื่อเขาเดินเข้ามาหาพวกเธอ พร้อมกับถุงน้ำแข็งถุงเล็กที่ไม่รู้ไปเอามาตั้งแต่เมื่อใด
“อ่ะ เอาไปประคบนิ้ว แล้วก็อันนี้ของเธอ โฮชิ”
“ไม่ต้องก็ได้ ให้นาโอะจังไว้ประคบแขนดีกว่า ฉันไม่ค่อยมีรอยช้ำหรอก” แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่คนตรงหน้าก็ยังยื่นถุงผ้าสีขาวให้อยู่ดีเจ้าตัวจึงต้องรับมันมา
“ฉันเห็นยัยนี้ตีโดนเธอไปก็หลายที อย่าฝืนเลย”
“ข ขอบใจนะ”
“ทีกับฉันนี่โยนให้เลยนะ” เสียงเหน็บแนมลอยมาจากนาโอริพลันทำให้เด็กหนุ่มหรี่ตามอง ไม่ทันไรเขาจึงดึงมือของนาโอริมาใกล้และแย่งถุงน้ำแข็งมาประคบให้เสียเอง
“อยากให้ช่วยก็บอก”
“ปล่อยเลยนะ โอ๊ย ๆ”
“อย่าดึงสิ เดี๋ยวก็ยิ่งเจ็บกว่าเดิม”
“ใครกันแน่ที่ทำให้เจ็บเนี่ย!” สองคู่อริเปิดฉากเถียงกันอีกครั้งจนเด็กสาวผมสั้นได้แต่ส่ายหน้าพลันถอนใจเหนื่อยหน่าย แต่ว่านัยน์ตาสีเงินวาวนั้นกลับมีประกายวิบวับเมื่อได้มองพวกเขาตอบโต้กันไปมา ราวกับเป็นกิจประจำวันที่เธอต้องได้เห็นไปเสียแล้ว ริมฝีปากบางวาดยิ้มน่ารักกับภาพตรงหน้าไม่หาย
“ซากิช่วยฉันด้วย!” เสียงร้องของเพื่อนสาวทำให้เธอหลุดจากภวังค์ ก่อนจะเห็นท่าทางงอแงของนาโอริกับสีหน้าเรียบนิ่งของฮินาวะ ทำเอาเด็กสาวหัวเราะออกมา
“อย่าเพิ่งหัวเราะสิ ช่วยฉันก่อน!”
“ขอโทษ ๆ เห็นพวกเธอแล้วอดขำไม่ได้น่ะ” ซากิเอ่ยพร้อมกับกุมมือของนาโอริมาใกล้ตนและบรรจงประคบให้ ครั้นจ้องมองรอยจ้ำแดงมากมายบนแขน เด็กสาวผมสั้นจึงเผลอพึมพำออกมาให้นาโอริได้ยิน
“นาโอะจังนี่เก่งมากเลยนะ ถ้าเป็นฉันคงยอมแพ้ไปตั้งแต่แรกแล้ว”
“ทำไมล่ะ เธอน่ะเก่งจะตาย ฝึกแค่นี้คงสบายบรื๋อเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันไม่ได้สุดยอดอย่างนั้นหรอก...กว่าจะฝึกได้เท่านี้ ฉันร้องไห้ยอมแพ้ไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่” ดวงตาสีเงินหลุบต่ำ
“เหนื่อยก็แค่พัก ท้อก็แค่ร้องไห้ออกมา ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” เด็กสาวยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ที่บ้านฉันไม่ค่อยชอบให้เป็นแบบนั้นสักเท่าไหร่น่ะสิ ตอนเด็ก ๆ ก็ไม่เคยมีใครคอยพูดแบบนี้ด้วย” ซากิวาดยิ้มเศร้าสร้อยพลางนึกถึงความคาดหวังที่ครอบครัวนั้นมีต่อเธอ ก่อนจะได้ยินน้ำเสียงสดใสจากเพื่อนสาวที่ช่วยปัดเป่าความหนาวเหน็บในใจเป็นอย่างดี
“แต่ถ้านั่นคือความฝันของเธอ การทำทุกอย่างให้มันสามารถไปต่อได้คือสิ่งสำคัญนะ!” นาโอริวาดยิ้มตาหยีให้พร้อมเอ่ยต่อไป
“ขนาดฉันเองก็มีช่วงที่กลัวความเจ็บจนไม่กล้าลืมตามองใช่ไหมล่ะ ถ้าตอนนั้นฉันเอาแต่กลัวและยอมแพ้ งั้นความฝันจะเป็นนักดาบก็จบสิ!”
“อ อื้อ...”
“เมื่อก่อนเป็นยังไงฉันไม่รู้หรอก แต่ถ้าตอนนี้เธออยากร้องไห้ขึ้นมา ฉันก็จะอยู่กับเธอเองไม่ต้องห่วง ขอแค่ทำสิ่งที่อยากก็พอแล้วล่ะซากิ!”
“นาโอะจัง...” ซากิบีบมือของเพื่อนสาวเบา ๆ นัยน์ตาสีเงินวาวสั่นระริกพลันใจชุ่มชื้น ราวได้รับแรงจากคนตรงหน้า สำหรับซากิมันคือคำที่เธอต้องการที่สุดแล้ว การที่รู้ว่ามีใครสักคนยืนอยู่ไม่ห่างยามเธอเหนื่อย....
และนั่นก็เป็นเรื่องราวที่ทำให้เธอตรึงใจและรักเพื่อนคนนี้เพิ่มขึ้นไปอีก จนเจ็บปวดหัวใจเมื่อต้องเห็นเธอนอนนิ่งบนเตียงผู้ป่วย
“เพราะตลอดเวลาสองเดือนที่อยู่ด้วยกัน ทำให้ได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างในตัวเธอค่ะ ทั้งความอ่อนแอ ความเข้มแข็ง ความกล้าหาญ...หนูเห็นเธอเป็นแสงสว่าง เป็นกำลังใจของหนูค่ะ” เด็กสาวกอบกุมมือของตนเองแน่น
“นาโอริพูดอย่างนั้นเหรอ?”
“ค่ะ เธอมักจะยิ้มแย้มและยึดมั่นในความชอบตัวเองเสมอ หนูเห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้เลยค่ะ”
“ถ้าเด็กคนนี้ตื่นมาได้ยินคงจะดีใจไม่น้อยเลยนะ”
“นั่นสิคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดี” มือนุ่มเอื้อมไปจับมือของอีกฝ่ายอย่างเบามือ ดวงตาสีเงินวูบไหวสะท้อนภาพคนตรงหน้า
“รีบตื่นขึ้นมานะ นาโอะจัง”
.
.
.
เวลาล่วงเลยไปจนถึงมืดค่ำ ยูริจำเป็นต้องขอตัวกลับก่อนเนื่องจากภาระงานในวันพรุ่งนี้ แต่เด็กสาวก็อาสาเฝ้าไข้ให้แทนเพราะเดิมทีเธอก็ต้องใจจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว วันนี้จึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของซากิไปและฝากเด็กสาวแจ้งข่าว หากนาโอริเกิดฟื้นขึ้นมากลางดึก เพราะหญิงสาวพร้อมที่จะบึ่งรถมาในชั่วพริบตา
ในเวลาเดียวกันเหนือป่ารกที่มืดมัว มีชายคนหนึ่งกำลังเหาะแผ่นสเกตบอร์ดทรงสามเหลี่ยมลัดเลาะแทรกตัวในเงามืด นัยน์ตาสีหมอกกวาดไปมาราวกับหาบางสิ่งอยู่
และทันใดนั้น...
ฟึบ
ลูกธนูเหล็กพุ่งแหวกอากาศเข้าประชิดใบหน้าใต้หน้ากาก ร่างสูงเอี้ยวตัวหลบราวรู้ทัน ก่อนจะคว้าธนูหน้าไม้เล็งไปยังเงามืดและเหนี่ยวไกออกไป ปลายแหลมทะลวงกะโหลกแข็งใต้ผ้าคลุมสีเข้ม ของเหลวสีแดงเข้มพุ่งกระฉูดพร้อมกับร่างที่นอนแน่นิ่ง
“แสดงว่าอยู่ไม่ไกลสินะ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาหวิว เขาเบนสายตาไปเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนเป็นร่อนลงสู่ผืนป่า
“ดูเหมือนจะใช้ทางอากาศไม่ได้แล้ว” ทันทีที่ลงจอด ร่างสูงพลันย่อส่วนเจ้าแผ่นสเกตบอร์ดเก็บเข้ากระเป๋าทันควัน ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้โดยไม่ทิ้งเสียงไว้สักนิด
ร่างใต้เงาไม้เริ่มออกเดินทางผ่านกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ทีละต้น ทว่าฝีเท้าเบาของเขาก็ต้องชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากแมกไม้ ร่างสูงก้มมองที่พื้นและเห็นเหล่าคนในชุดเสื้อคลุมเดินเพ่นพ่านรอบด้าน ดวงตาสีหมอกเบิกกว้างทันทีที่นึกอะไรบางอย่างได้
“จะว่าไปแถบนี้มัน...” เขารีบพาตัวเองขึ้นไปจุดที่สูงกว่านี้ ก่อนจะได้เห็นภาพเมืองเล็ก ๆ ที่เคยมีผู้คนอาศัย บัดนี้ทว่ากลับรกร้างและพังพินาศ บ้างก็ถล่มไม่เหลือเค้าโครง บ้างก็ถูกเปลวเพลิงเผาจนกลายเป็นสีดำ แต่กลับเหมาะเจาะสำหรับใช้เป็นที่ซ่อน...
“ยังสภาพดีอยู่แหะ” นัยน์ตาสีหมอกสะท้อนภาพของปราสาทญี่ปุ่นโบราณ ณ ใจกลางเมือง ทั้งที่รอบ ๆ เมืองเกิดความเสียหายขนาดนี้ แต่ปราสาทกลับยังอยู่ในรูปทรงปกติ มันช่างน่าแปลกเสียจริง
“ต้องกลับไปรายงาน”
หลังจากมั่นใจว่าไม่ถูกสะกดรอยตามแล้ว มือหน้าพลันคว้าแผ่นสเกตบอร์ดออกมาและขว้างมันไปเบื้องหน้า ก่อนจะกระโดดไปยืนทันทีที่มันขยายตัวพร้อมทะยานขึ้นไปเหนือน่านฟ้าอีกครั้ง
“ต้องรีบแล้ว...”
หนทางนั้นอยู่แค่เอื้อม หนทางที่จะช่วยเขาคนนั้นอยู่แค่เอื้อมแล้ว!
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder