จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
แฟนตาซี,แอคชั่น,รัก,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,7Samurai ,ไม่ฮาเร็ม,ตัวเอกหญิง ,ดาบพูดได้,ญี่ปุ่น,แอคชั่น,รักวัยรุ่น,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
จากที่อยากสานฝันเป็นนักดาบกลับต้องผันตัวสู่เส้นทางนองเลือดแค่เพราะอยากปกป้องเขาที่ด้ายแดงแห่งโชคชะตาผลักให้(วิ่ง)ชนกันถึง 2 รอบ แต่วันใดเล่าที่ดาบในมือจะหันคมใส่เขาเสียเอง...เพื่อสำเร็จเป้าหมายของมัน
ผู้แต่ง
psrpowder
เรื่องย่อ
สวัสดีค่าา เรา psrpowder น้าาา ยินดีที่ได้รู้จักรี้ดเดอร์ทุกท่านที่ผ่าน(หลง)เข้ามาฮะ!
(เชิญชวนมาติดตามกันได้ที่
Tiktok นะฮะ จะอัพเดตเรื่อย ๆ คับ)
เอาล่ะ….วันนี้เรามีนิยายออริจินอล มานำเสนอ!!
ชื่อเรื่องว่า 7 Samurai (ถ้าสงสัยว่าทำไมชื่อนี้ คงบอกได้แค่ว่าเป็นความเบียวของไรท์เองแหละค่ะ555)
เป็นแนวแฟนตาซี เซ็ตติ้งประเทศญี่ปุ่นยุคปี3000 มีฉากต่อสู้ฟิลใช้ดาบตบตีกันไปมา ชิ้งๆๆ
ผสมความรักแบบวัยใสน่ารัก(มองตาปุ๊ปก็ปิ้งกันปั๊บ!)
แถมปมเรื่องชวนซึ้งใจ (คนอ่านซึ้งมั้ยไม่รู้แต่ไรท์น้ำตาหยด ;-; )
ใด ๆ มันอาจจะไม่ตามกระแส ไม่ตามตลาด แต่เราอยากลงเรื่องที่ตั้งใจสร้างให้ทุกคนได้อ่านจริง ๆ
และอยากขอโอกาสทุกท่านที่แวบผ่านเข้ามา คอยชี้แนะแนวทางให้ไรท์คนนี้ด้วยนะคะ
ปล. เรื่องอาจไม่ได้หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่อยากให้จับตา จับมือ จับหูดูการเติบโตของน้อง ๆ ไปด้วยกันน้าา
==============================================
***นิยายเรื่องนี้มีฉากต่อสู้และฉากความรุนแรงอื่น ๆ แทรกในบางตอน***
แต่จะมีการแจ้ง Trigger warning ก่อนเริ่มอ่านทุกครั้ง
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
==============================================
ชิสึจิ นาโอริ ตัดสินใจทำตามความฝันวัยเด็ก เธอเลือกสอบเข้าที่โรงเรียนเฉพาะทางสำหรับนักดาบ และได้พบกับคู่หูซึ่งเป็นดาบไม้เล่มหนึ่งที่ต้องตาเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น เลยมอบชื่อให้ว่า จูลิโอ้
และต้องฝ่าฟันทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องเฉียดตายไปจนถึง…เรื่องความรัก!? โดยมีเจ้าดาบคู่ใจเป็นสักขีพยานเคียงข้างเสมอ
....แต่ดาบเล่มนี้
ไม่ได้มอบเพียงคู่หูแก่เธอ แต่มอบหลายสิ่งนับไม่ถ้วนโดยไม่รู้ตัว
มันมอบสิ่งที่เลวร้าย บ้าคลั่งและหิวกระหาย
สิ่งที่ยากจะควบคุมและพร้อมจะกลืนกินจิตบริสุทธิ์ของเด็กสาวอย่างเธอ
"ให้ข้า..ได้ลิ้มรสเลือดพวกมันเสียเถอะ"
"ออกไป...ออกไปจากหัวฉัน!"
มันมอบโชคชะตา ให้ได้พบพานใครคนหนึ่งที่แลกชีวิตเพื่อให้เธอปลอดภัย
ผู้เป็นดั่งแสงอันล้ำค่าที่ต้องรักษาไว้แม้ตัวตาย
"เพราะสัญญากันแล้ว...ว่าจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน เลยต้องทำทุกทางไม่ให้เสียเธอไป"
"ฉัน...ปกป้องนายได้ใช่ไหม?"
มันมอบเส้นทางใหม่ที่ดอกซากุระดอกตูมอย่างเธอ...จะได้ผลิบานสะพรั่ง ให้สมดั่งปรารถนา
"ในที่สุดก็ถึงวันนี้....วันที่ฉันไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป"
"คุณ...คือใคร?"
มันมอบตัวตน เรื่องราวและสายสัมพันธ์นับไม่ถ้วนให้แก่เธอ แต่ก็จ้องจะช่วงชิงทุกสิ่งไปเช่นกัน
"เพราะนั่น...คือสาเหตุที่มันเกิดมา"
"และมันจะต้องดับสูญ ถ้ากล้าคิดแตะต้องคนที่ฉันรัก!"
==============================================
เนื้อเรื่องช่วงแรกอาจจะสโลว์ไปบ้าง แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันน้า ; ^ ;
ใครผ่านเข้ามาอ่านและถูกใจ สามารถเป็นกำลังใจ ติชม แนะนำ ให้นักเขียนฝึกหัดคนนี้ได้นะคะ!
ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ค่า <3 (O w O)
よろしく、psrpowder
***Trigger Warning : การบรรยายสภาพศพ ความรุนแรง เลือด***
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ไม่ทันไรวันที่ต้องออกปฏิบัติภารกิจอันตรายก็มาถึง บัดนี้รถหรูคันสีดำได้ทะยานตัวหายลับไปในกลีบเมฆเมื่อมันรับผู้โดยสารสำหรับภารกิจในครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อย
สมาชิกเจ็ดซามูไรต่างนั่งเหม่อมองบรรยากาศรอบกาย ไม่มีใครเอ่ยสิ่งใดต่อกันเพราะเวลานี้สมาธิคือสิ่งสำคัญที่จะไม่ทำให้พวกเขาผิดพลาดหรืออาจทิ้งชีวิตของตน ซากิเผลอไผลกำอาวุธศักดิ์สิทธิ์แน่นทั้งยังสูดหายใจเข้าลึกพยายามสงบความประหม่าและความกังวลที่มี
“เธอกังวลหรือเปล่าซากิจัง?” เด็กสาวสะดุ้งครั้นได้ยินเสียงหวานจากรุ่นพี่สาวที่ดันตาไวสังเกตท่าทีผิดปกติของเธอ เจ้าตัวเลยได้แต่พยักหน้ายอมรับมันไป
“ค่ะ แล้วก็ตื่นเต้นนิดหน่อยด้วย”
“ไม่ต้องห่วงนะ พี่คนนี้จะปกป้องซากิจังเอง!” ฮิเมะโกะยิ้มร่าพลางดึงแขนอีกฝ่ายมากอดแน่น ไออุ่นที่ส่งผ่านมากำลังช่วยยืนยันคำพูดของเธอให้ซากิสบายใจและกลับมาวาดยิ้มได้อีกครั้ง
“ขอบคุณนะคะ” ไม่ใช่แค่เด็กสาวผมสั้นที่ได้รับไออุ่นจากคนตรงหน้า แต่มันก็กระจายไปถึงสองหนุ่มที่นั่งมองอยู่จนเธอสัมผัสได้ว่าบรรยากาศกดดันจากความเงียบได้ถูกเธอผู้นี้ทำลายไปจนหมดแล้ว
.
.
.
“ถึงแล้วล่ะ”
ทะเลเมฆขาวปุยนอกกระจกใสเริ่มถูกแทนที่ด้วยสีเขียวขจีจากยอดต้นไม้สูงทันทีที่อาโอบะเอ่ย ไม่นานมันจึงปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดเพราะบัดนี้หญิงสาวได้ทำการร่อนยานพาหนะสู่ด้านล่าง ล้อยางถูกสับเปลี่ยนออกมารับแรงกระแทกจากพื้นดินก่อนจะจอดสนิทใกล้กับรถคันอื่นอีกสองสามคันซึ่งมาถึงก่อนแล้ว
ร่างเพรียวก้าวเท้าลงจากพลันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดพิกัดที่ตนเองอยู่พอดีกับที่กลุ่มเจ้าหน้าที่ชินระเดินเข้ามาหาเธอ ครั้นนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสังเกตเห็นพวกเขาเธอจึงขยับปากเอ่ยคำสั่งแทบจะทันที
“จากตรงนี้เราจะเดินเท้าเข้าไปเพื่อไม่ให้พวกมันแตกตื่น ถึงจะไม่รู้ว่าหนีรอดไปได้เท่าไหร่แต่ทำให้คนของเราขาดการติดต่อไปทั้งกลุ่มแบบนี้ แปลว่าต้องไม่ต่ำกว่าสิบคนแน่” อาโอบะเบนมองเข้าไปในมุมมืดของป่ารกทึบเบื้องหน้า ต้นไม้เถาวัลย์พันเกี่ยวจนรถยนต์ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ แม้แต่คนยังก้าวเท้าลำบากเลยด้วยซ้ำ
“จะเป็นความคิดที่ดีเหรอครับ ในดงนั่นเป็นที่ซุ่มยิงชั้นดีเลยนะ”
“หึ ถ้าทางนั้นยังมีปัญญากลับมาซุ่มยิง พวกเราก็มีหน่วยเงารอตลบหลังมันอยู่แล้ว” เธอเอ่ยพร้อมเหลือบมองไปด้านหลังเจ้าหน้าที่หนุ่มพาให้ทุกคนต้องมองตาม
กลุ่มคนในชุดเสื้อฮู๊ดปิดมิดชิดไปจนถึงใบหน้าเหลือไว้แค่ดวงตาและเส้นผมประปราย หญิงสาวคนหนึ่งก้าวนำหน้าเข้ามาหาเจ้าหน้าที่ทั้งสอง ดวงตาสีหมอกเหนือหน้ากากเหล็กเบนไปหาอาโอบะราวกับรอให้เธอเอ่ยต่อ
“หน่วยเงาจะคอยคุ้มกันจากที่สูงและสอดส่องหาศัตรูให้อีกแรง ที่พวกเราต้องทำก็คือลงไปเล่นในสนามรบจริง ๆ เท่านั้นแหละ” หญิงสาวภายใต้หน้ากากพยักหน้าเพื่อยืนยันคำทีเล่นทีจริงของอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าหน้าที่อย่างเขาก็ไม่คิดจะสงสัยในความสามารถของเหล่าผู้สืบทอดศาสตร์นินจาอยู่แล้ว เขาจึงยอมรับคำสั่งของอาโอบะได้ไม่ยาก
“เข้าใจแล้วครับ”
“ดี เอาเป็นว่าเรารีบจัดการมันให้จบเถอะ ฝากด้วยนะเอนโด” หญิงสาวพยักหน้าให้อีกคราก่อนจะใช้สเกตบอร์ดทรงสามเหลี่ยมเหาะไปประจำการตามจุดที่รับมอบหมายในป่าทึบเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่หน่วยเงาคนอื่นที่กระจายตัวออกไปทันควัน
อาโอบะที่มองพวกเขากระทั่งลับสายตาจึงได้โอกาสเดินกลับไปหาสมาชิกเจ็ดซามูไรและกำชับความปลอดภัยให้แก่พวกเขา จากนั้นเจ้าหน้าที่สาวจึงสั่งการให้แบ่งเป็นสองกลุ่มโดยเธอจะรับหน้าที่ดูแลเหล่าเด็ก ๆ เอง ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นให้แยกไปตรวจสอบอีกฝั่งหนึ่งแทน
“ถ้าเกิดเหตุด่วนหรือพบเจ้าหน้าที่ที่หายตัวไป อย่าลืมติดต่อให้เร็วที่สุดล่ะ”
“ครับ/ค่ะ” เสียงตอบรับขึงขังดังประสานกันเป็นที่น่าพอใจ
ทีนี้ก็ถึงเวลาแล้ว....
“เริ่มงานได้!”
เจ้าหน้าที่ชินระพากันแยกตัวกันไปตามคำสั่งและเริ่มปฏิบัติตามแผนการทันที
.
.
กลุ่มของอาโอบะเดินหน้าเข้าไปยังทางรกทึบซึ่งยากจะมองเห็นสิ่งกีดขวางเพราะต่อให้เป็นช่วงเช้าแต่เบื้องหน้ามันช่างมืดเสียเหลือเกิน
เสียงนกขับขานดังก้องทั่วพื้นที่เช่นเดียวกับเสียงกรอบจากใบไม้แห้งตามทาง สายตาทุกคู่กวาดมองรอบด้านอย่างรู้งาน มือหนึ่งต่างถืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ไว้ สัมผัสชื้นที่ผิวหนังบังคับในพวกเขาตื่นตัวกว่าปกติกับอันตรายที่อาจแทรกผ่านแรงกดดันนี้
“แปลกแหะ ไม่รู้สึกถึงใครแถวนี้เลยนอกจากพวกเรา” ฮินาวะเอ่ยทำลายความเงียบพลางกำดาบแน่นขึ้นเพื่อให้การประสานจิตกับคู่หูเปิดการรับรู้ให้กว้างกว่าเดิม ซากิเป็นต้องลอบมองเขาก่อนจะสูดหายใจลึกและยืมความสามารถจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์
“จริงด้วย...” สาวเจ้าพึมพำครั้นตระหนักว่าคำของเด็กหนุ่มนั้นเป็นความจริง นอกจากสิ่งมีชีวิตแล้วประสาทสัมผัสก็ไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวที่คล้ายมนุษย์ได้อีก
“ยังตัดสินไม่ได้หรอก ขอบเขตตรงที่พวกเขาหายตัวไปมันกว้างมากน่ะ” อาโอบะเอ่ยพลางยกมือถือขึ้นมาตรวจสอบและพบว่าพวกเธอได้เข้ามาสู่พื้นที่เป้าหมายแล้ว ทว่าคงใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเดินให้ครอบคลุมแต่จะทิ้งความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมีชีวิตรอดและออกจากระยะกำหนดไม่ได้เช่นกัน
ทว่ายิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ ความเป็นไปได้นั้นก็ยิ่งจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ....
“ให้ตายสิ...” คิ้วเรียวพลันกระตุกครั้นนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มเบนมองขีดสัญญาณบนหน้าจอซึ่งเหลือไม่ถึงสองขีด บ่งบอกว่าการติดต่อของพวกเขาเริ่มถูกกดแคบลงและกำลังจะลงเอยไม่ต่างจากกลุ่มเจ้าหน้าที่ก่อนหน้านี้
“ไม่แปลกใจเลยที่จะขาดการติดต่อ ที่ตรงนี้อับสัญญาณมาก”
“นั่นสิครับ ขนาดอุปกรณ์สื่อสารก็เริ่มจะขาด ๆ หาย ๆ ด้วย” โชโตะเอ่ยขณะแนบปลายนิ้วที่ข้างหู ทว่ากลับมีแค่เสียงซ่าติดขัดให้ได้ยิน
“ชักเริ่มกังวลว่าจะติดต่อทีมอื่นไม่ได้แล้วสิ”
“แต่ไม่น่าถึงกับขาดหายไปเลยหรอกครับ อย่างน้อยก็สามารถติดต่อหน่วยเงาซึ่งอยู่สูงกว่าเราได้ อีกอย่างถ้าสุดวิสัยจริงก็มีปืนยิงสัญญาณควันอยู่นี่ครับ”
“ใครเป็นหัวหน้ากันแน่เนี่ย?” อาโอบะเบ้ปากอย่างช่วยไม่ได้
“ผมก็เคยรับหน้าที่ชั่วคราวนะครับ” เด็กหนุ่มวาดยิ้มให้ ประโยคนั้นทำเอาหญิงสาวต้องเดาะลิ้นไม่สบอารมณ์พลันหันกลับไประแวดระวังเบื้องหน้าต่อ ซากิที่มองดูคนสองคนถกเถียงกันได้แต่นึกชื่นชมในใจว่าแม้สถานการณ์เช่นนี้ก็ยังสามารถหาทางรับมือกันด้วยความใจเย็น สำหรับเธอแค่ได้ยินว่าเริ่มเข้ามาในที่อับสัญญาณจิตใจก็หนักอึ้งจะแย่แล้ว
นัยน์ตาสีเงินจับจ้องมองพวกอาโอบะอยู่นานก่อนจะสังเกตเห็นรุ่นพี่สาวข้างกายซึ่งเงียบไม่พูดไม่จาตั้งแต่เมื่อครู่ ซากิตั้งใจจะเอ่ยปากถามอีกฝ่ายทว่าสายตานิ่งสงบที่ไม่เคยพบกลับทำให้สาวเจ้าล้มเลิกมันไป ภาพของฮิเมะโกะยามปฏิบัติหน้าที่ช่างดูสุขุมไม่ต่างจากฮินาวะและมันกำลังทำให้เธอเกร็งเล็กน้อย
“หือ มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?” อาจเพราะถูกจ้องนานเกินไป ในที่สุดฮิเมะโกะก็หันขวับมาทางเด็กสาวจนเจ้าตัวสะดุ้ง ใบหน้าสวยกลับมาแย้มยิ้มให้ก่อนจะสบตากับซากิราวกับรอให้เธอพูดสิ่งที่ต้องการออกมา
“คือว่า พี่ฮิเมะ...”
“ชู่!” เสียงเตือนจากอาโอบะดังขัดบทสนทนาเรียกความสนใจจากสองสาวให้มองไปทางเธอ บัดนี้ร่างเพรียวพลันชะงักฝีเท้าพร้อมหันมองซ้ายทีขวาที นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มจดจ้องเข้าไปยังส่วนลึกของป่าและไม่ยอมพูดจาอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานโชโตะที่เหมือนรับรู้สิ่งเดียวกับเธอก็เอ่ยแทน
“ทิศเหนือกับทิศตะวันตก...สัมผัสการเคลื่อนไหวของมนุษย์ได้สินะครับ”
“ใช่ ปัญหาคืออาจจะมีฝั่งใดฝั่งหนึ่งเป็นศัตรูก็ได้”
“คำสั่งเป็นยังไงครับคุณหัวหน้า?” อาโอบะลอบมองเด็กหนุ่มเบื้องหลังซึ่งมีสีหน้าจริงจังกว่าคำพูดของเขา เธอกระชับดาบในมือพลันวิเคราะห์สัมผัสอ่อน ๆ ที่รับได้ในหัว อาจเพราะระยะไกลเกินกว่าจะระบุได้ว่าฝั่งไหนคือมิตรหรือศัตรูและมีจำนวนกี่คน หนำซ้ำทั้งสองฝั่งยังมีการเคลื่อนตัวไม่มากราวกับหยุดพักอยู่ ณ ที่ตรงนั้น เลือกไปทางใดก็ไม่พ้นความเสี่ยงจะปะทะกับศัตรู
และในเมื่อเสี่ยงทั้งสองฝั่งก็มีแต่ต้องตรวจสอบมันทั้งคู่เท่านั้น...
ท้ายที่สุดอาโอบะจึงตัดสินใจแบ่งเป็นสองฝ่ายและฝากให้ฮิเมะโกะคุมรุ่นน้องทั้งสองไปตรวจสอบฝั่งทิศตะวันตก ขณะที่เธอแยกตัวไปกับโชโตะทางทิศเหนือ แน่นอนว่าไม่ลืมจะกำชับเรื่องการติดต่อด้วยปืนยิงสัญญาณหากพบเจ้าหน้าที่ที่หายตัวไป
“ถ้าไม่เจอร่องรอยของเจ้าหน้าที่ชินระแต่เป็นศัตรู ให้พยายามเลี่ยงเท่าที่จะทำได้และรีบกลับมาสมทบกับพวกฉัน เข้าใจไหม?”
“รับทราบค่ะ”
ครั้นรับทราบคำสั่งพวกเขาจึงแยกกันไปคนละทางอย่างรวดเร็ว แม้อาโอบะจะกังวลอยู่บ้างแต่เวลานี้เธอจำเป็นต้องเชื่อใจฮิเมะโกะให้ดูแลเด็กทั้งสองแทน หากสามารถแยกร่างได้เธอทำไปแล้วกระมัง
.
.
.
ณ ป่าทึบด้านทิศตะวันตก สมาชิกเจ็ดซามูไรทั้งสามเริ่มจะชะลอความเร็วลงและเปลี่ยนเป็นก้าวเดินไปตามทางขรุขระ สภาพแวดล้อมไม่ได้ต่างจากจุดที่มานัก มันยังคงความเงียบปะปนกับเสียงธรรมชาติชวนให้กดดันไว้อยู่แต่ที่แปลกไปคือกลิ่นอายเบาบางที่แล่นผ่านสมองเข้ามาฉับพลัน
“เหมือนที่อาโอบะซังบอกเลย...พอเดินมาระยะหนึ่งก็เริ่มสัมผัสการเคลื่อนไหวได้นิดหน่อยแล้ว” ซากิพึมพำขณะจ้องตรงไปเบื้องหน้า หัวใจเต้นสูบฉีดถี่กว่าปกติแต่ไม่ใช่เพราะเหนื่อยหรือหวาดกลัว มันเป็นความอยากรู้อยากเห็นเล็ก ๆ ของเจ้าตัวต่อสิ่งที่ยังไม่ชัดเจนเสียมากกว่า
“อิจฉาจังเลย ฉันก็อยากไปบ้าง”
จู่ ๆ ใบหน้าของนาโอริก็ดันผุดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ซากิเผลอคิดไปว่าหากเพื่อนสาวอยู่ตรงนี้ด้วยเจ้าตัวจะทำท่าทางยังไงกันแน่ เธออาจจะพุ่งตรงไปหาเป้าหมายทันทีที่สัมผัสกลิ่นอายเลยก็เป็นได้ พอนึกถึงสีหน้าตื่นเต้นยามได้ทำภารกิจของเจ้าหล่อนนัยน์ตาสีเงินเป็นต้องหลุบตาต่ำลง
“กำลังคิดว่าถ้าเป็นยัยนั่นจะรู้สึกยังไงอยู่เหรอ?” ประโยคแม่นยำนั่นพาให้คนตัวเล็กสะดุ้งโหยงก่อนจะหันขวับมองฮินาวะทันควัน
“รู้ได้ยังไง...”
“เดาเอา” แม้จะไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ แต่ซากิที่ไม่สามารถอ่านความคิดของอีกฝ่ายออกก็ได้แต่ยอมรับไป
“ถูกของโมโมเสะคุง อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้านาโอะจังอยู่ตรงนี้จะทำหน้าแบบไหน จะกลัวหรือวิ่งดิ่งไปตำแหน่งที่ได้มากันแน่นะ”
“คงจะอย่างหลังแหละมั้ง”
“เพราะนาโอะจังเป็นคนกล้า ผลมันเลยจะออกมาเป็นแบบนั้นสินะ ฮ่า ๆ” เด็กสาวผมสั้นวาดยิ้มเมื่อจินตนาการถึงนาโอริที่รีบร้อนจะไปให้ถึงจุดหมายโดยเร็วโดยไม่สนว่ารอบข้างจะมืดน่ากลัวเพียงใดก็ตาม ซึ่งมันช่วยให้ซากิผ่อนคลายไปได้มากจนน่าประหลาดราวกับเพื่อนสาวเป็นที่พักใจของเธอยังไงอย่างงั้น
“ยัยนั่นน่ะกล้าก็จริง แต่มันก็มีเส้นบาง ๆ ระหว่างกล้ากับไม่รอบคอบอยู่นะ...อีกอย่าง...”
“หือ?” ซากิเอียงคอสงสัยพลางมองร่างสูงที่เลือกจะเบนหน้าหนีเธอ
“เธอก็กล้าเหมือนกัน มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ”
“ฉันเหรอ? ม ไม่ใช่หรอก...”
“ไม่ต้องเถียงเลย เพราะพวกเราตรงนี้รู้จักเธอดีกว่าใครเสียอีก” ดวงตาสีเงินวาวเบิกกว้างกับคำพูดของฮินาวะ ไม่ทันไรก็ตระหนักได้ว่าถูกรุ่นพี่สาวลอบมองมาพักหนึ่งแล้ว เธอยกยิ้มให้และหันกลับไปมองทางข้างหน้าปล่อยเด็กสาวตะลึงต่ออยู่อย่างนั้น
ซากิแทบจะกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอเพราะความรู้สึกบางอย่างมันเอ่อล้นในใจ ภาพคนตรงหน้าถูกซ้อนทับด้วยร่างของเด็กตัวเล็กซึ่งยิ้มแย้มให้เธอในอดีต แม้เหตุการณ์หลังจากนั้นจะพรากพวกเธอให้ต้องห่างเหินกันทว่าทั้งสองก็ยังมองมาที่ตัวเธออีกครั้ง เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีเงินวาวที่สะท้อนภาพของสองพี่น้องโมโมเสะชัดเจนตั้งแต่วันที่พบกันอีกครั้งที่โรงเรียน
“ขอบคุณนะ”
“ฉันก็แค่พูดตามความจริง...หือ?” ฮินาวะชะงักฝีเท้าครั้นผู้เป็นพี่เลือกจะยืนนิ่งไม่ขยับไปไหนก่อนจะถูกดันให้ไปหลบหลังต้นไม้สูงพลางเห็นเธอชี้ไปเบื้องหน้าจนพวกเขาต้องมองตาม ดวงตาสองคู่เบิกขึ้นเพราะบัดนี้เบื้องหน้ากลับมีกระท่อมไม้ทรุดโทรมหลังหนึ่งตั้งเด่นอยู่
“มีกระท่อมในป่าลึกขนาดนี้ได้ยังไง ไม่ใช่ว่ามันเป็นป่าอนุรักษ์งั้นเหรอ?”
“อาจจะมีคนมาลักลอบสร้างไว้...หรือตรงนี้จะเป็นจุดที่จับการเคลื่อนไหวได้?” ซากิเอ่ยพร้อมกระชับอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือและค้นหาการเคลื่อนไหวของเป้าหมาย ทว่าน่าแปลกที่การเคลื่อนไหวที่ใช้ตามรอยมาตั้งแต่แรกมันกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“สัมผัสการเคลื่อนไหวก่อนหน้าไม่ได้แล้ว...”
“นั่นแหละที่น่ากลัว ทันทีที่พวกเราใกล้เข้ามามันก็หายไปเสียดื้อ ๆ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา
“เงียบไว้ก่อน พี่รู้สึกว่ามันจะอันตรายกว่าที่คิดแล้วล่ะ...นอกจากไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว รอบด้านก็เงียบเกินกว่าจะมีคนอาศัยอยู่”
“หรือจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่ซ่อนตัวอยู่คะ?” ซากิกระซิบถามพลันกวาดตามองรอบด้าน
“ไม่น่าจะใช่ ถ้าเป็นคนของชินระที่บาดเจ็บก็น่าจะทำสัญลักษณ์ไว้ให้เห็น แต่เท่าที่เดินมาก็ยังไม่มีเลย”
“คงไม่ใช่ว่าพวกคนร้ายรู้ตัวจนหนีไปแล้วหรอกนะ” ฮินาวะเบนมองผู้เป็นพี่ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“ทหารรับจ้างส่วนใหญ่ไม่ใช่นักดาบที่ประสานจิตกับดาบได้ พี่คิดว่าพวกมันอาจจะแค่เคลื่อนตัวห่างออกไปอีกทำให้จับสัมผัสไม่ถึง” ฮิเมะโกะหลับตาเพ่งสมาธิอีกครั้งทว่ามีเพียงเสียงฝีเท้าของสัตว์ตัวน้อย สายลมและใบไม้กระทบพื้นดินเท่านั้น ดวงตากลมลืมขึ้นจ้องตรงไปยังกระท่อมไม้ก่อนจะตัดสินใจอะไรได้
“พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบกระท่อมหลังนั้น”
“แต่ถ้าเป็นที่กบดานของศัตรู เราควรจะกลับไปสมทบกับอาโอบะซังตามคำบอกหรือเปล่าคะ”
“แต่ในเมื่อเรายังระบุตำแหน่งของศัตรูไม่ได้ ก็ยังยืนยันว่าเป็นที่กบดานไม่ได้หรอกนะ” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมกับยกกล้องส่องทางไกลขนาดจิ๋วออกมาใช้ นัยน์ตาสีแดงเลือดมองผ่านเลนส์นูนเข้าไปถึงหน้าต่าง มันถูกอะไรบางอย่างปิดเอาไว้จึงเห็นเพียงแสงจากกองไฟสว่างวูบวาบผ่านช่องด้านใต้เท่านั้นทว่ากลับไม่พบวี่แววของมนุษย์ในกระท่อม ยืนยันคำตอบของฮิเมะโกะได้อีกหนึ่งเสียงว่าบริเวณนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเขาสามคน
“รีบไปตรวจสอบก่อนจะมีใครมาเถอะ” ว่าจบทั้งสามจึงอาศัยมุมมืดใต้ต้นไม้สูงจนเข้าใกล้กระท่อมจากด้านหลัง
แม้จะถึงตัวกระท่อมแล้วแต่ก็ยังไม่พบร่องรอยการเคลื่อนไหวใดทั้งสิ้น พวกเขาจึงตัดสินใจจะเริ่มตรวจสอบตั้งแต่รอบนอกเสียก่อน กลิ่นไม้ฉุนโชยเตะจมูกประกอบกับเสียงไม้เอี๊ยดอ๊าดเมื่อปลายเท้าสัมผัส ทำให้รู้ว่ามันถูกสร้างมานานพอสมควรทว่ายังมีสภาพที่ดีราวกับถูกดูแลรักษาเป็นประจำ ฮินาวะที่นำหน้าสองสาวเดินเลาะตามระเบียงเตี้ยจนถึงด้านหน้ากระท่อมก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบร่องรอยผู้อยู่อาศัยจำนวนหนึ่ง
“อุปกรณ์ล่าสัตว์? แต่ป่าแถบนี้น่าจะถูกห้ามไว้นี่นา...” ฮินาวะพึมพำพลางก้มมองอาวุธอันตรายที่พิงไว้กับรั้ว เขาก้าวเท้าไปที่ประตูหน้าก่อนจะลองเปิดมันทว่ากลับถูกล็อกจากด้านในอย่างแน่นหนาชนิดที่ลูกบิดไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว
ตึง!
ร่างสูงหันขวับหาต้นเสียงพลันตัดสินใจเดินกลับไปสมทบกับสองสาวเพราะได้ยินเสียงตึงตังจากด้านหลังกระท่อมไม้
“พี่ทำอะไรน่ะ?” เขาเลิกคิ้วสูงครั้นเห็นฮิเมะโกะกำลังง่วนอยู่แถวประตู
“พยายามจะเปิดประตูไง แต่มันติดอะไรก็ไม่รู้”
“ไหนบอกจะตรวจสอบเฉย ๆ ไง แบบนี้มันเข้าข่ายบุกรุกแล้วนะ”
“งั้นก็เหมือนเจ้าของที่มาปลูกบ้านไว้ในพื้นที่สงวนแบบนี้นั่นแหละ อีกอย่างเราปฏิบัติหน้าที่อยู่ ไม่ผิดเสียหน่อย” ว่าจบฮิเมะโกะก็กลับไปพยายามเปิดประตูอีกครั้งขณะที่ฮินาวะได้แต่ถอนใจเหนื่อยหน่ายกับพี่สาว ซากิที่เห็นเช่นนั้นจึงเลือกแยกเดินไปตรวจสอบอีกด้านหนึ่งของกระท่อม หวังจะหาช่องทางอื่นให้เข้าไปด้านในโดยไม่ต้องทำลายข้าวของ
เด็กสาวกวาดตามองตัวบ้านทึบพลันเดินตรงไปยังหน้าต่างที่ใกล้สุด น่าแปลกที่หน้าต่างถูกบดบังด้วยแผ่นไม้หนาจนแทบมองไม่เห็นด้านใน ทีแรกเธอคิดว่าเป็นเพียงผ้าม่านแต่ไม่ว่าจะหน้าต่างบานไหนก็ถูกปิดด้วยแผ่นไม้ทั้งนั้น ซากิพยายามกลั้นใจที่จะไม่ใช้พละกำลังของตนดึงกรอบหน้าต่างออกแม้จะอยากทำก็ตาม
“แปลกจัง ทำไมต้องเอาไม้มาตอกหน้าต่างแบบนี้ด้วย?” ร่างบางลองย่อตัวลงพลันมองหาช่องโหว่จากแผ่นไม้หนาจนในที่สุดก็พบจุดหนึ่งซึ่งกว้างพอจะลอบมองเข้าไปได้
“ขอเสียมารยาทหน่อย....” นัยน์ตาสีเงินสะท้อนภาพเบื้องหลังช่องไม้เข้าไปด้านใน
และวินาทีนั้นเองที่เธอแทบจะหยุดหายใจไม่รู้ตัว...
“เฮือก!”
ความเย็นวูบวาบแผ่ซ่านตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นเดียวกับหัวใจที่บีบรัดจนทรมาน ร่างเล็กกรูถอยห่างออกจากหน้าต่างลงไปนั่งอยู่กับพื้น นัยน์ตาสีเงินวาวสั่นระรัวเกินจะควบคุมไม่ต่างจากร่างกายที่สั่นเทิ้มอย่างหวาดผวา ภาพเมื่อครู่ยังประทับในความทรงจำ ภาพของเหลวสีแดงฉานสาดกระเซ็นเลอะเทอะให้เห็นผ่านช่องแคบ ซากิกำอกเสื้อแน่นเรียกสติตนเองก่อนจะวิ่งพรวดกลับไปทางหลังกระท่อม
“ซากิจัง เจอทางเข้าอื่นหรือเปล่า?” รุ่นพี่สาวหันมองอีกฝ่ายที่วิ่งกลับมา ทว่าซากิกลับไม่ยอมให้คำตอบพลันมาขวางหน้าประตูและดึงตัวรุ่นพี่สาวให้ห่าง
ปึง!
ชั่วอึดใจร่างบางพลันใช้แรงที่เหลือล้นกระแทกประตูจนเปิดอ้าทว่ามันกลับถูกบางอย่างขัดเอาไว้ทำให้เปิดไปได้ไม่สุด เธอจึงทุ่มแรงใส่อีกคราและวินาทีที่รู้สึกเหมือนของหนักถูกดันออก มันยิ่งตอกย้ำซากิเข้าไปใหญ่ว่าหลังประตูบานนี้มีเจ้าของภาพสยดสยองที่เธอเห็นอยู่เป็นแน่
“นี่มัน...อึก!” ฮิเมะโกะแทบจะกลั้นหายใจไว้ไม่ทันเมื่อกลิ่นคาวฉุนจมูกพวยพุ่งมาจากด้านในกระท่อม เธอหันมองที่มาของกลิ่นชวนอาเจียนพลันหน้าซีดหวาดผวา เพราะภายในกระท่อมที่ดูไม่มีอะไรกลับเปรอะเปื้อนด้วยคราบเลือดสีเข้มและต้นตอก็มาจากร่างไร้วิญญาณที่เคยนอนขวางประตูเอาไว้ นัยน์ตาสีแดงเลือดตวัดมองลึกเข้าไปด้านในและเห็นร่างไร้ลมหายใจของชายอีกสองคนนอนจมกองเลือดอยู่กับพื้น
“คนพวกนี้...คงเป็นพวกลักลอบล่าสัตว์ที่พักอยู่ที่นี่” ฮินาวะเอ่ยเสียงอู้อี้ก่อนจะค่อย ๆ เดินตามสองสาวเข้าไปในกระท่อม ดวงตาคมกวาดมองพื้นที่โดยรอบแต่กลับต้องเลิกคิ้วสูงเพราะแทบไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือขัดขืน ข้าวของในบ้านยังจัดวางเรียบร้อยราวกับศพพวกนี้ตายตั้งแต่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
“ประตูสองฝั่งก็ถูกล็อก แถมยังมีแผ่นไม้ปิดทุกหน้าต่างอีก....จะบอกว่าพวกเขาฆ่ากันเองงั้นเหรอ?” เด็กหนุ่มเอ่ย
“เป็นไปไม่ได้หรอก รอยแผลบนตัวไม่ตรงกับปืนที่วางอยู่ด้านนอกและข้างในก็ไม่มีอาวุธอื่นซ่อนอยู่แล้ว” ฮิเมะโกะกล่าวขณะย่อตัวต่ำ มือเรียวยกขึ้นพนมมือไว้อาลัยก่อนจะตรวจสอบร่างตรงหน้า บาดแผลเป็นทางยาวตัดผ่านจุดตายหลายแห่งไม่ว่าดูยังไงก็เป็นฝีมือของดาบ
“มิน่าล่ะ ใช้จิตสัมผัสเท่าไหร่ก็ไม่เจอใครสักคน แสดงว่าการเคลื่อนไหวเดียวที่เราเจอคงเป็นของพวกทหารรับจ้างจริง ๆ ”
“ต่อให้เป็นทหารรับจ้างที่ถูกฝึกมาก็เถอะ แต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้เลยนี่เป็นไปได้เหรอ?” ฮิเมะโกะขมวดคิ้วเป็นปม
“นั่นสิ...” ฮินาวะเองก็ได้แต่ครุ่นคิด
ขณะเดียวกันฮิเมะโกะที่เห็นสองรุ่นน้องตรวจสอบส่วนหนึ่งของบ้านอยู่จึงตัดสินใจเดินไปอีกทางที่ยังไม่ผ่านตาตนเอง นัยน์ตาสีแดงเลือดกวาดมองทุกซอกมุมกระทั่งเห็นประตูโค้งที่แบ่งห้องเป็นสัดส่วน แวบแรกสาวเจ้าคิดว่าห้องตรงหน้าเป็นแค่ห้องสำหรับทานอาหารเพราะอุปกรณ์ทำครัวที่เรียงราย
“กลิ่นเน่าอีกแล้ว”
กระทั่งดันไปสูดกลิ่นที่ไม่ควรเข้าให้ มือเรียวพลันปิดจมูกแน่นไม่ให้มันทำลายระบบประสาทไปมากกว่านี้ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปดูต้นตอของกลิ่น
ที่นอนรอเธออยู่ด้านในห้อง...
ฮิเมะโกะแทบจะแข็งทื่อไปชั่วขณะเมื่อเห็นร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งนอนนิ่งบนโต๊ะไม้ยาว เนื้อตัวซีดเผือดจนแทบเขียวประกอบกับคราบเลือดที่แห้งกรังและกลิ่นเน่าเหม็นจึงรู้ได้ทันทีว่าร่างนี้เสียชีวิตมานานกว่าศพอื่นในบ้าน ทว่าสภาพของเธอยังดูดีกว่าชายพวกนี้เป็นไหน ๆ แต่กลับมีสิ่งหนึ่งสะดุดตายิ่งกว่าอะไร
“ทั้งสองคนมานี่หน่อย” ฮิเมะโกะรีบเรียกสองรุ่นน้องให้มารวมกันตรงประตูโค้ง พวกเขาจึงได้เห็นศพรายที่สี่ในกระท่อมนี้
“ชุดคลุมของพวกทหารรับจ้าง....แล้วก็สีผมแบบนี้มัน...”
“เธอเป็นคนตระกูลซากุราซากุไม่ผิดแน่ แต่มีคนจากห้าบุปผามาเป็นทหารรับจ้างแบบนี้ทางตระกูลจะรู้เห็นหรือเปล่านะ...” ฮิเมะโกะพึมพำครุ่นคิด
“ทำไมถึงอยู่ในสภาพนี้ล่ะคะ เธอถูกคนพวกนั้นฆ่าเหรอ?” ซากิย่นคิ้วฉงนพลางจ้องรอยแทงทะลุลำคอรวมถึงบาดแผลฉกรรจ์ที่เริ่มขึ้นสีอมม่วง
“ไม่ใช่หรอก เพราะจากสภาพศพเธอน่าจะตายได้เกินสองวันแล้วล่ะ” ฮินาวะกล่าวขณะกวาดตามองร่างซีดเผือด เรื่องเรือนผมที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอยังไม่น่าแปลกใจเท่าท่านอนประสานมือบนหน้าท้อง
ราวกับถูกจัดวางโดยใครอีกคน...
“ทางที่ดีเราควรรายงานอาโอบะซังเสียก่อน เพราะเหมือนพวกเราจะแจ๊คพอตเจออะไรที่มากกว่าทหารรับจ้างเข้าให้แล้วล่ะ” ฮินาวะพลันเบนมองผู้เป็นพี่ อีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างรู้งาน
“อื้อ เดี๋ยวพี่จะรีบ...”
กึก
ทั้งสามแทบจะหยุดหายใจทันทีที่ได้ยินเสียงกุกกักตรงประตูฝั่งหน้ากระท่อม เป็นสัญญาณว่าพวกเขาใช้เวลาอยู่ในนี้นานเกินจนปล่อยให้คนร้ายที่คิดว่าอยู่ห่างออกไปมายืนอยู่หน้าประตูแล้วจนได้...
และอีกไม่ถึงอึดใจพวกเขาจะถูกต้อนจนมุมในกระท่อมแคบแห่งนี้
to be continue….
======================================
มาคอมเมนท์แนะนำกันได้นะฮัฟฟฟ
ฝากกดถูกใจ เป็นกำลังใจกันด้วยน้าา <3
つづく、psrpowder