จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
***Trigger Warning : การฆ่าฟัน ความรุนแรง เลือด***
โปรดใช้วิารณญาณในการอ่าน
หลังจากจบเหตุการณ์แสนวุ่นวาย ณ เมืองทิ้งร้างในป่าห่างไกล บัดนี้ดวงตะวันเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าตอบรับกับเสียงนกขับขานและสายลมพัดโชย แสงทองเรืองรองสาดส่องพื้นที่ไหม้เกรียม ซากปรักหักพังและร่างกายไร้วิญญาณนอนเกลื่อนราวตอกย้ำเหตุการณ์ฆ่าฟันในชั่วข้ามคืน
ถัดจากปราสาทไม้โบราณลึกเข้าไปในป่ารกทึบ ชายผู้หนึ่งในชุดคลุมขาดรุ่งริ่งกำลังพาร่างกายบอบช้ำฝ่าดงแมกไม้ ในอ้อมแขนที่เหวอะจนเห็นเนื้อแดงได้อุ้มร่างหญิงสาวผู้มีเรือนผมและดวงตาสีซากุระเช่นเดียวกับเขา ช่างน่าเสียดายที่เนื้อตัวของเธอทั้งซีดเผือดไร้สีสัน ทั้งเย็นเฉียบกว่าน้ำแข็งไปเสียแล้ว
สวบ
ปลายเท้าเหยียบย่ำใบไม้แห้งกรอบและพื้นดินเปรอะเปื้อนมุ่งหน้าเข้าสู่ร่มเงาของป่าไม้ทึบ ร่างสะบักสะบอมไม่คิดจะหลบเลี่ยงกิ่งไม้หนาบางที่เกี่ยวผิวเป็นรอยถากขอเพียงแค่มันไม่สัมผัสร่างในอ้อมแขนเป็นพอ ทว่าไม่นานเงาแสงที่ตกกระทบผ่านใบไม้เขียวก็ลอดมาแยงตาจนต้องเงยมองอย่างช่วยไม่ได้
“ใกล้เช้าแล้ว...” เสียงพึมพำแผ่วเบาเช่นเดียวกับดวงตาอ่อนแรง ชายหนุ่มก้มมองใบหน้าซูบในอ้อมแขนพลันเม้มริมฝีปากแน่นราวสะกดกลั้นโทสะไม่ให้ระเบิดออกมา
“ต้องรีบกลับไปหาชิงุเระ”
ไม่รู้ว่าตนเดินเท้ามาไกลเท่าใดแต่สีของท้องฟ้ากำลังเริ่มทอแสงสว่างกว่าเดิมมาก เขายังคงมุ่งหน้าไปไม่หยุดพักทั้งที่ตัวเองก็แทบจะคงสติเอาไว้ไม่ไหว เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือพี่สาวของเขาจะต้องปลอดภัย ยิ่งคิดก็ยิ่งต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นแม้สักน้อยก็ยังดีก่อนจะมีใครหน้าไหนมาเจอเข้า
แซก แซก
ครั้นใบไม้หลุดร่วงจากกิ่งก้าน สองขาพลันชะงักเมื่อได้ยินเสียงแปลกปลอมมาจากมุมอับที่ใดที่หนึ่งรอบตัว สายลมยังคงโหมกระทบต้นไม้สูงราวกับต้องการปกปิดเสียงเมื่อครู่ ทว่ามันกลับไม่สามารถซ่อนกลิ่นอายไม่หวังดีจากเงามืดได้
ชายหนุ่มวางร่างของผู้เป็นพี่ไว้กับพื้นหญ้านุ่มอย่างเบามือ แต่ไม่ทันจะได้ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยจู่ ๆ ความรู้สึกแสบคันก็แผ่ซ่านจากหัวไหล่หนาข้างซ้าย ซาโซริเอื้อมดึงสิ่งที่ทิ่มไหล่ตัวเองออกมาหน้าตาเฉยไม่สนใจเลือดอุ่นเยิ้มเลอะเทอะ นัยน์ตาสีซากุระหม่นสะท้อนภาพของลูกธนูเหล็กอันเป็นเอกลักษณ์ ความคิดเริ่มปะติดปะต่อทว่าไม่ทันจะได้ผุดชื่อของคำตอบออกมา
มันก็ใจร้อนแสดงตัวให้เห็นก่อนเสียแล้ว...
ฟึบ!
ลูกธนูดอกที่สองพุ่งแหวกร่มเงาต้นไม้เข้าหาซาโซริจากหลายทิศทาง ร่างสูงพลันใช้ตัวเองเป็นโล่ปกป้องคนบนพื้นหญ้าทันควัน มือหนาเลือกรับหนึ่งในศรคมซึ่งใกล้ใบหน้ามากที่สุดและปล่อยให้ธนูดอกอื่นแทงทะลุผิวหนังหยาบจนเลือดไหลซิบ ใบหน้าตายด้านทำเพียงก้มมองร่างบางบนพื้นว่ามีบาดแผลหรือไม่ ก่อนจะได้ยินเสียงบางสิ่งเคลื่อนไหวอีกครา
แต่ครั้งนี้สายลมกลับเกรงกลัวเขาจนต้องยอมสงบนิ่งไม่ไหวติง
ความเงียบสงัดทำให้ระบุตำแหน่งของเสียงชัดเจนยิ่งขึ้น ชั่วพริบตาร่างสูงพลันหายวับไปเหลือแค่เซระที่นอนอยู่สร้างความตระหนกให้ใครก็ตามที่ซ่อนตัวอยู่ใต้เงามืด
พรึบ ฉึก!
ท้ายที่สุดโชคชะตาก็เลือกผู้โชคร้ายคนแรก ซาโซริพลันปรากฏกายข้างเจ้าของลูกธนูเหล็กเร็วปานแสงพร้อมคืนลูกธนูคมทะลวงต้นคอตัดลมหายใจของชายผู้นั้น ร่างไร้วิญญาณร่วงจากเงามืดตกลงกระแทกกับพื้นโคลนเผยให้เห็นชุดเครื่องแบบมิดชิดจนถึงใบหน้า
“อ้าก!”
เสียงโอดครวญทรมานดังระงมทั่วป่าทึบตามมาด้วยร่างที่ตกลงมาจากต้นไม้สูงราวใบไม้ที่ร่วงโรย จนในที่สุดความเงียบก็หวนคืนและมีเพียงเสียงหอบหายใจแรงจากชายหนุ่มที่เดินผ่านศพสยดสยองนั้นราวไม่เห็นค่า ก่อนจะอุ้มร่างเย็นเฉียบของพี่สาวขึ้นมาพลางทิ้งสมรภูมินองเลือดไว้เบื้องหลัง วินาทีนั้นนัยน์ตาสีซากุระหม่นพลันสังเกตเห็นตราดอกซากุระบนอกเสื้อเปื้อนดิน จู่ ๆ ความคุกรุ่นในตัวจึงเดือดพล่านขึ้นมาทันควัน
“ไอ้พวกชินระ...” เส้นเลือดพลันปูดโปนข้างขมับ ริมฝีปากที่ถูกเม้มจนเป็นห้อเลือดพยายามสงบความโกรธที่มีไว้สุดกำลัง เขาอยากจะสาปส่งไอ้พวกสวะนั่นทว่ายามสัมผัสถึงเนื้อตัวของหญิงสาว มันกลับช่วยดึงอารมณ์ที่พลุ่งพล่านนั่นให้ไม่เตลิดไกลและย้ำเตือนว่าสิ่งสำคัญในตอนนี้คือไปให้ไกลจากขอบเขตของพวกชินระ
การเดินทางในความเงียบจึงดำเนินต่อไปอย่างยากลำบาก....
.
.
.
เวลาล่วงเลยกลับมายังปัจจุบัน ขณะนี้ประธานนักเรียนหนุ่มกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่โต๊ะประธานนักเรียนท่ามกลางห้องสภาเจ็ดซามูไรที่ว่างเปล่าไร้วี่แววสมาชิกคนอื่นเพราะเขาดันมาถึงเช้าเกินไป โชโตะได้แต่คิดเรื่องของรุ่นน้องสาวจอมแสบว่าจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนที่เหลืออย่างไร แม้นาโอริจะไม่ได้บาดเจ็บสาหัสแต่สำหรับสมาชิกเจ็ดซามูไรแล้วคงมีปฏิกิริยาไม่ต่างจากเขาเมื่อเช้าเท่าไหร่นัก
แกร๊ก
เสียงลูกบิดประตูดังขึ้นทำลายสมาธิจนต้องเงยหน้ามอง ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเพื่อนสาวของเขาซึ่งวาดยิ้มเบิกบานอย่างเคยก่อนจะทิ้งทั้งตัวและกระเป๋านักเรียนลงกับโซฟานุ่ม
“โอฮาโย(อรุณสวัสดิ์) โชว์! มาเช้ากว่าทุกทีเลยนะเนี่ย”
“พอดีแวะไปที่ชินระก่อนจะมาโรงเรียนน่ะ” ฮิเมะโกะเลิกคิ้วสูงทันทีที่ได้ยินชื่อบริษัทเจ้าของแผนการใหญ่ที่เพิ่งเกิดไปไม่นานนี้ ยิ่งเห็นสีหน้ากังวลของเพื่อนหนุ่มทำให้เธออดสงสัยไม่ได้จนถามออกไป
“โดนสั่งงานใหม่เหรอ? ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“ไม่ใช่หรอก คือว่า...”
ดูเหมือนช่วงเวลาที่เขากังวลจะมาถึงเร็วกว่าที่คิด โชโตะจึงสูดหายใจเข้าลึกและเล่าเรื่องที่เขาได้ฟังจากซาโตชิมาทั้งหมดให้แก่ฮิเมะโกะ บรรยากาศในห้องพลันตึงเครียดจนอึดอัดกะทันหัน เด็กสาวเบิกตากว้างเมื่อชื่อของนาโอริปรากฏในบทสนทนา สาวเจ้าแทบจะลุกพรวดออกจากห้องแม้อีกฝ่ายจะยังเอ่ยไม่จบก็ตามที
“จะไปไหน?”
“เรื่องนี้ต้องรีบบอกพวกฮินะสิ จะให้รอเฉย ๆ ได้ยังไง!”
“เดี๋ยวก่อน!” เด็กหนุ่มรีบรั้งแขนเพื่อนสาวไว้ไม่ให้เธอเปิดประตูออกไปพลันบอกกับเธอว่าเขาตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับน้อง ๆ ในช่วงพักเที่ยงแทนเพราะไม่อยากจะให้พวกเขาเสียสมาธิกับการเรียน
“เถอะนะ...อย่างน้อยก็รอจนกว่าจะเที่ยง” ร่างสูงย่นคิ้วลำบากใจ ฮิเมะโกะเลยได้แต่มุ่ยหน้าไม่สบอารมณ์และยอมเคารพการตัดสินใจของคนตรงหน้า
.
.
.
กริ๊ง!
ครั้นเสียงกระดิ่งร้องเตือนบอกเวลาพักเที่ยง ฮิเมะโกะจึงอาสาไปดักรอเหล่ารุ่นน้องถึงห้องเรียนและจัดการลากตัวฮินาวะกับซากิออกมาเช่นเดียวกับไคโตะซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่ง พวกเขาได้แต่มองหน้ากันฉงนเมื่อถูกขอให้ตามไปยังห้องสภาเจ็ดซามูไรโดยที่ไม่คิดจะเล่าอะไรให้พวกเขาฟังเลย แม้ฮินาวะจะเอ่ยถามสักเท่าไหร่เธอก็ตอบเพียงว่าประธานนักเรียนหนุ่มจะเป็นคนอธิบายเองเท่านั้น
“ขอโทษที่รบกวนเวลาพักนะทุกคน” โชโตะเอ่ยเสียงเรียบประกอบกับสีหน้าจริงจังตั้งแต่เดินเข้าห้องมา จนพวกฮินาวะเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี
“มีภารกิจใหม่ให้พวกเราไปทำงั้นเหรอครับ?” ไคโตะเปิดประเด็นถาม
“ไม่ใช่หรอกครับ แต่นั่งก่อนสิ” พวกเขานั่งลงตามคำบอกก่อนจะตั้งใจฟังสิ่งที่ประธานหนุ่มเอ่ยและเป็นอย่างที่โชโตะคาดไว้ไม่ผิด ปฏิกิริยาทั้งสามไม่ต่างจากฮิเมะโกะพวกเขาพากันหน้าซีดและตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ทว่าคนที่มีอาการมากที่สุดคงไม่พ้นซากิที่เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้....พี่รู้ว่ามันยาก แต่ขอทุกคนอย่ากังวลไปเลยนะ”
“โฮชิซัง เธอไหวไหม?” ไคโตะย่นคิ้วพลางจับไหล่คนข้างตัว
“ฉันไม่เป็นไรจ้ะ แค่ตกใจ...นิดหน่อย” เด็กสาวเผลอยกมือป้องปาก แม้จะตอบปฏิเสธไปแต่เนื้อตัวที่สั่นระริกนั่นก็เป็นคำตอบให้เพื่อนหนุ่มไม่ยาก
“เฮ้อ จะบ้าบิ่นก็ให้มันมีขอบเขตหน่อยสิ...กล้าทำเรื่องอันตรายแบบนั้นได้ยังไง” เสียงฮึดฮัดดังมาจากฮินาวะที่กอดอกพลางเคาะนิ้วไม่สบอารมณ์ ก่อนจะได้ยินเสียงหวานจากพี่สาวของตน
“ไม่เป็นไรนะเจ้าน้องชาย วันนี้พวกพี่ตั้งใจจะไปเยี่ยมไข้นาโอริจังหลังเลิกเรียนอยู่แล้ว ไว้ค่อยไปโกรธตอนนั้นแล้วกัน”
“ไปกันตอนนี้เลยไม่ได้เหรอคะ?” ซากิโพล่งขึ้น
“เดี๋ยว ๆ ใจเย็นก่อนจ้ะซากิจัง พวกพี่ไม่อยากให้ใครต้องขาดเรียนหรอกนะ”
“แต่ว่าฉันเป็นห่วงนาโอะจัง...” ดวงตาสีเงินวูบไหวพลันหลุบต่ำ วินาทีนั้นเธอรู้สึกได้ว่าหัวใจบีบรัดจนทรมานเอามาก ๆ และอยากจะขัดคำสั่งพวกรุ่นพี่เพื่อไปหานาโอริเสียตอนนี้ ทว่าโชโตะกลับยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่ให้พวกเขารีบร้อนและรอไปพร้อมกันจะดีกว่า
“พี่คิดว่านาโอริจังก็คงไม่อยากให้ทุกคนเป็นห่วงจนเสียการเรียนหรอก เพราะฉะนั้นอดใจรอหน่อยนะ” นัยน์ตาสีเขียวมรกตหรี่ลงพลางจ้องเหล่าน้อง ๆ ใบหน้าที่แสดงความลำบากใจออกมาพาให้พวกซากิเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายก็รู้สึกไม่ต่างจากพวกเขา สุดท้ายทั้งสามจึงยอมพยักหน้าพร้อมเพรียงและตอบรับคำของรุ่นพี่
“เข้าใจแล้วค่ะ/ครับ”
เมื่อนัดหมายกันเรียบร้อย รุ่นพี่ทั้งสองจึงลากเหล่ารุ่นน้องไปหาอะไรใส่กระเพาะก่อนที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลตามกันไปด้วยโรคกระเพาะ แต่มื้ออาหารนี้จะสามารถมีใครเพลิดเพลินไปกับมันได้หรือเปล่านะ?....
.
.
.
ท้องฟ้าแต้มสีแดงอมส้มบ่งบอกเวลาเย็นและเวลาเลิกเรียนของนักเรียนจากทั่วสารทิศ สมาชิกเจ็ดซามูไรจึงมาพบกัน ณ ประตูโทริอิยักษ์สีแดงตามคำบอกของรุ่นพี่และพากันเดินทางเพื่อไปเยี่ยมนาโอริ โชคเข้าข้างที่โรงพยาบาลไม่ได้อยู่ไกลจากชิบุนางิมากนัก พวกเขาเลยสามารถเดินเท้าไปได้สบาย ๆ งานนี้คงต้องขอบคุณคนที่พาเด็กสาวไปส่งที่นั่นเสียแล้วกระมัง...
“ตามที่ซาโตชิซังบอกก็น่าจะเป็นชั้นนี้....” โชโตะพึมพำพร้อมกับจรดปลายนิ้วที่ปุ่มหมายเลข ‘26’ และปล่อยให้ลิฟต์เหล็กพาพวกเขาไปยังจุดหมาย
“เดี๋ยวนะ ชั้นนี้ไม่ใช่ว่าเป็นส่วนสำหรับราชวงศ์หรอกเหรอ?” ฮิเมะโกะเป็นต้องเหงื่อตก
“รู้สึกว่าองค์รัชทายาทจะเป็นคนจัดเตรียมห้องนี้ให้น่ะ แต่ฉันไม่รู้รายละเอียดหรอก”
“นาโอริจังไปทำอะไรไว้นะ องค์ชายคนนั้นถึงเซอร์วิสเสียขนาดนี้”
“คงอยากตอบแทนเธอล่ะมั้ง...”
ติ๊ง
ยืนยังไม่ทันเมื่อยลิฟต์ก็มาหยุดที่ชั้นที่ต้องการเรียบร้อย ประตูเหล็กเปิดออกเผยให้เห็นเคาน์เตอร์ให้บริการของพยาบาลกับโถงทางเดินโล่งกว้างซึ่งนอกจากพยาบาลที่ประจำอยู่ชั้นนั้นแล้วก็ไม่เห็นวี่แววของใครอีก โชโตะพูดคุยกับหญิงสาวที่ประจำเคาน์เตอร์พร้อมแจ้งประสงค์ของพวกเขา ในทีแรกเธอดูสงสัยเล็กน้อยแต่เพราะชื่อของซาโตชิช่วยเอาไว้เหล่าสภานักเรียนจึงสามารถเข้าเยี่ยมนาโอริได้สำเร็จ
“ทำไมเขาเข้มงวดจังเลย” ไคโตะแอบกระซิบครั้นเดินห่างจากเคาน์เตอร์มาได้ระยะหนึ่ง ก่อนจะเป็นรุ่นพี่หนุ่มที่ไขข้อสงสัยให้
“เพราะนาโอริจังดันพักอยู่ในห้องสำหรับราชวงศ์ เขาก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนเป็นธรรมดาครับ”
“แค่มาเยี่ยมเฉย ๆ แต่รู้สึกประหม่าตั้งแต่เดินเข้ามาเลยแหะ” ฮิเมะโกะเป่าปาก
ถึงจะถูกความเงียบสงัดของโถงโล่งกดดัน แต่บัดนี้สมาชิกทั้งห้าก็ได้ยืนอยู่หน้าประตูห้องหมายเลขยี่สิบหกและพร้อมจะเข้าไปเยี่ยมคนป่วยด้านในแล้ว
แอ๊ด
ประตูเปิดออกเผยให้เห็นห้องสีครีมที่ตกแต่งเรียบหรูชวนผ่อนคลายสมกับเป็นสถานที่ที่ใช้รับรองคนไข้คนสำคัญเสียจริง เมื่อพวกเขาก้าวเท้าเข้ามาในห้องที่เงียบสนิทจนแม้แต่เสียงเท้าก็สามารถได้ยินง่าย ๆ ทันใดนั้นจึงมีเสียงหวานดังขึ้นจากส่วนลึกของห้อง
“ใครมาเหรอคะ?”
“นาโอะจัง!” เจ้าของเรือนผมสีเงินโผเข้ากอดเพื่อนสาว ทำเอาอีกฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัวหงายลงไปนอนราบกับเตียงทั้งอย่างนั้น
“ซ ซากิ!?”
“เห็นไหม พี่บอกแล้วว่าเธอไม่เป็นไร” โชโตะเท้าเอวมองภาพสองสาวด้วยรอยยิ้ม
“รุ่นพี่...คนอื่นก็มาด้วย ทำไมถึงรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่?”
“หัวหน้าของพี่เขาบอกข้อมูลมาน่ะ แต่ก่อนอื่นเลย...” จู่ ๆ สายตาอ่อนโยนจากรุ่นพี่หนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นบวกกับริมฝีปากแย้มยิ้มนั่นแล้วช่างชวนขนลุกยิ่งกว่าอากาศในฤดูหนาว ทำเอาสาวเจ้าสะดุ้งโหยง
“จะแก้ตัวเรื่องเมื่อวันก่อนไหมครับ?”
“ค คือ...”
นาโอริได้แต่หัวเราะแห้งและยอมรับผิดกับรุ่นพี่หนุ่มแต่โดยดี เธอถูกเทศนายกใหญ่จนแทบอยากกลับไปนอนพักอีกสักรอบหนึ่งเพราะตอนนี้สมองของเธอเหมือนมีควันลอยออกมา แน่นอนว่ากับรุ่นพี่สาวหรือเพื่อนร่วมรุ่นต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยเป็นเสียงเดียวกับโชโตะ เลยยิ่งทำให้เด็กสาวคอตกห่อเหี่ยวอยู่เช่นนั้น
“พี่เป็นห่วงหรอกนะถึงได้ดุ ถึงจะชอบความคิดไม่ยอมใครแบบเธอแต่ก็ควรคำนึงถึงชีวิตตัวเองก่อน เข้าใจไหมครับ?”
“ขอโทษค่ะ จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว...”
“เอาล่ะ ในเมื่อสำนึกแล้ว ก็แล้วกันไป” เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้พยักหน้าหงึก ๆ พลางเบ้ปาก ไม่ทันไรก็ถูกเสียงหวานของเพื่อนสาวดึงความสนใจไป
“จะว่าไป เห็นรุ่นพี่บอกว่าเธอไม่มีแผลตามตัวเลย เรื่องจริงเหรอ?”
“อื้อ...ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน เท่าที่จำได้ตอนสู้กับผู้หญิงคนนั้นก็ได้แผลมาเยอะ ไม่รู้ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”
“เธอได้รับยาอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?” ฮินาวะเอ่ยถามทว่าเจ้าตัวกลับส่ายหน้าเป็นคำตอบ นาโอริพยายามย้อนภาพเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะหมดสติไปตั้งแต่ตอนที่พบกับโซว์ในลานกว้างไปจนถึงก่อนที่จะพากันหนีออกมา
“โซว์! ข้างหลัง!”
ปัง!
ภาพของหญิงสาวที่จ่อปืนมาทางพวกเธอและเสียงเหนี่ยวไกปืนที่ดังก้องในความทรงจำทำเอาดวงตาสีซากุระเบิกกว้างพลันก้มมองหน้าอกของตนทันควัน ไม่รู้สาวเจ้าคิดอะไรแต่จู่ ๆ ก็ตัดสินใจแหวกอกชุดคนไข้โดยไม่คำนึงถึงจำนวนชายหนุ่มซึ่งยืนกันอยู่ในห้องแม้แต่น้อย สองรุ่นพี่ตอบสนองอย่างรู้งาน โชโตะรีบปิดตาสนิทพร้อมเบือนหน้าไปจากจุดอันตราย ส่วนฮิเมะโกะก็รีบใช้มือปิดตาเจ้าน้องชายอีกสองคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
“ทำอะไรน่ะนาโอะจัง โป๊หมดแล้ว!”
“ฉันจำได้ว่ามีคนจ่อปืนมาทางฉันกับซ...องค์ชาย พอเสียงปืนดังฉันก็หมดสติไป ไม่แน่ฉันอาจจะถูกยิงก็ได้!”
“หา!?” คนในห้องอุทานแทบจะพร้อมกันกับคำพูดนั้น ซากิพลันรีบช่วยเพื่อนสาวแต่งตัวใหม่เพื่อที่ทุกคนจะได้พูดคุยกันอย่างสบายใจเสียที ก่อนจะเป็นฮินาวะที่เดินตรงมาใกล้คนป่วยก่อนจะเอื้อมจับไหล่บางทั้งสองข้างแน่น
“โอ๊ย เบา ๆ สิ”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้มีแผลตรงไหน?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามพลันเมินสีหน้ามุ่ยของอีกฝ่าย
“เมื่อกี้ตรวจดูแล้วก็ไม่มีจริง ๆ นั่นแหละ แถมไม่รู้สึกเจ็บตรงไหนด้วย”
“จะบอกว่าเธอถูกยิงทั้งที่ไม่มีร่องรอยอะไรเลยน่ะเหรอ?”
“แค่อาจจะโดน ไม่ได้บอกว่าจริงเสียหน่อย” คำพูดกวนประสาททำเอาเด็กหนุ่มคิ้วกระตุก ได้แต่คิดว่าเวลานี้อีกฝ่ายยังจะเห็นเป็นเรื่องเล่นอีกงั้นเหรอ?
“เลิกล้อเล่นได้แล้ว เรื่องนี้มันจริงจังนะ”
“ก็ฉันจำไม่ได้นี่นา....ทำไมต้องโมโหขนาดนั้นด้วยเล่า! เป็นห่วงฉันก็บอกมาตรง ๆ เถอะ” นาโอริเบ้ปากทว่ากลับต้องยิ้มกริ่มเมื่อคนตรงหน้าเธอดันมีเลือดฝาดบนแก้มต่อหน้าต่อตาเธอจนได้
“เหอะ เธอหาเรื่องใส่ตัวเองทำไมจะต้องห่วงด้วย” คนถูกแกล้งเบือนหน้าหนีทันควันนาโอริเลยอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะเห็นรุ่นพี่หนุ่มเดินเข้าใกล้เธออีกคนและขมวดคิ้วครุ่นคิดบางอย่าง
“พี่ไม่เห็นได้รับรายงานเรื่องนี้เลย...ซาโตชิซังก็ไม่น่าจะปิดบังเรื่องสำคัญแบบนี้”
“หนูอาจจะคิดไปเองก็ได้ค่ะ อาจจะเป็นใครสักคนที่มาช่วยเราหรือไม่ก็...” นัยน์ตาสีซากุระสั่นระรัวทันทีพลันนึกถึงใบหน้าเปื้อนเลือดของโซว์และวินาทีก่อนที่เสียงปืนจะดังเธอก็อยู่กับเขา แม้บางส่วนจะยังไม่ปะติดปะต่อแต่นาโอริก็หันขวับไปหาโชโตะด้วยท่าทีร้อนรนจนอีกฝ่ายเลิกคิ้วฉงน
“องค์ชายล่ะคะ!? เขาคงไม่ได้ถูกยิงใช่ไหม?”
“ใจเย็น ๆ ก่อนครับ พระองค์ปลอดภัยดีไม่ได้ถูกยิงตรงไหนหรอก”
“โล่งอก...ไปที” นาโอริเอนตัวลงบนหมอนนิ่มพร้อมถอนใจแรง อย่างน้อยสิ่งที่เธอเสี่ยงทำลงไปก็ไม่ได้เสียเปล่าเพราะได้คืนทั้งจูลิโอ้และองค์ชายหนุ่มในครั้งเดียวกัน ยิ่งได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่บาดเจ็บหนักสำหรับเธอมันเหมือนยกก้อนหินออกจากอกเลยล่ะ
“หัวหน้าของพี่เล่าว่าเป็นเพราะเธอกับเจ้าหน้าที่หน่วยเงาอีกคนหนึ่ง ถึงสามารถช่วยองค์รัชทายาทออกมาอย่างปลอดภัยได้ เรื่องนี้พี่คงต้องขอชื่นชม”
“แหะ ๆ ขอบคุณค่ะ”
“แต่...ก็ไม่ควรบุ่มบ่ามอีกนะครับ” โชโตะกดเสียงต่ำจนเด็กสาวเผลอกลืนน้ำลายไม่ต่างกับรุ่นน้องคนอื่นที่อดเสียวสันหลังวาบไม่ได้ คนคนนี้สามารถเปลี่ยนอารมณ์ได้ปุบปับกว่าสายน้ำเสียอีก!
“น่ากลัว...” เจ้าของเรือนผมสีฟ้าครามเอ่ยให้รุ่นพี่สาวได้ยินพลางเดินไปหลบด้านหลังเธอ ทำเอาฮิเมะโกะหลุดขำเล็ก ๆ กับท่าทีหวาดกลัวของพวกรุ่นน้อง ส่วนเธอน่ะชินกับความเข้มงวดแต่อ่อนโยนนี้ไปนานแล้ว
โชโตะไม่ลืมที่จะให้นาโอริติดต่อผู้เป็นแม่และเล่าสถานการณ์ตามที่เขาเตี๊ยมไว้ แม้ยูริจะโกรธและเทศนาลูกสาวต่อเนื่องจากรุ่นพี่หนุ่มแต่เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้กลับมีความสุขที่ได้ยินเสียงของแม่มากกว่า บรรยากาศแสนผ่อนคลายของเหล่าสมาชิกเจ็ดซามูไรดำเนินไปอย่างลื่นไหล อาจลื่นไหลเกินไปเสียจนมืดค่ำและถึงเวลาที่ต้องกลับไปยังหอพักของตนสักที ทว่าซากิกลับเสนอตัวที่จะอยู่เป็นเพื่อนนาโอริที่โรงพยาบาลพร้อมรีบตรงดิ่งไปเตรียมข้าวของสำหรับพรุ่งนี้เช้ามาไว้ที่ห้องผู้ป่วยทันที ต่อให้นาโอริจะแย้งเท่าใดแต่เพื่อนสาวก็ยืนกรานจะอยู่ให้ได้
“ลำบากเธออีกแล้ว ซากิ”
“ฉันดื้อเอง นาโอะจังไม่ผิดหรอก”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่พรุ่งนี้ก็ต้องไปเรียนอีก”
“รุ่นพี่บอกแล้วว่าจะช่วยพูดกับอาจารย์ให้ คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก” เด็กสาวผมสั้นเอ่ยพลางจัดวางกระเป๋าเสื้อผ้าบนโต๊ะรับแขกและมานั่งใกล้กับเตียงคนป่วยเพื่อพูดคุยต่อ
“ก่อนหน้านี้นาโอะจังก็พักฟื้นหลายวัน ไหนจะตอนนี้อีกถ้าให้ฉันนอนหอคนเดียวนานเข้าคงเหงาแย่ สู้มาอยู่เป็นเพื่อนดีกว่าเยอะ”
“เธอนี่ประเสริฐจริง ๆ เลย!” ว่าจบนาโอริจึงโผเข้ากอดเพื่อนสาวแน่น แต่ก็ต้องผละออกเพราะกลัวอีกฝ่ายหายใจไม่ออก
“จะว่าไปนาโอะจังมีอะไรที่อยากทำแก้เบื่อไหม เล่นเกมหรืออ่านหนังสือดี?”
“ไม่มีน่ะสิ ตั้งแต่ตื่นมาก็นอนอืดตลอด...แล้วก็คุยกับคนที่มาเยี่ยมก่อนหน้านี้....”
“คนที่มาเยี่ยม? มีคนมาก่อนพวกฉันด้วยเหรอ?” ซากิเลิกคิ้วสูงทว่าเจ้าคนพูดดันสะดุ้งโหยงพลันส่ายหน้ารัวจนคอแทบหลุด
“ม หมายถึงพวกคุณหมอที่เขามาดูอาการน่ะ พวกเขามาบ่อยมากจนไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย”
“อย่างนั้นเหรอ....งั้นไหน ๆ ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว เราหาเรื่องคุยกันหน่อยไหม?” เด็กสาวผมสั้นวาดยิ้ม แม้เธอจะนึกสงสัยท่าทีลนลานของนาโอริอยู่บ้าง แต่ในเมื่อสาวเจ้ายังไม่ต้องการเล่าเธอก็จะไม่ถามต่อให้ลำบากใจแล้วกัน
“นั่นสิ อะไรดีล่ะเธอนึกออกไหม?”
“ถ้าตอนนี้ในหัวฉันคงมีแต่เรื่องอยากดุนาโอะจังน่ะสิ จะฟังจริงเหรอ?” เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้ส่ายหน้ารัวจนอีกฝ่ายกลั้นขำไม่ไหว ดูท่าการเทศนาของโชโตะจะทำให้เข็ดไปอีกนาน
“งั้นเรื่องอะไรดี?” ซากิเอียงคอสงสัย
“เรื่องเกี่ยวกับซากิก็ดีนะ ฉันอยากฟังเรื่องของเธอเพิ่ม!”
“เกี่ยวกับฉันเหรอ?” ดวงตาสีเงินหรี่ลงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและไม่นานจึงเบิกตาขึ้นราวนึกอะไรออก ใบหน้าน่ารักเงยมองเพื่อนสาวพลันวาดยิ้มน้อย ๆ ให้
“ถ้างั้นนาโอะจังรู้ไหม...”
“ว่าฉันเคยมีพี่ชายด้วยนะ”
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder