จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
บรึ้น
ยานยนต์คันหรูพับล้อยางเก็บเข้าด้านในและทะยานตัวขึ้นสู่น่านฟ้า พาผู้โดยสารคนสำคัญออกห่างจากป่ารกทึบแสนวุ่นวาย ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีซากุระเอื้อมมือสัมผัสปุ่มใกล้กับพวงมาลัยรถ ทันใดนั้นรถหรูจึงล่องหนเข้ากับน่านฟ้าครึ้มยากจะสังเกตเห็น
“เฮ้อ...” เขาถอนหายใจพลันลอบมองควันดำโขมงจากเมืองร้างเบื้องล่าง ก่อนจะเบนสายตาทอดผ่านกระจกมองหลังเผยให้เห็นร่างของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ที่บัดนี้กำลังจดจ้องคนในอ้อมแขนตนเองไม่เปลี่ยนนับตั้งแต่ก้าวขึ้นบนรถ ทั้งที่สามารถปล่อยเธอให้นอนราบกับเบาะได้แต่เจ้าตัวกลับไม่ทำเช่นนั้น
บัดนี้เหลือพวกเขากันอยู่เพียงสามคนท่ามกลางความเงียบ เพราะจิซากิถูกสั่งให้เก็บกวาดความวุ่นวายในคืนนี้จึงไม่ได้โดยสารมาด้วย
“ซาโตชิ” เสียงนุ่มเอ่ยเรียกความสนใจจากเจ้าของชื่อไป
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เหตุการณ์ครั้งนี้มีคนรู้มากแค่ไหน?”
“นอกจากเจ้าหน้าที่ชินระที่หม่อมฉันคัดเลือกมาแล้วกับนักเรียนจากสภาเจ็ดซามูไร ก็มีแค่องค์จักรพรรดิเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮ้อ ถ้างั้นก็โล่งไป” โซอิจิโร่ถอนใจเบา ๆ ทำเอาคนอายุมากกว่าต้องเลิกคิ้วสงสัย
“ทรงกังวลอะไรอยู่หรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
“อื้อ...เรากำลังสงสัยว่ามีพวกของคนร้ายซ่อนตัวอยู่ในหมู่ทหารฮิบานะอีกหรือเปล่า” โซอิจิโร่ลูบคางครุ่นคิด ทว่าเมื่อเห็นสายตาฉงนของซาโตชิผ่านกระจกมองหลัง เด็กหนุ่มจึงเท้าความเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเดินทางกลับ ทั้งเรื่องที่ทหารฮิบานะสองคนหันปืนข่มขู่เขาและยังไม่รวมถึงเส้นทางขากลับซึ่งถูกเปลี่ยนกะทันหันจากที่แจ้งไว้อีก ถึงในตอนนั้นเจ้าตัวจะมัวแต่สนใจเรื่องนาโอริจนไม่ตงิดใจ แต่พอมาคิดอีกครั้งมันก็ให้คำตอบไปในทางเดียว
“การป้องกันหละหลวมถึงขนาดนี้ เห็นทีหม่อมฉันคงต้องทูลฝ่าบาทให้รู้เรื่องเสียแล้ว” ซาโตชิขมวดคิ้วเป็นปม
“ไม่ต้องหรอก คุณแค่สืบหาต้นตอของพวกทหารรับจ้างนี่ให้เร็วที่สุดก็พอ เรื่องความปลอดภัยเราจะหาทางจัดการเอง”
“พวกมันถึงขั้นแฝงเข้ามาในฮิบานะจนถึงตัวท่านไปรอบหนึ่งแล้ว ขืนปล่อยไว้ก็มีแต่จะอันตรายกว่าเดิมนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าเอาเรื่องนี้ไปทูลเสด็จพ่อเรื่องมันจะซ้ำรอยน่ะสิ เพราะเขาคงทำแค่เปลี่ยนองครักษ์ชุดเก่าทั้งหมดและจัดชุดใหม่มาไว้รอบตัวเราโดยที่ไม่เคยผ่านตาเราเลยด้วยซ้ำ”
“แบบนั้นมัน...” นัยน์ตาสีซากุระพลันหลุบต่ำ เพราะเขาไม่สามารถแย้งสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาได้เลย
“เพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องเล่าอะไร แค่รายงานไปตามปกติจนกว่าเราจะจัดการอย่างอื่นเสร็จก็พอ” เด็กหนุ่มเว้นจังหวะหายใจครู่หนึ่งพลางเบนสายตาไปนอกหน้าต่าง
“เรื่องทหารรับจ้าง ให้ตามจับมาให้ได้มากที่สุดแล้วรีดข้อมูลจากพวกมัน ใครให้ความร่วมมือก็เก็บเอาไว้ ส่วนใครที่ไม่....”
“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ ทางชินระจะรีบสืบสวนให้ได้ความโดยเร็วที่สุด”
“อื้อ รบกวนคุณส่งรายละเอียดมาให้เราด้วยล่ะ เพราะเราอยากตรวจสอบด้วยตัวเองเหมือนกัน” ซาโตชิพยักหน้าตอบและตั้งท่าจะเอ่ยต่อ...
“อืม...”
จู่ ๆ เสียงครางเบาหวิวก็ลอยมาจากร่างบางที่ยังหลับปุ๋ยอยู่ทำเอาสองหนุ่มต้องชะงักบทสนทนาไว้เท่านั้น ทว่าสาวเจ้าเพียงแค่ขยับตัวในอ้อมแขนของโซอิจิโร่ พวกเขาเลยเป็นต้องถอนใจโล่งอกเพราะกลัวเธอคนนี้จะตื่นมาได้ยินอะไรไม่เข้าท่าอีก
ครั้นนาโอริขยับตัว นัยน์ตาสีนิลจึงสบเข้ากับรอยฉีกตรงอกเสื้อจากวิถีกระสุน วินาทีนั้นโซอิจิโร่พลันกัดฟันแน่นพยายามสะกดความหน่วงของหัวใจยามหวนนึกภาพที่เธอได้หมดลมหายใจไปแล้วครั้งหนึ่ง หากเขาไม่ได้คำบอกใบ้จากศัตรูและไม่ได้ความสามารถแปลกประหลาดจากสายเลือด เขาจะสามารถช่วยอะไรคนตรงหน้าได้หรือเปล่า?
“ท่านจะทรงทำยังไงกับเธอคนนี้เหรอพ่ะย่ะค่ะ?” ซาโตชิเอ่ยถาม
“เราว่าควรจะบอกพ่อแม่ของเธอ แต่ตอนนี้คงทำได้แค่ส่งให้ถึงมือหมอก่อน”
“หม่อมฉันว่าเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ” โซอิจิโร่เลิกคิ้วสูงก่อนจะจดจ้องไปยังที่นั่งคนขับ
“คนของเราเพิ่งจะแจ้งข่าวร้ายกับแม่ของเธอไปเมื่อไม่นานนี้ ถ้าเกิดเธอรู้ว่าลูกสาวที่หนีออกจากบ้านดันกลับมาด้วยสภาพบาดเจ็บอีกครั้งคงจะรับไม่ไหวแน่ ๆ”
“จะให้โกหกแม่ของเธองั้นเหรอ แบบนั้นไม่ไร้ความรับผิดชอบไปหน่อยหรือไง?”
“แค่เลี่ยงไม่ให้เธอรู้ว่าเด็กคนนี้บาดเจ็บและต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกก็พอพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มยืนยันเสียงเรียบพลางสบตากับอีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลัง ทำให้โซอิจิโร่ต้องคิดหนักไปพักหนึ่งขณะก้มมองร่างบางในอ้อมแขน
แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ แต่นาโอริในตอนนี้เรียกได้ว่าแค่สลบเพราะอาการเหนื่อยล้าเท่านั้น เนื้อตัวสาวเจ้าไม่หลงเหลือบาดแผลที่ดูเหมือนฟาดฟันกับศัตรูมาด้วยซ้ำ หากพักฟื้นเต็มที่วันพรุ่งก็คงเดินปร๋อดังเดิมจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องเพิ่มความกังวลให้ผู้เป็นแม่อีก แค่เจ้าตัวตื่นมาและไม่พบลูกสาวก็คงทรมานเกินคำบรรยาย
สุดท้ายโซอิจิโร่จึงต้องยอมพยักหน้าตกลงกับข้อเสนอนั้น...
“ว่าแต่เด็กคนนี้คงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
“เธอช่วยเราไว้ต่างหาก ต่อสู้กับศัตรูอย่างกล้าหาญยิ่งกว่าทหารคนไหนที่คุ้มกันเราเสียอีก” ใบหน้าได้รูปวาดยิ้มอ่อนโยน ทว่าดวงตากลับฉายแววเศร้าสร้อยออกมา
“หายากนะพ่ะย่ะค่ะ ที่ท่านจะตรัสชมเด็กนักเรียนสักคน”
“เราแค่พูดตามความจริงที่เห็นเท่านั้น เพราะเธอแสดงให้เราเห็นกับตา ทั้งครั้งก่อน...รวมถึงครั้งนี้ด้วย”
“เห็นทีคงจะปั้นให้เข้าสังกัดทหารของฮิบานะได้นะพ่ะย่ะค่ะ เพราะมีสภาเจ็ดซามูไรเป็นใบเบิกทางชั้นดีเลย”
“ถ้าไม่นับว่าเธอบุ่มบ่ามเกินไป เราก็คงเห็นด้วยกับคุณ แต่...” ซาโตชิลอบมองอีกฝ่ายผ่านกระจกหลัง เมื่อจู่ ๆ เขาก็เงียบไปเสียดื้อ ๆ และเห็นว่าเจ้าตัวกำลังพิงศีรษะอิงกับเด็กสาวพร้อมหลับตาพริ้มก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“แต่หม่อมฉันได้ยินมาจากรุ่นพี่ของเธออีกทีว่าเด็กคนนี้หัวดื้อและมุ่งมั่นจะเป็นนักดาบมาก ไม่แน่ว่าเธออาจจะลุกขึ้นมาเข้าเป็นทหารเองก็ได้น่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าถึงตอนนั้นเราคงเถียงขาดใจเลยล่ะ...ไม่อยากเห็นใครต้องตายเพราะเราอีกแล้ว”
“ท่านโซอิจิโร่...”
การพูดคุยจบลงตรงนั้นและปล่อยให้ความสงบเข้าปกคลุมตัวรถ ดวงดาวพร่างฟ้าสะท้อนผ่านกระจกช่วยกล่อมให้เด็กหนุ่มผู้เหนื่อยล้าเคลิ้มหลับทั้งที่ยังมอบไออุ่นแก่ใครอีกคนไม่ห่าง ช่างเป็นภาพที่หาได้ยากยิ่งนักสำหรับซาโตชิ เขาหวังแค่ว่าโซอิจิโร่จะไม่ต้องเจอเรื่องโหดร้ายอีก หากแต่สถานะของเจ้าตัวกลับย้อนแย้งกับความหวังนั้นเสียเหลือเกิน
“พักผ่อนให้เต็มที่นะพ่ะย่ะค่ะ...” อย่างน้อยก็ขอให้เด็กหนุ่มได้พบกับความสงบสักครั้งแม้เพียงชั่วอึดใจหนึ่งก็ยังดี ซาโตชิจึงทำเพียงวาดยิ้มให้กับภาพเบื้องหลังและมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลตามความต้องการของผู้เป็นนาย
.
.
.
ณ ตึกสูงตระหง่านท่ามกลางแสงสี บัดนี้เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้กำลังนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องซึ่งถูกจัดเตรียมแยกเป็นส่วนตัวจากคนไข้คนอื่น นาโอริไม่ถูกตรวจพบอาการแทรกซ้อนหรือบาดแผลสาหัสตามที่โซอิจิโร่คาดคิด แพทย์จึงให้เธอพักฟื้นสักสองถึงสามวัน
พวกเขาแปลกใจมากที่เด็กสาวผู้นี้ไม่มีรอยฟกช้ำสักรอย แต่ร่างกายกลับแสดงออกว่าถูกใช้งานอย่างหนักจนหมดสติ ทว่าซาโตชิกลับเลือกที่จะตอบปัดไปแม้ว่าตัวเขาจะสงสัยไม่ต่างกัน เพราะถูกนัยน์ตาสีนิลของคนร่างเล็กที่ยืนอยู่ด้วยกันในชุดปลอมตัวกดดัน เขาจึงไม่อาจถามอะไรได้
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ” พยาบาลสาวเอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
เวลานี้จึงเหลือเพียงสองหนุ่มที่อยู่ในห้อง ไม่พูดพร่ำทำเพลงโซอิจิโร่พลันถอดฮู๊ดคลุมออกครั้นไม่มีคนแปลกหน้าอยู่และเดินมานั่งข้างเตียงนุ่ม นัยน์ตาสีนิลสะท้อนภาพของใบหน้านิทราของนาโอริก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มจากคนข้างหลัง
“เสด็จกลับเถอะพ่ะย่ะค่ะ ใครรู้เข้าจะไม่ปลอดภัย”
“เรารู้ แต่ขอนั่งอยู่แบบนี้สักพักเถอะ เราก็เหนื่อยเป็นนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วพลางเบ้ปากใส่อีกฝ่าย ทำเอาชายหนุ่มต้องยอมแต่โดยดี
“ข เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซาโตชิถอนใจกับความดื้อของคนตรงหน้า เดิมทีเขาควรจะส่งเด็กสาวจอมวุ่นนี่ให้ถึงมือหมอแล้วบึ่งรถกลับปราสาทอย่างรวดเร็วเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขากลับต้องคอยระแวงรอบด้านเพราะโซอิจิโร่ที่ยืนยันจะตามมาด้วยให้ได้
“จะว่าไปคุณเอาดาบของเธอมาด้วยหรือเปล่า?”
“นี่พ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยพลางยื่นห่อผ้าสีขาวเป็นทรงยาวให้เด็กหนุ่มก่อนจะนำไปวางไว้ข้างเตียงผู้ป่วย ข้างในคือคู่หูของนาโอริซึ่งถูกห่อเพื่อความปลอดภัยจากตอนที่หนีออกมาจากปราสาทร้าง โชคดีที่หยิบออกมาด้วยไม่เช่นนั้นสาวเจ้าคงเสียใจแย่
“ขอบใจนะ” เสียงทุ้มดังขึ้นจนสองหนุ่มสะดุ้งตัวและเป็นโซอิจิโร่ที่เอ่ยตอบไป
“เสียงที่ได้ยินที่ปราสาท...คุณคือดวงจิตในดาบของนาโอริสินะ?”
“ใช่ เธอเรียกฉันว่า จูลิโอ้ ขอขอบคุณอีกครั้งที่ช่วยคู่หูของฉันไว้”
“เราต่างหากที่ต้องขอบคุณ ถ้าไม่ได้พวกคุณเราก็คงไม่มาอยู่ตรงนี้”
“เธอเป็นคนอยากช่วยเองส่วนฉันแค่ตอบรับความต้องการของนาโอริเท่านั้น ที่ยัยนั่นเจ็บตัวก็เพราะเต็มใจจะทำ ไม่ต้องรู้สึกผิดไปหรอก” ดวงตาคมเบิกกว้างเมื่อถูกล่วงรู้ความคิดในใจ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเช่นเดียวกับมือที่กำแน่น
“เราสัญญาว่าจะไม่ทำให้เธอต้องเสี่ยงอันตรายอีก”
“แล้วเธอคิดจะทำยังไง?” ครั้นได้ยินคำถาม โซอิจิโร่จึงเอ่ยสิ่งที่ตนครุ่นคิดมาตั้งแต่บนรถให้ดวงจิตได้ฟัง
“เราจะสั่งห้ามไม่ให้สภาเจ็ดซามูไรรับภารกิจที่เกี่ยวกับฮิบานะอีก พวกเขาจะอยู่ใต้คำสั่งของชินระอย่างเดียวและได้รับงานที่เหมาะสม...จะต้องไม่มีนักเรียนมาเสี่ยงชีวิตเพื่อราชวงศ์”
“และพวกเราจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก” นัยน์ตาสีนิลวูบไหวเมื่อเอ่ยประโยคสุดท้ายออกไป
“คำพูดกับน้ำเสียงมันผิดกันเลยนะ องค์ชาย”
“คุณฟังผิดแล้วล่ะ” โซอิจิโร่เลือกจะตอบปัด ทว่ากลับได้ยินเสียงหัวเราะมาจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์เสียแทน
“เอาเถอะ ในฐานะคู่หูของยัยนี่ฉันแนะนำว่าลบคำพูดพวกนั้นทิ้งไปจะดีกว่า มันไม่มีประโยชน์หรอก” ซาโตชิขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะถือวิสาสะเอ่ยแทรกอย่างไม่พอใจ
“จะบอกว่าการตัดสินใจของท่านโซอิจิโร่มันผิดงั้นเหรอ?”
“ฉันเตือนด้วยความหวังดีก็เท่านั้น คนทำแต่งานอย่างพวกนายไม่เข้าใจความทะเยอทะยานของเด็กพวกนี้หรือไง?”
“พูดอะไร...”
“คนเป็นอย่างพวกนายควรจะรู้ดีกว่าวิญญาณอย่างฉันนะว่าการพรากฝันของใครสักคนไปมันแย่แค่ไหน” เสียงทุ้มไม่ยี่หระนั่นพาให้ไม่มีใครกล้าเอ่ยสิ่งใด จูลิโอ้จึงใช้โอกาสนี้สาธยายความคิดของเขาต่อ
“ถึงจะเจอกันไม่กี่เดือนแต่ฉันก็เห็นความตั้งใจของนาโอริ แม้แต่คนในสภาอะไรนั่นฉันก็เห็นทั้งหมด”
“และพวกเขาจะไม่มีทางยอมรับกฎหักดิบที่นายสร้างเพื่อความสบายใจส่วนตนหรอก”
ห้องสี่เหลี่ยมพลันเงียบสงัดชวนให้อึดอัดขึ้นมา ซาโตชิไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเจ้าของแผ่นหลังเล็กตรงหน้าเขาจะคิดเช่นไรกับคำพูดของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ใจหนึ่งก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจความหมายนั้นแต่ใจหนึ่งกลับทรมานเมื่อหวนนึกถึงความสูญเสียที่เด็กหนุ่มผู้นี้ต้องพบเจอ ความกลัวช่างเป็นสิ่งที่ไม่เข้าใครออกใครเสียจริง
“เรื่องกฎ เราจะเก็บไปคิดดู” โซอิจิโร่เอ่ยพลางดันตัวลุกจากเก้าอี้ นัยน์ตาสีนิลสะท้อนภาพคนบนเตียงเป็นครั้งสุดท้ายและตั้งท่าจะหันหลังกลับ
“ถ้าเป็นห่วงก็กลับมาเยี่ยมด้วยล่ะ” เสียงทุ้มรั้งร่างเล็กไว้ชั่วขณะ
“ขอโทษนะ...มีแค่เรื่องนั้นที่เราตัดสินใจแล้ว” ครั้นเอ่ยจบโซอิจิโร่จึงเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามองอีก ซาโตชิเองก็ตั้งใจจะเดินตามเขาไป...
“เอ๊ะ...”
ทว่าเขาเป็นต้องชะงักเมื่อจู่ ๆ กลับรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างสัมผัสศีรษะอย่างแผ่วเบาเสียจนต้องเหลียวมองข้างหลัง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ทั้งเด็กสาวที่นอนอยู่บนเตียงและดาบคาตานะสีน้ำเงินเข้มชวนดึงดูดซึ่งสะท้อนผ่านดวงตาคมใต้กรอบแว่นเท่านั้น
“ไม่รีบตามไปหรือไง?” ชายหนุ่มสะดุ้งจากภวังค์ก่อนจะรีบเดินตามผู้เป็นนายไป จนในที่สุดก็เหลือเพียงสองคู่หูในห้องเงียบสงบ
“ให้ตายสิ...” เสียงถอนใจเหนื่อยหน่ายดังมาจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับสายลมอ่อนโยนที่ก่อตัวในห้องแคบคลอเคลียเด็กสาวให้หลับสบาย
.
.
.
ดวงดาราทอประกายนำทางให้องค์ชายหนุ่มกลับถึงที่พักอย่างปลอดภัย วันแสนล้าและวุ่นวายได้ปิดฉากลงเพื่อต้อนรับรุ่งเช้าของวันใหม่....
บัดนี้เจ้าของเรือนผมสีซากุระดั่งเช่นดวงตากำลังเหม่อมองเพดานทึบพลันคิดเรื่องสารพัด แม้เข็มนาฬิกาจะเพิ่งชี้บอกเวลาแปดโมงเช้าแต่กองงานที่ต้องทำมันกลับจ่อยาวเป็นหางว่าว ไหนจะเรื่องรายงานต่อจักรพรรดิและเรื่องสืบหาทหารรับจ้างที่หลุดมือไปจากเมื่อวานอีก
“เหนื่อยชะมัด...”
“ไม่ลาหยุดสักวันล่ะ?” เสียงผู้มาใหม่ดึงซาโตชิให้นั่งตัวตรงพลางดันแว่นแก้เก้อ
“มาแล้วเหรอ เรย์กะ”
แกร๊ก
ไม่ทันที่อาโอบะจะได้อ้าปากเอ่ย บานประตูกระจกก็ถูกเปิดขัดบทสนทนาของทั้งสอง เผยให้เห็นร่างสูงของโชโตะในชุดเครื่องแบบสภานักเรียน
“ขอโทษที่มาช้านะครับ ซาโตชิซัง”
“นายมาเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้เสียอีก”
“นาโอริจังล่ะครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยเข้าประเด็นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยพร้อมจ้องคนอายุมากกว่าด้วยสายตาคาดคั้น ซาโตชิจึงพยักหน้าตอบและเปิดปากเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนให้ทั้งสองฟัง แม้อาโอบะไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาเมื่อได้ยินเรื่องของนาโอริแต่ชายหนุ่มนั้นรับรู้ได้ว่าเธอโกรธอยู่หน่อย ๆ ผิดกับเด็กหนุ่มที่หน้าถอดสีพลันซักถามคนตรงหน้าเขาไม่เว้นจังหวะหายใจจนซาโตชิต้องยกมือปรามเขา
“รุ่นน้องนายปลอดภัยดีโชว์ ใจเย็นก่อน”
“ถึงกับเข้าโรงพยาบาลอีกรอบจะให้ใจเย็นได้ยังไงครับ!?” โชโตะเถียงกลับเสียงแข็ง ทำเอาเจ้าหน้าที่หนุ่มต้องไล่อธิบายอาการของรุ่นน้องสาวให้เขาฟังยกใหญ่ ใช้เวลาร่วมนาทีกว่าเจ้าตัวจะสงบลงและเปิดโอกาสให้ซาโตชิได้เอ่ยต่อ
“เอาเป็นว่าฉันอยากให้นายแจ้งข่าวกับสมาชิกคนอื่น ๆ จะได้ไม่เป็นห่วงกันมาก”
“แล้วครอบครัวของน้องเขาล่ะครับ”
“พวกเราก็กำลังจะ...”
Rrrrrrrr
ไม่ทันจะได้กล่าวถึง ชื่อหญิงสาวในบทสนทนาก็ปรากฏบนหน้าจอมือถือของอาโอบะ ทั้งสามมองหน้ากันราวเป็นสัญญาณให้เงียบไว้และเป็นร่างเพรียวที่กดรับมัน
“อาโอบะซังคะ ลูกสาวฉันอยู่กับคุณหรือเปล่าคะ เธอหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอเช้ามาก็ไม่เจออยู่ในห้องแล้ว!”
“ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ ชิสึจิซัง”
“ถ้านาโอริเป็นอะไรไปแล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง...” น้ำเสียงสั่นเครือปานขาดใจลอดผ่านปลายสายบีบรัดหัวใจของหญิงสาว ทำให้เธอไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำโกหกตามที่ตกลงกับซาโตชิออกไปเพราะกลัวคนปลายสายจะแตกสลาย
“คือว่า..”
“ขอสายให้ผมนะครับ” เจ้าของเรือนผมสีน้ำผึ้งเอ่ยพลันดึงมือถือมา
“นาโอริจังอยู่กับพวกผม ชิสึจิซังไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
“เธอคือ?”
“รุ่นพี่ของนาโอริจังชื่อนากามูระ โชโตะครับ คือเรื่องมันมีอยู่ว่า....”
ยูริพลันกลั้นเสียงสะอื้นสุดความสามารถเพื่อตั้งใจฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มผู้นี้เล่าให้กับเธอ เขากล่าวว่านาโอริตั้งใจหนีออกจากบ้านเพื่อจะเข้าร่วมแผนการช่วยเหลือองค์รัชทายาทก็จริง ทว่าสาวเจ้าดันถูกจับได้เสียก่อนจึงต้องอยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่และไม่ได้ไปเสี่ยงอันตรายใด ๆ
“ภารกิจลุล่วงไปด้วยดีแต่เหมือนว่าเธอจะยังไม่สบายใจ ผมเลยให้เธอช่วยงานต่ออีกเล็กน้อยน่ะครับ”
“แต่ทำไมเธอถึงไม่ติดต่อมาหาฉันล่ะคะ?”
“เป็นความผิดของผมเองครับ เพราะเรื่องค่อนข้างวุ่นวายเลยไม่ได้เตือนให้เธอแจ้งคุณก่อน”
“แล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหนเหรอคะ?”
“น้องเขาอยู่กับเจ้าหน้าที่คนอื่นในอีกพื้นที่น่ะครับ ตอนนี้อาจจะยังไม่สะดวกติดต่อไปแต่ช่วงเย็น ๆ ก็อาจจะได้นะครับ” เสียงปลายสายเงียบไปชั่วขณะ โชโตะจึงเอ่ยแทรกเพื่อปลอบโยนอีกฝ่าย
“ถ้าเจอนาโอริจังเมื่อไหร่ ผมจะย้ำให้เธอติดต่อคุณไปให้ได้เลย ไม่ต้องห่วงนะครับ”
“รบกวนนากามูระคุงด้วยนะ ขอบคุณจริง ๆ”
“ด้วยความยินดีครับ รุ่นน้องของผม...ผมก็ต้องดูแลให้ถึงที่สุดครับ” เด็กหนุ่มวาดยิ้มให้ปลายสายแม้หญิงสาวจะมองไม่เห็น
ไม่นานสายโทรศัพท์ก็ถูกตัดไปตามด้วยคนทั้งสามที่ถอนหายใจแทบจะพร้อมกัน โชโตะรีบส่งมือถือคืนแก่เจ้าของก่อนจะหันมองชายหนุ่มสวมแว่นซึ่งเรียกชื่อเขา
“เย็นนี้งั้นเหรอ? ฉันไม่มั่นใจเลยว่าเด็กคนนั้นจะฟื้นมาทัน”
“ถ้าตามที่คุณบอก นาโอริจังแค่โหมร่างกายจนล้าเท่านั้นนี่ครับ ได้พักตั้งแต่เมื่อคืน วันนี้ก็น่าจะตื่นแล้ว”
“ฉันล่ะนับถือนายเลยที่โกหกได้หน้าตาเฉยแบบนั้น” เสียงเหน็บแนมดังมาจากอาโอบะที่ขมวดคิ้วมองอยู่ แต่โชโตะก็แย้มยิ้มให้เธอเป็นคำตอบ
“ถ้าโกหกแล้วไม่ทำให้ใครเสียน้ำตา ผมก็ยินดีครับ”
“อื้อ ฉันเชื่อแล้วล่ะ” หญิงสาวเบ้ปาก
และแล้วภารกิจช่วงเช้าก็จบลงเพียงเท่านี้ อาโอบะจึงขอตัวไปจัดการงานของเธอซึ่งถูกซาโตชิโยนมาให้เพิ่มและปล่อยให้สองหนุ่มพูดคุยรายละเอียดงานกันอีกเล็กน้อย ก่อนจะถึงเวลาอันสมควรที่โชโตะต้องกลับไปเข้าชั้นเรียนได้แล้ว หากไม่ติดว่าวันนี้เป็นวันแรกของสัปดาห์รวมถึงวันเปิดภาคเรียนใหม่ เจ้าหนุ่มคนนี้คงหมกตัวช่วยหัวหน้าของเขาทำงานอยู่ในชินระเป็นแน่
“ขอบคุณสำหรับเลขห้องของนาโอริจังนะครับ ไว้หลังเลิกเรียนจะแวะไปเยี่ยมเสียหน่อย”
“อ่า ขอบคุณที่อุตส่าห์มา” ว่าจบเจ้าของเรือนผมสีน้ำผึ้งจึงเอื้อมมือไปผลักประตูกระจกให้เปิดออก
“โชว์”
“ครับ?”
“ถ้าเกิดสภาเจ็ดซามูไรถูกสั่งห้ามไม่ให้รับภารกิจช่วยชีวิตที่เสี่ยงอันตรายอีก นายจะยอมไหม?” คนถูกถามชะงักไปครู่หนึ่งพลางเบนมองร่างสูงด้านหลังโต๊ะทำงาน
“ผมไม่ยอมครับ เพราะถ้ารู้ว่ายังมีใครต้องการความช่วยเหลือจากเราแต่กลับถูกสั่งห้าม ผมก็คงตัดสินใจแบบนาโอริจัง”
“ทำไมล่ะ? เท่ากับว่านายฝ่าฝืนกฎเลยนะ”
“กฎถูกสร้างเพื่อให้เกิดระเบียบ แต่ถ้ามันจะทำให้ผมเสียโอกาสกวัดแกว่งดาบเพื่อผู้อื่นไปล่ะก็...ผมยอมฝ่ามันดีกว่า”
ปึง
ประตูงับเข้ากันสนิทเกิดเป็นความเงียบในห้องกระจกอีกครั้ง ซาโตชิหลุบตาต่ำพลางคิดถึงสิ่งที่โชโตะกล่าวออกมา แววตานั้นไม่มีความลังเลที่จะปฏิเสธเลยสักนิด ซาโตชิได้แต่คิดว่าบางทีมันอาจเป็นอย่างที่ดวงจิตตนนั้นบอกจริง ๆ ก็ได้....
“พวกนายไม่เข้าใจความทะเยอทะยานของเด็กพวกนี้หรือไง?”
น้ำเสียงทุ้มวนเวียนในความคิดราวต้องการตอกย้ำเขาไปมา ทว่ามันช่างเป็นเรื่องที่เขายากจะเข้าใจเสียเหลือเกิน
“ความทะเยอทะยานงั้นเหรอ...สำหรับฉันมันหายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder